เภสัช สาชาบริบาล กับ สาขาเภสัชกรรม ต่างกันอย่างไร?
ตั้งกระทู้ใหม่
PS. - - " Dream Come True << ,,
8 ความคิดเห็น
เน้นทางด้านการผลิต การควบคุมคุณภาพยา การวิจัยเกี่ยวกับยา
ส่วนสาขาบริบาลเภสัชกรรม จะเน้นการใช้ยากับผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วย ก็คือการทำงานด้านคลินิกนั่นเอง
PS. aofyun ;') >>>> Phamac' aofyun ;')
ลองหากระทู้ล่างๆดูจ้ะ
พี่ๆอธิบายไว้อย่างละเอียดเลย
ถามทุกปี มีคนตอบไว้ทุกปี ลองงSearchหาดูในGoogleนะ^^
PS. (_ _)zZ
เภสัช-เภสัช : หรือที่เรียกว่า "pharm sci " จะเน้นเกี่ยวกับ การวิเคราะห์ วิจัยตัวยา การสังเคราะห์ตัวยาใหม่
เน้นการควบคุมคุณภาพ หรือ QC , เมื่อจบมาก็มักจทำงานในสายงานวิจัย , ในแล็ป , หรือ ในโรงงานยา
แต่สายนี้ก็สามารถทำงานใน รพ. ได้เหมือนกันนะครับ
เภสัช-บริบาล , เภสัชกรรมคลินิค : จะเน้นการทำงานกับผู้ป่วย เน้นการทำงานที่ร่วมกับทีมสาธารณสุขอื่น ๆ เช่น แพทย์
ซึ่งการทำงานนอกจากจะทำงานก็จะมีการทำงานบนหอผู้ป่วย ร่วมราววอร์ดกับแพทย์ เป็นต้น
นอกจากนี้ก็จะมีการเน้นการปรับ-ใช้ยาต่าง ๆ กับผู้ป่วย ประมาณนี้
cr : หญิงเบอะ
แล้วถ้าจบสาขาบริบาลนี่สามารถบรรจุข้าราชการได้ไหมค่ะ
หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม
หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชศาสตร์
PS. อ่านคำตอบแล้วช่วย กด เห็นด้วย หรือ ขอบคุณ สักนิดจะได้รู้ว่าอ่านแล้ว
แวะมาตอบให้
ในฐานะที่ต้องทำงานและเป็นแหล่งฝึกให้สายการ บริบาลเภสัชกรรม เรียกเป็นภาษาต่างชาติว่า งาน Pharm Care  น้องๆจะต้องเรียนสาย การบริบาลเภสัชกรรม หรือ หลักสูตร Pharm D
น้องๆทั้ง 2สาขา ทั้ง บริบาล และ เทคโนโลยีเภสัชกรรม  หรือ อะไรก็แล้วแต่เรียกที่ไม่ใช่บริบาลเภสัชกรรม ทุกคน ต้องผ่านการเรียนความรู้เภสัชกรรมขั้นพื้นฐานเหมือนกันหมด ตั้งแต่ การเตรียมและปรุงยา การตรวจสอบคุณภาพยา การพัฒนายา ความรู้เรื่องสมุนไพร เภสัชวิทยา ( เรื่องยาล้วนๆ ยาไปทำอะไรกับร่างกายเรา ) เภสัชจลนศาตร์ ( ร่างกาย ทำอะไรกับยาบ้าง ) การจ่ายยา  การประเมินการแพ้ยา ทักษะต่างๆในทางเภสัชตามเกณฑ์สภากำหนด หาอ่านได้ เป้นต้น ทุกคนต้องมีความรู้พื้นฐานพวกนี้ทุกสาขา แล้วค่อยไปลงรายละเอียดแต่ละสาขากันอีกทีเช่น เทคโน หรือ การบริบาล  ในปี 4 หรือ ปี 5 อะไรก็แล้วแต่ เข้าใจก่อนนะ ทุกสาขาเรียนพื้นฐานเหมือนกันหมด
สาขาเทคโนโลยีเภสัชกรรม หลายคนมาตอบแล้ว ซึ่งก็ถูกต้อง น้องๆหาอ่านเอาได้ พี่จะขอตอบสาขา บริบาลก็แล้วกัน เพราะเป็นอะไรที่ยังใหม่อยู่และมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่เยอะมาก
Pharm D จะได้เรียนเกี่ยวกับ การนำยามารักษาผู้ป่วยเฉพาะราย เน้นย้ำว่า เฉพาะราย เพราะแต้ละคนมีปัญหามีโรคมีข้อคำนึงแตกต่างกันออกไป ใช้ยาตามหลัก IESAC  ( จะอธิบายต่อไป ) น้องจะต้องถุกฝึกคิดให้เป็นระบบด้วย SOAP โดยมีเจ้า IESAC  เป็นพื้นฐานการคิด จะออกฝึกงาน 5-6  ผลัด ผลัดละประมาณ 1.5 เดือน เวียนไปตามแหล่งฝึกต่างๆ เช่น รพ. ร้านยา หรือศุนย์มะเร็ง หรือ บริษัทต่างๆขึ้นกับแต่ละมหาลัยว่าจะเอาอะไีรบ้าง หลักๆ จะบังคับ อายุรกรรมผู้ป่วยใน คือ การราววอร์ดและให้ความเห็นการใช้ยากับทีมแพทย์ และงานผู้ป่วยนอก เทรนในคลินิกพิเศษต่างๆ เช่น HIV จะมีพี่เภสัชที่เป็นอ.แหล่งฝึกเป็นคนประเมินให้คะแนนน้อง บางมหาลัยคะแนนมาจากแหล่งฝึก 100 % หรือ บางแห่งคะแนนจะมาจากอ.แหล่งฝึก และ อ.ที่มหาลัยด้วย ตามส่วนเปอร์เซนต์ และบางมหาลัย ให้นำเคสกลับไปนำเสนอด้วย ก็ว่ากันไป
ใช้ยาตามหลัก IESAC ///////////
เช่น การใช้ลดความดันโลหิตในคนไข้ที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย ให้ถุกต้องตามข้อบ่งใช้ 
ใช้ยาตามหลัก IESAC  ( I = Indication ) เช่น ยานี้ใช้ลดความดันต่อมลูกหมาก จะมาใช้ลดความดันหลักที่เส้นเลือดก็ไม่ถูก เพราะไม่ได้เป็นยาตัวแรกที่แนะนำกัน ต้องใช้ยาให้เหมาะสม แล้วประสิทธิภาพการรักษาหล่ะ  ( E = Efficacy ) มันมีประสิทธิดีมั้ย คนไข้เป็นเบาหวาร่วมด้วยอ่ะ ยาตัวนี้เหมาะมั้ย ลดความดันดีมั้ย ลดอัตราการตายระยะยาวดีเปล่า และปลอดภัยมั้ยจ้ะ S = Safety ไม่ใช่ ใช้ๆไป ไตวาย อันนี้ไม่ได้ เราต้องเลือกยาให้ให้การติดตามประวิทธิภาพและความปลอดภัยแก่คนไข้ด้วยนะ A = Aherance คนไข้ให้ความร่วมมือในการกืนยาดีมั้ย ไม่ใช่ไม่ยอมกินยา เพราะกินยา กินหลายครั้ง C= Cost ราคาต้องเหมาะสม ไม่ใช่ ยาแพงเวอร์ๆ แต่ประสิทธิภาพห่วย แบบนี้ไม่เอานะ
การบริบาลต้องรู้่เรื่องพวกนี้น่ะจ้ะเป็นพื้นฐาน จะไปออกทีม ราววอร์ดกะแพทย์หรือไม่ แล้วแต่ความเอื้ออำนวยของบริบทนั้น  แต่การที่น้องทำงานกับผุ้ป่วนอก ที่มาหาหมอแล้วกลับบ้านได้ น้องก้อทำ บริบาลได้น่ะ  น้องสามารถคุยการปัญหาการใช้ยาจากผู้ป่วย เสนอแนวทางการใช้ยากับแพทย์ได้ มีหลายรพ. เริ่มทำแล้ว โดยเฉพาะคลิกนิก HIV หรือ แม้แต่ร้านยา ก็ทำได้ ร้านยาที่อเมริกานะ เน้นการบริบาลเภสัชกรรมาก คนไข้เรื้อรังมักจะมีร้านยาไว้ refill เป็นของตัวเอง  เภสัชกรมีหน้าที่ให้การดูแลการใช้ยา ติดตามแทนแพทย์ได้แล้ว เภสัชพบปัญหาอะไรก็เขียนจม. หรือ เขียนคำแนะนำไปให้แพทย์ได้จากร้านยาเลยน่ะ  เพราะเมืองนอกจะไปพบแพทย์ต้องนัดกันก่อน และค่าบริการก็แพงมากๆ อันนี้คืองานคร่าวๆนะ ถ้าน้องชอบการเป็นหนึ่งในทีมรักษาคนไข้  ชอบพวกแนวๆชีวะ เคมี ก็สนุกนะจ้ะ การบริบาลเหมาะนะ
ทุกสาขา เปิดร้านยาที่มีเภสัชกรประจำร้าน ทำงานบริการจ่ายยาให้กับผู้ป่วยที่รพ. ผู้แทนยา หรือ ทำงานพวกพัฒนาและวิจัยได้ทั้งนั้น หล่ะ ทุกอย่างพัฒนากันได้ เพียงแค่ ตอนแรกๆที่จบออกมาน้องอาจจะถนัดเฉพาะสาขาที่ตนเองเพิ่งจบมาเท่านั้น แต่พอทำไปนานๆ น้องก็จะเชี่ยวชาญในงานที่ทำประจำเองนะหล่ะค่ะ ^^
สำหรับมหาวิทยาลัยที่ เปิดหลักสูตร Pharm D มานานและมีความพร้อมเรื่อง การจัดหาแหล่งฝึก จากประสบการณ์ของพี่เอง คือ นเรศวร สงขลา สารคาม และ เชียงใหม่
สำหรับอาจารย์ที่เรียนจบ เภสัชกรประจำบ้าน ที่มีความเชี่ยวชาญต่างๆขั้นสูงจาก USA กระจายไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆค่ะ รวมถึง อ.เภสัชกรที่เชี่ยวชาญงาน การบริบาลเภสัชกรรมจากรพ.ต่างๆ ก็จะเวียนไปสอนน้องๆทุกคนได้ค่ะ ขึ้นอยู่กับว่า ทางมหาวิทยาลัย จะเชิญไปหรือไม่ อาธิ เช่น อ. อรัมษ ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง หัวใจและหลอดเลือด สอนที่มน. แต่ได้รับเชิญไปบรรยายเป้นอาจารย์พิเศษที่ม.อื่นๆมากมายค่ะ ภก. อรรณพ จาก รพ.ประจวบ เชี่ยวชาญงาน บริบาลผู้ป่วย HIV ก็ไปบรรยายาเยอะเหมือนกัน ;-) ดังนั้น เลือก มหาวิทยาลัยไหนไม่สำคัญ ขอให้น้องตั้งใจทำงาน ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ ต่อคนไข้ ต่อตนเองและประเทศชาติเป็นพอแล้วค่ะ
เขียนไว้ ในมุมมองของพี่ครับลองอ่านดูนะ
http://writer.dek-d.com/Pharmfun/story/view.php?id=819344
PS. จะอยู่ถิ่นใด ใจผูกพัน อันความรักนั้นไม่สร่างซา เปรียบดั่งสายธารา แห่งน้องพี่....
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?