Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

พาหิยะ...ผู้ตรัสรู้เร็ว

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
   พาหิยะเป็นพ่อค้า เดินทางค้าขายด้วยเรือสินค้าขนาดใหญ่ มีผู้คนร่วมเดินทางเป็นจำนวนมาก จนมาวันหนึ่งเกิดพายุกลางทะเลอย่างรุนแรงจนเรือล่ม ทุกคนบนเรือตายหมด แต่พาหิยะโชคดีคว้าไม้กระดานได้ แม้ต้องลอยคออยู่กลางทะเลหลายชั่วโมง แต่ก็รอดชีวิตมาได้


   พาหิยะขึ้นฝั่งมาได้ในสภาพไม่มีเสื้อผ้าติดกายเช่นเดียวกับชีเปลือย แล้วก็เดินเร่ร่อนมาถึงต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วนั่งลง เอาเปลือกไม้มาทำเครื่องนุ่งห่มคลุมกาย ชาวบ้านเห็นพาหิยะคิดว่าเป็นพระอรหันต์ที่ธุดงค์มา เข้าใจว่าการนุ่งห่มเปลือกไม้แสดงถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงทดสอบด้วยการนำจีวรมาถวาย ถ้ารับผ้าจีวรแสดงว่ายังยึดมั่นถือมั่นในเครื่องนุ่งห่ม พาหิยะรู้ว่าถ้าตนรับผ้านั้นไว้ชาวบ้านก็จะไม่ศรัทธาจึงไม่ยอมรับผ้า ชาวบ้านเห็นดังนั้นพากันป่าวประกาศว่ามีพระอรหันต์เสด็จมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ชาวบ้านจึงนำดอกไม้ ธูป เทียน ของกินของใช้ต่างๆมาถวายมากมาย เกิดลาภสักการะ พาหิยะปฏิเสธสิ่งของหรืออาหารบางอย่างที่ชาวบ้านถวายโดยให้เหตุผลว่า เป็นสิ่งเกินความจำเป็น การกินอยู่ก็เป็นไปเพื่อรักษาชีวิตเท่านั้น จึงขอบิณฑบาตอาหารเพียงเล็กน้อยก็พอ เสื้อผ้าจีวรต่างๆ ไม่มีความจำเป็นสำหรับเรา ชาวบ้านได้ยินแล้วก็ยิ่งเกิดศรัทธามากขึ้น พากันมากราบไหว้สักการะ ทำให้พาหิยะเกิดปีติสุข 
  

   ต่อมามีเทวดาองค์หนึ่งมากระซิบกับพาหิยะว่า บัดนี้พระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่สาวัตถี เมื่อได้ยินดังนั้นพาหิยะก็เกิดความรู้สึกร้อนใจ อยากพบและฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงได้รีบเดินทางจนไปถึงที่พักของพระพุทธองค์ ณ เมืองสาวัตถีในตอนรุ่งเช้า พอเข้าไปถามหาพระพุทธเจ้าก็ทราบว่าพระพุทธเจ้ากำลังบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี พาหิยะก็รีบวิ่งออกตามหาพระพุทธเจ้า ไล่ถามชาวบ้านไปตลอดทาง จนในที่สุดก็พบพระพุทธเจ้ากำลังเดินทางกลับวัด พาหิยะจึงเข้าไปแสดงความเคารพด้วยการทักขิณาวัฏฏ์3รอบ ซึ่งเป็นประเพณีของชาวอินเดีย หากต้องการสักการบูชาสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะประนมมือและเดินเวียนขวารอบสิ่งที่ตนเคารพบูชา3รอบ เมื่อพาหิยะสักการะอย่างนอบน้อมแล้วอาราธนาให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่ตน
   พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่สมควรจึงตรัสตอบว่า "ดูก่อนพาหิยะ เรากำลังบิณฑบาตอยู่ ท่านจงไปรอที่วัด เมื่อถึงวัดแล้วเราจะแสดงธรรมให้ฟัง" แต่พาหิยะไม่ยอม อาราธนาขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมตอนนั้นเลย ราวกับว่าพาหิยะมีลางสังหรณ์ว่าหากรอให้พระพุทธเจ้ากลับวัดแล้ว ตนอาจไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อขอครั้งที่สองพระองค์ก็ทรงปฏิเสธดังเดิม พาหิยะก็ยังยืนยันอาราธนาให้พระพุทธองค์แสดงธรรมอีกเป็นครั้งที่สาม พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูจิตของพาหิยะแล้วพบว่า พาหิยะใจสงบลงมากแล้ว พร้อมที่จะรับฟังธรรม จึงทรงแสดงธรรมสั้นๆว่า "ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแลท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล 

   ดูกรพาหิยะในกาลใดแล  เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในกาลใดท่านไม่มี ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ฯ"

   สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแก่พาหิยะนั้น ถือเป็นที่สุดของวิปัสนา นั่นก็คือการมีสติรู้เท่าทันทุกขณะจิต จิตก็จะไม่หลงไปตามสิ่งต่างๆที่เข้ามากระทบ เห็นทุกสิ่งตามที่เป็นจริง เห็นผัสสะทั้งหมดเป็นอนัตตา เข้าถึงสภาวะแห่งพุทธะ คือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน



   เมื่อฟังธรรมจบพาหิยะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้น พระพุทธเจ้าเห็นดังนั้นจึงทรงรับเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นเอหิภิกขุ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นอุปัชฌาย์ พระองค์จึงทรงมีหน้าที่ในการหาปัจจัย4ให้แก่สัทธิวิหาริก จึงได้ทรงตั้งใจอธิษฐานจิตให้จีวรปรากฏขึ้น เหมือนดังในคำอปโลกน์ผ้ากฐินว่า "ก็แล ผ้ากฐินทานนี้ เป็นของบริสุทธิ์ ดุจเลื่อนลอยมาโดยนภากาศ" เพื่อนำมาให้พาหิยะนุ่งห่ม แต่ก็ไม่สำเร็จ พยายามอยู่สองสามครั้งก็ไม่สำเร็จ พระพุทธเจ้าจึงตั้งจิตตรวจดูบุพกรรมในอดีตชาติของพาหิยะ

   พาหิยะนั้น บำเพ็ญบารมี ปรารภความเพียรนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมมาตลอด20,000ปี แต่ไม่เคยทำทานเลย พระพุทธเจ้าจึงไม่สามาถอธิษฐานจิตประทานจีวรให้ได้ การทำบุญให้ทานนั้นก็เหมือนกับการฝากบุญในบัญชีธนาคาร เมื่อพระพุทธเจ้าอธิษฐานจิตประทานจีวรให้ ก็เป็นการถอนบุญจากบัญชีธนาคารของคนๆนั้น เป็นสิ่งที่คนๆนั้นได้สร้างไว้ในอดีต แต่คนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่า ตนนี้โชคดีได้ลาภโดยไม่ต้องลงแรงก็รู้สึกดีใจ ทั้งที่ความจริงแล้วเกิดจากบุญเก่าที่ทำมา แต่พาหิยะไม่เคยให้ทานเลย ไม่มีบุญอยู่ในบัญชี พระพุทธเจ้าจึงไม่สามารถอธิษฐานจีวรให้ได้ จึงตรัสกับพาหิยะว่า ท่านจงแสวงหาผ้าบังสุกุล ซึ่งเป็นผ้าที่ชาวบ้านทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ หรือเป็นผ้าห่อศพก่อนนำศพไปทิ้งที่ป่าช้า มาตัดเย็บและย้อมสีธรรมชาติจากแก่นไม้หรือเปลือกไม้ทำเป็นจีวรเพื่อนุ่งห่ม เมื่อกล่าวให้พาหิยะไปหาผ้าบังสุกุลแล้ว พระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับ

   จากนั้นมีแม่โคตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาขวิดหน้าท้องของพาหิยะจนถึงแก่ความตาย หลังจากพระพุทธเจ้าทรงฉันจังหันเสร็จแล้ว ก็ได้ยินพระในวัดคุยกันว่ามีคนเปลือยกายนอนตายอยู่ข้างถนน เลือดนองเต็มพื้นไปหมด พระพุทธเจ้าทรงมองเห็นด้วยญาณว่า ผู้ตายนั้นคือพาหิยะนั่นเอง พระองค์จึงทรงเรียกพระอรหันต์หลายรูปให้ไปช่วยกันเก็บศพ และนำไปเผาในป่าช้าใกล้วัด และสร้างเจดีย์ให้

   พระอรหันต์ที่ตามพระพุทธเจ้ามาก็ชักจะงง เนื่องจากพระพุทธเจ้าไม่เคยทำพิธีศพให้ใครเลย เหตุใดจึงให้พวกตนไปเก็บศพบุคคลผู้นี้ ปกติพระองค์จะทรงสร้างเจดีย์ให้กับผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เท่านั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสอธิบายว่า พาหิยะนั้นได้ฟังธรรมและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว และเป็นเอตทัคคะด้านตรัสรู้เร็ว คือฟังธรรมเพียงสั้นๆ ดูตามเวลาแล้วก็ประมาณหนึ่งนาทีเท่านั้นก็เข้าใจ และสลัดทิ้งอุปาทานได้โดยสิ้นเชิง จึงเป็นบุคคลที่สมควรแก่การบรรจุอัฐิธาตุไว้ในเจดีย์

ทาน เป็นเหตุปัจจัยให้มี ฐานะดี
ศีล เป็นเหตุปัจจัยให้มี รูปดี
ภาวนา เป็นเหตุปัจจัยให้มี ปัญญาดี

พระธรรมเทศนาโดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

                       

แสดงความคิดเห็น

>

6 ความคิดเห็น

ปลา 3 ธ.ค. 54 เวลา 13:10 น. 5

การได้รับทาน ย่อมเป็นผลจากการให้ทาน
ถ้าเราไม่เคยให้ทานแก่ใคร&nbsp เราก็อย่าได้คิดหวังว่าใครจะให้ทานเรา
แต่ถ้าใครให้ทานเรา เราจะต้องให้ทานเขาตอบเช่นกัน
อย่าลืมทำบุญ ทำทานกันบ่อยๆนะคะ

0