Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรากราบไหว้พระพุทธรูป โง่ หรือว่า ฉลาด กราบเพื่อจุดประสงค์อะไร

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
       
                                                    

                                                        
                                      
        ก่อนอื่นต้องขออภัยด้วยครับที่ท่านอ่านหัวข้อกระทู้แล้วเป็นเหมือลักษณะคำถาม แต่เมื่อท่านได้อ่านบทของกระทู้แล้วกับมีคำตอบในตัว ท่านอย่าได้สนใจเลย แต่ถ้าท่านใดจะเมตตามีความคิดเห็นเพิ่มเติมหรือชี้แน่ะความรู้ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามเมื่อท่านอ่านจบแล้ว  ผมก็ยินดีครับ เพราะคนเราต่างคนต่างจิตต่างคนต่างความคิด ผมจะถือว่าทุกความเห็นเป็นความรู้ครับ

ทีนี้เรามาเข้าเรื่องกันเลยครับ

ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธแทนที่เราจะเน้นปฎิบัติตามพระธรรมคำสอนเพียงอย่างเดียวทำไมเราจึงต้องกราบไหว้พระพุทธรูปด้วยทั้งๆที่เป็นแค่ อิฐ กับ ปูน หรือโลหะเท่านนั้น  อันนี้  จขกท. มีความคิดว่า.....

กราบก็เพราะความเคารพและความศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ถ้าจะบอกว่ากราบพระพุทธรูปแล้วบอกว่าไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ ก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว  ยังมีข้อดีอยู่บ้าง  




เพราะพระพุทธรูปก็เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษ์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความเข้าใจของอีกหลายๆคน  อย่างน้อยๆการกราบพระพุทธรูปก็เป็นอุบายอย่างหนึ่งที่สามารถทำให้ใครหลายๆคนที่ยังเข้าไม่ถึงแก่นธรรมเวลามีความทุกข์ใจเข้ามาได้สบายใจ เวลาเรากราบนั้นถ้าสังเกตุดีๆใบหน้าพระพักตร์ของพระพุทธรูปจะมีรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม แค่เรามองก็รู้สึกสุขใจได้เหมือนกัน ถึงจะเป็นแค่ อิฐ ปูน โลหะ 

 แต่ก็ยังดีกว่ากราบไหว้ผู้ใหญ่บางคนที่ห่มผ้าเหลืองอ้างตัวเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ปฎิบัติตัวไม่เหมาะสมอย่างนั้นไม่สมควรกราบเป็นอย่างยิ่ง  อีกประการหนึ่งถ้ไม่มีพระพุทธรูปที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษ์ของพระพุทธเจ้า ( สมมุติ ) ไว้ให้เรากราบ  สัตว์โลกอย่างเราๆ ก็อาจจะลืมหรือห่างเหินไปมากกว่านี้ก็เป็นได้  เหมือนกับการสร้างรูปปั้นคนเด่นคนดัง คนสำคัญของโลกไว้เพื่อเป็นสิ่งคอยย้ำเตือนให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้ประกอบกับหนังสือหรือตำราเรียนควบคู่กันไป  

คนบางคนถ้าจะให้เข้าถึงหรือเข้าใจหลักธรรมแก่นธรรม (พระธรรมคำสอน )ของพระพุทธเจ้าเลยก็คงเป็นไปไม่ได้จึงต้องฮาศัยความศรัทธาเสียก่อน  เพราะความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ หรือญาณของแต่ละคนไม่เท่ากัน พื้นฐานแห่งความรู้ก็ไม่เท่ากัน อุปนิสัยหรือคุณสมบัติแห่งใจไม่เหมือนกัน บุคคลจึงสามารถรู้แจ้งในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่าที่กำลังแห่งสติปัญญาของเขาจะตรองเห็นได้   

 บางคนยังไม่มีสติปัญญาของตนเอง แต่อาศัยศรัทธาต่อท่านผู้รู้ คือ เชื่อตามท่านผู้รู้ยอมรับเชื่อแม้ในสิ่งที่ตนยังตรองไม่เห็น ถ้าความเชื่อนั้นไปในทางดีก็ทำให้สำเร็จประโยชน์ได้เหมือนกัน   บางท่านต้องการความเข้าใจเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่เราต้องเชื่อเสียก่อนจึงจะเข้าใจ แม้จะเชื่อไม่หมดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม  เพราะความเชื่ออันมีอยู่บ้างนั้นทำให้เราแสวงหาความจริงต่อไป เพื่อความรู้อันถ่องแท้แน่นอน

  
 กล่าวตามแนวแห่งพระพุทธศาสนา ศรัทธาเป็นบันไดขั้นต้นในกระบวนการพัฒนาปัญญา ศรัทธาและปัญญาต่างเป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน คือเรามีศรัทธาก็เพื่อความรู้แจ้ง (อันเป็นตัวปัญญา) และมีปัญญารู้แจ้งก็เพื่อเราจะได้เชื่ออย่างมั่งคง ไม่คลอนแคลน ความเชื่ออย่างมั่นคงอันประกอบด้วยปัญญาเช่นนั้น ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติชอบก้าวไปข้างหน้าในด้านคุณธรรมหรือการอบรมความดีอย่างไม่ลังเล




ศรัทธาซึ่งมีปัญญาเป็นอำนาจแฝงมาด้วยแต่ต้นนี้ ในที่สุดก็จะถูกปัญญาเข้าแทนที่โดยสิ้นเชิง ศรัทธากับปัญญาจึงอาศัยกันและกันเป็นเหตุเป็นผลของกัน และกัน




ในพระไตรปิฎกมีหมวดธรรมมากหลายที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงศรัทธาและปัญญาไว้ด้วยกัน  เพื่อเป็นอุปการะแก่กัน*
--------------------------------------------------------------
* ตัวอย่างเช่น
ก. สัมปรายิกัตถะ :ศรัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคะสัมปทา ปัญญาสัมปทา
ข. สารธรรม       : ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา
ค. พละ;อินทรีย์   : ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ฆ. เวสารัชชกรณธรรม : ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมภะ ปัญญา
ง. อริยทรัพย์      : ศรัทธา ศีล หิริโอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญา

แม้นักปราชญ์นอกพระพุทธศาสนาบางท่านก็เห็นด้วยกับคำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่องนี้ ขอยกเอาคำพูดของเซนต์ ออกัสตีน (St. Augustine) เป็นตัวอย่าง เขากล่าวว่า
"เราเข้าใจเพื่อจะได้เชื่อ และเราเชื่อเพื่อจะได้เข้าใจ บางสิ่งบางอย่างเราไม่เชื่อจนกว่าจะเข้าใจ แต่ก็มีบางอย่างที่เราจะเข้าใจไม่ได้เลย ถ้าเราไม่เชื่อเสียก่อน ปัญญาและศรัทธาจึงต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน"

ทีนี้มาถึงประเด็นตามหัวข้อของกระทู้ที่ว่าการกราบพระพุทธรูปนั้น ฉลาดหรือว่าโง่ และจุดประสงค์ที่เรากราบไหว้นั้นเพื่ออะไรกันแน่     ผมจะขอยกบทความจาก  พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ)มาให้ท่านได้อ่านและพิจารณาดังนี้ครับ

@ ปุ จ ฉ า

พุทธศาสนิกชน โง่ หรือ ฉลาด ที่ไปกราบไหว้ อิฐปูน ต้นไม้ และการกราบไหว้พระพุทธรูปจะจัดเข้าไปในประเภทบูชารูปเคารพหรือไม่ ? ถ้า ไม่.. ต่างกันอย่างไร ?

@ วิ สั ช น า

ความ โง่หรือฉลาดของคนนั้น ไม่วัดกันด้วยด้วยการกระทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ต้องมองกันในหลาย ๆ ด้านด้วย คนเรานั้นอาจฉลาดในเรื่องหนึ่ง แต่กลับโง่อย่างหนักในอีกเรื่องหนึ่งก็ได้

ปัญหาไม่ได้บอกว่า อิฐ ปูน ต้นไม้นั้นเป็นอะไร เป็นซากของสถานที่สำคัญเช่น สังเวชนียสถาน ก็แสดงว่า เขาไม่ได้ไหว้อิฐ ปูน แต่ไหว้เพราะอาศัยอิฐ ปูน นั้นเป็นสื่อให้น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์เช่นเดียวกับการไหว้พระ พุทธรูป เจดีย์อื่นๆ

หากเป็นการไหว้ อิฐ ปูน ธรรมดา นึกไม่ออกว่าใครจะไปไหว้ทำไม ?!?
ถ้าว่าเป็นกรณีของพุทธปฏิมาที่สร้างด้วยอิฐ ปูน ในขณะไหว้ใครคิดว่าตนเองไหว้อิฐ ปูน ก็ต้องจัดว่าบรมโง่ทีเดียว !!

พระพุทธรูป ไม่ว่าจะสร้างขึ้นด้วยอะไรก็ตาม รวมถึงพระเจดีย์ ไม่ว่าจะเป็นธาตุเจดีย์
ธรรมเจดีย์ บริโภคเจดีย์ หรืออุเทสิกเจดีย์ก็ตาม ล้วนแต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาไหว้ ใจคนจะน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า โดยอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องกระตุ้นให้ระลึกถึง

O ทำไมจึงต้องสร้างเป็นรูปวัตถุเช่นนั้น ?

เพราะพระพุทธคุณ เป็นนามธรรม โดยหลักทั่วไปแล้ว การระลึกถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม
ล้วนๆ สำหรับคนทั่วไปแล้วทำได้ยาก เหมือนระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ หากจะมีรูปท่านอยู่ด้วยจะให้ความรู้สึกแปลก คือให้ความซาบซึ้งมากกว่าที่คิดถึงในเชิงนามธรรมล้วนๆ แต่เมื่อว่า ตามความจริงแล้ว คนหาได้คิดอยู่เพียงรูปถ่ายของท่านไม่ รูปถ่ายท่านเป็นเพียงสื่อให้คิดได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง

เรื่องการกราบ ไหว้ พระพุทธรูป เจดีย์ ที่สร้างด้วยอะไรก็ตาม ผู้ไหว้หาได้ติดอยู่เพียงรูปเหล่านั้นไม่  รูปเหล่านั้น จึงทำหน้าที่เป็นสื่อทางจิตใจเพื่อได้อาศัยรำลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระพุทธคุณ


ด้วยเหตุนี้การกราบไหว้พระพุทธรูป จึงไม่เหมือนการกราบไหว้รูปเคารพ
อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน

O ทำไมจึงไม่เหมือนกัน?

เพราะพวกสร้างรูปเคารพนั้น ผู้ที่ตนนำมาสร้างเป็นรูป ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นแต่คิดฝันขึ้น บอกเล่าสืบต่อกันมา ส่วนมากจะเกิดขึ้นจากพวกที่ต้องการประโยชน์ จากความนับถือรูปเคารพเหล่านั้นของคนทั้งหลาย คนนับถือรูปเคารพจึงนับถือ เพราะ

O ความไม่รู้ จึงเกิดความกลัว

การไหว้รูปเคารพ จึงเป็นการกระทำเพื่อ

๑. ประจบเอาใจรูปเคารพเหล่านั้น ไม่ให้ท่านโกรธ
๒. ต้องการอ้อนวอน บวงสรวง ให้ท่านประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ตนต้องการ และพิทักษ์รักษาตน พร้อมบุคคลที่ตนต้องการให้รักษา

แม้ว่าบุคคลบางคนจะไหว้พระพุทธรูป เพื่อต้องการของสิ่งที่ตนต้องการบ้าง แต่ไม่มีลักษณะของการประจบเอาใจต่อพระพุทธรูป เพื่อไม่ให้ท่านโกรธ อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน พระพุทธรูปจึงไม่เหมือนกับรูปเคารพอย่างที่คนบางคนเข้าใจ

(ที่มา : ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา - ๒ โดย พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) 
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระโสภณคณาภรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร, 
พิมพ์เผยแพร่เพื่อเป็นพุทธบูชาและธรรมบรรณาการ, พ.ศ. ๒๕๒๒, หน้า ๒๓๐-๒๓๑)

แสดงความคิดเห็น

>

14 ความคิดเห็น

=-No~name-= 25 ก.ค. 56 เวลา 22:13 น. 1

เห็นด้วยค่ะ

รูปเคารพ มีไว้เคารพระลึกถึง เหมือนภาพพ่อแม่ เรารู้สึกผูกพันธ์หาใช่กระดาษ แต่เป็นบุคคลที่เรากำลังระลึกถึงต่างหาก

เหมือนเคยกล่าวไว้ว่าเราไหว้พ่อแม่ ไม่ได้ไหว้ที่เป็นเลือด เนื้อ เอ็น กระดูก ฯลฯ ที่มาประชุมรวมกันเป็นพ่อเป็นแม่ แต่เราไหว้เพราะบุญคุณความดีของพ่อแม่ต่างหาก

หากเปรียบพระพุทธรูป เราไหว้ก็ไม่ได้ไหว้เพราะอิฐ หิน ปูน ไม้ ฯลฯ แต่เราไหว้เพราะเรากำลังระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของเราต่างหาก

ปล.หลายคนไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ ไหว้ไปก็ขอหวยไป บางคนก็ขอให้รวยๆ มีเงินมีรถมีบ้าน ที่จริงแล้วขอไปก็ไม่มีใครให้นะ ลองคิดดูดีๆสิ พระพุทธเจ้าจะให้ของแบบนั้นไปทำไม ให้ไปก็เพิ่มกิเลสเปล่าๆ ทรงสอนให้ระงับกิเลสนะไม่ใช่สอนให้เพิ่ม

ปล.2 รู้สึกว่าห่างหายจากบอร์ดนี้ไปนานมากๆๆๆๆๆๆ จนบอร์ดเปลี่ยนหน้าตาใหม่แทบจำไม่ได้

0
basdsd 25 ก.ค. 56 เวลา 23:44 น. 2

กราบพระพุทธรูปผมไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ผมได้คือ ความสบายใจ เหมือนมีเครื่องช่วยผ่อนคลาย

0
White Frangipani 26 ก.ค. 56 เวลา 05:50 น. 3

สวัสดีเจ้าของกระทู้ และ ทุกๆคนในกระทู้ค่ะ

เห็นว่าคุณตั้งกระทู้ได้ดีมากค่ะ มีการบอกเล่าอธิบายความรู้สึกและต้องการของตัวเองอย่างชัดแจ้ง(ชัดเจนดี ^__^)

<<<ก่อนอื่นต้องขออภัยด้วยครับที่ท่านอ่านหัวข้อกระทู้แล้วเป็นเหมือลักษณะคำถาม แต่เมื่อท่านได้อ่านบทของกระทู้แล้วกับมีคำตอบในตัว ท่านอย่าได้สนใจเลย แต่ถ้าท่านใดจะเมตตามีความคิดเห็นเพิ่มเติมหรือชี้แน่ะความรู้ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามเมื่อท่านอ่านจบแล้ว  ผมก็ยินดีครับ เพราะคนเราต่างคนต่างจิตต่างคนต่างความคิด ผมจะถือว่าทุกความเห็นเป็นความรู้ครับ>>>

เข้ามาร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่อาจจะแตกต่างนะคะ  การกราบไหว้ บูชา สักการะ ภาพเหมือน รูปปั้นจำลองต่างๆ ของพระพุทธเจ้า (ศาสดา)หรือแม้แต่พระ อาจารย์ ซึ่งได้มรณภาพไปแล้วนั้น มีความรู้สึกว่าการกราบไหว้สิ่งที่กล่าวมานั้นเพราะสิ่งเหล่านั้น เป็นตัวแทน หรือสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวสื่อ คือสิ่งแทนที่เหลืออยู่เพื่อเป็น "สื่อ" ให้กับจิตใจเราเองได้สัมผัสค่ะ  รูป รส กลิ่น เสียง เป็นสัจธรรม (สัจธรรมแปลว่ามีอยู่จริง)การเห็น การมอง ไม่ว่าจะเป็น รูปปั้น รูปเหมือน การเห็นนั้นจะช่วยเป็นตัวสื่อเพื่อสัมผัสของจิตใจเราได้เป็นอย่างดีง่ายขึ้น ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะค่ะ ไม่มีอะไรผิดบาป 

มากกว่านั้นการกราบไหว้ สักการะ นั้นยังจะเป็นตัวช่วยให้เราเป็นคนมีอาการอ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้างทั้งจิตใจและร่างกาย กลายเป็น วัฒนธรรมที่สวยงาม และแน่นอนหากสังคมที่มีวัฒธรรมที่สวยงามนั้น เราๆทุกคนก็คงรู้ว่าเป็นสังคมที่น่าอยู่ หลายๆคนต้องการอย่านั้น อย่างแน่นอน โดยรวมๆแล้วเห็นว่า ศาสนา วัฒนธรรม มีส่วนเกี่ยวพันกันและเป็นพิ้นฐาน เป็นหลัก เป็นกรอบ ให้กับสังคมได้เป็นอย่างดี มาถึงตรงนี้มีความรู้สึกว่าคำตอบออกทะเลไปแล้ว(ขออภัยค่ะ ^__^)แต่ในใจก็ยังคิดอยู่เสมอว่าในความเป็นจริง นั้น คือ หรือเป็นสิ่งเดียวกันค่่ะ


แต่...หากชาวพุทธหลายๆคนเขาอาจจะบอกว่า เขาทั้งหลายไม่จำเป็นต้องมีหรือกราบไหว้ สิ่งเหล่านี้ ที่กล่าวมาข้างต้นเขาก็สามารถระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือแม้แต่คำส้่งสอนของท่านได้ นั้นก็ไม่ผิดที่จะเป็นชาวพุทธที่ดีได้ค่ะ เพราะในความเป็นจริง หลายๆคนสามารถทำสมาธิจนสามารถควบคุมจิตของตัวเองให้เห็นหรือรู้ได้ เช่นมีภาพและคำส้่งสอนของพระพุทธเจ้าในจิตสำนึกตลอดเวลา นั้นก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมชาติเช่นกันค่ะ

แม้เราหลายๆคนจะเป็นพุทธ และหลายๆคนจะเคร่งครัดปฎิบัติตามคำส้่งสอนของศาสดาสักเพียงใดก็ตาม แต่ในธรรมชาติ(ธรรมะคือธรรมชาติ)ในความเป็นจริงและเที่ยงแท้แน่นอนเป็นที่สุด เราทุกคนมีความแตกต่างเป็นพื้นฐาน เป็นความจริง เช่นที่คุณกล่าวมา แต่...ในความแตกต่างนั้น หากเราจะพิจารณาดีๆบางครั้งความแน่นอนนั้นจริงๆคือ จุดมุ่งหมายและความหมายเดียวกันก็เป็นได้  ซึ่งตรงนี้ที่เราๆชาวพุทธคงต้องศึกษาฝึกปรือที่จะเข้าใจและต้องยอมรับกันให้ได้ละมัง(ส่วนตัวมีความรู้สึกเช่นนั้นค่ะ) "ความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน ในภพนี้" คงไม่ต่างจาก การที่เราๆอาจจะต้องการให้หลายๆคน เข้าใจอย่างที่เราเข้าใจนั้น"แน่นอน คือ เป็นไปไม่ได้" นั้นคือความจริง เป็นธรรมชาติ เป็น ธรรมะ โดยส่วนตัวมีความรู้สึกเช่นนั้นค่ะ ที่ตอบมาในลักษณะนี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีอยู่ ในขณะเดียวกันก็เข้าใจคุณ และรับได้กับความรู้สึกของคุณค่ะ (หวังว่าคุณจะไม่รู้สึกน้อยใจนะคะ ^__^)


ส่วนตัวเห็นว่า การที่คุณตั้งกระทู้ขึ้นมาลักษณะนี้ เห็นเป็น ธรรม เห็น เป็นพุทธ อย่างชัดเจน มีอะไรอยากถามก็ถาม บอกเล่า แนะนำแลกเปลี่ยน ด้วยสันติวิธี เห็นเป็นสื่อแห่ง "พุทธ"ได้เป็นอย่างดีค่ะ (ความเห็นส่วนตัว^__^)


คำตอบยาวมากๆอีกเช่นเคย หากรู้สึกว่าเป็นการรบกวนต้องขออภัยด้วยค่ะ ^__^


ปล. กลับเข้ามาเพิ่มเติมให้ตรงประเด็นในหัวข้อนะคะ(ลืมอ่านหัวข้อค่ะ^ ^) "การกราบไหว้พระพุทธรูป หรือไม่นั้น ในความเป็นจริง เราจะตัดสิน เขา เรา หรือใครๆ ไม่ได้เลยว่า โง่หรือฉลาด แต่จุดประสงค์ที่กราบไหว้เพราะระลึกถึงท่าน คำส้่งสอนของท่าน และจะช่วยทำให้เราเป็นคน อ่อนน้อม และสงบสุข" โดยส่วนตัวรู้สึกและเห็นเป็นเช่นนั้นค่ะ

0
Big Snake 26 ก.ค. 56 เวลา 17:58 น. 4

ขอบคุณครับ ที่ได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมมา สามารถเติมแต่งให้กระทู้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และเป็นความคิดเห็นที่แฝงไปด้วยธรรมะที่เป็นจริงทุกประการ ผู้ที่เข้าถึงธรรมะแล้วแม้เวลาคนอันเป็นที่รัก ( พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ) ล้มหายตายจาก ผู้นั้นก็จะไม่ร้องไห้ หรือเสียใจเลย เพราะการร้องไห้หรือเสียใจคือการเป็นทุกข์ ผู้เข้าถึงธรรมะแล้วก็จะเข้าใจการเกิดดับเป็นเรื่องธรรมดา

0
Big Snake 26 ก.ค. 56 เวลา 18:07 น. 5

ขอบคุณครับที่แสดงความคิดเห็นมา นี่แหล่ะครับคือข้อดีอีกประการหนึ่ง ถึงแม้เราจะเข้าถึงแก่นธรรมแล้ว เราก็สมควรที่จะทำการกราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นพระบรมครู หรือ พระบรมศาสดา หรือเปรียบเสมือนนักศึกษา เมื่อเรียนจบปริญญาแล้ว ก็ยังต้องยกมือไหว้ทำความเคารพเมื่อเจออาจารย์

0
Big Snake 26 ก.ค. 56 เวลา 18:52 น. 6

ขอขอบพระคุณอีกท่านหนึ่งครับที่ได้แสดงความคิดเห็นมา เช่นกัน ความคิดเห็นของท่านจะว่าแตกต่างก็แตกต่าง จะว่าไม่แตกต่างก็ไม่แตกต่างครับยังตรงประเด็นในกระทู้อยู่ครับ อย่างเช่นประเด็นที่ว่า " การกราบไหว้ สักการะ นั้นยังจะเป็นตัวช่วยให้เราเป็นคนมีอาการอ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้างทั้งจิตใจและร่างกาย กลายเป็น วัฒนธรรมที่สวยงาม " ประเด็นนี้ถูกต้องมากเลยครับ


แต่ยังมีอีกข้อหนึ่งที่ตรงและถูกต้อง เช่นกัน แต่ผมก็อยากจะขออนุญาติชี้แจงเพิ่มเติมสักเล็กน้อยครับ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เข้าใจและเป็นประโยชน์สำหรับคนรุ่นหลัง นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ผมต้องตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะมีคนที่ได้ศึกษาธรรมะจนเข้าถึงแก่นธรรมแล้วกล่าวเช่นเดียวกับท่าน ดังประโยคนี้ " แต่...หากชาวพุทธหลายๆคนเขาอาจจะบอกว่า เขาทั้งหลายไม่จำเป็นต้องมีหรือกราบไหว้ สิ่งเหล่านี้ ที่กล่าวมาข้างต้นเขาก็สามารถระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือแม้แต่คำส้่งสอนของท่านได้ "


อันนี้ก็จริงครับผมไม่ขอโต้แย้ง แต่ประเด็นนี้สำหรับผู้ที่เข้าใจธรรมะหรือเข้าถึงแก่นธรรมแล้วเท่านั้น แต่หากคนรุ่นใหม่รุ่นหลัง หรือลูกหลานล่ะ


บางคนยังไม่มีสติปัญญาพอที่จะรับรู้ธรรมะอันลึกซึ้งนี้ได้ การกราบพระพุทธรูปเพื่อปลูกฝังความศรัทธาก็น่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย " เพราะธรรมะก็เปรียบเสมือนต้นไม้ที่มีทั้งเปลือก และแก่นไม้ การที่ผู้เริ่มศึกษาธรรมะใหม่ๆจะต้องศึกษาตั้งแต่เปลือกเข้าไปจึงจะสามารถเข้าใจได้ และการที่เราแน่ะนำและพาลูกหลานเข้าวัดกราบพระพุทธรูปก็เป็นหนึ่งในขบวนการศึกษาธรรมะก่อนที่จะถึงแก่น หรืออาจจะเป็นจุดเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ครับ "


และเมื่อได้ศึกธรรมะจนเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วถึงเวลานั้นเราจะไม่ยึดติด ( ปูน อิฐ โลหะ ) สิ่งเหล่านี้ก็ได้ เมื่อก่อนผมเคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเราต้องกราบไหว้พระอิฐ พระปูนเหมือนกับท่านหลายๆคน แต่เดียวนี้ผมเข้าใจจุดประสงค์นั้นแล้ว เพราะแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ซึ่งเป็นสาวกของพุทธองค์ เวลาท่านเข้าโบถส์ก่อนจะทำวัตรเช้าวัตรเย็น ท่านก็ยังต้องกราบพระประธานในโบถส์เลยข้อนี้ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะทำ


ที่ผมเขียนมานี้ไม่ทราบว่าผิดหรือถูก ถ้าผิดผมก็ต้องกราบขออภัยครับ และผมก็พร้อมจะรับฟังหรืออ่านคำชี้แน่ะจากท่านครับ

0
White Frangipani 27 ก.ค. 56 เวลา 19:07 น. 8

สวัสดีค่ะ ขอยกคำตอบที่3-1มาตอบในช่องคำตอบใหม่นะคะ ดูเหมือนจะอ่านง่ายกว่า


  เห็นคุณตอบเข้ามาเมื่อวานนี้แล้ว แต่ไม่มีเวลาพอที่จะตอบกลับ หากคุณคอยคำตอบอยู่ต้องขออภัยค่ะที่ล้าช้า



อยากจะบอกว่าจริงๆแล้วเราคุยเรื่องเดียวกัน ประเด็นเดียวกันเห็นและเข้าใจคล้ายกันมากอีกด้วย ดีใจค่ะ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น เราจะทำร้ายจิตใจกันโดยที่ไม่รู้ตัว การถูกทำร้ายจิตใจนั้นไม่ดีเลย หรือแม้แต่ไม่ดีกับผู้กระทำหากเราไม่ตั้งใจ เห็นความคิดเห็นที่คุณตอบกลับทำให้ดิฉันยิ้มออกเช่นกันค่ะ แม้ว่ามันจะมีความแตกต่างกันบ้างแต่ดูเหมือนคุณจะรับได้ เข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพยามจะสื่อ ดีใจจริงๆค่ะที่รูปการณ์ออกมาตรงเป้าหมายที่คุณต้องการ(หรือเปล่า) นั้นคือ เรามาร่วมศีกษาธรรม แลกเปลี่ยน เรียนรู้ เป็นครูให้กันและกันแบบพุทธ เพื่อเป็นพุทธ เพราะหลายๆครั้งได้มีโอกาสเห็นหรือพบเจอเหตุการณ์คุยกันเรื่องศาสนาแต่ผลที่ออกมากลายเป็นกองเพลิงหรือสงครามขึ้นมา(แปลกมาก หรือเราเองที่ไม่เข้าใจ) กลัวมากที่จะเกิดเป็นอย่างนั้น ส่วนตัวไม่เคยเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ขอบคุณที่คุณเข้าใจค่ะ



<<<อันนี้ก็จริงครับผมไม่ขอโต้แย้ง แต่ประเด็นนี้สำหรับผู้ที่เข้าใจธรรมะหรือเข้าถึงแก่นธรรมแล้วเท่านั้น แต่หากคนรุ่นใหม่รุ่นหลัง หรือลูกหลานล่ะ>>>

เห็นเช่นเดียวกับคุณนะคะตรงนี้ เห็น เป็นทุกข์ ห่วงใยและสงสารด้วยค่ะ(เมื่อก่อนๆทรมานมาก)  ดิฉันเข้าใจคุณและทุกๆคนที่มีความรู้สึกเช่นนั้น แต่นี้เป็นงานใหญ่และใหญ่มากๆด้วยหากคุณต้องการที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง ลูกหลาน คือหลายๆคนในสังคมและสังคมในวันนี้เป็นอย่างไร เราทุกๆคนรู้อยู่ความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย วัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปในทางที่ลูกหลานเองก็ไม่ต้องการที่อยากให้เป็นในหลายอย่างและในหลายเรื่อง ในหลายๆเรื่องที่ทุกๆคนไม่ต้องการให้เป็นและเกิด กลับเกิดและเป็นเหมือนคลื่นยักษ์ซัดกระหนํ่าลูกหลานตลอดเวลา(พระพุทธเจ้าเป็นบุุคคลคนแรกที่มองเห็นเหตุนี้ซึ่งมีตามคำเล่าขาน แต่วิธีของท่านที่สามารถเยียวยาและแก้ไขได้นั้นกำลังจะสูญหายไปดิฉันเข้าใจว่าคุณกังวล) เชื่อว่าหลายๆคนรู้เรื่องนี้ค่ะ และไม่มีใครต้องการให้มันเกิด ดิฉันเข้าใจคุณ



ความทุกข์ทรมานที่เห็นสิ่งเหล่านี้ มันเคยเกิดขึ้นกับดิฉันเช่นกัน มันเผาไหม้เหมือนไฟนรก เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ นี่เป็นความจริงนะคะทุกครั้งที่เห็นทุกข์ร้องโหยหวลครวญครางเหมือนถูกเผาทั้งเป็น ทุกข์ทรมานเหมือนไฟลามเลียลงไปนอนกลิ้งกลับพื้นทุกข์ทรมานตะโกนร้องช่วยด้วยๆสุดเสียง ทั้งที่ทุกข์นั้นไม่ไช่ทุกข์ของเรา ไม่เกี่ยวกับเราเลย ไม่มีใครช่วยได้ ไม่มียาชนิดไหนบรรเทาได้ ยาคลายเครียดก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่เกี่ยวกับโสตประสาท มันเป็นเรื่องของจิตเพราะจิตเป็นตัวส้่งให้เป็นและให้เกิด จึงเชื่อว่านี้ เป็นธรรมชาติของดิฉัน เป็นกรรม แต่มาวันนี้ความรู้สึกนั้นไม่มี ความทุกข์นั้นเหลืออยู่เลยความรู้สึกนั้นดับหายไปอย่างสิ้นเชิง เห็นทุกข์ก็ไม่ทุกข์ แต่ที่แย่คือเห็นสุขก็ไม่สุขนี่สิแย่เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน(บางครั้งยังหลงเรียกหากิเลสอยู่หรือตราบใดที่มีชีวิตอยู่มันยังแอบซ่อนอยู่หรือนั้นก็เป็นธรรมชาติ) มาวันนี้ชินกับมันแล้วค่ะ ความรู้สึกนี้ มีความรู้สึกเฉยๆกับทุกอย่างเพราะเข้าใจว่าวิธีที่จะสงบได้จริงๆคงต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน และนั้นก็ตรงตามคำบอกเล่าของบรรพบุรุษ เป็ตำนานการเล่าขานต่อๆกันมาที่มาจากพุทธ(เห็นเป็นอาการเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า แต่อยากแบ่งปันเท่านั้นค่ะ อโหสิให้ดิฉันด้วยก็แล้วกันหากเห็นเป็นเช่นนั้น^__^) ในที่สุดก็เกิดเป็นความสงบในจิตใจ  ที่เขียนมาตรงนี้มิได้ตั้งใจที่จะให้เห็นเป็นภาพของความวิเศษเลิศเลอหรืออภินิหารย์ของดิฉันแต่ประการใด ซึ่งในความเป็นจริงทุกๆคนมีสิทธิ์เป็นและหลุดพ้นได้เช่นกันและเท่าเทียมกัน เราทุกคนได้มาเท่ากันในธรรมชาติของความเป็นคน อีกครั้งที่อยากที่จะยํ้าว่า คุณคงมีอาการคล้ายๆดิฉันในครั้งหนึ่งที่เล่ามานี้อย่างแน่นอน คุณเห็นทุกข์คุณทุกข์และทรมานไช่หรือเปล่าคะ พยายามเข้านะคะแล้วคุณจะหลุดพ้น



หากคุณต้องการที่จะทำงานใหญ่ที่ดิฉันกล่าวมา "คน" เป็นคนแรก คือคุณเองค่ะ ที่จะต้องไม่ทุกข์ที่เห็นทุกข์ ไม่เจ็บปวด ไม่ทุกข์ทรมาน หากเรามีอาการเหล่านี้คุณจะช่วยคนทุกข์ได้อย่างไร จะพากันทุกข์หนักเข้าไปนะคะเช่นที่เราๆเห็นอยู่นี้ไงคะ เช่นหลายๆคน(หมายถึงทั่วโลกนะคะ)เขาทั้งหลายประกาศบอกว่าต้องการสร้างความสันติสุขแก่มวลมนุษยชาติ แต่ต้องทำสงครามเพื่อกวาดล้างก่อน ถล่มกันเป็นว่าเล่นเลยทุกซอกทุกมุุม(เขาทั้งหลายเข้าใจผิด หรือเราเข้าใจผิดไป^ ^) สงครามในหลายๆรูปแบบ สงครามศาสนา สงครามอาวุธ สงครามเศรษฐกิจ โดยที่ผู้กระทำไม่รับรู้เลยดวยว่าทำอะไรลงไป และที่แย่การกระทำนั้นกลายเป็นแฟร์ช้ั่น กลายเป็นความเคยชิน หลายๆ คนทำตามกันติดเป็นลูกโซ่ เกิดเป็นวัฒนธรรม เกิดเป็นยุคและสมัยเช่นที่เราๆเห็นๆอยู่นี้ไงคะ และแน่นอนดูเหมือนกับว่าจะแย่ลงไปทุกทีอีกด้วย กลับกลายเป็นไปได้อย่างไรกัน ดิฉันไม่เข้าใจ ทั้งที่เขาทั้งหลายต้องการ ความสงบสันติแท้ๆ (งง)



"คุณ" ก็คงเป็นอีกคนที่ไม่เข้าใจไช่หรือเปล่า และแล้ววันหนึ่งคุณจะเข้าใจค่ะ แต่...ที่สำคัญทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราค่ะ เริ่มที่ตัวเราทั้งหมดเลยทีเดียว อดทน อดกลั้น ตรึกตรอง พิจารณา ม้่นคง เมตตา ปรานี เอื้อเฟื้อ เผื่อแพร่ เปิดใจให้กว้าง สัมผัสให้ได้กับความรู้สึกของตัวเอง ทำสมาธิ หม้่นฝึกสติให้สว่างใสว ทั้งหมดนี้ เป็นการเริ่มแก้ไขปัญหาสังคมดูเหมือนคุณจะมีอยู่แล้วทั้งหมดนี้ ขอให้คุณหนักแน่นเข้าไว้ค่ะ และแล้วทุกอย่างจะเป็นไปเอง คุณอย่ากังวลมาก ทุกข์มากไปเลย ที่คุณทำอยู่นี้ก็เป็นจุดเริ่มแล้วค่ะ



สุดท้าย จากที่ยาวๆมากๆอีกแล้วนี้ ดิฉันอยากที่จะบอกคุณว่า คนเราคุยกันปรึกษาหารือ แบ่งปันแลกเปลี่ยนกันนั้น เพียงเรายอมรับกัน พยายามเข้าใจ ให้เกียรติและเกรงกันนั้นก็ได้เกิดเป็นสังคมที่สงบสุขได้แล้วค่ะ จะถูกหรือผิดนั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะในโลกใบนี้มีความแตกต่างเป็นแก่นสาร "ความแตกต่างนั้นไม่ไช่ตัวตัดสินว่าใครผิดหรือถูกเสมอไป" (ส่วนตัวคิดอย่างนั้นหรือศรัทธาอย่างนั้นค่ะ)




เมตตา คํ้าจุนโลก ที่คุณตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เห็นเป็นความเมตตาค่ะ(เห็นเป็นพุทธ) คุณเมตตาตัวเองคุณไม่อยากเห็นทุกข์(อยากพ้นทุกข์) คุณเมตตาสังคม คุณมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง พยายามต่อไปนะคะ ขออนุโมทนาด้วยกับความเมตตานี้ค่ะ การแก้ไขที่คุณต้องการ คุณได้จุดประกายมันขึ้นมาแล้วดิฉันเห็นเช่นนั้น ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ^___^




ปล.ทุกครั้งที่ขาดความมั่นใจ จงสร้างความม้่นใจด้วยการตั้งสติ ไม่ต้องกลัวหรือเกรง ว่าจะผิดหรือถูก สติจะจัดการทุกอย่างเองค่ะ สติมันรู้ทุกอย่างอยู่แล้วมันมีหน้าที่เพื่อการรู้อยู่แล้ว ปลุกมันขึ้นมาค่ะ สูดลมหายใจเข้าออกให้ลึกๆยาวๆ ในลมหายใจนั้นในอ๊อกซิเจนนั้นให้พลังที่จะก่อให้เกิดเป็นสติที่สว่างใสว และจะเห็นได้ซึ่งเหตุ และผล ถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควรได้อย่างมหัศจรรย์ สติมีพลังทั้งบวกและต้านอย่างแปลกประหลาดอีกด้วย ข้อความนี้เป็นคำเล่าขานมาจากพุทธ หวังว่าคุณจะทำได้สำเร็จนะคะ(ดูสุดโต่งเกินไปหรือเปล่าคำบอกเล่านี้ ขออภัยค่ะหากอ่านแล้วเหมือนนิยายแฟนตาซี กำลังคิดที่จะหัดเขียนอยู่ ข้อความทั้งหมดนี้อาจจะได้อิทธิพลมาจากเหตุนี้ก็เป็นได้ ขอให้เพื่อนๆอ่านด้วยการใช้วิจารณญาณด้วยค่ะ^___^)



รอกระทู้ธรรมกระทู้ต่อๆไปนะคะ^__^


0
Big Snake 27 ก.ค. 56 เวลา 21:14 น. 9

อา! ขอบคุณพี่สาวอีกครั้งหนึ่งครับ ที่ได้แสดงความคิดเห็นมา พร้อมทั้งเข้าใจในตัวผม และกระทู้นี้ของผม คุณพี่สาวเขียนมาชะยาวจนผมอ่านเพลินเลย ( อารมณ์ดี )


อันที่จริงผมไม่ได้เป็นทุกข์อะไรเลยครับสำหรับเรื่องนี้ ไม่รู้จะเป็นทุกข์ด้วยเรื่องอะไร


เพียงแต่ว่าในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ สิ่งไหนที่มันถูกต้องสมควรทำ หรืออนุรักษ์ไว้ เราทุกคนที่เป็นชาวพุทธก็ควรจะทำครับ ผมดีใจนะครับที่เราได้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกันจากทุกๆท่าน


แถมเหมือนกับได้พูดคุยกันด้วยทำให้รู้ว่าคนๆนั้นเป็นคนอย่างไร อย่างพี่สาวก็เป็นคนอารมณ์ดี ชอบคุยชอบเขียน ผมหวังว่าพี่สาวจะต้องได้เป็นนักเขียนนิยายที่เก่งในอนาคตเร็วๆนี้แน่นอนครับ


ผมหวังว่าคงจะได้พูดคุยหรือพบเจอกันในกระทู้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในทางธรรมกันต่อไปนะครับรักเลย

0
๛ไหลฤา๛ 1 ส.ค. 56 เวลา 22:29 น. 11

อันที่จริง พระพุทธรูปก็มีทั้งข้อดีและไม่ดี

ถ้าเรากราบไหว้แล้วระลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ เกิดศรัทธา และน้อมนำมาปฏิบัติให้ตนเดินตามรอยของท่าน ก็เป็นกุศล

ถ้าเรากราบเพราะเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็เป็นกิเลส เป็นความโลภ เป็นตัณหา เกิด อกุศล ทันที 

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม ครับ

0
Big Snake 5 ส.ค. 56 เวลา 21:34 น. 12

ขอบพระคุณครับ สำหรับความคิดเห็นที่ถูกต้อง ตรงจุดประสงค์ของกระทู้มากครับ

ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป เช่นกันครับ คุณ ไหลฤา

ถูกต้องเยี่ยม

0
What-whatyoursay 20 ส.ค. 64 เวลา 01:39 น. 14

ทําเป็นรู้นะครับพระพุทธเจ้าเขาแค่ต้องการเผยแพร่ความรู้เพื่อให้คนรุ่นหลังเป็นคนดี ไม่เคยขอให้กราบไหว้เลย(ถ้ากราบตัวเป็นๆว่าไปอย่างนี้...)

0