Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เจาะลึก No.6 ของจริงหรือคิดไปเอง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
 
บทความนี้จริงจังและยาวมาก  ขออภัยล่วงหน้าด้วยค่ะ  ="=

 
เหมาะสำหรับผู้ที่ดูจนจบแล้ว  Spoil หนัก!  



รู้สึกว่าตัวเองดูเรื่องนี้ช้าไป  เพราะช่วงที่กระแสเรื่องนี้กำลังแรง  ตัวฉันเองกลับโหลดมันมาดองไว้  แทนที่จะดูเสียตั้งแต่ตอนนั้น  บทวิจารณ์นี้จะได้ดูอินเทรนด์บ้างอะไรบ้าง  ไม่ใช่ล้าหลังไปเป็นปีจนชาวบ้านเขาตลาดวายกันหมดแล้ว 


ฉันเป็นสาววายคนหนึ่ง  ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่ฉันจะรู้จักการ์ตูนเรื่องนี้  และแม้จะยังไม่ได้ดู  แต่ฉันก็อ่านสปอยล์(แม้จะอ่านไม่รู้เรื่องเท่าไร)  รีวิว  กระทู้แม่ยกกรี๊ด  กระทู้ผู้ชายบ่น  จนฉันพอจะรู้ว่ามันเป็นการ์ตูนวายสนิทตามรสนิยมฉันเป๊ะ  แค่มีฉากจูบระหว่างตัวเอกผู้ชายสองคนอย่างโจ่งแจ้ง  เท่านี้ก็ดึงดูดใจสาววายพอแล้ว 


ตอนนั้น  ฉันคิดว่ามันเป็นแค่การ์ตูนชวนจิ้น  ดูเมื่อไรก็ได้  เลยโหลดมาเก็บไว้เฉยๆ  รอเวลาว่างจริงๆถึงจะงัดมาดู


จนเมื่อไม่กี่วันมานี้  ฉันนั่งดูเรื่องนี้ตั้งแต่ตั้งจนจบรวดเดียวทั้งคืนเพราะหยุดไม่ได้  ฉันถึงกับอึ้ง  บางครั้งก็อึ้งจนลืมกรี๊ดคู่วายไปเลยด้วยซ้ำ  ฉันดูแล้วก็คิด  คิดแล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าเรื่องนี้ต้องการจะสื่ออย่างที่ฉันคิดจริงๆใช่ไหม?  ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม?  ฉันดูจบแล้วก็ไปหาอ่านกระทู้เก่าๆอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้อ่านเข้าใจมากขึ้น  มีหลายเสียงวิพากษ์วิจารณ์การ์ตูนเรื่องนี้  ตั้งแต่เรื่องเบสิคอย่างคู่วายตัวเอก  ว่าวายจริงหรือแค่มิตรภาพ(ตอบแบบไม่ใส่ฟีลเตอร์สาววายยังรู้สึกว่าวายจริงๆเลย  เพื่อนผู้ชายบ้านไหนเขาจูบปากกันวะ)  ไปจนถึงพวกที่ถกกันเรื่องเนื้อหา  ซึ่งฉันสนใจตรงนี้ล่ะ


การพูดถึงเนื้อหาของเรื่องนี้โดยตัดประเด็นความรักออกไป  ก็ยังมีหลายเสียงอยู่ดี  บางคนบอกว่าเนื้อเรื่องดีมาก  คุณภาพคับแก้ว  ดราม่าก็ทำได้ดีจนคนดูบางคนที่ไม่ใช่สาวกสายนี้อินพอสมควรเลยทีเดียว  แต่บางคนก็บอกว่าเนื้อเรื่องไม่มีความสมเหตุสมผลหลายจุด  บางคนบอกดูเพราะความวายเท่านั้น  เพราะหลังๆเรื่องมันออกอาการ WTF มากจนดูเหมือนจะมั่วๆให้จบไปแบบมึนๆ


สำหรับฉัน  ตอนดูครึ่งแรกฉันประทับใจกับเนื้อหามาก  แต่พอครึ่งหลังช่วงเฉลยความลับเกี่ยวกับตัวราชินี  ตัวฉันก็ออกอาการ WTF ไม่ต่างกับหลายๆคน  แอบคิดว่าทำไมมันขัดกับอารมณ์ช่วงแรกจัง  แต่ด้วยความที่ประทับใจกับบทตรงช่วงแรกๆมาก  เลยคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่า "พลาด" หรอก  ตงิดใจแปลกๆว่าตัวราชินี  และผึ้งปรสิตมันน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่าง  พอลองคิดดูแล้วก็เกิดปิ๊งขึ้นมาว่า "มันอาจเป็นอย่างนี้ก็ได้นี่นา" ซึ่งอาจเป็นเรื่องฟุ้งซ่านไปเอง  ของคนคิดมากเกินความจำเป็นอย่างฉันก็ได้  แต่ก็อยากเอามาแชร์กัน


อย่างที่รู้กัน  เรื่องนี้พูดถึงสองขั้วความแตกต่าง  รักกับเกลียด  มิตรกับศัตรู  รอดกับตาย  ความฝันกับความจริง  ในกำแพงกับนอกกำแพง  ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องของการแบ่งแยก  ในความคิดฉันแล้วการแบ่งเขตระหว่าง No.6 กับเมืองนอกกำแพงที่เนซึมิอยู่มันไม่ต่างอะไรกับการแบ่งแยกฐานะทางสังคม


คนที่ฉลาดและเชื่อฟัง  จะได้อยู่ในเมืองที่มีแต่ความสบาย  แต่มีข้อแม้ว่าต้องภัคดี  ห้ามตั้งข้อสงสัยใดๆต่อนครทั้งสิ้น  เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวของชิอง "หรือว่าจะมีเจ้าหน้าที่คอยจัดการกับสื่อ" เท่านี้เขาก็ถูกโยนออกจากสถานะพลเมืองกลายเป็นนักโทษอย่างง่ายดายทั้งที่  "แค่สงสัยเท่านั้น  ยังไม่ได้ทำอะไรเลย" ลองสังเกตดีๆ  ชิองเป็นเด็กฉลาดมาก  ไอคิวสูง  มีความรู้ทางวิชาการหลากหลายกระทั่งการใช้เครื่องมือแพทย์  แต่ไม่รู้จักหนังสือ(เพราะในเขต No.6  ใช้แต่อินเตอร์คอม)  ไม่รู้จักศิลปะ  บทกวี  ไม่รู้จักเช็คเสปียร์  ไม่รู้วิธีการเป็นตัวเอง  การแสดงอารมณ์  การเอาตัวรอด  การตัดสินใจ  ในตอนแรกนั้นชิองไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย


ส่วนเนซึมิ  ตัวเอกอีกคน  อาศัยอยู่ในเมืองนอกกำแพงอันป่าเถื่อน  เมืองที่ถูกนำมลพิษทั้งหมดจาก No.6 มาทิ้งไว้  เพียงแค่กำแพงกั้นแต่ต่างกันราวสวรรค์กับนรก  เมืองที่คนเห็นแก่ตัว  สกปรก  เต็มไปด้วยอันตรายและชีวิตที่ต้องปากกัดตีนถีบไม่เว้นวัน  เนซึมิบอกกับชิองว่า "นี่แหละความจริง"


แต่ในทางกลับกัน  เมืองนี้มีโรงละคร  มีคนที่แสดงด้านมืดในใจตัวเองออกมากอย่างเปิดเผย  มีคนที่รักสัตว์จนยอมตายแทนได้แต่กลับเกลียดมนุษย์  และแม้จะมีชีวิตยากเข็ญ  แต่คนอย่างเนซึมิกลับมีบุคลิกขัดแย้งกับภายนอกที่เป็นคนกร้านโลก  เย็นชา  นั่นคือเขาสะสมหนังสือ  บทประพันธุ์ไว้เต็มห้อง  หนังสือที่พูดถึงปรัชญา  ความรัก  และวิถีชีวิตของมนุษย์  แน่นอนว่าเนซึมิไม่มีความรู้หลายด้านเหมือนชิอง  แต่เนซึมิมีชีวิต  มีความปรารถนา  เนซึมิเป็นนักแสดงละครเพลงในเมืองนั้นที่ใช้นามแฝงว่า "อีฟ" ซึ่งบทที่เขารับเป็นบท "นางเอก" เพลงของเขากล่อมให้คนและสัตว์ที่กำลังจะตายจากไปอย่างไม่ทรมานได้  จนหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมเนซึมิที่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตในเมืองแบบนั้นจึงมีเวลามาเสพศิลปะ  ราวกับการ์ตูนจงใจสร้างให้เขามีคาแรกเตอร์ที่ดึงดูดใจสาวๆ  จึงใส่แง่มุมที่ดู "คุณชาย" ให้เขาไปทั้งที่ไม่เข้ากับภูมิหลังของเขาเอาเสียเลย


นั่นสินะ  ฉันเองก็สงสัย  ทำไมทีในเขต No.6 ที่ทุกคนใช้ชีวิตอย่างปกติสุข  จึงไม่เคยเห็นงานศิลปะ  ไม่เคยได้ยินเสียงเพลงอะไรนอกจากเพลงประจำนคร  กระทั่งตอนที่ซาฟุกลับมางานศพคุณยาย  กองตรวจคนเข้าเมืองยังถาม


"หนูชอบปิกัสโซ่รึ  แต่คงเอาเข้า No.6 ไม่ได้หรอกนะ"


ทำไมละ?  ทำไมกัน  ทั้งที่คนที่มีชีวิตสะดวกสบายน่าจะมีเวลาว่างเสพและสร้างสรรค์ศิลปะมากกว่าคนที่ใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบไม่ใช่หรือ?


คำถามนี้ได้รับคำตอบในตอนที่เนซึมิและชิองโดนจับไปพร้อมกับชาวเมืองนอกเขตกำแพง  เพื่อ "กำจัดขยะ" ทุกคนอยู่ในภาวะสิ้นหวัง  จนกระทั่งเนซึมิร้องเพลงออกมา  เนซึมิบอกว่า


"ดนตรีทำให้เราสบายใจ  แต่ก็ไม่ช่วยให้เรารอดตายได้"


คนในรถคันนั้นตอนฟังเพลงของเนซึมิก็ตื้นตัน  แต่สุดท้ายทุกคนก็ถูกฆ่า


หรือที่จริงแล้ว  คนที่มีชีวิตสะดวกสบายต่างหากที่ไม่ต้องการศิลปะ?  ศิลปะเป็นสิ่งเยียวยาหัวใจมนุษย์  เพราะอย่างนั้นในเมืองที่สกปรกและโหดร้ายจึงมีคนชื่นชอบอีฟ(เนซึมิ)ยอดนักแสดงละครเพลงล้นหลาม(ทั้งที่เป็นผู้ชาย 555)  นั่นทำให้ฉันรู้ว่า  เรื่องนี้ไม่ได้ยัดเยียดความเป็นคุณชายที่ไม่สมเหตุสมผลให้เนซึมิ  แต่มันเป็นความสมเหตุสมผลอย่างที่สุดต่างหาก  ถ้าใครสักคนต้องผ่านความสิ้นหวังมานับครั้งไม่ถ้วน  การที่เขาจะเยียวยาหัวใจตัวเองด้วยการร้องเพลงออกมาไม่ใช่เรื่องแปลกเลย  ศิลปะจะมีพลังก็ต่อเมื่อเกิดมาจากอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรง  เช่นนั้นแล้ว  ผู้คนในเมือง No.6 ที่เพียบพร้อมเสียจนไม่รู้จะทำอะไรในวันพรุ่งนี้เหมือนที่ยายของซาฟุว่า  พวกเขาจะสรรค์สร้างงานศิลปะได้อย่างไร  ในเมื่อพวกเขาที่ไม่มีความรู้สึกรุนแรง  กรณีของชิองถึงขั้นไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ 


แล้วทำไม No.6 จึงไม่ต้องการให้ชาวเมืองเสพศิลปะ  อันนี้ตอบง่ายๆในฐานะคนเคยเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์  คือพวกเขาต้องการจะควบคุมความคิดของชาวเมืองนั่นเอง  แต่ไหนแต่ไรมาศิลปะก็มีหน้าที่รับใช้ความเชื่ออยู่แล้ว(ยกเว้นบางลัทธิ)  ศาสนาบ้าง  การเมืองบ้าง  เพราะศิลปะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวใจคน  การที่เมืองๆนี้ทำได้แม้กระทั่งกำจัดคนที่มีแนวโน้มว่าจะสงสัยในระบบออกไปง่ายๆ  การทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย


จุดสังเกตอีกอย่างหนึ่งของเรื่อง  คือเรื่องผึ้งปรสิตและตัวนางพญา  ซึ่งว่ากันว่ามีพลังอำนาจมหาศาล  สามารถบันดาลได้ทุกอย่าง  จน No.6 ต้องช่วงชิงจากชนเผ่าอื่นมาครอบครอง  ฉันลองตีความว่าผึ้ง  และนางพญานี้เป็นสัญลักษณ์แทนอะไร


นางพญานั้น  อย่างแรกคือต้องเป็นอะไรที่มีอำนาจมาก  ฉันก็ลองคิดดู  อาวุธสงคราม  ความรู้  วิทยาการ  แต่สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นสมบัติดั้งเดิมของชนเผ่าชาวป่า  ดังนั้น  สิ่งที่ดูจะเข้าเค้าที่สุดก็คือ "ธรรมชาติ" ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว  ฉันก็ไม่แปลกใจเลยที่ซาฟุได้เป็นผึ้งนางพญา  เพราะคาแรกเตอร์ของซาฟุนั้นเป็นเถรตรงมาก  อย่างตอนที่ขออสุจิจากชิองก็บอกเรื่องนี้ได้ดี  ซาฟุเป็นผู้หญิงที่ชัดเจน  มุ่งมั่นแรงกล้า  คิดอย่างไงแสดงออกอย่างนั้น  ฉันก็คิดว่าสมควรอยู่ที่เธอจะเป็นตัวแทนของธรรมชาติซึ่งเรียบง่ายและรุนแรง


แล้วผึ้งปรสิตคืออะไร?  อะไรที่เหมือนจะมีอยู่ในตัวชาวเมือง No.6 ทุกคนเพียงแต่รอเวลาฟักออกมาเท่านั้น  และต้องเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในคนนอกเขต  ซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องกับธรรมชาติด้วย  ฉันเองก็เดาไปเรื่อยว่ามันคงจะเป็น"ความจริง" 


เนซึมิเคยบอกชิองว่า  ลึกๆแล้วชิองนึกสงสัยในระบบของเมืองนั้นมาตลอด  เช่นเดียวกับคนอื่นๆ  สัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ล้วนมีความช่างสงสัยฝังอยู่ในวิญญาณกันทุกคน  เพียงแต่การหล่อหลอมทางสังคมที่เปรียบดังอุปทานหมู่ทำให้คิดไปเองว่าไม่มีอะไร  กดความเคลือบแคลงนั้นให้นิ่งสงบอยู่ภายใน  จนกระทั่งมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างมากระทบจนรู้สึกขึ้นมาได้    


เมื่อเริ่มสงสัย  ก็เริ่มมองหาความจริง  และหลายครั้งที่ความจริงนั้นมันโหดร้ายจนเกินรับไหว  บางคนอาจรับไม่ได้จนสูญเสียความเป็นตัวเอง  ซึ่งก็คือคนที่ถูกผึ้งปรสิตเล่นงานจนตายไป  ส่วนคนที่ใจกล้าพอที่จะเอามีดเจาะเนื้อตัวเองเพื่องัดมันออกก็จะรอด  เหลือแต่แผลเป็นที่ถูกความจริงทำร้ายทิ้งไว้บนร่างกายตลอดชีวิต  เจ็บครั้งเดียวแล้วตาสว่าง  ยอมรับความเลวร้ายนั้นให้ได้ก่อนมีชีวิตอยู่ต่อไป  เหมือนที่เนซึมิบอกชิองว่า
"ให้รอยแผลนั้นเป็นเหรียญรางวัลที่นายรอดมาได้"


คิดแบบนี้แล้วเหมือนจะตอบคำถามได้ว่า  ทำไมผึ้งปรสิตจึงไม่มีผลกับคนนอกกำแพง  รวมถึงแม่ชิองด้วย  นั่นก็เพราะคนเหล่านี้ "รู้จักความจริงอยู่แล้ว" นั่นเอง 


ตัวนางพญาคือธรรมชาติ  ตัวผึ้งปรสิตคือความจริง  ตามเรื่องนางพญาสั่งให้ผึ้งปรสิตเล่นงานเฉพาะคนในเขต No.6 เท่านั้น  นั่นก็คือธรรมชาติย่อมแสดงความจริงแก่คนที่ไม่ยอมรับความจริงเข้าสักวันหนึ่งจนได้ แล้วก็เหมือนกับการคัดเลือกผู้แข็งแกร่ง  ใครรับความจริงไม่ได้ก็ตาย  ใครรับได้และต่อสู้กับมันก็รอด  และเมื่อถึงคราวที่วิกฤตหนักเกินเยียวยา  ธรรมชาติที่ดูเหมือนจะโหดร้าย  ก็กลับมาช่วยเหลือและให้ทางออกแก่ผู้ที่ต่อสู้ไม่ยอมแพ้  เหมือนที่ซาฟุกลับมาช่วยชิองในตอนจบ  ส่วนที่เนซึมิสามารถติดต่อกับเสียงของนางพญาได้โดยตรง  เพราะเนซึมิเป็นหนึ่งในชนเผ่าชาวป่าซึ่งมีความผูกพันกับธรรมชาติอย่างแน่นแฟ้น



ธรรมชาติคือขุมพลังยิ่งใหญ่  การเคารพและอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติของชนเผ่าชาวป่าคือสิ่งที่เหมาะสมแล้ว  แต่สำหรับ No.6  ที่ปรารถนาจะเป็นเมืองในอุดมคติ  กลับต้องการที่จะควบคุมทุกอย่าง  รวมทั้งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ด้วย  แน่นอนว่าสุดท้ายก็ทำไมได้และถูกธรรมชาติเอาคืน  นี่เป็นเรื่องปกติที่พวกเราเองก็คงเคยเจอกันในความจริง


หากจะว่าไปแล้ว  No.6 เปรียบเสมือนตัวแทนของสังคมมนุษย์ที่กระกระสนจะเอาชนะธรรมชาติ  และพัฒนาระบบชีวิตของทั้งสังคมให้ "สมบูรณ์แบบ" เป็นตัวแทนของคนปัจจุบันที่ใช้ชีวิตตามกระแสสังคม  ไม่คิด  ไม่สงสัย  ให้เรียนหนังสือก็เรียน  ให้ทำงานก็ทำ  และได้ชีวิตสุขสบายเป็นรางวัลตอบแทนความว่าง่ายนั้น 
"ต่างคนต่างก็ไม่เคยคิดกังขาเกี่ยวกับข้อมูลที่พวกมันป้อนมาให้ เหล่าคนที่โง่เขลา หยิ่งยโส และอยู่อย่าสำราญใจ"

 
ไม่เคยรู้ว่าชีวิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร  ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไร  ไม่เคยสัมผัสรสชาติของความเจ็บแค้นอย่างถึงที่สุด  มองว่าเขตนอกกำแพงเป็นเรื่องไกลตัว  และคนนอกกำแพงนั้นคืออาชญากรไร้การศึกษา  และมีไม่มีความเป็นมนุษย์เหมือนกันคนในเขต  ไม่เคยรู้ว่าข้างใต้แผ่นดินที่ตัวเองเหยียบอยู่ทุกวัน  กลบฝังซากศพของ "มนุษย์ด้วยกัน" เป็นกองภูเขา
 
พวกเขายินดีที่จะใช้ชีวิตอย่างปิดหูปิดตา  มองหาความสุขไปวันๆ  แม้จะไม่รู้จุดมุ่งหมายในการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง  พวกเขายินดีที่จะเชื่อฟัง  เพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย  โดยที่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเมืองที่เคยปกป้องพวกเขานั่นแหละ  จะกลับกลายเป็นผู้สังหารเขาทิ้งดุจกำจัดขยะชิ้นหนึ่งเสียเอง  ถ้าเพียงแค่พวกเขาเกิดสงสัยขึ้นมาว่าระบบของเมืองนั้นเป็นสิ่งถูกต้องจริงไม่   
 

 "เมืองนั้นไม่ยอมรับคนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งมันอย่างสมบูรณ์หรอกนะ พวกแปลกปลอมที่ทำการต่อต้านหรือคัดค้าน จะถูกโต้กลับอย่างไม่มีการอ่อนข้อให้เป็นอันขาด"
 
เปรียบเทียบง่ายๆ  คุณก็ลองเลือกที่จะต่อต้านระบบการศึกษาดูสิ  เพียงแค่สงสัยว่าการเรียนวันละแปดชั่วโมงหรือมากกว่าในโรงเรียนทุกวันนั้นเป็นประโยชน์จริงหรือไม่  สังคมก็จะตราหน้าคุณว่าเป็นบุคคลไร้คุณภาพในทันที  การเรียนสายวิทย์คือเรื่องน่าภูมิใจ  การเรียนสายอาชีพคือความตกต่ำลงมา  ส่วนการเรียนไม่จบคือหายนะของพ่อแม่  ครอบครัว  และสังคม  คนส่วนใหญ่คิดแบบนี้  หรือไม่จริง?
 
ทว่าเมืองที่อยู่นอกกำแพง  แม้จะเต็มไปด้วยความจริงมากสักเท่าไร  แต่พวกเขากลับไร้ซึ่งศักดิ์ศรีและคิดดูถูกตัวเองว่าไม่มีค่าความเป็นมนุษย์เหมือนกับคนในเขต  ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็สอนให้ชิองเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์
 
"ถ้าผมไม่ได้เจอกับนาย ป่านนี้ผมคงยังไม่ตระหนักหรอกว่า ความจริงแล้วผมเป็นคนแบบไหน คงเติบโตมาอย่างเฉยชาและตายด้าน เป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในโอวาทและไร้เดียงสา"
 
เนซึมิเคยบอกกับชิองว่า  ถ้าเลือกที่จะรักษาโรคผึ้งปรสิตในชาวเมือง No.6 ก็ต้องเป็นศัตรูกัน  เนซึมิต้องการล้างแค้น No.6 ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขา  ในขณะที่ชิองตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่า  ตัว No.6 เองนั่นแหละที่ฝังผึ้งปรสิตลงในตัวชาวเมืองทุกคน
 
ชิองถามเนซึมิว่า  ทำไมนายต้องแบ่งแยกไปทุกอย่าง  ทั้งมิตรศัตรู  รอดกับตาย  ความฝันกับความจริง  จะไม่มีทางไหนเลยเหรอที่เราจะไม่ต้องทำลายกันเอง  ชิองสงสัยว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะอยู่กับสองอย่างพร้อมกันไม่ได้
 
"งั้นก็ทำลายกำแพงซะ" ชิองพูดไว้  ถ้าทำลายกำแพงทิ้ง  ก็ไม่มีทั้ง No.6 และเมืองนอกกำแพง  ไม่มีการแบ่งแยกอีกต่อไป  กลายเป็น "ทางเลือกที่สาม"
 
"นายก็แค่หาทางออกให้ตัวเองเท่านั้น  ทำลายกำแพงแล้วคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นจริงเหรอ  จะมีเรื่องร้ายๆเกิดตามมามากมาย  ความโกลาหล  ปล้นสะดมภ์"
 
เนซึมิเยาะความฝันของชิอง  สำหรับเนซึมิ  ชิองคือเด็กที่อยู่ในโลกสวยงาม  และไม่เคยเปิดตามองความจริงอันโหดร้าย
 
ทางแก้ของเรื่องนี้คือเนซึมิกับชิอง  ตัวแทนจากคนทั้งสองฝั่งต้องร่วมมือกันไปช่วยเหลือซาฟุ  ซึ่งเปรียบได้กับ  ไม่ว่าอย่างไร  มนุษย์ทุกคนก็ยังต้องช่วยกันกอบกู้ธรรมชาติ 
 
และในตอนจบก่อนซาฟุจากไป  เธอก็ทำลายกำแพงเมืองเป็นของขวัญให้ชิองเป็นอย่างสุดท้าย
 
แม้มนุษย์จะพยายามแบ่งแยกกันสักเท่าไร  แต่ธรรมชาติย่อมสำแดงให้เห็นในสักวัน  ว่ากำแพงนั้นไม่อาจแบ่งแยกความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันของทุกคนได้  ไม่ว่าใน  หรือนอกกำแพงก็ตาม  ทุกคนคือมนุษย์
 
การพร่ำเพ้อพรรณนาของฉันจบแต่เพียงเท่านี้  ตัวฉันเองอาจจะคิดมาไปก็ได้  บางทีการ์ตูนเรื่องนี้อาจไม่ได้ซ่อนเร้นความหมายมากมายขนาดนั้น  อาจเป็นเพียงแค่การ์ตูน...ธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง
 
แต่กับคนคิดมากอย่างฉัน  ที่อาจตีความเข้าข้างตัวเองไปไม่รู้กี่มากน้อย  ฉันประทับใจการ์ตูนเรื่องนี้สุดๆ  และคิดว่ามันเป็นสุดยอดการ์ตูนเลยทีเดียว
 
รวมทั้งการที่ใช้คู่วายแทนคู่พระเอกนางเอก  ฉันยัง "คิดไปเอง" เลยว่า  อาจเป็นเพราะคนเขียนต้องการจะ "ทำลายกำแพงแห่งความเชื่อ" ที่สังคมปลูกฝังเราว่าชายต้องคู่กับหญิง 
 
ทั้งที่จริงแล้ว  ความรักไม่เคยแบ่งแยกใคร 

 
-----------------------------------------------------------


ใครอ่านจบ  ขอปรบมือให้ค่ะ  แสดงความคิดเห็นกันได้ตามสะดวกนะคะ  เราสามารถยอมรับการมองต่างมุมได้ในทุกกรณี  
แต่ถ้าเถียงแบบไม่มีมารยาท  เจอตบ... 
ขอบคุณค่ะ


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2555 / 16:46
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2555 / 16:45
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2555 / 16:48
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2555 / 16:51
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2555 / 20:51

PS.  ขอโทษนะ แต่กูไม่แคร์

แสดงความคิดเห็น

>

22 ความคิดเห็น