Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์

โลกปัจจุบันเป็นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศหรือที่เรียกว่า ยุคไอที ซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทและมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ในหลายด้าน เช่น การติดต่อสื่อสาร การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น นอกจากจะมีผลดีแล้วแต่ก็ยังเป็นช่องทางหนึ่ง ให้มิจฉาชีพเข้ามาแสวงหาประโยชน์อย่างผิดกฎหมาย หรือทำให้เกิดปัญหาการขยายตัวของอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ที่มีความซ้อน ซึ่งเรียกว่า ‘’ อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ‘’ ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นปัญหาทางสังคมอย่างหนึ่งที่กำลังเพิ่มความรุนแรงและสร้างความเสียหายแก่สังคมทั่วไป

1.1 ความหมายของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์

1. การกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับประโยชน์ เช่น การลักทรัพย์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2. การกระทำใด ๆ ที่เป็นความปิดทางอาญา ซึ่งจะต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในการกระทำความผิดนั้น เช่น การบิดเบือนข้อมูล (Extortion) การเผยแพร่รูปอนาจารผู้เยาว์ (child pornography) การฟอกเงิน (money laundering) การฉ้อโกง (fraud) การถอดรหัสโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ให้ผู้อื่นดาวน์โหลด เรียกว่า การโจรกรรมโปรแกรม (software Pirating) หรือการขโมยความลับทางการค้าของบริษัท (corporate espionage) เป็นต้น

1.2 ประเภทของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์

ปัจจุบันอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นมีหลากหลายรูปแบบ ที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของชีวิตและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งแบ่งได้ 9 ประเภท ดังนี้
1) อาชญากรรมที่เป็นการขโมย โดยขโมยจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (internet service provider) หรือผู้ที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต รวมถึงการขโมยข้อมูล ของหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ เช่น การขโมยข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อใช้บริการอินเทอร์เน็ตฟรี เป็นต้น
2) อาชญากรรมที่ใช้การสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาใช้ขยายความสามารถในการกระทำความผิดของตน รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์ปกปิดหรือกลบเกลื่อนการกระทำของตนไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ ด้วยการตั้งรหัสการสื่อสารขึ้นมาเฉพาะระหว่างหมู่อาชญากร ด้วยกันซึ่งผู้อื่นมาสามารถเข้าใจได้ เช่น อาชญากรค้ายาเสพติดใช้อีเมล์ในการติดต่อสื่อสารกับเครือข่ายยาเสพติด เป็นต้น
3) การละเมิดลิขสิทธิ์และการปลอมแปลง เช่น การปลอมแปลงเช็ค การปลอมแปลงสื่อมัลติมีเดีย รวมถึงการปลอมแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
4) การใช้คอมพิวเตอร์เผยแพร่ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว ลามกอนาจาร รวมถึงข้อมูลที่มีผลกระทบทางลบต่อวัฒนธรรมของแต่ละสังคม ตลอดจนข้อมูลที่ไม่สมควรเผยแพร่ เช่น วิธีการก่ออาชญากรรม สูตรการผลิตระเบิด เป็นต้น
5) การฟอกเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และการสื่อสารเป็นเครื่องมือ ทำให้สามารถเปลี่ยนทรัพย์สิน ที่ได้จากการประกอบอาชีพผิดกฎหมาย เช่น การค้ายาเสพติด การค้าอาวุธเถื่อน ธุรกิจสินค้าหนีภาษี การเล่นพนัน การละเมิดลิขสิทธิ์ การปลอมแปลงเงินตรา การล่อลวงสตรีและเด็กไปค้าประเวณี เป็นต้น ให้มาเป็นทรัพย์สินที่ถูกกฎหมาย
6) อันธพาลทางคอมพิวเตอร์และผู้ก่อการร้าย ซึ่งมีวัตถุประสงค์ตั้งแต่การรบกวนระบบจนกระทั่งการสร้างคมเสียหายให้กับระบบโดยการเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แล้วทำลาย ตัดต่อ ดัดแปลงข้อมูลหรือภาพ เพื่อรบกวนผู้อื่น สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การเข้าไปแทรกแซงทำลาย ระบบเครือข่ายของสาธารณูปโภค เช่น การจ่ายน้ำ การจ่ายไฟ การจราจร เป็นต้น
7) การหลอกค้าขายลงทุนผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น การประกาศโฆษณา การชักชวนให้เริ่มลงทุนแต่ไม่ได้มีกิจการเหล่านั้นจริง เป็นต้น
8) การแทรกแซงข้อมูลโดยมิชอบ โดยการนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ต่อตน เช่น การเจาะผ่านระบบอินเทอร์เน็ตเข้าไปแล้วแอบล้วงความลับทางการค้า การดักฟังข้อมูล เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ต่อกิจการของตน เป็นต้น
9) การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ดัดแปลงข้อมูลบัญชีธนาคาร หรือการโอนเงินจากบัญชีหนึ่ง เข้าไปอีกบัญชีหนึ่ง โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายทรัพย์สินกันจริง

1.2 ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมคอมพิวเตอร์

1) ความยากง่ายในการตรวจสอบ ว่าอาชญากรรมจะเกิดขึ้นเมื่อใด ที่ใด อย่างไร ทำให้เกิดความยากลำบากในการป้องกัน
2) การพิสูจน์การกระทำผิดและการตามรอยของความผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดที่เกิดขึ้นโดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ตัวอย่างเช่น การที่มีผู้เจาะระบบเข้าไปฐานข้อมูลของโรงพยาบาล และแก้ไขโปรแกรมการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย ทำให้แพทย์รักษาผิดวิธี ซึ่งตำรวจไม่สามารถสืบทราบและพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด
3) ปัญหาการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่าง ไปจากหลักฐานของคดีอาชญากรรม แบบธรรมดาอย่างสิ้นเชิง
4) ความยากลำบากในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชยากรรมเหล่านี้มักเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งกฎหมายของแต่ละประเทศอาจครอบคลุมไปไม่ถึง
5) ปัญหาความไม่รู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของเจ้าพนักงาน หรือเจ้าพนักงานดังกล่าวมีงานล้นมือ โอกาสที่จะศึกษาเทคนิคหรือกฎหมายใหม่ ๆจึงทำได้น้อย
6) ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากจนหน่วยงานที่รับผิดชอบตามไม่ทัน

1.3 แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอร์

1. มีการวางแนวทางและเกณฑ์ในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีอาชญากรรมคอมพิวเตอร์และช่วยให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการทราบว่าพยานหลักฐานเช่นใด้ควรนำเข้าสู่การพิจารณาของศาล จะได้ลงทาผู้กระทำความผิดได้
2. จัดให้มีผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเข้าร่วมเป็นคณะทำงานในคดีอาชยากรรมคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินคดี
3. จัดตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ เพื่อให้มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะในการปราบปราม และการดำเนินคดีอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
4. บัญญัติกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ รวมถึงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่มีอยู่ให้ครอบคลุมการกระทำอันเป็นความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ทุกปะเภท
5. ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศ ทั้งโดยสนธิสัญญาเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างประเทศทางอาญาหรือโดยวิธีอื่นในการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี และการปราบปรามอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
6. เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ให้แก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆให้เข้าใจแนวคิดและวิธีการ ของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันตนเองเป็นเบื้องต้น
7. ส่งเสริมจริยธรรมในการใช้คอมพิวเตอร์ ทั้งโดยการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคคลทั่วไปในการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้อง โดยการปลูกฝังเด็กตั้งแต่ในวัยเรียนให้เข้าในกฎเกณฑ์ มารยาทในการใช้คอมพิวเตอร์ อย่างถูกวิธีและเหมาสม

2. มารยาททั่วไปในการใช้อินเทอร์เน็ต

1. ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการทำร้ายหรือรบกวนผู้อื่น
2. ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการทำผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรม
3. ไม่เจาะระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของตนเองและผู้อื่น
4. ไม่ใช้บัญชีอินเทอร์เน็ตของผู้อื่นและไม่ใช้เครือข่ายที่ไม่ได้รับอนุญาต
5. การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน

แนวทางการป้องกันอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถปฏิบัติได้ง่าย ๆ มี 4 ข้อดังนี้

1. การป้องกันข้อมูลส่วนตัว โดยการตั้งรหัสเข้าข้อมูลชองไฟล์ข้อมูลที่ต้องการป้องกัน
2. การป้องกันการเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เช่น การใส่ชื่อ Username และ password, การใช้สมาร์ทการ์ดในการควบคุมการใช้งาน หรือกุญแจเพื่อการป้องกันการใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต, การใช้อุปกรณ์ทางชีวภาพ เช่น ตรวจสอบเสียง ลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ลายเซ็น ม่ายตา เป็นต้น
3. การสำรองข้อมูล โดยไม่เก็บข้อมูลไว้ที่เดียว สามารถสำรองไว้ในอุปกรณ์ที่ใช้อ่านอย่างเดียว เช่น แผ่นซีดีและแผ่นวีดีโอ
4. การตั้งค่าโปรแกรมค้นหาและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นการป้องกันที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถป้องกันอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ได้

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

tinnakrit 1 ก.พ. 62 เวลา 17:02 น. 5

้้้้้้้้้้้้้้้้้้้้oh le -

klkkdkgjgjglgllgkgosefk;sldlfkeogskgol jeiorbnuoinv oieutvi ugnvt iwutiguwia ugiawgiuwv8 i v8im vmivm orjvj4ojedsmkdsmvmdslegsdkgrekjlegjlejlgjewgjowgjewkgrdjgfwkgwekljiejslkwiweiwehiwh

0