การกู้ยืมเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายค่ะ
ตั้งกระทู้ใหม่
      การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
    ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
การนำสืบการใช้เงิน (การชำระเงินให้ผู้ให้กู้) (มาตรา 653 วรรคสอง)
ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ จะนำสืบการใช้เงินได้ (การจ่ายเป็นเงินสดให้ผู้ให้กู้) ต่อเมื่อ
ก. มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืม (เช่น ใบเสร็จรับเงิน)
ข. หลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้ว (ผู้ให้กู้คืนสัญญากู้ให้ผู้กู้)
ค. ได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว (เช่น ทำเครื่องหมาย x ลงที่สัญญากู้)
ตามมาตรา 653 วรรคสอง
    การนำสืบการใช้เงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ บทบัญญัติดังกล่าวห้ามนำสืบเฉพาะการใช้เงินสดเท่านั้น แต่ไม่ห้ามการนำสืบกรณีใช้ทรัพย์สินอย่างอื่นชำระหนี้แทนเงิน เช่น
    การมอบสมุดเงินฝากธนาคารและบัตร เอ.ที.เอ็ม. ให้ผู้ให้กู้นำไปถอนเงินฝากของผู้กู้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ ถือว่าเป็นการชำระหนี้อย่างอื่น ฎ. 4643/2539,
    การโอนเงินทางโทรศัพท์หรือโทรเลขเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ให้กู้ เป็นการชำระหนี้อย่างอื่น ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 653 วรรคสอง ฎ. 6028/2539,
      การชำระหนี้เงินกู้ด้วยการโอนที่ดินให้เจ้าหนี้ เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งมิใช่เงิน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ศาลก็ฟังพยานบุคคลได้ ฎ. 1178/2510
 
      การออกเช็คใช้หนี้เงินกู้ ถือเป็นการชำระหนี้ด้วยของอย่างอื่น เมื่อโจทก์ยอมรับและได้รับเงินตามเช็คแล้ว หนี้ก็ระงับ จำเลยนำสืบการใช้เงินด้วยพยานบุคคลได้ ฎ. 182/2518
    การนำสืบการใช้เงินตามมาตรา 653 วรรคสอง หมายถึง การชำระเงินต้นเท่านั้นไม่บังคับถึงการนำสืบการชำระดอกเบี้ยด้วย ฎ. 1332/2531, 1345/2532
    ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอน
ลงในเอกสารนั้นแล้วมาตรา 653 วรรคสอง
  1.ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
  2.บังคับเฉพาะนำสืบการใช้เงิน
หากเป็นการชำระด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่เงินไม่อยู่ในบังคับมาตรา 653 วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกา 582/2524 จำเลยนำสืบได้ว่าเอาที่ดินใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ได้ แม้ไม่มีหลักฐานตามมาตรา 653 วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกา 1452/2511 การที่เจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้โดยวิธีที่ลูกหนี้มอบฉันทะให้บุตรเจ้าหนี้ไปรับเงินบำนาญพิเศษที่ลูกหนี้มีสิทธิได้รับ แล้วนำมาหักใช้หนี้เงินกู้แทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ เป็นการชำระหนี้ด้วยของอื่น
คำพิพากษาฎีกา 182/2518 การออกเช็คใช้หนี้เงินกู้เป็นการชำระหนี้ด้วยของอื่น
คำพิพากษาฎีกา 2965/2531 จำเลยชำระหนี้เงินกู้ด้วยการโอนเงินทางโทรเลขเข้าบัญชีของโจทก์ เป็นการชำระหนี้อย่างอื่น ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 653 วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกา 5689/2537 จำเลยชำระหนี้เงินกู้โดยมอบสมุดเงินฝากพร้อมทั้งมอบฉันทะให้โจทก์ถอนเงินจากบัญชีไปชำระหนี้โจทก์เป็นรายเดือน เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้วตามมาตรา 321
การนำสืบการชำระดอกเบี้ย ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การนำสืบการใช้เงินที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดงนั้น หมายถึง การนำสืบการชำระเงินต้นเท่านั้น ไม่รวมถึงการชำระดอกเบี้ย(คำพิพากษาฎีกา 1332/2531 , 936/2504)
      การเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามมาตรา 653 วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกา 2657/2534 หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่จำเลยมอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืม ไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเพราะไม่ใช่เอกสารที่แสดงในตัวเองว่ามีการกู้ยืมเงิน การที่โจทก์คืน น.ส.3 ดังกล่าวให้จำเลย ไม่ใช่การเวนคืนหลักฐานการกู้  การมอบโฉนดหรือ น.ส.3 ให้ผู้ให้กู้ยึดถือไว้ดังกล่าว แม้จะเขียนไว้ในสัญญากู้ว่า เพื่อเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินขอมอบโฉนดหรือ น.ส.3 ให้ผู้ให้กู้ไว้เป็นประกัน ก็ไม่ถือว่าโฉนดหรือ น.ส.3 ดังกล่าวเป็นหลักฐานการกู้ยืมตามมาตรา 653 วรรคสอง
การแทงเพิกถอนลงในเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม
  การแทงเพิกถอนตามมาตรา 653 วรรคสอง หมายถึงการทำลงในเอกสารอันเป็นหลักฐานการกู้ยืม เช่น การขีดฆ่าสัญญากู้ แก้ไขจำนวนเงินกู้ให้ลดลง เขียนข้อความลงไปว่าเพิกถอน การแทงเพิกถอนนี้อาจทำเองโดยเจ้าหนี้หรือบุคคลอื่นที่ได้รับมอบหมายก็ได้ (คำพิพากษาฎีกา 1254/2505)
คำถาม
1.นายเอกยืมเงินนายโทมา 10,000 บาท ต่อมาโทฟ้องเอกขอเรียกเงินยืมคืน ดังนี้ เอกจะต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงินไปแล้ว โดยขอนำสืบพยานบุคคลคือนายตรี ผู้อยู่ด้วยขณะที่นำรถจักรยานยนต์มามอบให้ จะได้หรือไม่ เพราะเหตุ
  วินิจฉัย
      การที่ นายเอกยืมเงินนายโท 10,000 บาท และถูกนายโทฟ้องเรียกเงินคืนนายเอกต่อสู้ว่าได้โอนรถจักรยานยนต์ชำระหนี้แทนเงิน โดยขอนำสืบพยานบุคคลผู้อยู่ด้วยขณะชำระหนี้คือนายตรี กรณีนี้สามารถขอนำสืบพยานบุคคลได้ เพราะเอกมิได้นำสืบการใช้เงินต้นจึงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงต่อศาลตามมาตรา 653 วรรคสอง แต่อย่างใด
  สรุป นายเอกนำพยานบุคคลมานำสืบได้
 
        สัญญายืมในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสองประเภท คือ สัญญายืมใช้คงรูป กับ สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง แต่ลักษณะของสัญญายืม คือ สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ส่งมอบทรัพย์สิน ให้อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม และผู้ยืมสัญญาว่าจะคืนทรัพย์สินนั้น
ประการที่หนึ่ง เป็นสัญญา เกิดได้เมื่อมีคำเสนอ คำสนองตกต้องตรงกัน สมบูรณ์เมื่อ มีความสามารถ ไม่ขัดต่อความสงบ ถ้าคู่สัญญาเป็นนิติบุคคล ก็ต้องไปดูข้อบังคับของนิติบุคคลด้วย แต่นิติบุคคล ถ้าไปยืมเงินแล้วก็มักจะอยู่ในกรอบวัตถุประสงค์ แต่ถ้าเป็นเรื่องค้ำประกันอาจจะมีปัญหาในเรื่องทำนอกขอบวัตถุที่ประสงค์ ซึ่งจะทำให้ไม่ผูกพันนิติบุคคล แต่อย่างไรก็ตามแนวกาว่าถ้านิติบุคคลนั้นได้ประโยชน์ไปจากสัญญานั้นแล้ว ศาลฏีกาไม่ให้บุคคลที่ได้รับประโยชน์ ปฏิเสธความไม่สมบูรณ์เพราะขอบวัตถุประสงค์
    เรื่องของเงินทดรองราชการ การที่เรายืมเงินทดรอง ไปต่างประเทศก็ดี มีสิทธิเบิก เอาเงินราชการไปล่วงหน้า เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องส่งใบสำคัญ ภาษาที่ใช้ทั่วไปคือยืมเงินทดรองราชการ แต่มาภายหลังเราไม่ได้ส่งหลักฐาน ก็เป็นเรื่องผิดสัญญา ก็มีฏีกาเป็นบรรทัดฐาน ตั้งแต่ห้าสิบปีที่แล้ว 499/2545 การยืมต้องเกิดโดยสัญญา สำคัญประการหนึ่งคือเจตนาของคู่สัญญาที่จะผูกนิติสัมพันธ์ แต่การยืมเงินทดรองราชการไม่ได้มีเจตนา เป็นเพียงระเบียบข้อบังคับ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะสมัครใจ มันมีกฎมีระเบียบการยืมเงินทดรองราชการไม่ได้มีลักษณะเป็นการยืมตามประมวลกฎหมายแพ่ง
การกู้ยืมบริสุทธิ์เมื่อ ?
      การกู้ยืมเงินกว่า 2000 บาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ (มาตรา 653 วรรคหนึ่ง) ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ จะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืม หรือหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว (มาตรา 653 วรรคสอง)
การกู้ยืมเงิน มีหลักเกณฑ์สำคัญดังนี้
ก. การกู้ยืมเงินกว่า 2000 บาทขึ้นไป
ข. ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ (สัญญากู้ยืม)
ค. ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ
ง. จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ (มาตรา 653 วรรคหนึ่ง)
การส่งมอบโดยตรงและปริยาย
        เนื่องจากการกู้ยืมเงินถือเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า การกู้ยืมจะบริบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบทรัพย์ที่ยืม ซึ่งหมายความว่า หากการกู้ยืมเงินหากไม่ได้มีการส่งมอบเงินให้แก่ผู้ยืม ก็จะทาให้การยืมไม่บริบูรณ์ อันมีผลเท่ากับไม่มีการกู้ยืมเงินเกิดขึ้น ผู้ให้ยืมก็ไม่อาจนำสัญญากู้ที่ทำกันมาฟ้องคดีต่อศาลได้ และในกรณีนี้ผู้ที่ถูกฟ้องก็สามารถนาพยานบุคคลมาสืบต่อศาลได้ แต่อย่างไรก็ตามการส่งมอบเงินที่ยืมนี้อาจถือว่ามีการส่งมอบโดยปริยายก็ได้ เช่น ก.ได้ตกลงซื้อรถจาก ข.ราคาสามแสนบาท แต่ไม่มีเงินจึงได้ทาสัญญากู้ให้แก่ ข.ไว้ ดังนี้ถือว่า ข.ได้ส่งมอบเงินให้แก่ ก.จานวนสามแสนบาทแล้ว ซึ่งหมายความว่าการกู้ยืมมีผลบริบูรณ์ตามกฎหมาย ก.จะกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ไม่ได้
หลักฐานการกู้ยืมเงิน
        สัญญายืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอย่างหนึ่งที่ต้องมีหลักฐานการกู้ยืมและหลักฐานการชำระหนี้เป็นหนังสือ เมื่อสัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง จึงมีลักษณะเด่น ๓ ประการ คือ
๑. ผู้ให้กู้โอนกรรมสิทธิ์ในเงินนั้นให้แก่ผู้ยืม
๒. ผู้ยืมต้องคืนเงินที่ยืมไป
๓. สัญญายืมเงินสมบูรณ์เมื่อส่งมอบเงินที่ยืม
1. มีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือ
        การกู้ยืมเงินกว่า ๒,๐๐๐ บาทขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงจะฟ้องร้องบังคับกันได้ ถ้าเป็นหนี้ตามมูลหนี้อื่นอื่นก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือ เช่น ฟ้องให้ชำระหนี้ตามเช็คซึ่งมีมูลหนี้จากการกู้ยืมเงินไป เป็นต้นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินข้างต้นอาจเป็นหลักฐานที่มีข้อความที่แสดงว่าผู้กู้หรือผู้ที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้กู้ได้รับเงินไปและจะใช้คืน หรือเป็นเอกสารหรือจดหมายที่ผู้กู้มีไปถึงผู้อื่น ไม่จำเป็นว่าหลักฐานการกูยืมต้องทำเป็นเอกสารในรูปแบบสัญญาเพียงอย่างเดียว เช่น บันทึกการเปรียบเทียบของอำเภอ รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่เปรียบเทียบ บันทึกคำให้การและบันทึกคำเบิกความในคดีอาญาด้วยความสมัครใจ สัญญาค้ำประกันที่แสดงถึงหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน เป็นต้น
เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินไม่จำเป็นต้องระบุชัดแจ้งว่าเป็นหนี้เงินกู้ แต่ต้องมีข้อความแสดงให้เห็นว่า ผู้กู้มีหนังสืออันจะพึ่งต้องชำระแก่ผู้ให้กู้ กล่าวคือ จะต้องมีข้อความที่แสดงว่ารับเงินไปและจะใช้คืนให้ ก็เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้
ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเช็คไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงิน แต่เช็คนั้นถ้ามีเอกสารอื่นประกอบให้เห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันและมีข้อความว่าผู้กู้เอาเงินผู้ให้กู้ไว้และจะใช้คืน
การลงลายมือชื่อในหลักฐานการกู้ยืมเงิน จะเป็นลายมือชื่อหรือเป็นลายเขียนหรือชื่อเล่นก็ได้ ถ้าผู้กู้มีเจตนาใช้เป็นลายมือชื่อ แต่จะต้องเป็นลายมือของผู้กู้จริงๆ ดังนั้น แม้เจ้าของลายมือชื่อจะยินยอมให้ลงลายมือชื่อแทนก็จะทำไม่ได้การที่ผู้กู้ลงลายมือชื่อในช่องพยานในสัญญากู้ ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้แล้ว แต่ถ้าผู้กู้เขียนชื่อไว้ในหัวกระดาษที่มีข้อความแสดงการกู้ยืมเงิน ไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน
ถ้าลายมือชื่อผู้ให้กู้ในหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นลายมือชื่อปลอม แต่ลายมือชื่อผู้กู้เป็นลายมือชื่อที่แท้จริง หนังสือสัญญากู้ดังกล่าวใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินได้
กรณีบุคคลธรรมดาไปลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในฐานะเป็นผู้แทนหรือประธานของคณะกรรมการที่ไม่ใช่นิติบุคคล ผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้จะต้องรับผิดชอบตามสัญญากู้ยืมนั้นตามลำพัง
กรณีผู้กู้ใช้วิธีการพิมพ์ลายนิ้วมือ ผู้ที่ลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือจะต้องรู้เห็นในการพิมพ์ลายนิ้วมือนั้นจริงๆ พยานจะลงลายมือชื่อรับรองในภายหลังได้ต่อเมื่อผู้กู้รู้เห็นและยินยอมด้วย มิฉะนั้น จะไม่มีฐานะเป็นพยาน แต่ถ้าพยานได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้ก่อนแล้วจึงพิมพ์นิ้วมือในภายหลังโดยพยานไม่รู้เห็นด้วย ดังนี้ใช้ไม่ได้
ข้อสังเกต พยานผู้รับรองไม่จำเป็นต้องบรรลุนิติภาวะและผู้ให้กู้ลงชื่อเป็นพยานรับรองได้ด้วย
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือ ไม่จำเป็นต้องมีในขณะทำสัญญากู้ อาจมีภายหลังการทำสัญญาก็ได้ แต่จะต้องมีก่อนฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้
กรณีที่หลักฐานการกู้ยืมเงินหาย ในกรณีที่ผู้ให้กู้เคยมีหลักฐานการกู้ยืมเงินลงลายมือชื่อผู้กู้ แต่ตอมาหลักฐานสูญหายไป ผู้ให้กู้มีสิทธินำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๔/๒๕๓๙ การนำสืบว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือสูญหายไปนั้นโจทก์นำสืบด้วยพยานบุคคลได้เพราะเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงส่วนการนำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ตามหลักฐานแห่งการกู้ยืมที่สูญหายไปต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนเมื่อศาลชั้นต้นยอมให้โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบได้ตลอดทั้งเรื่องถือได้อนุญาตโดยปริยายการสืบพยานของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๙๓ (๒)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๓/๒๕๔๖ การที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ และโจทก์คืนสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลย โดยจำเลยนำสัญญาดังกล่าวไปฉีกทำลายแล้วนั้น แสดงว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยอมรับเช็คพิพาทอันเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ด้วยเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคหนึ่ง กรณีมิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้แต่ประการใด จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๙ วรรคหนึ่ง และหนี้เดิมจะระงับก็ต่อเมื่อจำเลยได้ใช้เงินตามเช็คแล้ว
2. ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ
      ต้องลงลายมือผู้กู้เป็นสำคัญ โดยมีเฉพาะลายมือชื่อผู้กู้เท่านั้น มาตรา 653 มิได้กำหนดให้ลงทั้งสองฝ่าย ดังนั้น สัญญากู้แม้ลงเฉพาะลายมือชื่อผู้กู้ จะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่นก็แล้วแต่ ก็เป็นการลงลายมือชื่อตามมาตรา 653 แล้ว และในการที่ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมนั้น นอกจากผู้ให้ยืมจะลงลายมือชื่อเองแล้วอาจจะให้ตัวแทนลงลายมือชื่อก็ได้ (คำพิพากษาฎีกา 2207/2535) แต่ตัวแทนต้องมีหนังมอบอำนาจหรือหนังสือมอบฉันทะมีอำนาจให้ลงลายมือแทนได้ เพื่อเป็นหลักฐานแห่งการเป็นตัวแทนตามมาตรา 798 ด้วยมีคำพิพากษาหนึ่งที่หน้าสนใจว่า นามบัตรใช้เป็นหลักฐานการตั้งตัวแทนได้ คำพิพากษาฎีกา 2740/2535
3. มิฉะนั้นจะฟ้องร้องคดีหาได้ไม่
      ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ได้วางหลักการสำคัญไว้ว่า ในการกู้ยืมเงินจำนวนกว่าสองพันบาทขึ้นไป หากไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมจะไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
ซึ่งหมายความว่า
ในการให้ผู้อื่นยืมเงินเกินสองพันบาทจะต้องทำหลักฐานการกู้ยืมโดยให้ผู้ยืมลงลายมือชื่อไว้ด้วย มิเช่นนั้นหากมีการผิดสัญญาผู้ให้ยืมจะไม่สามารถฟ้องผู้ยืมให้ชาระหนี้คืนได้ เพราะการกู้ยืมเงินเกินสองพันบาทเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงต่อศาล ผู้ให้ยืมไม่อาจที่จะนำพยานบุคคลที่รู้เห็นการยืมมาสืบเป็นพยานต่อศาลได้ สาหรับหลักฐานลงลายมือชื่อผู้ยืมนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำในขณะที่มีการกู้ยืม ดังนั้นผู้ยืมอาจทำหลักฐานกันในภายหลังก็ได้ แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น คู่สัญญาควรทาหลักฐานกันในขณะที่มีการรับเงิน
คำถาม-โจทก์เรื่องสัญญากู้ยืมเงิน
   
        1. นาย ก. กู้ยืมเงินจากนาย ข. จำนวน 3,000 บาท โดยทำสัญญากู้ยืม ลงรายมือชื่อทั้ง 2 ฝ่าย แต่นั้นต่อมา นาย ข. ได้แอบลักลอบเติม 0 ลงไปอีก 2 ตัว โดยที่นาย ก. ไม่รู้ และยังไม่ได้รับความยินยอมจำนวนเงินในสัญญากู้จึงกลายเป็น 300,000 และต่อมานาย ข. ได้นำสัญญากู้ฉบับดังกล่าวที่ตนได้แอบเติม 0 ลงไปนั้นไปฟ้องให้นาย ก. รับผิดในจำนวนเงิน 300,000 ดังนั้น นาย ก. จะต้องรับผิดจากนาย ข. หรือไม่เพราะเหตุใด
          กรณีตามปัญหาการที่นาย ก. กู้ยืมเงินจากนาย ข. ไปนั้น เป็นจำนวนเงิน 3,000 บาท ได้ทั้งคู่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกันและลงลายมือชื่อทั้ง 2 ฝ่ายโดยมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินกันตาม ม. 653 ว.1 เพราะเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท จึงต้องมีหลักฐานการกู้ยืมเงินจึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้
          แต่ต่อมานั้นนาย ข. ผู้ให้กู้ได้แอบเติม 0 ลงไปอีก 2 ตัว ในสัญญากู้จากเดิมในสัญญาเงิน 3,000 บาท เป็น 300,000 บาท และนาย ข. ได้นำสัญญากู้ดังกล่าวนั้นไปฟ้องในนาย ก. รับผิดในจำนวนเงิน 300,000 บาท
          การกระทำของนาย ข. ดังกล่าวซึ่งเป็นผู้ให้กู้เงินนั้นเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตที่ว่าได้แอบเติม 0 ลงไปในสัญญากู้ฉบับดังกล่าวคือสัญญากู้ยืมเงินทั้ง 2 ฝ่าย จะทำถูกต้องตามแบบ ม. 653 ว.1 ก็ตาม นาย ข. จะฟ้องให้นาย ก. รับผิดในจำนวนเงิน 300,000 บาท ที่นาย ข. ได้แอบเติม 0 ลงไปนั้นไม่ได้เพราะ นาย ข. ไม่สุจริตในการทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว
รายชื่อกลุ่ม
น.ส.สุดธิดา อ้นอารี 51023428
นาย ธีระ จิระศักดิ์ 51024714
น.ส. พรสวรรค์ เพชรสัมฤทธิ์  51039446
นาย ไกรสิทธิ์ สานุจิตต์ 51061099
38 ความคิดเห็น
กำลังเรียนอยู่พอดีเลยครับ
อยากรู้ว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เราสามารถที่จะพิมพ์หรือว่าเขียนเองได้มั้ยคะ
การกู้ยืมเงินต้องทำตามแบบที่กำหนดหรือไม่ และให้อธิบายเรื่อง "แบบ" คืออะไรมีไรบ้าง
ตอบไงอ่าค่าาาา งง
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?