Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง แปลให้นะ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

 ท้าวกะหมังกุหนิงปราศรัยกับระตูปาหยังและระตูประหมันครั้นแล้วท้าวกะหมังกุหนิงเสด็จนั่งที่ประทับที่ประดับด้วยมณีทั้งหลาย พระองค์มองเห็นถึงพระอนุชาทั้ง ๒ คน จึงเรียกให้มานั่งที่ประทับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ครั้นแล้วจึงความเป็นไปของบ้านเมือง และบอกถึงความประสงค์ของตนว่าที่เรียกอนุชาทั้ง 2 มาเพื่อจะให้ช่วยไปตีเมืองดาหาขอให้ทั้งสอง ช่วยตีเมืองให้ได้ชัยชนะเร็วไว เจ้าเมืองผู้น้องทั้งสองจึงได้รับสนองผู้เป็นพี่ ครั้งใดที่ท้าวกะหมังกุหนิงมีศึกเจ้าเมืองน้อยทั้งสองก็จะออกอาสาไม่ย่อท้อ ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิตจะสู้จนกว่ากำลังที่มีจะหมดสิ้นไป
เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงได้ยินเจ้าเมืองผู้เป็นน้องทั้งสองบอกมาดังนั้น ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์รับสั่งกับทั้งสองให้พาทัพทหารไปพักให้สำราญ แล้วจึงให้พระอนุชาทั้งสองเข้ามาอยู่ในพระราชวัง และท้าวกะหมังกุหนิงก็ได้ลงองค์ลงมานั่งข้างๆกับเจ้าเมืองทั้งสอง พร้อมกับเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังแล้วได้มอบสารให้เสนานำไปถวาย
เมื่ออนุชาทั้งสองได้ฟังถึงเรื่องราวทั้งหมดจึงได้คัดค้านไปว่าเมืองที่จะไปตีนั้น มีความเก่งกาจและชำนาญเรื่องการรบ อีกทั้งทางทหารในเมืองนั้นก็เก่งในเรื่องการรบ เลื่องลือในแคว้นชวาและต่างเกรงกลัวในฤทธิ์เดชเมืองเขาเป็นเมืองใหญ่เมือง ส่วนเรานั้นเป็นเมืองน้อยเปรียบเหมือนหิ่งห้อยที่จะเปล่งแสงแข่งกับดวงอาทิตย์ ทั้งสองคิดว่าจะผิดจากเดิมมา ผู้หญิงงามไม่ได้มีคนเดียวในแผ่นดิน 
เจ้าเมืองน้อยทั้งสองจึงได้ขอให้ท้าวกะหมังกุหนิงได้คิดเสียใหม่ ไม่อย่างนั้นประชาชนจะเดือดร้อนได้ แต่ท้าวกะหมังกุหนิงก็ยังยืนกรานที่จะทำศึก เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนจึงเลี่ยงที่จะตอบเจ้าเมืองน้อยทั้งสอง แล้วบอกไปว่าไม่ใช่จะไปสู้กับวงศ์เทวัญ หากแต่ตอนนี้ลูกสาวของท้าวดาหา จะถูกยกให้จรการูปชั่วตัวดำ พวกเราจะต้องยกทัพไปรบเพื่อชิงนาง
เจ้าเมืองน้อยทั้งสองก็ได้ตอบกลับไปว่า นางยังอยู่กับผู้เป็นพ่อที่เมืองดาหา หากเกิดสงครามชิงลูกสาว ท้าวดาหาคงไม่นิ่งดูดาย และอาจจะส่งทัพเข้ามาร่วมรบก็เป็นได้ และเราอาจจะถูกล้อม หากทางเราเสียท่าและแพ้ขึ้นมา จะอับอายจรกาได้
ท้าวกะหมังกุหนิงจึงได้แย้งขึ้นว่า เจ้าทั้งสองนี้ไม่เข้าใจอะไรเลย ทั้งเสนาต่างๆ ก็ขัดแย้งข้ากันไปหมด ไปอยู่เมืองหมันหยามาหลายปี หากที่ไหนจะยกทัพมาจะกลัวอะไรหนักหนา เราก็มีตั้ง ๓ เมืองก็ใหญ่เหมือนกัน เราไม่ต้องกลัว ถ้าเราตีพวกนั้นให้แตกเดี๋ยวพวกนั้นก็มันก็วิ่งเข้าป่า พวกเจ้าอย่ากลัวเลย สงสารวิหยาสะกำเถอะ ถ้าไม่ได้นางมาคงจะขาดใจตาย แม้นวิหยาสะกำสิ้นชีวิตตนคงได้ตายตามเป็นแน่ ไหนๆแล้วก็จะตายถึงช้าเร็วก็ไม่ต่างกัน แม้นว่าผิดก็จะลองทำสงครามดู หากเคราะห์ดีก็คงจะได้สมดังใจนึก เมื่อสองเจ้าเมืองได้ฟัง ก็ก้มหน้าไม่พูดจา เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงเห็นทั้งสององค์ไม่มีคำโต้แย้งใดๆแล้วก็ชวน ทั้งสองเจ้าเมือง เข้าพักผ่อนในที่บรรทมให้สบายใจ

ท้าวดาหาเสด็จออกรับทูตกะหมังกุหนิงครั้นเมื่อเวลาบ่ายสามนาฬิกาองค์ท้าวดาหาก็เสร็จเข้าสรงน้ำในคงคา จากนั้นก็แต่งองค์ทรงเครื่องประดับทั้งหลาย แล้วจึงเสด็จเยื้องย่างอย่างสวยงามดุจดั่งหงส์ ออกมายังท้องพระโรงแล้วนั่งลง ณ บัลลังก์อันงดงาม เสนาบดีตำแหน่งยาสานั้นได้บังคมทูลเบิกทูตนำราชสารให้พระองค์ ดังนั้นจึงรับสั่งให้เหล่าเสนานำแขกเข้ามาพบในทันที ครั้นอำมาตย์ได้รับรับสั่งแล้ว จึงออกไปพาสองทูตเข้ามาเข้าเฝ้าพระองค์ แล้วเสนาชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายทหารจึงให้พนักงานผู้รับผิดชอบรับราชสารมาอ่านถวายพระองค์

ในสารนั้นบอกถึงองค์ผู้ครองเมืองกะหมังกุหนิงขอถวายบังคมถึงพระองค์ ขอพระองค์ทรงประนีประนอมไม่เขื้องโกรธกัน ด้วยว่าตนมีโอรสอยู่องหนึ่งได้ไปท่องป่าล่าสัตว์และได้พบเจอกับรูปของพระธิดาในกลางป่า เชื่อว่าคงเป็นบุพเพสันนิวาส  อาจเกิดจากเทวานำพาให้ พระโอรสตกอยู่ในเสน่หาและมีความอาลัย เฝ้าแต่หลงใหล ใฝ่ฝันหาพระธิดาน่ารันทดยิ่ง หวังเพียงรับใช้รองบาทพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์วงศ์เทวัญ ขอพระธิดาผู้สูงศักดิ์ให้กับโอรสของตนได้สมดังใจหวัง อันกรุงของเราทั้งสองจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันในวันข้างหน้า และขออาศัยพึ่งพิงบารมีไปจนกว่าจะสิ้นชีวัน

เมื่อองค์ท้าวดาหาผู้เป็นใหญ่ได้รับฟังสารทราบถึงข้อความแล้ว จึงรับสั่งแต่เสนาทั้งสองของท้าวกะหมังกุหนิงที่มาเข้าเฝ้าว่าอันนางบุษบาพระธิดาของเรานั้น ในครั้งก่อนเราไปยกให้แก่จรกาที่มาหมายหมั้นไว้ไปก่อนแล้ว และได้ปลงใจจะให้แต่งงานกันแล้ว อันจะรับของสู่ของท้าวกะหมังกุหนิงนี้ ก็ดูจะผิดประเพณียิ่งนัก เหล่าประชาราชอาจนินทาได้ จึงขอให้นำสิ่งของเหล่านี้กลับคืนไป
เหล่าทูตเมื่อรับแจ้งแล้วก็ทูลบอกพระองค์ว่า ท้าวกะหมังกุหนิงรับสั่งให้ตนทูลพระองค์ว่าถ้าแม้นพระองค์ไม่ยินยอมยกพระราชธิดาให้ ก็ให้ระวังพระองค์ให้ดี ให้สร้างบ้านเมืองของพระองค์ให้มั่นคง ครั้นแล้วองค์ท้าวดาหาก็ประกาศิตอย่างองอาจว่า หากจะยังคงทำสงครามก็ตามใจ พลางเสด็จลงจากที่นั่งแท่นทองเข้าด้านในอย่างฉับพลัน ธารกำนัลก็ปิดม่านในทันที ฝ่ายทูตก็ได้ออกจากเมืองดาหาพากันกลับทันใด ฝ่ายองค์ผู้เป็นสุริย์วงศ์องค์ดาหาเปิดหน้าต่างแล้วมีบัญชาสั่งเสนาให้เร่งไปทูลเหตุการณ์แก่ผู้เป็นพี่ของพระองค์ และทูลกับผู้เป็นน้องอีกสองคนของพระองค์ ไปบอกระตูจรกาอย่าจรกาอย่ามัวช้าเพราะจะมีข้าศึกยกทัพมาชิงชัย

ท้าวกุเรปันมีราชสารถึงอิเหนาและระตูหมันหยา
ฝ่ายองค์ท้าวกุเรปันได้รับแจ้งว่าจะมีข้าศึกมารุกราน จึงให้แต่งสารหนังสือลับแล้วสั่งให้สองเสนาถือไปยังเมืองหมันหยา ฉบับหนึ่งเร่งนำกองทัพกำชับให้อิเหนาเร่งยกมาช่วย อีกใบหนึ่งไปให้กับเจ้าเมืองผู้ครองเมืองหมันหยา แล้วสั่งให้รีบไปให้ถึงเมืองหมันหยาภายใน 15 คืน ครั้นแล้วขุนนางได้รับคำสั่งแล้วจึงรีบนำสารไปจากท้องพระโรงในทันที พร้อมกับเรียกทั้งบ่าวไพร่ให้มาพร้อมหน้า แล้วรีบขึ้นขี่ม้าออกจากนครกุเรปันอย่างเร่งรีบในทันใด
ฝ่ายองค์ท้าวกุเรปันผ็เป็นใหญ่หลังจากที่ขุนนางได้ทูลลาไปแล้วพระองค์ก็ตรึกตรองในคดีความด้วยพระปรีชา แล้วตรัสกับกะหรัดตะปาตี ว่าสงครามนี้เห็นว่าจะสาหัส หากกลัวอนุชาจะเปล่าเปลี่ยวเศร้าใจ ไม่มีที่ปรึกษา จึงรับสั่งให้ยกพลยกกองทัพ ไปสมทบกับทัพของอิเหนาให้ทันอย่างเร็วไว อย่าให้ข้าศึกทันยกทัพมาประชิดเมืองได้
ฝ่ายกะหรัดตะปาตีผู้เป็นโอรสทูลสนองรับสั่งพระองค์ แล้วบอกว่าจะถวายบังคมลาในวันพรุ่งนี้ ครั้นถึงรุ่งสางก็เข้าอาบน้ำชำระมลทินจากร่างกาย สรงน้ำศักดิ์สิทธิ์แสนบริสุทธิ์ ลูบไล้ด้วยเครื่องหอม แล้วบรรจงสวมใส่สนับเพลาสวมใส่ภูษาสีดำอำไพ ในวันเสาร์ คาดผ้ารัดเอวใส่เข็มขัดเพชรแสนจะงดงาม ห้อยด้วยตาบทิศสวมสร้อยสังวาลทั้งทองกรทั้งแก้วช่างงดงาม ธำมรงค์ประดับด้วยพลอยเพชรมากมาย ทรงสวมชฎามาลัยมีดอกไม้ทัดที่แสนจะเจิดจ้าเปล่งประกาย พร้อมด้วยเหน็บพระแสงแล้วเข้าเฝ้าพระบิดา
แล้วเคารพกราบบังคมพระบิดาคอยฟังวาจารับสั่งจะให้บัญชาให้ยกทัพ ฝ่ายองค์ท้าวกุเรปันก็อวยพรให้โชคดีให้มีฤทธิ์เดชเก่งกล้าสามารถ ให้ศัตรูผู้มุ่งร้ายทั้งหลายจงพ่ายแพ้ ให้มีอานุภาพสามารถสยบศัตรูได้รอบทิศ ให้ศัตรูจงเกรงในฤทธิ์ในตัว ครั้นแล้วกะหรัดตะปาตีก็กราบบังคมไหว้รับพรจากพระบิดาแล้วทูลลาไป ครั้นทัพถึงถึงหน้าพระลานพร้อมด้วยบริวารทหารมากมาย ก็เสด็จขึ้นทรงม้าแล้วรับสั่งให้เคลื่อนพลออกไป รอนแรมอยู่ในป่าจนถึงทางร่วมเข้าสู้เมืองหมันหยาแล้วสั่งให้หยุดพลทัพไว้ คอยทัพของอิเหนาที่จะตามมา

ทัพเมืองกาหลังยกมาสมทบ
ฝ่ายขุนนางตำมะหงงกาหลังรวมทั้งดะหมังและมหาเสนาใน ก็เร่งเกณฑ์ทัพในทันใด ได้จัดทหารอาสาผู้มีพื้นฐานการรบที่แข็งขันจำนวนห้าหมื่นคน มีช้างม้าและอาวุธอย่างครบครัน มีพลธงที่สำคัญคอยนำกองทัพ สองจอมทัพขึ้นขี่ม้ากองทัพแน่นอัดเต็มถนนข้ารับใช้เดินเคียงคอยกางสัปทน แล้วเคลื่อนพลออกจากเมืองไป
เมื่อมาถึงทางร่วมริมป่าก็พบกับกองทัพของกะหรัดตะปาตี ทั้งสองกองทัพได้สมทบกันพากันเคลื่อนตามทางมาพร้อมกัน
มาถึงฝ่ายทูตทั้งสองของท้าวกะหมังกุหนิงซึ่งได้ถือสารไปเมืองดาหานั้นก็พากันกลับมายังเมืองของตน จนถึงตัวเมืองกะหมังกุหนิง ก็ตรงดิ่งมายังวังใหญ่ เมื่อถึงเวลาก็เข้าเฝ้ากะหมังกุหนิงเหนือหัวในท้องพระโรง แล้วจึงก้มกราบบังคมทูลเหนือหัว ว่าได้ไปถวายสารมาแล้ว องค์ท้าวดาหาได้ทราบเนื้อความทุกประการ ทรงตรัสอย่างเฉียบขาดว่าพระธิดาของพระองค์นั้น มีจรกามาสู่ขอและได้ยกให้ทั้งยังได้กำหนดนัดหมายงานวิวาห์ไปแล้ว ส่วนบรรดาของถวายนั้นท่านไม่รับ ให้ส่งกลับมาทั้งหมด ท่านไม่ได้คิดเกรงองค์พระ คอยแต่จะตัดรอนซะทุกเรื่อง และได้ทูลความตามได้รับนอกสาร ถ้าท้าวดาหาไม่ให้พระธิดา ก็จงรีบเร่งทำการปรับแต่งพระนครให้มั่นคง รับทัพเหนือหัวที่จะยกมา จะชิงพระธิดาให้ได้หากใครที่ได้รับชัยชนะจะสมปรารถนา แต่องค์ท้าวดาหากลับตรัสว่าแล้วแต่ตามวิญญาณ์ ขอพระองค์จงทราบด้วย
เมื่อท้าวกะหมังกุหนิงได้สดับฟังทั้งสองทูตทูลความดังนั้นก็โกรธอย่างยิ่ง จึงมีบัญชาตรัสออกมาด้วยความขัดเคืองใจว่า ดูดู๋เจ้าเมืองดาหา เราอุตส่าห์อ่อนน้อมง้อขอไปในสาร จะรับไว้ก็ไม่มีเลย ถึงแม้จรกามาขอนางไว้ แล้วได้ยกนางให้เขาไปก่อนก็สมควรอยู่ที่จะปราศรัยมาให้ดี แล้วดูสิมาตัดไม่ตรีให้ขาดกัน เรานั้นก็มีศักดามีบารมีมาก อาณาจักรก็กว้างขวางอยู่พอที่ จำเป็นจะต้องมีความพยายามไม่ละวาง จะต้องชิงนางบุษบามาให้ได้ หากไม่ได้สมดั่งใจหมายก็จะไม่ขอกลับคืนพระนครแห่งนี้อีก จะทำสงครามตามรังควาญอยู่ทุกครา จนกว่าชีวิตจะหาไม่
สองทูตทูลความอีกครั้ง ข้าได้ยินได้ตระหนักในใจว่าท้าวดาหาตรัสให้เสนารีบไปแจ้งเหตุแก่เชษฐา กับเมืองสิงหัสส่าหรี อีกทั้งพระอนุชาแห่งกาหลัง ทั้งยังเมืองแห่งระตูจรกา เห็นว่ากษัตริย์ทั้งสี่เมืองนั้นจะมาช่วยป้องกันเมืองดาหา เมื่อตอนที่ข้าออกมาจากเมืองนั้น เสนาก็ไปพร้อมกันด้วย
ฝ่ายท้าวกะหมังกุหนิงได้ฟังก็ยิ่งกริ้วโกรธยิ่งนัก จึงประภาษไป ถึงว่ากษัตริย์ทั้งสี่เมืองจะมาช่วยท้าวดาหารบเป็นศึกใหญ่ ตัวกูก็ไม่เกรงกลัวใคร จะหักล้างให้เป็นธุลีจงได้ พูดพร้อมสั่งอำมาตย์ดะหมังตำมะหงงให้เร่งเกณฑ์ไพร่พลที่มาความสามารถในสงคราม ให้เลือกสรรทหารทั้งสี่หมู่ที่เคยทำลายค่ายทำลายศัตรูมาแต่กองร้อยให้มารบในฉับพลับอย่าได้ครั่นคร้าม หาให้ได้ครบสามสิบหมื่นนายที่มีพื้นฐานการรบดี นำเอาวิหยาสะกำเป็นกองหน้า คอยตรวจตราเตรียมกระบวนทัพให้ถี่ถ้วน ส่วนกองหลังรั้งที่พลมนตรีของทั้งสองอนุชา กูจะเป็นจอมพลทัพ คอยหนุนทัพลูกให้เข้าโจมตี ไม่เกรงวงศ์เทวาแต่อย่างใด ให้ปรากฏถึงยศศักดิ์ในครั้งนี้ ครั้นแล้วเสด็จสั่งมหาเสนาถามขุนโหราทั้งสี่คนว่าการที่เราจะยกทัพไปต่อตีในวันพรุ่งนี้ จะดีร้ายประการใด
เมื่อโหราได้ฟังองกษัตริย์กล่าวดังนั้นจึงคลี่ตำราพลางคำนวณเหตุเทียบดวงชะตาของพระองค์กับโอรสจึงเห็นว่าอาจถึงฆาต ทั้งโชคที่ไม่อาจชัดเจนอีกทั้งเคราะห์ในตอนนี้ที่เป็นตัวบดบังฤกษ์ทั้งหลาย จึงทูลไปว่าถ้าหากยกทัพในวันพรุ่งนี้ จะไม่อาจมีชัยเป็นแน่ ขอให้งดไปเจ็ดวัน ถ้าพ้นจากเจ็ดวันนี้ก็ยังพอทำเนาได้ ขอให้พระองค์ทรงสั่งให้งดศึกแล้วหาเวลาเพื่อให้ตัวโหราเองหาฤกษ์ใหม่ เพราะการศึกชิงชัยชนะนี้ต้องหนักหน่วงน้ำพระทัยให้มั่น
ฝ่ายเท้ากระหมังกุหนิงได้ฟังดังนั้นก็บอกกลับไปว่าเมื่อตนนั้นมีคำสั่งให้จัดทัพออกไปแล้วจะต้องสั่งยกเลิกไปให้อับอายเหล่าเสนาหรือประชาชนได้อย่างไร พวกเขาจะคิดเอาว่าตนนั้นเกรงกลัวต่ออำนาจของฝ่ายตรงข้าม จึงจำเป็นต้องออกทัพไปสู้ศึกเพราะถึงตัวตายก็ไม่อาจให้ใครดูหมิ่นได้ จะทิ้งเกียรติยศให้จารึกไว้ในแผ่นดินตราบจนวันที่โลกจะสูญสิ้นไป อีกทั้งถ้ายังยกทัพไปช้ากว่านี้เกรงว่าทางดาหาจะมีทัพใหญ่มาช่วย แล้วการศึกจะยากยิ่งกว่านี้ไปอีก จึงสุดแท้แต่บุญกับกรรมเท่านั้น แล้วพระองค์ก็เสด็จออกไปยังที่พักโดยไม่ฟังคำกล่าวของโหราเลย
กลับมาฝ่ายวิหยาสะกำที่ออกศึกได้รับชัยและเมืองอีกฝ่ายแล้ว จึงสั่งให้เตรียมทัพทุกหมู่ยกพลไปตีเมืองทุกเมืองที่เดินทางผ่าน
เป็นเวลาสิบวันที่เดินทางอยู่ในป่าก็พ้นออกมายังทุ่งของกรุงดาหา เห็นถึงกำแพงเมืองและมหาปราสาทเรียงรายจึงหยุดไว้ แล้วตั้งค่าย กองทัพนับแสนคนที่แน่นขนัดจึงหยุดพร้อมกันที่ชายป่า
ฝ่ายเท้ากระหมังกุหนิงก็รีบเกณฑ์ทัพพลมาใกล้ๆกับทุ่งเห็นลำธารน้ำที่ไหลเอ่ย อีกทั้งร่มไทรจึงสั่งให้ตั้งทัพ
                 ดะหมังได้ฟังคำสั่งจึงเกณฑ์คนให้ถางที่แล้วทำค่ายหน้าหลังบรรจบกัน อีกยั้งยังยกหอรบปรับให้ค่อยๆขยับเข้าหาข้าศึกตั้งปีกซ้ายขวาให้ขึงเชือกผูกราวสามชั้นพร้อมขันชะเนาะระหว่างป้อม กะระยะแล้วใส่บังตาและงาแซงเพื่อกันศัตรูให้มั่น แล้วตักดินมาใส่สนามเพลาะ เจาะไม้ไผ่เป็นช่องปืน บ้างก็สร้างโรงเลี้ยงเหล่าช้าง ม้า ทั้งผูกเหล่าสัตว์ไม่ให้ตื่น ผูกเสาตะลุงช้างเป็นแห่งๆ และแปลงปืน พื้นก็ปราบให้เรียบเตียน บ้างก็เร่งทำตำหนักน้อยใหญ่ ทำเพิงรายรอบทั้งซ้ายขวา นอกค่ายก็ปักขวากมากมาย ชักกำแพงเข้าหามุมประจบกัน บ้างก็จัดคนลำลองทุกกอง ออกตระเวณพร้องวางกับดัก คอยสอดส่องลาดเลา ส่วนชั้นในก็เรียกให้ประชุมทัพทั้งสี่
เมื่อท้าวกระหมังกุหนิงเห็นค่ายเสร็จมั่นคงแล้วก็ชวนบุตรและน้องชายทั้งสองให้เสด็จลงจากรถพร้อมด้วยเหล่ามหาดเล็กแล้วเดินทางไปยังที่พัก
ฝ่ายกองร้อยรักษาการณ์รอบข้างดาหาออกสอดแนมอยู่นอกเมือง ได้เห็นทัพที่ยกมาถึงชายป่า กระบวนทัพทั้งหน้าหลังล้อมตั้งหนาแน่น ผืนธงซ้อนทับกันมากมายจนมิอาจนับได้ ทั้งเสียงคนอื้ออึง เสียงตัดไม้ ราบไปทั้งป่า ต่างคนต่างก็รีบขึ้นหลังม้าแล้วกะสายตาดูกองทัพอย่างถี่ถ้วน จึงอ้อมออกมานอกทุ่งแล้วควบม้าคู่กายเข้าเมืองทันที
เมื่อเข้าสู่เมืองจึงรีบไปแจ้งข่าวแก่เสนาชั้นผู้ใหญ่ เล่าความถึงสิ่งที่ได้เห็นมาทุกๆสิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ
ครั้นเสนาได้ยินข่าวดังนั้นก็ตกใจหวั่นไหว จึงให้เหล่าทหารจดเอาใจความคำสำคัญแล้วรีบพาเข้าไปยังท้องพระโรงทันที
                 เสนาก้มหัวบังคมทูลท้าวดาหาถึงข่าวว่ามีทัพตีเมืองยกมา ไพร่พลในกองทัพมากมาย ทั้งเสียงม้า เสียงรถ และเสียงช้าง ต่างอื้ออึงคั่นครื้นไม่ขาดสายดังเสียงคลื่นในมหาสมุทร และในตอนนี้ทัพนั้นก็ได้เข้ามาตั้งอยู่ ณ เนินทรายที่เชื่อมต่อของชายทุ่งและป่าแล้ว
                 เมื่อท้าวดาหาได้ฟังดังนั้นแล้วในใจก็ทรงคิดไตร่ตรองถึงสาเหตุของศึกนี้ที่มีเพราะตัวพระองค์เองที่ไม่สามารถยกบุษบาให้แก่ฝ่ายนั้นได้ จึเป็นสาเหตุให้เกิดศัตรู ครั้นแล้วก็นึกน้อยใจไปถึงอิเหนาผู้เป็นหลานที่แกล้งให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้ ทั้งร้อนรนไปทั่วทุกเขต ทั้งเสื่อมเสียไปยังชื่อเสียงวงศ์เทวา อีกทั้งศึกก็มาถึงเมืองแล้ว คิดพลางก็สั่งให้เหล่าเสนาอำมาตย์ให้เร่งมือเกณฑ์คนเข้ารบ รักษาเมืองไว้ให้มั่นคง พลางรับสั่งให้ดูท่าทีข้าศึกที่ยกมา เหตุหนึ่งก็เป็นไปได้ว่าจะรอดูข่าวจากม้าเร็วที่สั่งให้ไปแจ้งเหตุกับผู้เป็นพี่และอีกสองผู้เป็นน้องว่าจะมาช่วยหรือไม่ แม้ว่าเมื่อทั้งสามนครไม่มาช่วยอาจจะมีขุ่นเคืองน้ำใจอยู่บ้าง แต่อย่างไรตนก็จะปราบศัตรูยุติสงครามแม้จะยากเย็นเท่าไรก็ตามกล่าวไปถึงฝ่ายสุหรานากงกับเหล่าเสนาเมืองกาหลังได้ยกพลกองทัพเร่งรีบเดินทางมา รอนแรมกินนอนในป่าเป็นเวลาทั้งสิ้นสิบห้าวันก็ถึงเขตเมืองดาหาได้ยินถึงข่าวศัตรูที่ยกทัพมาประชิดเมืองแล้วก็เร่งเดินทางเข้าไปในเมืองทันที
เมื่อเดินทางมาถึงกลางเมือง สุหรานากงก็หยุดพลกองทัพไว้และชวนตำมะหงงเดินทางไปเข้าเฝ้าท้าวดาหา
                เมื่อท้าวดาหาได้ทอดพระเนตรเห็นถึงสุหรานากงผู้เป็นหลานกับเหล่าเสนาแห่งเมืองกาหลังก็ได้พูดคุยและขอบคุณน้องชายของพระองค์ทั้งสองที่ยกทัพมาช่วยตน แต่สงครามครั้งนี้นั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เพราะเหตุของมันคือลูกสาวของตนที่อัปลักษณ์จะมีคู่ทั้งทีฝ่ายชายก็ไม่รัก จึงหักหาญน้ำใจกันเช่นนี้ แล้วไตร่ถามถึงผู้เป็นพี่ว่าจะส่งให้ใครมาหรือไม่ น้องทั้งสองเดินทางมาตามป่าไพรจะได้ข่าวอะไรบ้างหรือไม่


PS.  ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ ยินดีเป็นเพื่อนกับทุกคน

แสดงความคิดเห็น

>

18 ความคิดเห็น

ploy58 25 ก.ค. 55 เวลา 21:11 น. 3

เรียนแล้วอ่า 
แต่ก็ชอบน่ะเรื่องนี้อ่ะ >"< อิอิ 
ชอบตอนที่ อิเหนา ไปหลงบุปษา ที่เมือง[เมืองไรไม่รู้อ่ะ 55+]
ตอนนั้นครูเล่าเกริ่มๆว่า อิเหนาไปหลงบุปษา จนเผาบ้านเมืองตัวเองอ่ะ >"<
ชอบๆๆอยากอ่านต่ออ่ะ สนุกกกกกกกกก > [ ] < !!

0
NuZZ_ML 6 ธ.ค. 56 เวลา 15:10 น. 8

มีแปลตอนอื่นไหมคับ ตอน " อิเหนาเข้าเฝ้าระตูหมันหยาและถวายบังคมลา " และตอน " อิเหนากรีธาทัพไปกรุงดาหา " ถ้าแปลให้จะขอบคุนมากเลยคับ ตั้งใจ

0
papang zii 17 ก.ย. 57 เวลา 09:04 น. 10

ของหนูมันไม่มีอะ ช่วยถอดบทความให้หน่อย หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตอน ดะหมังกุเรปัน
เยี่ยม

0
ขิมขิม 24 ก.พ. 58 เวลา 20:36 น. 11

เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงใจกล้า
เห็นโอรสต้องศัสตรา ตกจากอาชาบรรลัย
กริ้วโกรธโกรธาบ้าจิต จะรอรั้งยั้งคิดก็หาไม่
แกว่งหอกคู่ขับอาชาไนย เข้ารุกไล่สังคามาระตา
ฯ๔คำฯ
เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์พงศ์อสัญแดหวา
เห็นไพรีรุกไล่อนุชา พระขับม้าถลันออกกั้นกาง
กลับกลอกหอกทรงพุ่งสกัด ระตูรับผันผัดไม่ขัดขวาง
พระชักอาชาไนยไว้วาง สะบัดย่างเชือนชายย้ายทำนอง
ฯ๔คำฯ
เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงว่องไว
ขับม้าวกวิ่งชิงคลอง เคล่าคลองกลับกลอกหอกซัด
ขยับกรผ่อนพุ่งข้างละที ระเด่นมนตรีป้องปัด
ระตูตามติดพันด้วยสันทัด ผันผัดอาวุธกันไปมา
ฯ๔คำฯ
เมื่อนั้น พระผผู้พงศ์เทวัญอสัญหยา
รับพลางทางชักอาชา รั้งรารอไว้ไม่รอนราญ
จึงคิดว่าระตูผู้นี้ ท่วงทีสามารถอาจหาญ
ทั้งอาวุธต่างต่างก็ชำนาญ จะผลาญบนหลังม้าเห็นยากใจ
อย่าเลยจะชวนตีกระบี่ ได้ทีจะฆ่าเสียให้ได้
คิดแล้วจึงร้องประกาศไป ดูก่อนภูวไนยธิบดี
เรารบกันบนหลังอาชา ต่างกล้าสามารถไม่ถอยหนี
มาจะลงยังพื้นปัถพี ตีกระบี่ให้เห็นฝีมือกัน
ว่าพลางลงจากอัสดร พระกรทรงกระบี่ผาดผัน
รำร่ายหันเ-ยนเวียนระวัน หมายมั่นเข่นฆ่าราวี
ฯ๑๐คำฯเศร้าจัง

0