เคยเขียนนิยายไปสักพัก แล้วอยู่ ๆ สะดุดเพราะ "ความจริง" ไหมครับ...
ตั้งกระทู้ใหม่
เผอิญผมอยากเขียนฉากงานแต่งงาน...โดยไม่เคยแต่งงานมาก่อน...(ยังหาเจ้าสาวไม่ได้)
ผมติดภาพในหนัง ในละคร แม้แต่ในนิยายว่า...ฉากแต่งงานโรแมนติคหวานซึ้งต้องเป็นชายทะเล เจ้าสาวแต่งชุดขาว เจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้า จุมพิตสาบานรักกัน เจ้าสาวโยนดอกไม้ เพื่อนเจ้าสาวตะครุบดอกไม้ แหม...เป็นฉากแต่งงานที่โรแมนติคและเขียนง่ายเหลือเกิน...
ผมลงมือเขียนไปได้ห้าหกหน้า แล้วอยู่ ๆ ผมก็สงสัยขึ้นมาว่า... เอ๊ะ? ฉากแต่งงานที่ผมกำลังเขียนเป็นฉากแต่งงานแบบคริสต์ไม่ใช่เหรอ? แล้วถ้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ได้นับถือคริสต์ จะแต่งแบบคริสต์ได้ไหม?
ถ้าไม่สะดุดที่ "ความจริง" ผมคงเขียนต่อไปแล้ว... แต่เป็นเพราะความสงสัย ผมจึงเปิดหาข้อมูลอย่างบ้าระห่ำ
ได้ข้อสรุปว่า... ถ้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ได้นับถือคริสต์ แต่งงานแบบคริสต์ไม่ได้นะคร้าบ อย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องนับถือคริสต์ ถึงจะแต่งแบบคริสต์ได้ และต้องอบรมคู่แต่งงานพร้อมทั้งขั้นตอนอื่น ๆ อีกมากมาย ฯลฯ
OMG ภาพในละครหลอกลวงผมงั้นสิ! ผมต้องกลับไปแก้งานที่เขียนไว้ เท่านั้นยังไม่พอ...ผมต้องหาข้อมูลการแต่งงานแบบไทยอีก เกริ่นไว้แล้วว่าผมไม่เคยแต่งงาน และยิ่งหาข้อมูล ผมยิ่งรู้สึกว่า...การแต่งงานช่างมีรายละเอียดยิบย่อยอะไรขนาดนี้!!!
ผมใช้เวลาหาข้อมูลเพื่อ "ความจริง" อยู่เป็นอาทิตย์ ๆ... ลงรายละเอียดแม้กระทั่งลำดับพิธีการช่วงเช้า ช่วงเย็นมีอะไรบ้าง ของชำร่วยไม่เป็นมงคลมีอะไรบ้าง ส่งตัวกันอย่างไร คำพูดตอนส่งตัวล่ะ พิธีกรมาตอนไหน ช่างแต่งหน้ามากี่โมง ใช้เวลาเตรียมงานนานเท่าไหร่ ดอกไม้ให้ใครจัด ชุดเจ้าสาวแบบไทยมีกี่แบบ ชุดแต่งงานแบบสากลมีกี่แบบ ทรงผมเจ้าสาว แห่ขันหมากยังไง ธีมงานแต่งคืออะไร ปัญหาระหว่างงานแต่งล่ะ ฯลฯ... ผมเขียนฉากแต่งงานอลังการงานสร้างได้ 30 หน้ากระดาษ...ผมโดนทักว่า จะเขียนหนังสือเรื่องวิธีการแต่งงานแบบไทยหรือไง!!! (ก็คงจะเป็นยังงั้น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ตอนรีไรท์ต้องตัดบางส่วนทิ้ง)
ผมเห็นภาพจริง ๆ เลยว่า...งานแต่งงานเหนื่อยมาก!!! ไม่เห็นจะง่าย ๆ เหมือนในละครเลยอ่ะ
วันนี้ งานเขียนของผมสะดุดลงอีกครั้งเพราะ "ความจริงเรื่องการจดทะเบียนสมรส และการขอพาสปอร์ตกับวีซ่าเพื่อไปฮันนี่มูนยังต่างประเทศสำหรับเจ้าสาวผู้เปลี่ยนนามสกุล ใช้เวลากี่วันเอ่ย"
OMG ตอนนี้ผมกลายเป็นผู้เกือบเชี่ยวชาญด้านการขอพาสปอร์ตและวีซ่าไปแล้ว ทั้งที่ไม่เคยไปต่างประเทศเลยสักครั้ง!!!
คนในบอร์ดนักเขียนล่ะฮะ เคยเขียน ๆ นิยายไปแล้วอยู่ ๆ สะดุดเพราะ "ความจริง" จนต้องวางมือจากงานเขียนเพื่อค้นหาข้อมูลอย่างบ้าระห่ำบ้างหรือเปล่า?
สำหรับผม...ผมมีข้อมูลสำหรับแต่งนิยายรักไปอีกนานแสนนาน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ปล. ขอโทษที่พร่ำเพ้อยาว ตอนนี้ผมกำลังจะอาเจียนข้อมูลด้านพาสปอร์ตและวีซ่าออกมาอ่ะครับ เขียนไม่กระเตื้องเลย แอบเครียดตัวเองที่เป็นคนช่างสงสัยจริง ๆ!!! ความจริงจะข้าม ๆ ไปก็ได้ แต่ผมสงสัยอ่ะครับ มันหยุดไม่ได้จริง ๆ!!!
28 ความคิดเห็น
ที่ญี่ปุ่น ถึงไม่ได้เป็นคริสต์ แต่ก็แต่งแบบคริสต์
...เพราะค่าแต่งมันถูก
เป็นค่ะ กว่าจะได้เขียนอ่านหาข้อมูลจนลืมเขียนไปเลยแบบลิ้งต่อไปเรื่อยๆ
โหน่าสนใจอ่ะ กดต่อๆๆๆๆ เพลิน!!หมดเวลาไปวันๆ
นั้นเปนเรื่องดีที่ทำให้เราได้รู้มากกว่าคนอื่น
เราว่าก็ยังดีกว่าเขียนโดยไม่มีข้อมูลในหัวนะครับ
เคยค่ะ หาเรื่องแต่งงานเหมือนกันนี่แหละ แต่ป็นแบบญี่ปุ่นแท้ อ่านไม่รู้กี่เว็บจนแสบตาหมดแหล่ว orz|||
ไม่เคยสะดุด
แต่
ถือเป็นเรื่องปกติของผมเลยล่ะครับ
ผมมีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง
คือ ถ้าไม่แน่ใจจริง ๆ ผมจะไม่ลงมือ ไม่ฟันธง ไม่รีบร้อนด่วนทำอะไร
จนกว่าจะพิจารณา ค้นคว้า ตรวจสอบ จนแน่ใจ
กับการเขียนนิยายก็เช่นกัน
ผมมักจะสงสัยแล้วสงสัยอีก กับรายละเอียด ขั้นตอน ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพล๊อท ในโครงเรื่อง ในเหตุการณ์ ที่ผมได้วางไว้ หรือ ที่มันเกิดขึ้นเองจากการขับเคลื่อนของตัวละคร
ว่า สิ่งนั้นเอย เรื่องนั้นเอย มันต้องเป็น "อะไร อย่างไร แบบไหน ลักษณะไหน"
แล้ว ที่ผมได้คิดไว้ ที่ได้เคยคิดว่า ที่มันเคยปิ๊งขึ้นมาในหัว ไปจนถึงที่ออกแบบเป็นข้อมูลเก็บไว้ในตอนนั้น มัน "ถูกต้อง" อย่างที่มัน "ควรจะเป็น" จริง ๆ แล้วหรือยัง
ยิ่งถ้าเป็นของที่อ้างอิงกับความเป็นจริงแล้ว ผมมักจะหาข้อมูลอยู่นานสองนาน จนกว่าตัวเองจะรู้สึกว่าแน่ใจแล้วจริง ๆ
นั่นแหละ ผมถึงจะเปลี่้ยนไปเรื่องอื่น
แต่ถ้าไม่ ผมก็ยินดีจะขลุกกับมัน ต่อให้ต้องเสียเวลาทั้งวันทั้งคืน ไปกับเรื่อง ๆ เดียว แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยขนาดที่ไม่สำคัญอะไรเลยก็ตามที
เคยยกตัวอย่างของเรื่องที่ผมต้องง่วนกับการหาข้อมูลเพื่อให้แน่ใจในข้อมูลในความเป็นจริงมาแล้วที่กระทู้ที่คุยกันเรื่องการอ้างอิงความจริง
กระทู้นี้ครับ
http://www.dek-d.com/board/view/3008576
เป็นทุกครั้งที่มือของผมสัมผัสคีบอร์ด (เวอร์ไปไหมเนี่ย)
ขนาดแต่งนยายแฟนตาซีนะนั่น 555+
พูดถึงงานแต่งงาน...
ใช่ครับ งานลักษณะนี้เหนื่อยมาก
ฉะนั้นจึงมีพวกอาชีพรับจัดงานยังไงล่ะครับ จัดครั้งหนึ่งก็เรียกไปหลายบาทอยู่
ก็เคยถามที่บ้านเหมือนกันตอนที่งานแต่งพี่สาว เห็นเลขยอดแล้วก็อึ้งว่าขนาดนั้นเลยเหรอ... ขณะที่บ้านก็มีพื้นที่ หากจะเอาโต๊ะของร้านรู้จักมาลง มันก็น่าจะเซฟได้ีอีกบาน
แต่พอจัดงานผ่านไปแล้วก็รู้สึกว่าให้พวกรับงานมาทำก็น่าจะดีแล้วล่ะ ค่าใช้จ่ายสูงกว่าบ้างแต่เมื่อเทียบกับความสะดวกรวดเร็ว ก่อนเริ่มงาน หลังเก็บงานแล้ว ภาระจัดการกับความเหนื่อยก็ลดลงไปจม
ลำพังแค่เป็นเจ้าภาพในงานก็เหนื่อยจะแย่ล่ะ...
สำหรับนิยายนี่ถ้าเป็นผมเขียน ก็คงเขียนเฉพาะส่วนหลักเป็นสำคัญล่ะนะครับ ส่วนที่เหลือเอามาประกอบเป็นซีนๆไปสำหรับเก็บตกแต่พอประมาณ
จะช่วยให้เหนื่อยน้อยลงครับ หน้ากระดาษก็ไม่เปลืองมาก คนอ่านก็สบายหน่อย
เรื่องข้อมูลนี่ถ้ามีเวลาหาได้อย่างละเอียดก็ดี
แต่ถ้าไม่เคร่งขนาดนั้นก็เอาหลักๆก็พอแล้วครับ เน้นเฉพาะจุดที่เราจะเขียนจริงๆ อันไหนไม่ชัวร์ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ไม่ก็ใช้วิธีบรรยายข้ามฉากส่วนนั้นมาเลยก็ได้
ถ้ามันไม่ได้มีผลกับเรื่องโดยตรง ตัดๆออกไปน่าจะสะดวกกับเราทั้งในเรื่องการหาข้อมูลและการบรรยายครับ ที่แน่ๆหน้ากระดาษที่ดูจะเฝือนี่ลดลงชัวร์
สำหรับผม ความสมจริงในเรื่องโดยมากผมจะใส่ไว้ในระดับที่ "ผู้อ่านจำเป็นต้องรู้" แค่นั้นพอ คือประมาณว่าถ้าไม่เขียนกำกับไว้คนอ่านจะอ่านไม่รู้เรื่อง เลยลงกำกับไว้พอเป็นพิธี ทำนองนั้น... (ของผมแนวแฟนตาซีนะครับ)
เคยเป็นเหมือนกันค่ะ
ตอนหาข้อมูลงานแต่งงานแบบล้านนา
ในชีวิตจริงไม่เคยแต่งแบบนี้ ไม่เคยไปงานแบบนี้
ตอนแต่งงานก็แต่งในโรงแรมทั่วไป
จำได้ว่าแค่ฉากนั้นฉากเดียว ต้องพึ่งกูเกิ้ลเกือบทั้งวัน
พอรวมรวมข้อมูลมาได้ จะเอามาเขียน
กลายเป็นว่ายาวไป กลัวว่าจะเวิ่นเว้อ เลยตัดออกไปร่วม 2 หน้าเอสี่
สรุปที่เสียเวลาเป็นวันๆ ก็มาจบอยู่ที่ฉากบรรยายแค่ย่อหน้าเดียว
เหมือนชีวืตจริงหลายคู่ก็ทำนะเรื่องเเต่งนี่ถึงไม่ได้นับถือก็ตาม
เห็นเขาว่าเพราะมันดูขลัง ง่ายดี
ส่วนใหญ่จะพยายามเขียนให้เป็นกลางๆ ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง หรือไม่ก็เขียนในเรื่องที่เป็นอนาคตมากกว่าปัจจุบันน่ะค่ะ แต่ก็พยายามหาข้อมูลไว้ก่อนเขียนเสมอ
แค่ไม่มีบาทหลวง ก็ไม่ถือว่าแต่งแบบคริสต์ละ
แม้จะงานคล้ายกันก็เถอะ...เพราะถ้าไม่ได้แต่งแบบคริสต์
โบสถ์ส่วนใหญ่ก็ไม่ให้เข้าไปจัดพิธีหรอก
การหาข้อมูลเยอะๆช่วยให้ไม่สะดุด
(ส่วนมากผมหน้าด้านแถตลอด)
เขียนเรื่องตัวเอกตอนกำลังหัดขี่ม้า ก็ต้องค้นคว้าว่าอุปกรณ์สำหรับขี่ม้ามีอะไรบ้าง
พอเขียนถึงฉากที่ตัวเอกเดินทางไ
วันดีคืนดีก็ต้องมานั่งเขียนไทม์ไลน์ พลิกปฏิทินดู เดือนนี้มีสภาพอากาศแบบไหน กลายเป็นนักอุตุนิยมวิทยาไปซะอย่างนั้น
พอเขียนถึงสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์
การเขียนนิยายนี่ทำให้เรามีความ
ใครบอกว่าเขียนนิยายเป็นเรื่องง่ายจะโดดเตะปากให้ดู พับผ่าสิ
เป็นค่ะ เขียนไม่ได้สักพักแล้วมันยังไงไม่รู้อ่ะ เขียนไม่ได้เรื่องเลยแล้วจะเขียนยังไงต่อดีสะดุดเลย
แต่มีเรื่องหนึ่ง ผมเขียนฉากแต่งงานถึงสามครั้งในเรื่องเดียว และเป็นของคู่เดิมด้วย แต่จะเรียกว่าเป็นงานแต่งก็เรียกได้ไม่เต็มปากหรอกครับ ช่วงเช้าก็เป็นพิธีแบบไทย ยอมรับว่าต้องหาข้อมูล อธิบายแต่ละขั้นตอนก็ยาก หาฉากหวานก็ไม่ค่อยได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราติดภาพฉากงานแต่งแบบหวานๆ จากในละครมา ส่วนช่วงค่ำ ก็อยากให้เป็นแบบสากลหน่อย แต่จะจับพิธีแบบคริสเตียนก็จะไม่สมเหตุสมผล เลยให้เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ อะไรเทือกนั้น และเพราะนิยายผมเป็นนิยายกระแสตลาด พระนางมีแง่งอนกันตลอด เอาล่ะสิ ฉากจบจะทำยังไงให้มันหวานตามความต้องของนักอ่าน ผมเลยยัดงานแต่งงานมาอีกรอบ แต่คราวนี้จัดแบบเล็กๆ เป็นงานในครอบครัว ให้พ่อพระง้อแม่นางเอกเทือกนั้น ถ้าย้อนกลับไปอ่านก็รู้สึกว่ามันเยอะเกิน จนรู้สึกว่านิยายมันชักเลี่ยงทะแม่งๆ 555
ตั้งแต่นั้นผมเลยพยายามเลี่ยงฉากแต่งงานเข้าไว้ แต่นั่นแหละครับ นิยายผมเป็นนิยายกระแสตลาด ต้องมีฉากแต่งงานให้เห็นบ่อยๆ คงเลี่ยงทุกครั้งไม่ได้ แต่คงกลับมาใช้วิธีตัดฉากเหมือนเดิม
ปล. จำได้ว่าตอนหาข้อมูลพิธีการแต่งงานแบบไทยใช้เวลาครึ่งวัน และใช้เวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ในการเขียน แต่ถึงอย่างนั้น ยังถูกนักอ่านติงความถูกผิดอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการสวมแหวน ซึ่งจนถึงตอนนี้ผมก็ยังงงอยู่ว่ามันใส่ข้างไหนกันแน่ บางสำนักข้างซ้าย บางสำนักข้างขวา เล่นเอาตึงที่ขมับไปพักใหญ่
เอ๊ะ?..เห็นคนไทยหลายๆคน(ที่นับถือศาสนาพุทธ)เขาก็แต่งแบบคริสต์กันนะคะ
ไม่นะ ปัญหาที่เป็นอยู่ตอนนี้มีแค่อย่างเดียว [ตัน]
เราชอบมีปัญหาเรื่องการใช้คำมากกว่า บางทีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวละครยิบๆ ย่อยๆ ในเรื่องก็สร้างความลำบากเหมือนกัน
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?