ดูกันชัดๆ !! แวมไพร์ตัวแรกในประวัติศาสตร์
สัปดาห์นี้หนังน่าดูอีกเรื่องในรอบปีอย่าง "ลินคอร์น ประธาธิบดีล่าแวมไพร์" จะได้เข้าฉายให้คนไทยได้ดูแล้ว แต่ผมเชื่อว่าหลายคนได้เคยอ่านนวนิยายเรื่องนี้มาแล้วในฉบับแปลเป็นไทย
คนที่ชอบงานประเภทเอารอยโหว่ที่ไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์มาใส่สี พร้อมกับมีจุดจบของเรื่องที่แน่นอนนั้นไม่ควรจะพลาดอย่างยิ่ง เพราะผู้เขียนให้รายละเอียดใหม่ๆ ที่น่าสนใจไว้เพียบทีเดียว ทำเอาคนที่คุ้นเคยว่า อับราฮัม ลินคอร์น ประธานาธิบดีที่ยุติการมีทาสในอเมริกาเท่านั้นต้องยิ้ม เพราะแท้ที่จริงแกยังเป็นนักล่าแวมไพร์ตัวฉกาจและการตัดสินใจเลิกทาสนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุที่เกิดจากแวมไพร์ด้วยเหมือนกัน
แวมไพร์นั้นอยู่ในฐานะที่เป็นตัวละครผีฝรั่งที่คลาสสิกมาก แถมมีการสร้างหนังหลายรูปแบบทั้งภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเองก็มีแวมไพร์มาให้ดูกันตลอดทุกๆ ปี มีทั้งที่เอาฮาอย่าง Fright Night ไปจนกระทั่งแวมไพร์ที่เป็นแก๊งค์พังค์อย่าง Lost Boys หรือที่คลาสสิกมากก็คือ แดรกคูล่า ล่าสุดที่ดังทั้งงานเขียนและภาพยนตร์ก็คือ Twightlight หนังทีวีในอดีตก็มีอย่าง Buffy Vampire Slayer ที่ทำให้ซาร่า มิเชล เกลล่าร์ ดังเป็นพลุแตกมาแล้ว
ส่วนหนึ่งที่แวมไพร์อยู่คู่วัฒนธรรมบันเทิงมาตลอดก็เพราะว่า มันไม่ใช่แค่ตำนานที่บอกกันปากต่อปากนะครับ จริงอยู่ที่เรื่องราวของผีดูดเลือดนั้นมีมาตั้งแต่เทพนิยายปรัมปราสมัยกรีกโน่น ในยุคถัดๆ มาเรื่องราวของผีดุดเลือดก็มีเล่าขานกันมาทั่วยุโรปยันคาบสมุทรบอลข่าน ไปจนกระทั่งทางเกาะอังกฤษตอนเหนือในไอร์แลนด์ก็มี แต่แวมไพร์เหนือผีรูปแบบอื่นๆ ก็เพราะ มีการสอบสวนจริงๆ อย่างเป็นทางการเป็นหลักเป็นฐานถึงการมีอยู่ของอมนุษย์พวกนี้นั่นเองครับ
แวมไพร์ตัวแรกที่ได้รับเกียรติบันทึกว่าเป็นของจริงและถูกยกให้อยู่ในประวัติศาสตร์โลกเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยอ้างอิงถึงชื่อของ “ปีเตอร์ โพลโคโจวิทซ์” (Peter Plogojowitz)ชายหนุ่มซึ่งเสียชีวิตในสงครามระหว่างเซอร์เบอร์-โรมาเนียกับจักรวรรดิออสเตรียในปี คศ 1725 ซึ่งศพของเขาก็ถูกฝังอยู่แถวๆ ที่เกิดเหตุนั่นเอง
แต่เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นเพราะ ใน 3 เดือนถัดมาปีเตอร์กลับไปปราฏตัวอยู่ที่หมู่บ้าน คิซิโลว่า (Kisilova) ในเขต ราห์ม ( Rahm District ) บ้านเกิดของเขาเองซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเซอร์เบีย แต่เรื่องมันคงไม่น่าประหลาดอะไรเท่ากับว่า หลังจากที่ปีเตอร์กลับมาถึงหมู่บ้านของเขา ก็เกิดเหตุที่ทำให้คนในหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ต้องเสียชีวิตลงไปถึง 9 คน ภายในสัปดาห์เดียว อาการที่คนทั้ง 9 เสียชีวิตนั้น เหมือนกันก็คือ ค่อยๆ หมดแรง หน้าไร้สี เหมือนเลือดถูกดูดออกจากตัว มีอาการเป็นไข้ตัวร้อนจัด สีผมเปลี่ยนราวกับแก่ลงชั่วข้ามคืน และทุกคนได้พูดก่อนที่จะตายว่า ระหว่างเคลิ้มๆ เขาเห็น ปีเตอร์ โพลโคโจวิทซ์ แอบเข้ามาในห้อง โดยนายศพเดินได้เข้ามานอนทับตัวแล้วบีบที่ลำคอของพวกเขาจนกระดุกกระดิกไม่ได้พอหมดสติก็ไม่เห็นนายปีเตอร์อีก และอาการของโรคต่างๆ ก็ปรากฏขึ้น คนเหล่านั้นนอนอยู่บนเตียงหลังจากนั้นก็ทยอยเสียชีวิตลงไป
มีข้อสังเกตนิดหนึ่งว่า ตามบันทึกที่ว่านี้ การกัดเพื่อดูดเลือดนั้นยังไม่ปรากฏอยู่ในเรื่องราว แต่คล้ายๆ ว่าคนที่เสียชีวิตนั้น ตายเพราะติดเชื้ออะไรบางอย่างที่ทำให้อวัยวะภายในต่างๆ ค่อยๆ หยุดทำงาน ทุกคนมีสติสัมปะชัญญะมากพอที่จะเห็นว่าเกิดอะไรกับตัวเองอย่างชัดเจน เรื่องประหลาดของทุกศพที่รอการชันสูตรและรอการฝังนั้นมีอาการเหมือนกันก็คือ เล็บยาวขึ้น ผม ขน และ เครายาวขึ้นกว่าเดิม ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า ผิวหนังซีดลงแต่ไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว และเหมือนกับว่ายังมีชีวิตอยู่
เมื่อชาวบ้าน กรมเมือง กลุ่มพระพากันจะไปจับจำเลยสำคัญในเรื่องนี้ตามคำบอกเล่าของเหยื่อ เรื่องก็กลับตาละปัดให้ซับซ้อนกว่าเดิม เพราะเขาเองก็เสียชีวิตไปด้วยเช่นกันจากคำบอกเล่าของภรรยาของเขาว่าปีเตอร์นอนแบ่บเหมือนคนหมดแรงแล้วก็เสียชีวิตด้วยอาการเดียวกัน คณะสอบสวนก็เลยขอเปิดหลุมศพเพื่อดูก็พบว่า เขามีอาการเหมือนกันที่ตายไปทั้ง 9 ไม่มีผิด
เรื่องประหลาดมันอยู่ตรงนี้ครับว่า หลายสัปดาห์ถัดมา ปีเตอร์ที่ตายไปเป็นครั้งที่สองได้กลับมายังบ้านของเขาพบหน้าภรรยาอีกครั้ง แต่ไมได้กลับมาเพราะความรักโรแมนติกอะไร แต่กลับมาเพราะหิวและเขามาเอารองเท้าคู่เก่งต่างหาก เล่นเอาภรรยาจับไข้หัวโกร๋นต้องเผ่นออกไปจากหมู่บ้านทันที พยานบางคนบอกว่า ภรรยาของปีเตอร์เล่าว่าเขาฆ่าลูกชายด้วยการดูดเลือดอีกด้วย หลังจากนั้นก็มีข่าวว่านายปีเตอร์ แวมไพร์ได้เร่ร่อนไปตามเขตต่างๆ จนคนกลัวกันทั้งบาง
สุดท้ายคณะสอบสวนที่นำโดย Frombald ซึ่งทางการอาณาจักรออสเตรียส่งมาพร้อมกับพระจากเขต Veliko Gradište และรวมถึงประชาชนซึ่งทนไม่ได้กับอาชญากรรมที่ว่า ก็เลยกลับไปขุดหลุมศพของเขาดูอีกรอบ ทีนี้ทุกคนต้องตะลึงเพราะ ศพของนายปีเตอร์ยังดูสดอยู่มาก ผิวก็สร้างขึ้นมาใหม่ พระองค์หนึ่งที่ทำบันทึกชี้ว่า ในจมูกของเขานั้นมีน้ำมูกเสียด้วย (ฮา) แต่ที่น่าตกใจว่านั้นคือในปากครับที่ดูมีสีเลือดและความสดอย่างยิ่ง (หนังสือบางเล่มบอกว่ามีเลือดอยู่ในปากด้วย) เมื่อเห็นเช่นนั้น ชาวบ้านก็เลยเฮละโลเอาศพสดๆของแวมไพร์ปีเตอร์ออกมา เอาไม้ตอกเข้าไปที่อก ตรึงไว้กับโต๊ะที่วางจนเลือดนั้นพุ่งกระฉูดออกมาพรอมกับเสียงร้องจ๊าก บันทึกอย่างเป็นทางการบอกว่า ชาวบ้านเฮโลช่วยกันตอกหมุดกันหลายรูทีเดียวเพราะทำเท่าไหร่ก็ไม่ตาย ขณะแวมไพร์ปีเตอร์เงียบลงได้เพราะโดนเอาพวงกระเทียมยัดปาก สุดท้ายเมื่อเอาหมุดแทงไม่ตาย เจ้าหน้าที่ก็เลยเอาดาบฟันที่หัวแล้วก็เอาน้ำมันราดจุดไฟเผาเสียเลย
แวมไพร์ปีเตอร์ก็สิ้นชื่อด้วยอาการแบบนี้ แต่หลังจากนั้นหนึ่งปี แวมไพร์อีกตัวก็ปรากฏขึ้นในนาม อาร์โนลด์ โพลเล่ เป็นชาวเซอร์เบียอีกเหมือนกัน หมอนี่ยอมรับก่อนทีจะกลายเป็นแวมไพร์เต็มตัวว่า ขณะที่เดินทางกลับบ้าน เขาถูกแวมไพร์ตัวหนึ่งโจมตีและกัดเข้าที่คอ เมื่อมาถึงก็กลายสภาพเป็นอย่างที่เห็น แต่เรื่องเล่านี้ไม่มีใครเชื่อจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ตายของคนอย่างน้อย 16 คนในเขต Meduegna ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ Morava ที่เมือง Paraćin จนสุดท้ายทางอาณาจักรออสเตรียก็ต้องสงคนมาดูและสอบอย่างเป็นทางการจนกระทั่งคอนเฟิร์มว่าอาร์โนลด์นั้นเป็นแวมไพร์จริง เรื่องราวการคงอยู่ของแวมไพร์และการอาศัยเลือดของมนุษย์ในการดำเนินชีวิตจึงแพร่ไปทั่วยุโรปตั้งแต่บัดนั้น
ส่วนเรื่องที่ว่ามันอยู่มาได้เพราะความรัก หรือมาตามหารักแท้ข้ามภพ หรือมันสามารถแปลงร่างเป็นค้างคาว และมีสัตว์เลี้ยงเป็นมนุษย์หมาป่า ไปจนกระทั่งมีพลังจิตในการทำให้คนขยับตัวไม่ออก หรือการหลอกกันว่าเป็นคนหล่อมาร่วมรักก่อนกัดคอนั้นเป็นสิ่งที่นักแต่งนวนิยายแต่งขึ้นภายหลัง
เพราะตามบันทึกนั้น แวมไพร์โจมตีกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อมยังกะซอมบี้ทีเดียวละครับ!!
ส่วนวิธีการฆ่าแวมไพร์อย่างเป็นมาตรฐานนั้น ส่วนใหญ่ก็สร้างขึ้นจากตำนานหรือข้อห้ามทางศาสนาคริสต์เป็นหลักนั่นแหล่ะครับ อาทิเช่น คัมภีร์บางเล่มพูดถึงจูดาสที่เป็นสาวกผู้ทรยศของพระเยซูว่าเป็นต้ำกำเนิดแวมไพร์ เพราะ ฟ้าพิโรธจนกระทั่งสาบให้ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันและกลายเป็นผีร้ายไม่รู้จักไปผุดไปเกิด แวมไพร์ก็เลยเกลียดแสงสว่างเพราะทั้งโดนพระเจ้าสาบและมีพลังมากในตอนมืดเนื่องจากเป็นพังขับเคลื่อนของซาตาน การปราบแวมไพร์ตอนกลางวันให้เจอแดดจึงเป็นเรื่องจำเป็น
การฆ่าแวมไพร์นั้นยังทำสวนทางกับการทำพิธีศพของคนคริสต์ทั่วไปแบบกลับหัวกลับหาง เพราะส่วนใหญ่นั้นฝังแต่ไม่เผา แต่แวมไพร์นั้นต้องจัดการเผาเสียเพื่อไม่ให้มีศพเหลือที่จะสร้างอีกต่อไป เพราะไฟนั้นมีทั้งความร้อนและแสงสว่างรวมกันอยู่ บางตำนานของทางยุโรปตะวันออกยังบอกถึงวิธีการฆ่าแวมไพร์อีกอย่างก็คือ การจับมันกดน้ำซะเลย อันนี้ผมเดาเอาว่าเพราะแวมไพร์มันยังใช้อากาศหายใจและมีธาตุที่ไหลเวียนอยู่เหมือนมนุษย์ เพราะฉะนั้นการโดนจับกดน้ำจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นให้เพราะทำให้มันขาดอากาศหายใจ
หมุดที่ใช้ตอกที่หน้าอกหรือหัวใจก็เป็นเรื่องจำเป็น ในยุคต้นๆ นั้นหมุดจะทำจากไม้แอชเพราะแข็ง มีน้ำหนัก เหลาง่าย เวลาตอกทะลุอกก็จะแน่นดี แต่ตอนหลังๆ โดยเฉพาะหลังจากนิยาย แดรกคูล่า ของ บราม สโตเกอร์ เป็นที่นิยมหมุดก็เปลี่ยนเป็นเหล็กแทน ซึ่งหนักกว่า แน่นกว่าและอาจจะทำร้ายแวมไพร์ใส่ส่วนอื่นได้ดีกว่าด้วย
กระบวนการหลังจากการตอกหมุดนั้นก็คือ ต้องตัดหัว อันนี้ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการไม่เปิดโอกาสให้แวมไพร์นั้นได้ฟื้นฟูตัวเอง หรือสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ หรืออาจจะเป็นการกระทำเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้แวมไพร์นั้นไม่สามารถดูดเลือดลงลำคอของตัวเองได้อีก ขณะที่กระเทียมก็เป็นอีกอย่างที่แวมไพร์ไม่ชอบ แต่หาเหตุว่าทำไมถึงไม่ชอบได้ในยุค 80 นี่เองที่นักวิทยาศาสตร์เสนอทฤษฏีว่า การเป็นแวมไพร์ของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นเพราะโรคเลือดชนิดหนึ่งในร่างกายที่จะทำให้เหงือกร่น ฟันเหยินออกมาข้างหน้า และแพ้แสงแดดอย่างหนักจนปวดแสบปวดร้อนเวลาเจอแสงสว่างมากๆ
โรคนี้จะไม่ถูกอาการอย่างยิ่งกับกระเทียมเพราะจะไปฆ่าเซลส์เม็ดเลือดบางตัวในผู้ป่วยนั่นเองครับ
แหล่งข้อมูล
http://www.yengo.com/news/txt/?id=12924&da_id=108004
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9550000083574
PS. ความสมหวัง...บอกให้เราเชื่อมั่นในความฝัน...ความผิดหวัง...บอกให้เรายอมรับในความจริง
5 ความคิดเห็น
ดูแล้วอ่ะหนุกมากกกก
เราว่าหมุดที่ใช้น่าจะเป็นเงินด้วยก็ดีนะ เพราะเราเคยได้ยินว่าเงินก็ปราบแวมไพร์ได้ แต่ไอ่ยัดพวงกระเทียมเข้าไป คิดได้ไง เจ๋งมาก! เอาน้ำมนต์มาราดด้วยก็น่าจะดี หรืออะไรที่แวมไพร์เกลียดอะ ไม้กางเขนก็น่าจะดี
PS. กวนประสาท กวนประสาท ตลกคาเฟ่จ้า! รับปรึกษาปัญหา
สิ่งของที่ทำจากเงินเขาช้ปราบมนุษย์หมาป่าครับ ใช้ไม่ได้กับแวมไพร์ แวมไพร์ต้องหมุด กระเทียม ไฟ ไม้กางเขน น้ำมนตร์ครับ คห.3
นิวเคลียร์ กับ ระเบิดปรมานู ปราบแวมไพร์ ได้ป่ะ
ข้าม คห.นี้ไปเหอะ
PS. ไม่เคยขอ ไม่เรียกร้องเอาอะไรกว่านี้ไมไขว้คว้าอ้อนและวอนเพื่อได้อย่างนี้แค่มองตรงนี้ก็พอให้อุ่นใจให้เธอรู้คนอย่างฉันแม้จะยืนอยู่ไกลแต่ว่าฉันยังไม่เคยคิดจะจากไปอยากให้เธอรู้ว่ามีอีกใจที่รักเธอ//คนไกลๆ(ไ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?