Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ปรากฎการณ์ความบังเอิญที่เหลือเชื่อ (Synchronicity)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ข้อความจากต่างมิติ - ปรากฎการณ์ความบังเอิญที่เหลือเชื่อ (Synchronicity) เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เอาเปนว่าตอนต่อไป ผมจะโพสเปนคอมเม้นละกันนะคับ ออกความคิดเหนได้^^
เครดิต- Chayutt


(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

โปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารทุกๆชนิดเอาเองนะครับ
ผมเป็นแต่เพียงผู้ที่แปลเขามา และ นำมาแบ่งปันให้ท่านได้อ่านด้วยเท่านั้น
หาใช่เจ้าของข้อมูลแต่อย่างใดไม่

และลิงคืของข้อมูลต้นฉบับภาษาอังกฤษนั้น ผมก็ได้แปะเอาไว้ให้ในที่นี้แล้ว
ในทุกๆโพสต์ที่ผมโพสต์หนะนะครับ ดังนั้น ท่านจึงสามารถสืบค้นย้อนกลับได้ตลอดเวลา

ด้วยความปราถนาดีครับ



ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 1:


สวัสดีที่รักทั้งหลาย ฉันคือครายออนแห่งหน่วยบริการแม่เหล็ก นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งแล้วที่คู่หูของฉัน 
(นาย Lee – ผู้แปล) ต้องหลีกไปก่อน ซึ่งพวกเราก็ได้เคยพูดถึงการสื่อสารทางโทรจิตแบบนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว 
ว่ามันเป็นกระบวนการที่ให้เกียรติแก่มนุษย์โลกกระบวนการหนึ่ง มันเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัย 
“ประตูหลากมิติชีวภาพ” บานหนึ่ง ที่เรียกว่า “ต่อมไพเนียล” (pineal grand) ในการสื่อสาร 
และมันก็จะทำให้สิ่งที่เป็น “แหล่งกำเนิดของการสรรสร้าง” (creative source ซึ่งก็หมายถึงพระเจ้านั่นเอง - ผู้แปล) 
ที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณ ขยายตัวออกมา นี่แหละคือการสื่อสารทางโทรจิตผ่านร่างสื่อหละ (channeling) 

การ channeling คือสิ่งที่มนุษย์โลกสามารถทำได้ และก็สามารถทำได้เสมอมาซะด้วย 
แต่อย่างไรก็ตาม ในยุคพลังงานใหม่เช่นนี้ มันจะทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารที่ใหม่มากๆ, 
มันจะทำให้ได้มาซึ่งความคิดใหม่ๆ, และให้ได้มาซึ่งกระบวนการใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึงพวกคุณอยู่ในขณะนี้

ก่อนที่พวกเราจะเริ่มต้นข้อความหรืออะไรก็ตามแต่ ที่พวกเราตั้งใจจะเอามาสอนพวกคุณในวันนี้นั้น 
ฉันอยากจะถามอะไรพวกคุณซักอย่างหนึ่งก่อน ว่า..

มันจะเป็นไปได้ไหมที่จะมีรูปธรรมชีวิตทรงภูมิปัญญาจากที่ไหนซักแห่งหนึ่ง ในจักรวาลของพวกคุณนี้ 
หรือในกาแล็กซี่ของพวกคุณนี้ ที่ได้ช่วยจัดการให้มันเป็นไปอย่างที่พวกคุณกำลังเห็นกันอยู่ที่นี่ ในวันนี้ จริงๆ? 

มันจะเป็นไปได้ไหม ที่มันจะมีแผนการอันศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาสำหรับมนุษย์โลกอยู่จริงๆ 
เพราะว่ามนุษย์โลกคือส่วนหนึ่งของ “แหล่งกำเนิดแห่งการสรรสร้าง” เช่นเดียวกัน? 

มันจะเป็นไปได้ไหม ที่พวกคุณจะไม่เคยอยู่กันอย่างโดดเดี่ยวเลย? 
มันจะเป็นไปได้ไหม ที่คำว่า “ครอบครัว” มันจะมีความหมายแตกต่างจากที่พวกคุณคิดกันอยู่สักเล็กน้อย 
เพราะว่าบางทีมันอาจจะมีความหมายใหญ่โตกว่าที่พวกคุณคิดกันอยู่ก็ได้? 

มันจะเป็นไปได้ไหม ที่ข้อความทั้งหมดที่ฉันกำลังจะบอกกับพวกคุณอยู่นี้ มันถูกต้อง และเป็นความจริง 
และจริงแท้แน่นอน และมาจากแหล่งข้อมูลที่อยู่นอกกายเนื้อ และอยู่นอกโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณจริงๆ?


คู่หูของฉัน (นายลี) ก็ใช้เวลาตั้งนานกว่าที่จะเข้าใจได้ว่า มันไม่มีการเล่นตลกอะไรอยู่ที่นี่หรอก 
และที่เขาต้องใช้เวลาตั้งนานก็เพราะว่ากรอบความคิดของเขาที่จิตใจของเขาเองเป็นคนสร้างมันขึ้นมา 
ที่ตอนนี้เขาหลุดออกมาจากมันได้แล้วนั้น บอกกับเขาว่ามันจะต้องไม่จริงอย่างแน่นอน 
และบอกว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้จะต้องส่งผลร้ายตามมาอย่างแน่นอน เพราะว่าหลายคนบอกกับเขาว่า 
“พระเจ้าจะไม่มาพูดกับมนุษย์แบบนี้อย่างแน่นอน มันคือเล่ห์เหลี่ยมของฝ่ายมืดที่อยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ต่างหากหละ 
และมันก็ต้องการที่จะครอบครองและกักขังจิตวิญญาณของคุณเอาไว้” 

แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วแล้วว่า ทุกๆครั้งที่เขาเปิดต่อมไพเนียลของตัวเองขึ้นมา 
มันก็จะกลายไปเป็นประตูทางเข้าของความรักของพระผู้เป็นเจ้าเสมอ

นั่นแหละคือทั้งหมดที่เขาได้รับในช่วงแรกๆหละ มันเป็นความบริสุทธิ์ บริสุทธิ์มากๆ มากที่สุดเท่าที่เขาเคยประสบมา 
และมันก็บริสุทธิ์อย่างเสมอต้นเสมอปลายซะด้วย มันคงความบริสุทธิ์อยู่อย่างนั้นเสมอมา 
มันไม่เคยทำให้ตัวเองต้องแปดเปื้อนเลย มันไม่เคยเฉไฉไปเป็นอื่นเลย 
และมันก็ไม่เคยบอก-ไม่เคยสอน ให้มนุษย์ไปทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ต้องตามครรลองครองธรรมเลย 
มันยังคงความเป็นมงคล, ความเป็นกุศล และความเป็นตัวแทนของครอบครัวแห่งจิตวิญญาณขนานแท้ของมันเอาไว้อยู่เช่นเคย 
โดยไม่เคยเปลี่ยนเลย ตลอดระยะเวลา 23 ปีที่ผ่านมา

นั่นแหละคือวิถีที่มันควรจะเป็นหละ ที่รักทั้งหลาย แต่ถ้าหากพวกคุณต้องการอะไรบางอย่าง 
เพื่อมาพิสูจน์ว่ามันเป็นของจริงหรือไม่หละก็ บางที..แค่บางทีเท่านั้นนะ 
พวกคุณอาจจะเปิดส่วนนั้นของหัวใจของพวกคุณเองขึ้นมา เท่าที่พวกคุณจะสามารถเปิดได้ 
แล้วพูดว่า “ฉันอยากจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ฉันอยากจะได้รับการยืนยันจากเซลในร่างกายของฉันเอง 
ว่าสิ่งนี้มันคือความจริงและถูกต้อง” แล้วพวกคุณก็จะเริ่มรู้สึกถึงอาการชาๆหรือเย็นๆ 
ซึ่งพวกคุณจะรู้สึกแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อพวกคุณรู้ว่าความจริงกำลังถูกเปิดเผยอยู่เท่านั้น 

และความจริงที่ว่านั้นก็ง่ายนิดเดียว นั่นก็คือ ฉันรู้จักพวกคุณดี ฉันรู้จักทุกๆชาติภพของพวกคุณด้วย 
ฉันรู้ว่าพวกคุณกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ จิตวิญญาณเก่าแก่ทั้งหลายเอ๋ย ฉันรู้จักพวกคุณทุกๆคน 
และฉันก็กำลังมองดูพวกคุณอยู่ในขณะนี้ด้วย

พวกเราเคยผ่านอะไรๆด้วยกันมามากมายแล้ว แต่ว่าพวกคุณยังไม่เคยได้เห็นหน้าของฉันเลย 
และก็ไม่เคยรู้จักชื่อจริงของฉันด้วย ฉันอยู่กับพวกคุณตลอดเวลา เพราะว่าฉันเป็นหนึ่งในบริพารของพวกคุณ 
ซึ่งมีอยู่จำนวนมากมาย นับล้านล้านชีวิต พวกเราอยู่กับพวกคุณตลอดมา แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดสำหรับพวกคุณ 
หรือในช่วงเวลาที่พวกคุณร้องไห้ หรือในช่วงเวลาที่พวกคุณเศร้าโศกเสียใจก็ตาม 
และแน่นอนว่า รวมถึงในช่วงเวลาที่พวกคุณเฉลิมฉลอง และดื่มอวยพรให้กับชัยชนะของพวกคุณด้วย 
ซึ่งบางครั้งชัยชนะที่ว่านั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องของสุขภาพ แต่บางครั้งก็อาจจะเป็นเรื่องของ
การแก้ไขปัญหาอะไรบางอย่างได้สำเร็จก็ได้ ซึ่งปัญหาที่ว่านั้นพวกคุณได้แบกมันเอาไว้มาชั่วชีวิตของพวกคุณแล้ว 
พวกเรารู้ว่าพวกคุณเป็นใคร และพวกคุณก็ไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยวเลย

แสดงความคิดเห็น

>

13 ความคิดเห็น

skyMsz 9 ม.ค. 57 เวลา 23:58 น. 1
ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 2: ระบบ (The System)


มันมี “ระบบ” อยู่ระบบหนึ่ง ที่คู่หูของฉันได้พูดถึงมาโดยตลอด ในการประชุมแบบนี้ และในช่วงหลายปีมานี้ 
มันคือระบบที่พวกเราเคยพูดถึงกันมาแล้วในหลายๆข้อความ จนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว 
แต่ว่าพวกเราก็ยังไม่เคยอุทิศข้อความทั้งข้อความให้กับมันมาก่อนเลย เหมือนอย่างที่พวกเรากำลังจะทำกันในวันนี้ 
มันเป็นระบบๆหนึ่งที่พวกคุณส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า จะนำเอามันไปใช้ได้อย่างไร แต่ว่าพวกคุณบางคน 
ก็ใช้มันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แค่พวกคุณไม่รู้เฉยๆว่ากำลังใช้งานมันอยู่เท่านั้นเอง 
เพราะว่ามันไม่ใช่การหยั่งรู้ในแบบที่พวกคุณเคยเรียนรู้กันมาก่อน

ดังนั้น ข้อความๆนี้จึงกำลังจะพูดถึงเรื่อง “ความบังเอิญแบบเหลือเชื่อ เกิดขึ้นได้อย่างไร” 
(the way synchronicity works ) และพวกเราก็จะตั้งชื่อเรื่องย่อยให้กับมันด้วยว่า 
“การล่มสลายของกราฟรูประฆังคว่ำ” (The Demise of the Bell-shaped Curve) 

[ครายออนหัวเราะ] 

เมื่อใดที่มีอะไรบางอย่างที่ดีๆเกิดขึ้นกับพวกคุณ เพื่อนๆของพวกคุณก็มักจะพูดว่า 
“คุณช่างเป็นคนที่โชคดีอะไรอย่างงี้นะ! มันช่างบังเอิญอะไรแบบนี้ ที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับคุณได้?” 
และเมื่อใดที่พวกคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบาก ซึ่งเป็นเรื่องทั่วๆไปของมนุษย์โลก 
เช่น การผ่าตัด เป็นต้น แต่ว่า..พวกคุณกลับผ่านพ้นมันไปด้วยดี แถมยังได้ผลลัพธ์ในทางบวก 
เกินความคาดหมายอีกด้วย เพื่อนๆของพวกคุณก็จะพูดอีกว่า “คุณช่างเป็นคนที่โชคดีอะไรอย่างงี้!” 
แล้วหลังจากนั้น คุณก็ยัง “โชคดี” ต่อไปอีกเรื่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

บางที เวลาที่พวกคุณเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วได้พบกับบุคคลที่ “ใช่” เข้าโดยบังเอิญ 
ซึ่งเป็นผู้ที่รู้จักกับบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่มีข้อมูลข่าวสารที่พวกคุณกำลังมองหาอยู่พอดิบพอดี 
จึงทำให้ในท้ายที่สุด พวกคุณได้ในสิ่งที่ตัวเองกำลังต้องการอยู่พอดีเลย มันช่างบังเอิญอะไรแบบนี้? 
แล้วเพื่อนๆของพวกคุณก็จะพากันประหลาดใจว่า “คุณช่างเป็นคนที่โชคดีมากจริงๆเลย จนไม่น่าเชื่อ!” 

นั่นแหละคือสิ่งที่มนุษย์จะสามารถพูดได้ เพราะว่ามันไม่มีคำอธิบายอย่างอื่นอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกเขานั่นเอง 
เพราะว่าแนวความคิดที่ว่าพวกคุณจะต้องเป็นไปตามกฎของกราฟรูประฆังคว่ำแห่งค่าเฉลี่ยจริงๆ 
หรือเป็นไปโดยสุ่มจริงๆนั้น ทำให้การนำเอา “ระบบ” ที่มีอยู่แล้วนี้มาใช้ จึงไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขาเลย

(หมายเหตุ: กราฟรูประฆังคว่ำ หรือ Bell-Shaped Curve หรือที่เรียกว่า Normal Curve 
หรือ กราฟการแจกแจงแบบปกตินั้น เป็นกราฟการแจกแจงทางสถิติแบบหนึ่ง ที่ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเป็นไป 
ในกลุ่มประชากรใดๆล้วนเป็นไปโดยสุ่มอย่างสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น คือมีโอกาสเกิดขึ้นเท่าๆกันทั้งสิ้น 
ดังนั้น พอนำมาพล็อตกราฟแล้ว ก็จะได้โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นในช่วงกลางๆมากกว่าเพื่อน 
ส่วนโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นในช่วงหัวและท้ายก็จะค่อยๆน้อยลงไปตามลำดับแบบมีสมมาตร 
จึงได้กราฟรูปร่างคล้ายระฆังคว่ำออกมา – ผู้แปล)



(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต – กราฟรูประฆังคว่ำ)


มนุษย์มองไม่เห็นโครงสร้างของ Synchronicity เพราะว่ามันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบใดๆ
ที่พวกเขากำลังใช้กันอยู่นี้เลย ดังนั้น พวกเขาจึงคิดแต่ว่า มันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น 
และระบบเพียงระบบเดียวที่พวกเขาใช้กันอยู่ก็คือ การตั้งเป้าหมาย, การวางแผน และการคาดการณ์ล่วงหน้า 
ซึ่งด้วยระบบนี้เท่านั้น ที่มนุษย์เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้ 
อันที่จริงแล้ว นี่คือวิธีเดียวที่จะทำให้มนุษย์โลกคนหนึ่งสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ ในแบบที่เป็นเส้นตรง 
เพื่อที่พวกเขาจะได้ไปถึงเป้าหมายที่ตัวเองได้วางเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วได้ ซึ่งในระบบที่เป็นเส้นตรงดังกล่าวนี้ 
ไม่ว่าพวกคุณจะไปหยิบเอาระบบไหนมาศึกษาก็ตาม ก็จะทำให้พวกคุณเริ่มต้นจากจุด A ไปสู่จุด B เสมอ 
ซึ่งมันจะต้องมีเป้าหมายเสมอ พวกคุณบางคนถึงกับเขียนเป้าหมายเหล่านั้นลงบนกระดาษ แล้วเอาไปแปะไว้บนฝาตู้เย็น 
เพื่อที่จะได้มองเห็นมันได้ทุกๆวันด้วยซ้ำไป นี่คือกระบวนการที่เป็นแบบเส้นตรงกระบวนการหนึ่งของมนุษย์ 
และมันก็เป็นกระบวนการที่รู้จักกันดีซะด้วย

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันบอกกับพวกคุณว่า 
มันมีกระบวนการๆหนึ่งที่ไม่เป็นไปในแบบเส้นตรงอยู่ 
และมันก็มีแค่เป้าหมายแบบที่เป็นหลักการณ์คร่าวๆอยู่เท่านั้นเอง?
 

ซึ่งเป้าหมายที่เป็นหลักการณ์แบบคร่าวๆที่ว่านี้ ก็คือเป้าหมายที่ว่า 
“พระผู้เป็นเจ้าเจ้าขา ขอได้โปรดนำข้าพเจ้าไปไว้ในที่ๆ “ถูกที่” ด้วยเถิดเจ้าข้า 
แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนก็ตาม 
พระผู้เป็นเจ้าเจ้าขา เมื่อใดที่พระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้นแล้ว 
ก็ขอได้โปรดทำให้มันเป็นที่สะดวกสบายแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด 
และขอได้โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถมองเห็นอาการของมันได้ด้วยเถิดเจ้าข้า 
และขอได้โปรดช่วยนำพาข้าพเจ้าไปสู่สถานการณ์ที่ๆใช่ 
และไปสู่ synchronicity ที่ใช่ อย่างง่ายดายด้วยเถิดเจ้าข้า 
เพื่อให้มันนำพาข้าพเจ้าไปสู่สถานที่แห่งนั้น ที่ข้าพเข้าไม่รู้จักด้วยเถิดเจ้าข้า” เป็นยังไงบ้าง?


แต่ถ้าพวกคุณเอาคำพูดเหล่านี้ ไปพูดกับใครสักคนที่อยู่ข้างถนนหละก็ พวกเขาก็อาจจะพูดว่า 
“คุณจะต้องเป็นพวก New Age แน่ๆเลย!” แล้วพวกเขาก็จะมองพวกคุณว่า เป็นพวกโง่เง่า และไร้แก่นสาร 
ปราศจากเป้าหมาย ได้แต่หวังพึ่งพาจักรวาลให้นำทางให้แก่พวกคุณอยู่ตลอดเวลา ไม่ด้วยวิธีการใดก็ด้วยวิธีการหนึ่ง 
แล้วพวกเขาก็จะหัวเราะเยาะพวกคุณ 

แต่ว่ามนุษย์โลกคนใดที่เริ่มต้นใช้ปรากฎการณ์ synchronicity นี้ 
เพื่อให้เป็นวิถีทางในการดำรงชีวิตของตัวเองแล้ว 
พวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงกรอบความเชื่อของตัวเองได้อย่างง่ายดาย 
โดยกรอบความเชื่อของพวกเขา ก็จะครอบคลุมไปถึง “อะไรบางอย่าง” 
ที่มีพร้อมอยู่แล้วสำหรับทุกผู้ทุกนาม 
เพียงแต่มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง 3 มิติแห่งนี้เท่านั้นเอง 


อันที่จริงแล้ว พวกคุณบางคนก็กำลังใช้กระบวนการนี้อยู่แล้ว 
และก็ใช้มานานมากแล้วด้วย เพียงแต่ว่าพวกคุณไม่รู้ว่ากำลังใช้มันอยู่เท่านั้นเอง


..............................

มันมีหลายตอนนะคับ ผมจะเขียนตอนเปนคอมเม้นละกัน อย่าเครียดนะคับถือว่าอ่านเล่นๆก็ได้นะ ^^



0
skyMsz 9 ม.ค. 57 เวลา 23:59 น. 2
ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 3:

ความเป็นจริงเกี่ยวกับพลังอำนาจของปรากฎการณ์ Synchronicity


ดังนั้น ข้อความของพวกเราในวันนี้ ก็จะมาพูดถึงเรื่อง พลังอำนาจของปรากฎการณ์ Synchronicity กัน 
และพูดถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับมันด้วย พอมาถึงตรงนี้ พวกคุณก็ได้รู้แล้วนะว่ามันคืออะไร 
ดังนั้น พวกเราก็จะมาอธิบายว่ามันมาจากไหน และใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับมันบ้าง 
และพวกคุณจะสามารถช่วยให้มันเกิดขึ้นกับตัวเองได้อย่างไรบ้าง 

มนุษย์โลกจะสร้างปรากฎการณ์ Synchronicity ให้เกิดขึ้นได้ 
ด้วยความตั้งใจ และ ด้วยความเชื่อของพวกเขาเอง 
นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของมันหละ


คราวนี้..หัวข้อต่อจากนี้ไป ก็จะมาจากคู่หูของฉัน ซึ่งเขาอยากจะพูดถึง “เทพประจำที่จอดรถ” (Parking Angel) 
สักหน่อย [เสียงหัวเราะ] เพราะว่านี่เป็นตัวอย่างของการใช้งาน synchronicity ของเขา 
ดังนั้น พวกเราก็จะมาทำแบบเดียวกันนี้ด้วย 

มี Light Workers จำนวนมากมาย ที่ชอบใช้งานสิ่งที่พวกเขาเข้าใจกันไปว่า มันคือเทพพิเศษองค์หนึ่ง 
ที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลที่จอดรถขนาดมหึมาอยู่ เพื่อคอยดูว่าใครกำลังถอยรถออกจากที่จอดรถอยู่บ้าง 
และมีที่จอดรถว่างอยู่ที่ไหนบ้าง แนวความคิดนี้ก็คือ มนุษย์คนใดที่ต้องการที่จอดรถ 
ก็จะร้องขอให้เทพประจำที่จอดรถองค์นั้นช่วยนำทางไปสู่ที่จอดรถที่ดีๆสักที่หนึ่ง 
เห็นไหมหละ ว่านี่ไม่ใช่การวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแต่อย่างใดเลย

มันเป็นหลักการณ์ที่แตกต่างออกไป มันเป็นหลักการณ์ที่พวกคุณจะต้องฝากเนื้อฝากตัวเอาไว้กับเทพองค์หนึ่ง 
ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นดวงตาให้กับพวกคุณ และจะคอยจับตาดูอยู่สูงขึ้นไปเหนือที่จอดรถเพื่อคอยดูความเป็นไปต่างๆ
ของที่จอดรถทั้งหมด และเพื่อคอยดูกว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้นอยู่บ้าง ซึ่งถ้านั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้ 
ดังนั้น ในโลก 3 มิติของพวกคุณ พวกคุณก็จะสามารถขับรถเข้าไปจอดในที่ๆเพิ่งมีใครบางคนถอยรถออกมาพอดีได้ 
และมันก็ได้ผลดีซะด้วย! มันได้ผลจริงๆ มันได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่า และที่มันได้ผลก็เพราะว่า 
นี่แหละคือคำจำกัดความของคำว่า synchronicity หละ 

มันไม่มีการวางแผนใดๆเอาไว้ล่วงหน้าเลย แต่มันเป็นแค่หลักการณ์อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง 
ที่พวกคุณจะมอบหมายให้เทพองค์นั้นช่วย และก็เชื่อมั่นในความช่วยเหลืออันนั้นด้วย 
ซึ่งก็คือความช่วยเหลือในการดูภาพรวมของเหตุการณ์ทั้งหมด ที่พวกคุณไม่สามารถทำได้เองในมิติที่ 3 แห่งนี้ 
ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะเอาแต่ขับรถวนไปรอบๆเพื่อมองหาที่จอดรถเอง 
และคาดหวังอยู่แต่กับความบังเอิญที่จะได้เจอที่จอดรถเท่านั้น

คราวนี้ ฉันก็สามารถที่จะปิดคำอภิปรายเกี่ยวกับเทพประจำที่จอดรถได้แล้ว 
โดยไม่ต้องเล่าถึงเรื่องราวส่วนที่เหลือของมันให้พวกคุณฟัง แม้ว่าคู่หูของฉันยังจะอยากให้ฉันเล่าให้พวกคุณฟังอยู่ก็ตาม 
เพราะว่ามันไม่มีหรอกนะเจ้าสิ่งที่เรียกว่า “เทพประจำที่จอดรถ” หนะ! แต่มันเป็นเพราะตัวของพวกคุณเองต่างหาก 
ที่พากันไปยกพลังอำนาจของตัวเองให้กับรูปธรรมชีวิตในจินตนาการของตัวเองรูปธรรมหนึ่ง 
ที่พวกคุณจินตนาการขึ้นมาว่า มันกำลังยืนอยู่บนรถของพวกคุณ และมีตัวอักษร P อยู่ที่หน้าอกเสื้อด้วย [เสียงหัวเราะ]

มนุษย์โลกจะเก่งมากในเรื่องแบบนี้ เพราะว่าพวกเขาจะไม่เชื่อเลยว่าพวกเขาจะสามารถทำมันได้เอง 
แต่พวกเขาจะเชื่อว่าพลังอำนาจของทวยเทพจะสามารถทำมันได้แทน 
เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงพากันยกพลังอำนาจของตัวเองไปให้กับรูปธรรมชีวิตชั้นสูงกว่าแทน 

แต่อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นผู้ทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆก็คือตัวพวกคุณเองนั่นแหละ! 
ที่รักทั้งหลาย มันคือตัวพวกคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้ค้นหาที่จอดรถอันนั้นจนเจอ 
เพียงแต่ว่าพวกคุณไม่เชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นเท่านั้นเอง


คราวนี้..พวกเราก็จะขอนำเอาตัวอย่างเดียวกันนี้ มาอธิบายในขอบข่ายที่กว้างขึ้นไปอีกสักหน่อย 
ซึ่งเป็นขอบข่ายในระดับชีวิตและในระดับบการดำรงชีวิตของพวกคุณ 

สมมุติว่าพวกคุณพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ที่พวกคุณต้องการที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า 
ไปสู่จุดที่พวกคุณยังไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งทั้งหมดที่พวกคุณต้องการก็คือ “การจอดรถ” ซึ่งการจอดรถที่ว่านี้ 
ก็เป็นแค่การอุปมาอุปมัย ถึงการที่พวกคุณนำเอายานพาหนะแห่งความเป็นมนุษย์โลกของตัวเอง 
ไปไว้ในที่ๆเหมาะสมกับชีวิตของตัวเองเท่านั้นนะ ไม่ว่าที่แห่งนั้นมันจะเป็นที่ไหนก็ตามแต่ 
และที่มันนำพาพวกคุณไปที่นั่น ก็เพื่อที่จะให้พวกคุณสามารถเคลื่อนที่ต่อไป ยังจุดที่พวกคุณต้องการจะไปได้ 
นั่นคือการอุปมาอุปมัย

มนุษย์โลกมักจะมีความคิดหนึ่งอยู่แล้วว่า ที่ๆว่านั้นน่าจะเป็นที่ไหน เพราะมันเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกคุณ
ที่จะสร้างเป้าหมายและความคาดหวังขึ้นมา มนุษย์โลกจะพูดว่า “ฉันต้องการที่จะเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง 
หรือ ฉันอยากจะสร้างศูนย์บำบัดรักษาโรคขึ้นมาซักแห่งหนึ่ง หรือ ฉันมีอันนี้แล้ว หรือฉันอยากจะมีอันนั้น” เป็นต้น 
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แสนจะปกติและธรรมดาเหลือเกิน ดังนั้น คำถามต่อไป ที่ฉันอยากจะถามพวกคุณก็คือ 

“พวกคุณจะ OK ไหม ถ้าสิ่งที่พวกคุณจะได้รับ ไม่ใช่สิ่งที่พวกคุณจินตนาการเอาไว้?” 
“พวกคุณจะ OK ไหม ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีกว่า?”
“พวกคุณจะ OK ไหม ถ้ามันสอดคล้องกับ “บันทึกแห่งฟ้า” (Akash) ของพวกคุณที่พวกคุณมาที่นี่เพื่อทำมันพอดีเลย 
และพวกคุณจะ OK ไหม ถ้ามันสอดคล้องเหมาะสมกับพรสวรรค์ต่างๆที่พวกคุณมีอยู่พอดีเลย 
ซึ่งบางทีพวกคุณอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตัวเองมีพรสวรรค์นั้นๆอยู่?” 


นั่นแหละคือสเต็ปแรกหละ ซึ่งก็คือการมีความตั้งใจ
ที่จะสร้างปรากฎการณ์ synchronicity 
ขึ้นมาในชีวิตของพวกคุณเอง 
เพื่อนำพาพวกคุณไปสู่ที่ๆถูกต้องเหมาะสม
กับความสามารถที่มองไม่เห็นของตัวเอง


เมื่อตอนที่พวกคุณใช้งานเทพประจำที่จอดรถนั้น พวกคุณได้ระบุว่าที่จอดรถของพวกคุณจะต้องเป็นที่ไหนไหม๊? 
ไม่เลยใช่ไหม เพราะว่าพวกคุณจะตอบว่า “ที่ไหนก็ได้!” ดังนั้นเป้าหมายของพวกคุณ
จึงเป็นเพียงหลักการณ์คร่าวๆเท่านั้นเอง ไม่เฉพาะเจาะจง นี่แหละคือหลักใหญ่ใจความทั้งหมดของมันหละ
0
skyMsz 9 ม.ค. 57 เวลา 23:59 น. 3
ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 4: Synchronicity ทำงานในโลก 3 มิติได้อย่างไร


คราวนี้ ก็มาถึงจุดที่ว่า Synchronicity ทำงานได้อย่างไรแล้วหละ: เมื่อพวกคุณมาประชุมกันแบบนี้
และก็ได้พบกับใครบางคนเป็นครั้งแรกที่นี่ ซึ่งอาจจะเป็นการพบกันที่ด้านหลังของห้องประชุม 
หรือเป็นการพบกันในห้องโถงก็แล้วแต่ และเมื่อพวกคุณได้พูดคุยกันแล้ว พวกคุณก็ได้พบว่า
พวกคุณมีความสนใจที่เหมือนๆกันอยู่หลายเรื่องด้วยกัน และบ่อยครั้งที่ผู้คนเหล่านั้น จะมีข้อมูลข่าวสาร
ที่พวกคุณเองกำลังต้องการอยู่พอดิบพอดีเลย หรือไม่ก็พวกคุณก็มีอะไรบางอย่าง 
ที่พวกเขากำลังต้องการอยู่พอดิบพอดีเช่นเดียวกัน แล้วพวกคุณทั้งสองฝ่าย ก็ลาจากกันไป
ด้วยความสัมพันธ์บางอย่างที่พวกคุณทั้งคู่ไม่เคยคาดหวังมาก่อน 
แล้วจากนั้นความสัมพันธ์อันนั้นก็นำพาไปสู่สิ่งอื่นๆต่อไปอีก เพราะว่าพวกเขารู้จักผู้คนที่พวกคุณไม่รู้จัก หรือในทางตรงกันข้าม 
แล้วหลังจากนั้น พวกคุณก็อาจจะโทรหาพวกเขา หรือไปพบกับพวกเขา 
แล้วหลังจากนั้น สิ่งที่อยู่นอกเหนือกรอบความคิดของพวกคุณก็คือ พวกคุณอาจจะพบว่า 
ตัวเองกำลังทำงานอยู่ในเรื่องที่พวกคุณไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้มาทำ 
ซึ่งเป็นงานที่ช่วยเติมเต็มสิ่งต่างๆมากมายที่พวกคุณเคยปราถนาเอาไว้ตั้งแต่แรกพอดีเลย

แต่บางครั้ง พวกคุณก็อาจจะมาถึงที่ประชุมแห่งนี้โดยไม่ได้คาดหมายเลยแม้แต่น้อย 
แล้วพวกคุณก็ได้พบกับคู่ชีวิตของตัวเองเข้า! ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเล่า กับใครหลายๆคน 
เพราะว่าพวกเขาได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาในที่ๆครอบครัวของพวกเขาจะอยู่ 
และก็ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่มนุษย์โลกได้ลาออกจากการเป็นโสดเอง 
ดังนั้น พวกเขาจึงมาในที่ๆมีการชุมนุมกันของผู้ที่มีความคิดเหมือนกันแบบนี้ 
แล้วพวกเขาก็ได้พบกับใครบางคนที่เหมาะสมกับตัวพวกเขาเอง แล้วชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไป 
และบางครั้งมันก็จะมีความโรแมนติก และ synchronicity ปนอยู่ด้วย 

เห็นไหม..ว่าพวกคุณไม่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเลย! พวกคุณเห็นความแตกต่างไหม?

มนุษย์โลก คนที่ก้าวออกมาจากประตูบ้าน เพื่อมาร่วมการประชุมในครั้งนี้ พวกเขาทำอย่างไร? 
พวกเขาก็จะมาที่นี่และมามีช่วงเวลาที่วิเศษนี้หนะสิ แต่ตลอดเวลา เขา/เธอผู้นั้น ก็จะเปิดใจสู่ synchronicity ว่า..

“พระวิญญาณเจ้าขา ถ้าหากแม้ว่าข้าพเจ้าจะได้พบกับใครบางคนหละก็ 
ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้รับสัญญาณอะไรบางอย่างในญาณหยั่งรู้ของข้าพเจ้าด้วยเถิด 
เพื่อที่อย่างน้อย ข้าพเจ้าจะได้มองหามัน” พวกคุณมองเห็นความแตกต่างตรงนี้ไหม? 

Synchronicity คือการวางแผนแบบคร่าวๆ
ในเชิงหลักการณ์เท่านั้นเอง 
ซึ่งพวกคุณไม่อาจที่จะระบุรายละเอียดลงไปได้


ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมกับจิตวิญญาณเก่าแก่ทั้งหลาย และอย่างน้อยก็มี 1 ใน 4 ของพวกคุณหละ 
ที่รู้ซาบซึ้งในใจว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ ซึ่งนั่นก็เพราะว่า ที่พวกคุณได้มาอยู่ที่นี่ 
ก็เพราะว่ามันเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับพวกคุณแล้วนั่นเอง นั่นก็คือมีใครบางคนได้แสดงให้พวกคุณเห็นถึงอะไรบางอย่าง 
ที่ทำให้พวกคุณมองดูสิ่งต่างๆในแง่มุมที่เปลี่ยนไป แต่มันก็ไม่ใช่การบอกถึงข้อบัญญัติทางศาสนาให้กับพวกคุณใช่ไหม? 
มันแค่ทำให้พวกคุณมองดูเฉยๆใช่ไหม พวกคุณสามารถประเมิณค่ามันได้ไหม? 
มันได้ทำให้พวกคุณมองเข้าไปในที่ๆพวกคุณจะเห็นว่า พวกคุณถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 
และบางที..ในทางชีววิทยาแล้ว มันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่มากกว่าอยู่ในนั้นก็ได้ 

ซึ่งอะไรบางอย่างที่ว่านั้น ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ตัวตนภายใน” (innate) 
ซึ่งคำว่าตัวตนภายในนี้ ก็คือตัวตนภายภายในที่ทรงภูมิปัญญา 
ที่รู้ดีว่าพวกคุณเป็นใครนั่นเอง

มันจะทำงานร่วมกับมนุษย์โลกทุกๆครั้งที่มันถูกร้องขอไป 
มันคือจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่อยู่ภายในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้อีกทีหนึ่ง 
และมันก็เป็นผู้ทำให้ synchronicity เกิดขึ้นกับพวกคุณด้วย 
มันทำงานของมันอยู่นอกเหนือขอบเขตของกราฟรูประฆังคว่ำ
และอยู่เหนือกฎแห่งค่าเฉลี่ยด้วย
 

ดังนั้น ฉันเพิ่งบอกขั้นตอนความเป็นไปของมันให้พวกคุณฟังว่า มันสามารถเกิดขึ้นได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก 
ในที่ประชุมอะไรแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมเล็กๆแบบนี้ หรือว่าจะเป็นการชุมนุมใหญ่ๆก็ตาม 

คราวนี้ พวกเราจะมาพูดถึงว่ามันทำงานได้อย่างไรกันดีกว่า ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราเคยพูดถึงกันน้อยมาก 
และก็ไม่เคยพูดถึงเลยในการสื่อสารแบบนี้ แต่ก่อนอื่น พวกเราจะต้องพูดถึง 
“ความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่” ของมนุษยซะก่อน

ไม่นานมานี้เองที่พวกเราได้สื่อสารข้อความให้กับพวกคุณไปข้อความหนึ่ง ที่ชื่อตอนว่า “พลังงานทั้ง 9 ของมนุษยชาติ” 
(the nine energies of the Human Being) ซึ่งอันนี้แหละที่ฉันต้องการให้คู่หูของฉันเริ่มเอามาสอนพวกคุณในเร็วๆนี้ 
มันเป็นเรื่องที่ลี้ลับ มันเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน แต่มันก็ถึงเวลาแล้ว 

มันมีส่วนที่เป็นแนวความคิดของคุณสมบัติทั้ง 9 นี้อยู่หลายส่วนด้วยกัน 
ซึ่งล้วนอยู่นอกเหนือขอบเขตของสิ่งที่มนุษย์เคยได้ยินได้ฟังมาทั้งสิ้น และต่อไปนี้ก็คือหนึ่งในนั้น

..........................
0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:01 น. 4
ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 5:

มนุษยชาติคือส่วนหนึ่งของแหล่งกำเนิดแห่งการสร้างสรรค์ของจักรวาลนี้


มันเป็นความจริง ที่รักทั้งหลาย มันเป็นความจริงที่ว่า 
พวกคุณคือส่วนหนึ่งของ “แหล่งกำเนิดแห่งการสร้างสรรค์” (the Creative Source) นี้ 
(ซึ่งแหล่งกำเนิดแห่งการสร้างสรรค์ที่ว่านี้ก็หมายถึงพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง - ผู้แปล) 


เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว มันทำให้พวกคุณเข้าใจเหตุผลขึ้นมาบ้างไหมว่า 
ทำไมจิตวิญญาณของพวกคุณที่มีความใหญ่โตมโหฬารมากๆ 
จึงเอาเฉพาะส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของมัน มาใส่ไว้ในร่างกายเนื้อในมิติที่ 3 นี้ของพวกคุณเท่านั้น? 

เพราะว่า ถ้านำเอาพลังงานทั้งหมดนี้ มาใส่ไว้ในร่างกายเนื้อของพวกคุณแล้วหละก็ 
พวกคุณก็จะสูญสลายหายไปในทันทีเลย! 
เพราะว่าพวกคุณจะกลับไปเป็นแสงสว่างใหม่อีกครั้งหนึ่ง 
และมีพลังอำนาจมากกว่าเหล่าคุรุทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ทุกๆคนด้วย!


และพวกคุณก็จะมีประสบการณ์เช่นเดียวกับที่ เอลีจาห์ (Elijah) เคยประสบมา ซึ่งเอลีจาห์คือมนุษย์เพียงคนเดียว
ที่เคย “เลื่อนระดับขึ้น” ในขณะที่คนอื่นๆกำลังมองดูเขาอยู่และกำลังจดบันทึกเอาไว้อยู่ 
และตามข้อมูลที่ได้จดบันทึกเอาไว้นั้น เอลีจาห์ได้สลายตัวไป ก็เพราะว่าพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า
ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ในร่างกายเนื้อของมนุษย์โลกได้อย่างเต็มตัว พวกคุณเข้าใจไหม? 

และถ้าพวกคุณเข้าใจในเรื่องนี้ได้แล้ว พวกคุณก็จะสามารถเข้าใจได้ว่า 
ตอนนี้พวกคุณกำลังมีประสบการณ์อยู่กับเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆหนึ่ง 
ของความเป็นพระเจ้าในตัวพวกคุณเองเท่านั้น 
ซึ่งก็คือผู้สร้างที่อยู่ในร่างกายเนื้อของพวกคุณนั่นเอง 


ดังนั้น มันจึงก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า 
แล้วจิตวิญญาณส่วนที่เหลือของพวกคุณหละ ไปอยู่ซะที่ไหน? 

มันก็อยู่กับฉันนี่แหละ ที่รักทั้งหลาย 
มันก็อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของม่านพรางนี่แหละ 
อยู่ในฐานะส่วนหนึ่งของ “แหล่งกำเนิดแห่งการสร้างสรรค์” 
และมันก็ไม่เคยจากไปไหนเลยซะด้วย


เอาหละทีนี้..ตรงนี้แหละที่เป็นเรื่องยากสำหรับพวกคุณ ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกล่อง 3 มิติ ที่จะเข้าใจได้หละ 
เพราะว่าพวกคุณพากันหอบหิ้วเอาร่างกายเนื้อหนังของตัวเอง ซึ่งเป็นของใครของมันแบบโดดๆ 
ไปไหนมาไหนด้วยตลอด แต่พวกเราก็ได้เคยพูดมาก่อนหน้านี้แล้วว่า 

อันที่จริงแล้ว พวกคุณไม่ได้เป็นตัวตนโดดๆแบบนี้เลยแม้แต่น้อย 
แต่พวกคุณคือส่วนหนึ่งของกลุ่มที่มีขนาดใหญ่มากๆกลุ่มหนึ่งต่างหากหละ 
ซึ่งกลุ่มๆนั้นก็คือพระเจ้านั่นเอง
 

เมื่อตอนที่พวกคุณลงมาเกิดบนโลกมนุษย์นั้น 
ส่วนหนึ่งของของพวกคุณได้แยกออกมา 
แล้วกลายมาเป็นตัวตนที่อยู่ในร่างกายเนื้อนี้ 
ซึ่งมันมีร่างกายอยู่เพียงหนึ่งร่าง และมีใบหน้าอยู่เพียงหนึ่งใบหน้าเท่านั้น 
และนี่แหละคือวิธีการที่พวกคุณมองดูสิ่งต่างๆหละ 
(มองเห็นว่าร่างๆหนึ่ง ก็คือสิ่งๆหนึ่ง – ผู้แปล) แต่ส่วนที่เหลือของพวกคุณ 
ซึ่งก็คือตัวตนของพวกคุณเองด้วยเช่นกัน ก็จะยังคงอยู่กับพระเจ้าต่อไป


คราวนี้ ขอให้ฉันได้บอกความจริงกับพวกคุณซะหน่อยเถอะว่า 
“พวกคุณคือรูปธรรมชีวิตหลากมิติ 
และส่วนหนึ่งของพวกคุณก็กำลังอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของม่านพราง” 
จงทำความคุ้นเคยกับความจริงข้อนี้ให้ดี 


จิตวิญญาณของพวกคุณไม่ได้ถูกแบ่งแยกออกมาแต่อย่างใดเลย แม้ว่าในโลก 3 มิติแห่งนี้ 
มันจะดูเหมือนว่าเป็นเช่นนั้นก็ตาม ดังนั้น ณ.ที่ไหนซักแห่ง ณ.ฟากฝั่งโน้นของม่านพราง 
มันจึงไม่มีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งที่ไหนเลย ที่มีหน้าตาเหมือนกับพวกคุณ 
ที่กำลังนั่งกระดิกหัวแม่เท้ารอคอยพวกคุณ ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือของตัวมันเอง ให้กลับบ้านอยู่ 
เพราะว่าพวกคุณอยู่ด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้ว 

แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีมนุษย์โลกอีกมากมาย ที่ยังเชื่อเรื่องการแบ่งแยกแบบนี้อยู่ 
เพราะว่าทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือ การฉายเอาความเป็นเส้นตรงของตัวเอง
ลงไปบนความมีพลังอำนาจและยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า 
(น่าจะหมายถึงเอาความคิดแบบเป็นเส้นตรงของตัวเองมาใช้กับความเป็นพระเจ้า – ผู้แปล) 
ซึ่งพวกเราก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้น จงทำความคุ้นเคยกับข้อเท็จจริงนี้ให้ดี 
ซึ่งก็คือความจริงที่ว่า พระเจ้าคือผู้ที่อยู่ในโลกของควอนตัม ส่วนมนุษย์โลกคือผู้ที่อยู่ในกาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงนี้ 
และดังนั้น พวกคุณจึงไม่สามารถที่จะจับเอาทั้งสองอย่างนี้ มารวมเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายๆ ในความคิดของพวกคุณ

ความจริงก็คือว่า พวกคุณคือส่วนย่อยส่วนหนึ่งของ “น้ำซุป” อันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า 
และส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั้นก็กำลังมองลงมาและคอยดูพวกคุณอยู่ตลอดเวลาด้วย 
พวกเขาไม่เคยจากไปไหนเลย 

และก็จะเหมือนกับเทพประจำที่จอดรถนั่นแหละ ที่ส่วนเหล่านั้นของจิตวิญญาณของพวกคุณเอง 
จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ 

ลองจินตนาการดูสิ! ว่ามีส่วนหนึ่งของตัวตนของพวกคุณเองที่กำลังเฝ้าดูพวกคุณอยู่ตลอดเวลา 
ณ.ฟากฝั่งโน้นของม่านพราง ลองสมมุติในแบบโลก 3 มิติของพวกคุณดูสิ..ว่า..มีสายลับคนหนึ่งอยู่บนท้องฟ้า 
และกำลังคอยจับตาดูทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น มันจึงรู้ว่าคุณคือใคร และรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกับคุณด้วย 
เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณเอง และมันก็จะถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารส่งมาให้กับพวกคุณอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย 
ซึ่งพวกคุณจะสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นได้ ผ่านทาง “ความคิดที่ผุดขึ้นมาเองแบบปิ๊งแว๊บ” (intuitive thought) 
คุณอยู่ที่นี่ไหม๊? คุณเข้าใจไหม๊? มันจะบอกให้พวกคุณตื่นขึ้นและไปที่โน่นที่นี่ ถ้าพวกคุณกำลังฟังมันอยู่นะ

...............................
0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:02 น. 5

นอกเรื่องน้าา

ในโลกแห่งมายาการ ซึ่งถูกม่านพรางปิดบังความเป็นจริงอยู่แบบนี้
ในโลกสามมิติแห่งความเป็นทวิภาวะ ซึ่งมีขาวคู่กับดำ มีชั่วคู่กับดี
มีสว่างคู่กับมืด ฯลฯ แบบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ 
ที่คนเราจะมีทำผิดบ้าง ทำถูกบ้าง สลับกันไป 

เพราะฉะนั้น ขอให้เข้าใจ เห็นใจ และให้อภัยกันเถอะนะครับ 
และก็อย่าลืมให้อภัยตัวเองซะด้วยหละ

และในฐานะที่กระทู้นี้เป็นกระทู้ข้อความจากต่างมิติ
ผมก็เลยจะขอกล่าวถึงข้อความจากต่างมิติ ที่รูปธรรมชีวิตต่างมิติทั้งหลาย
ได้ย้ำเตือนพวกเราอยู่เสมอก็คือ 

"การไม่ตัดสินชี้ถูกผิด ให้กับใคร หรือสิ่งใด" นั่นเอง

ประโยคนี้มันฟังเข้าใจได้ไม่ยาก แต่มันทำได้ไม่ง่ายเลย จริงๆสาบานได้
เพราะว่าตัวผมเองก็กำลังฝึกฝนและปฏิบัติอยู่เช่นกัน 
ก็ล้มลุกคลุกคลานกันไปตามประสา แต่ที่สำคัญคือ เราต้องฝึกฝนครับ 
และต้องตั้งใจว่าจะฝึกฝนจริงๆเท่านั้น เราถึงจะค่อยๆเห็นผลสำเร็จของมัน
ขึ้นมาได้บ้าง ทีละน้อยๆ ทีละน้อย อย่าเพียงแต่อ่านผ่านๆ 
แล้วเข้าใจในระดับเชาว์ปัญญาเท่านั้น เพราะมันจะไม่ช่วยอะไรเลย

และอีกประการหนึ่งที่หลายท่านอาจจะลืมนึกถึงไป 
ที่ต่างมิติหลายท่านพูดอยู่เสมอว่า ตอนนี้มนุษย์เราทุกๆคน 
ต่างก็กำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกันหมดทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นแล้ว มันก็จะมีเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ต่างๆ
ที่จะไปขุด ไปเขี่ย ไปกระทุ้ง ไปกระเทาะ ให้สิ่งที่มันเป็น
พลังงานเก่า เป็นความทรงจำเก่าๆ เป็นความเชื่อเก่าๆ 
หรือเป็นพลังงานที่อุดตัน และ ขัดขวาง การเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณของเรา
ให้โผล่ขึ้นมาสู่ระดับพื้นผิว ให้พวกเราแต่ละคน ได้ตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านั้น 
และได้เผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้น เพื่อที่จะปลดปล่อยมันไป

ซึ่งบ่อยครั้ง มันก็จะเป็นพลังงานแห่งความมืด หรือ ความเจ็บปวดเก่าๆ 
ที่สะสมอยู่ในระบบพลังงานของเรา ตั้งแต่หลายภพชาติแล้วด้วยซ้ำไป
ดังนั้น บางทีเราก็จะพบว่าตัวเองได้ระเบิดอะไรออกมาก็ไม่รู้
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเราจะทำเช่นนั้นได้เลย อะไรแบบนั้นหนะครับ

สรุปว่าทุกๆคนก็กำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
ด้านจิตสำนึก/ความตระหนักรู้เช่นเดียวกันนี้แหละครับ
ดังนั้นกระบวนการชำระสะสาง มันจึงกำลังเกิดขึ้นอยู่กับทุกๆคน
ดังนั้น ขอให้เข้าใจ เห็นใจ และให้อภัยซึ่งกันและกันเถอะนะครับ

หมายเหตุ: หากเราจะตั้งใจฝึกฝนการไม่ตัดสินชี้ถูกผิดจริงๆ
เราก็จะมองเห็นอะไรหลายๆอย่างในมุมมองที่กว้างขึ้นมากๆเลย
เช่น เนื้อหาในกระทู้นี้ก็เหมือนกันครับ ซึ่งหลายคนก็ได้รู้ได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว
ว่า หลักใหญ่ใจความของมันแล้ว ก็สรุปรวมลงไปที่ความสูงส่งดีงามเช่นเดียวกัน
เผลอๆหลายๆเรื่องหลายๆประเด็น อาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน
กับที่ศาสนาที่เรานับถือสอนเอาไว้ซะด้วยซ้ำไป 
เพียงแต่เขาสื่อสารมาคนละรูปแบบ คนละสไตน์เท่านั้นเอง

แล้วก็..บางท่านอาจจะลืมไป หรืออาจจะไม่รู้จริงๆว่า
เวลาที่ระดับจิตถูกยกขึ้น หรือบรรลุธรรม หรือที่ต่างมิติใช้คำว่า 
"จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ขยายตัวมากขึ้น" นั้น
ความเป็น "อัตตา-ตัวตน" มันก็จะค่อยๆลดน้อยลง จนสลายไปในที่สุด

และเพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีเรา มันก็ไม่มีเขา ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ ฯลฯ
อย่างที่ต่างมิติชอบพูดว่า "ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน"
และ "มันไม่เคยมีการแบ่งแยกใดๆอยู่เลย" แต่ที่เราเห็นว่ามันแบ่งแยก
ก็เพราะว่าเรากำลังอยู่ในแมตริกของมิติที่สาม 
ซึ่งมีกาลเวลาแบบเป็นเส้นตรงนี้เท่านั้นเอง

พูดง่ายๆก็คือ คล้ายๆกับว่า เรากำลังอยู่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์
หรืออยู่ในโปรแกรมเกมส์อะไรซักอย่างแบบนั้นหละ
ซึ่งตัวตนตอนนี้ของเรา ก็คือตัวละครในเกม ส่วนผู้เล่นก็คือ
จิตวิญญาณของเราที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าเรา หรืออยู่นอกจอนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าท่านใดยัง "ยึดและติด" อยู่กับ "การแบ่งแยก" 
อยู่กับการแบ่งฉัน แบ่งเธอ แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งลัทธิ-ศาสนาอยู่
และมองเห็นคำสอนของลัทธิโน้นว่าจะต้องไปแนวนี้
ส่วนลัทธินี้จะต้องไปแนวโน้น ห้ามเอามาก้าวก่ายกัน
เสมือนว่าแต่ละลัทธิมีลิขสิทธิ์ในคำสอนของตัวเองอะไรแบบนั้นหละก็
ผมว่า ท่านก็ยังไม่อยู่ในข่ายของ ผู้ที่มี 
"จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ที่ขยายตัวแล้ว" หรอกนะครับ

เพราะว่าตามคำกล่าวของคุรุผู้รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย
ก็เห็นมีแต่ท่านบอกว่า เวลารู้แจ้งแล้ว การแบ่งแยกมันจะสลายไป
ไม่มีฉัน-ไม่มีเธอ แล้วอย่างนี้ ท่านกำลัง "เดินตามทาง" 
หรือ "เดินสวนทาง" กับเส้นทางสายนี้อยู่กันแน่หละครับ??

มันมีด้วยหรือ การรู้แจ้งแบบพุทธ การรู้แจ้งแบบคริสต์หนะ
มันมีด้วยหรือ การหิวแบบพุทธ การอิ่มแบบอิสลามหนะ
มันมีด้วยหรือ ที่ใครหรือลัทธิใด จะมาสงวนสิทธิ์เป็นเจ้าของ 
"สัจธรรม" ข้อใดข้อหนึ่ง แต่เพียงผู้เดียวหนะ มันจะเป็นไปได้ยังไง?

และเพราะฉะนั้น สัจธรรม ก็คือสัจธรรม ใครที่ปฏิบัติได้ 
ก็มีสิทธิ์เข้าถึงได้เสมอเหมือนกันหมด ไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งสิ้น
เพราะว่ามันไม่ได้ถูกสงวนเอาไว้ให้ใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ

เพราะฉะนั้นแล้ว นิวเอช ก็คือ โลกยุคพลังงานใหม่ 
ยุคแห่งความรักและแสงสว่าง ยุคแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ยุคแห่งการรู้แจ้ง ยุคแห่งความเมตตากรุณา ยุคแห่งอภิญญาใหญ่ 
ยุคแห่งมนุษย์โลกในฐานะของสมาชิกของกาแล็กซี่
ยุคแห่งการมีระดับจิตสำนึกของมิติที่ 5 หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ 

แต่มันก็คือ..ยุคที่พวกเรากำลังก้าวเข้ามาเหยียบได้ 2 ปีแล้ว นี่แหละครับ

..............................................

0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:05 น. 6
ก็..เอาเป็นว่า อย่าเพิ่งไปเชื่อใครทั้งนั้นนะครับ
ให้จดจ่อสติกลับเข้าไปภายในศูนย์กลางหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์ของตัวเราเองก่อน
ซึ่งเป็นจุดที่จิตวิญญาณของเรา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ใช้ติดต่อสื่อสารกับเรา แล้วจากนั้น ก็ค่อยๆจับความคิดและความรู้สึก
ที่เกิดขึ้น ณ.ตรงนั้นดู ว่ามันรู้สึกอย่างไรกับแนวคิดนั้นๆ
หรือกับคำพูดนั้นๆ หรือกับข้อความนั้นๆ ที่คนๆนั้นบอกเรามา

ต่างมิติทั้งหลายบอกอยู่เสมอว่า ถ้าเราฝึกจนใช้การได้ดีพอแล้ว
มันจะทำให้เราได้คำตอบที่ไม่มีวันผิดพลาดเลย


.........................................................

บางส่วนของข้อความล่าสุดจากท่านมิคาเอล
ที่มา: The Golden Angel » “RITUAL OF PASSAGE INTO A FIFTH-DIMENSIONAL REALITY” – January 2014 (Ronna Herman)


ยิ่งโลกแห่งความเป็นจริงแบบเก่า ค่อยๆเลือนหายไปมากขึ้นเท่าไหร่ 
และยิ่งพวกคุณเข้าไปอยู่ในปริมณฑลที่ไม่คุ้นเคยมากขึ้นเท่าไหร่ 
พวกคุณก็จะยิ่งต้องเรียนรู้ที่จะ “เชื่อมั่น” และ “ศรัทธา” 
ในอนาคตที่กำลังเผยตัวมันเองออกมาอยู่นี้ มากขึ้นเท่านั้นด้วย 

ว่า..ไม่ว่าหลายๆครั้ง มันจะมีความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นมากแค่ไหนก็ตาม 
และไม่ว่าหลายๆครั้ง มันจะดูยุ่งเหยิงมากแค่ไหนก็ตาม 
แต่อนาคตของพวกคุณก็จะยังคงเปิดเผยตัวมันเองออกมาอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ 


อันดับแรก พวกคุณจะต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเองก่อน 
ซึ่งขั้นตอนนี้ อาจจะเป็นขั้นตอนที่ยากมากที่สุด
สำหรับพวกคุณก็เป็นได้ เพราะว่าพวกคุณได้ถูกสอนมาว่า 
คนอื่นฉลาดกว่าพวกคุณ และพวกเขาก็รู้ดีว่า 
อะไรที่ดีที่สุดสำหรับพวกคุณด้วย 
ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องจริง เมื่อสมัยที่พวกคุณเป็นเด็ก 
แต่ว่า..ตอนนี้ พวกคุณได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว 
และโอกาสทองก็อยู่ข้างหน้าของพวกคุณนี่เอง 

เพราะว่าตอนนี้ ภูมิปัญญาของ “สัจธรรมระดับจักรวาล” 
ที่เป็นสัจธรรมชั้นสูงกว่า ได้มาอยู่ที่นี่พร้อมแล้ว
สำหรับมนุษย์โลกทุกผู้ทุกนาม 

พวกเราที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย 
ได้ยกกำลังกันมาอยู่ที่นี่เป็นกองทัพขนาดใหญ่
เพื่อมาให้ความช่วยเหลือพวกคุณ 
ในกระบวนการกลายเป็นผู้รู้ผู้ตื่น (Self-Mastery) ของพวกคุณ 
และเพื่อมาให้ความช่วยเหลือพวกคุณ 
ในการกอบกู้เอาสถานภาพที่แท้จริงของตัวเอง 
ในฐานะที่เป็น “รูปธรรมชีวิตมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณครอง” 
กลับคืนมาให้จงได้




(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ในภพชาติส่วนใหญ่ของพวกคุณทุกๆคน 
ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ พวกคุณต่างก็ได้พากัน
สูญเสียพลังอำนาจของตัวเองไปแล้ว ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะว่าพวกคุณ
ถูกสร้างเงื่อนไขมา และถูกทำให้คุ้นเคยกับการ “เป็นผู้ตามที่ดี” (herd state) 
มาโดยตลอด ซึ่งเป็นสถานะที่คนอื่นๆซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ
ให้กับพวกคุณ และเป็นผู้คอยบงการว่าพวกคุณจะต้องทำอะไรบ้าง 
ซึ่งไม่ว่าพวกคุณจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม แต่พวกคุณก็ได้ยินยอมคล้อยตาม 
กฎเกณฑ์และข้อบัญญัติที่เป็นที่ยอมรับกันในเวลานั้นไปเรียบร้อยแล้ว 
เพราะว่าพวกคุณจะรู้สึกว่าเป็นการปลอดภัยมากกว่า ถ้าไม่ไปต่อต้านมัน 
และถ้าไม่พยายามไปสร้างแผนที่เส้นทางเดินชีวิตของตัวเองขึ้นมาเอง



องค์ประกอบที่ขาดเสียมิได้ของการเป็นผู้รู้ผู้ตื่นก็คือ 
การเรียนรู้ที่จะปฏิบัติการผ่านปัญญาของ “หัวใจอันศักดิ์สิทธิ์” ของพวกคุณเอง 
เพราะว่าเมื่อใดที่พวกคุณสามารถทำให้การเชื่อมต่อระหว่าง 
“จิตใจอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเอง (อยู่ที่ต่อมไพเนียล – ผู้แปล) 
กับ “หัวใจอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเอง (อยู่ที่จักระที่ 4 – ผู้แปล) 
เข้มแข็งขึ้นได้แล้ว พวกคุณก็จะเริ่มสามารถเข้าถึง
ภูมิปัญญาของ “จิตวิญญาณ” ของตัวเอง 
หรือของ “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” ของตัวเอง 
หรือของ “ตัวตนหลากมิติ” ของตัวเองได้ 

ซึ่งจิตวิญญาณ, ตัวตนที่สูงส่งกว่า, เหล่าเทพผู้นำทาง, เหล่าเทพผู้พิทักษ์ของพวกคุณ 
และทวยเทพผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือพวกคุณอยู่ 
จะติดต่อสื่อสารกับพวกคุณผ่านทางจิตวิญญาณของพวกคุณ 
และผ่านทางหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณ 

ดังนั้น เสียงกระซิบจากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (Spirit) ที่แว่วอยู่ในใจของผู้ที่ยังไม่ตื่นขึ้น 
จึงเป็นเสียงแห่งภูมิปัญญาและการปลอบประโลมที่เต็มไปด้วยความรัก และพลังอำนาจ 
ในขณะที่พวกคุณกำลังตื่นขึ้นมาสู่ความเข้มแข็ง และความมีอำนาจสูงสุด
ในความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองอยู่นี้
0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:07 น. 7
ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 6: มันมีระบบอันศักดิ์สิทธิ์ระบบหนึ่ง อยู่ในตัวมนุษย์ทุกๆคน 


ต่อไปนี้คือสิ่งที่พวกคุณจำเป็นจะต้องรู้ ซึ่งก็คือ มนุษย์ทุกๆคนบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ 
ต่างก็มีระบบนี้อยู่ในตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น เพราะว่ามนุษย์ทุกๆคนต่างก็เป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่ง 
ของส่วนรวมด้วยกันหมดทั้งสิ้น พวกคุณเข้าใจที่พูดมานี่ไหม๊? 

แต่ว่า..จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารที่ว่านั้น เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา 
แต่ว่าชาวโลก 90% ไม่มีวิทยุสำหรับรับคลื่นสัญญาณที่ถ่ายทอดมานั้นเลย? 
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าประชากรชาวโลกราวๆ 90% จะไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นเลย 
แม้ว่าการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารที่ว่านั้น จะยังคงดำเนินอยู่ทุกขณะก็ตาม 
แต่ถ้าพวกเขาไม่เชื่อในข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นแล้ว 
ก็เปรียบเสมือนว่าพวกเขาไม่มีวิทยุที่จะมารับคลื่นสัญญาณเหล่านั้นนั่นเอง

ดังนั้น..คราวนี้ ก็มาถึงพวกคุณบ้างหละ พวกคุณบางคนได้รับวิทยุอุปมัยนี้มานานแล้ว 
ส่วนพวกคุณบางคนก็เพิ่งได้รับมันมาเดี๋ยวนี้นี่เอง 

เพราะการเชื่อว่ามันมีอยู่จริงคือวิธีการกระตุ้นให้มันทำงานขึ้นมา 
และ “วิทยุ” ที่ว่านี้ก็คือการ “เปิดขึ้น” ของต่อมไพเนียลนั่นเอง 
ซึ่งจะเปิดสู่ประตูหลากมิติ ที่เชื่อมต่อโดยตรงอยู่กับส่วนที่เป็นตัวตน
ที่อยู่ฟากฝั่งโน้นของพวกคุณเอง 


เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่มนุษย์โลกจะเข้าใจได้ยากมาก เมื่อใดที่พวกคุณได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถ่ายทอดมาจาก 
“ตัวตนหลากมิติของตัวเอง” แล้ว มันก็จะช่วยนำทางพวกคุณให้ไปทางซ้ายหรือไปทางขวา 
และมันก็รู้ว่าพวกคุณเป็นใคร และมันก็มีกุศลเจตนาด้วย และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าด้วย 
และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวฉันเองด้วย โอ..มันยากที่จะอธิบายนะ

(หมายเหตุ: ในมิติที่สูงๆกว่า นับตั้งแต่มิติที่ 5 เป็นต้นไป มันจะไม่มีการแบ่งแยกใดๆเหลืออยู่เลย 
ดังนั้น ทุกๆรูปธรรมชีวิตจึงจะแชร์ความคิด ความรู้สึก ประสบการณ์ และอื่นๆด้วยกันทั้งหมด 
เสมือนหนึ่งเป็นตัวตนเดียวกันเพียงหนึ่งตัวตนเท่านั้น แต่ว่า แต่ละตัวตนก็ยังมีความเป็นเอกเทศ
อยู่ในตัวเองอยู่ด้วยในขณะเดียวกัน ดังนั้น ในข้อความจากต่างมิติทั้งหลาย จึงจะสังเกตเห็นว่า 
พวกเขาจะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “ฉัน” อย่างที่ครายออนใช้นี่ น้อยมากๆ 
เพราะว่าพวกเขามักจะใช้คำว่า “พวกเรา” แทน แต่ที่ครายออนใช้คำว่าฉัน 
ก็ไม่ได้หมายความว่าครายออนเป็นตัวตนเดี่ยวๆหรอกนะครับ เพราะว่าครายออนก็น่าจะเป็น
กลุ่มของรูปธรรมชีวิตเช่นเดียวกัน แต่สไตน์ของครายออนชอบใช้คำพูดในแบบที่
มนุษย์โลกจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆหนะครับ – ผู้แปล)


ที่รักทั้งหลาย นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม มันถึงรู้สึกดีเหลือเกิน 
พวกคุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมข้อความที่ลึกซึ้งมากๆ และการเข้าสมาธิขั้นลึกมากๆ จึงทำให้รู้สึกดีเหลือเกิน? 
นั่นก็เพราะว่า “คุณ” ได้ไปอยู่กับตัวคุณเองยังไงหละ! มันสวยสดงดงามใช่ไหมหละ! 

ถ้าพวกคุณเป็นส่วนหนึ่งของพลังอำนาจแห่งการสรรสร้าง 
และ ถ้าพวกคุณเป็นรูปธรรมชีวิตหลากมิติและอยู่ในสภาวะควอนตัมจริงๆแล้วหละก็ 
นั่นก็หมายความว่า ข้อความที่ถูกส่งผ่านเข้ามาทางการหยั่งรู้เหล่านี้ 
จะมีใบหน้าของพวกคุณแปะอยู่บนข้อความทุกๆข้อความ 
(คือมันเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากตัวคุณเอง – ผู้แปล) 
และดังนั้น พวกมันจึงจะไม่มีวันนำพาพวกคุณไปสู่ที่ใดที่หนึ่ง 
ด้วยเหตุผลอื่นใด นอกเหนือไปจากเหตุผลที่เต็มไปด้วยกุศลเจตนาเลย 
นั่นแหละคือระบบที่ว่านี้หละ


................................
0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:09 น. 8
ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 7: ทำไมพวกคุณถึงได้มาอยู่ในการประชุมครั้งนี้?


คราวนี้ พวกเราจะย้อนกลับมาตรงจุดที่พวกคุณกำลังตัดสินใจที่จะมาเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้กันบ้าง
พวกคุณบางคนที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ในวันนี้ พวกคุณไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีการประชุมนี้อยู่ จนกระทั่งถึงนาทีสุดท้าย 
ฉันอยากจะบอกพวกคุณว่า นั่นก็เพราะว่าพวกคุณถูกจูนคลื่นเอาไว้แล้ว วิทยุของพวกคุณกำลังทำงานอยู่ 
เพราะว่าญาณหยั่งรู้ของพวกคุณพูดกับพวกคุณมากพอ จนทำให้พวกคุณเริ่มมองดูรอบๆ แล้วไปที่ไหนซักแห่งหนึ่ง 
แล้วก็ได้พบว่าการประชุมนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ฉันกำลังอยากจะถามพวกคุณอีกคำถามหนึ่งว่า ใครบ้างที่พวกคุณยังไม่ได้เจอในห้องนี้? 
มันเป็นคำถามที่ยากจะตอบใช่ไหม เพราะว่าพวกคุณไม่อาจที่จะไปพบเจอกับทุกๆคนได้ ใช่ไหม? 
ดังนั้น คราวนี้พวกเราจึงกำลังจะเข้ามาสู่กระบวนการของ synchronicity กัน 
และเข้ามาสู่กระบวนการที่ความคิดแบบปิ๊งแว๊บ จะเป็นผู้นำพาไปกัน มันเป็นสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า 
“ภูมิปัญญาภายใน” (innate intelligence) ของร่างกายเนื้อ ที่ทำให้พวกคุณได้ไปอยู่ “ถูกที่ถูกเวลา” 
และได้พูดคุยกับ “คนที่ใช่” ด้วย ซึ่งพวกคุณจะไม่สามารถวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าได้เลย ถูกไหม? 

แต่ว่าพวกคุณจะต้องจูนคลื่นให้ตรงกับมันเอาไว้ และพวกคุณบางคนก็อาจจะได้ค้นพบอะไรบางอย่าง ในวันนี้ และที่นี่ 
อะไรบางอย่างที่จะทำให้ชีวิตของพวกคุณเปลี่ยนไป บางทีพวกคุณอาจจะได้พบกับใครบางคน
ที่มีความสนใจคล้ายๆกันก็ได้ และนั่นแหละคือวิถีทางของมันหละ

ดังนั้น หากมีใครบางคนมาพูดกันพวกคุณว่า “คุณจะต้องเป็นพวกนิวเอชแน่ๆเลย” ก็จงยิ้มรับมันซะ 
พวกคุณกำลังใช้งานความคิดแบบปิ๊งแว๊บของตัวเองอยู่ และก็กำลังรับฟังมันอยู่ด้วย มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 
เพื่อนำพาพวกคุณไปสู่ที่ๆเป็นที่ๆ “ถูกที่ถูกเวลา” ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ก็น่าจะช่วยลบล้างความคิดที่ว่า
พวกนิวเอชมักจะต้องนั่งอยู่ที่บ้านเฉยๆ โดยไม่ทำอย่างอื่นเลย นอกจากเอาแต่นั่งสมาธิ
และรอคอยให้พระเจ้ามาพูดกับตัวเองอย่างเดียวได้ เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการทำงานของมันเลย 

แต่จงไปในสถานที่ต่างๆที่ญาณหยั่งรู้ของพวกคุณ “บอก” ให้พวกคุณไป 
แล้วจากนั้น ก็จงใช้วิจารณญาณให้ดีว่าอันไหนถูก? อันไหนผิด? 
จงสังเกตดูให้ดีว่ามันจะมีความรู้สึกอย่างไรถ้ามันถูก 
และมันจะมีความรู้สึกอย่างไรถ้ามันไม่ถูก? 
จงปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน แล้วไม่นานนัก 
มันก็จะเหมือนกับกล้ามเนื้อในร่างกายของพวกคุณ 
ที่เมื่อได้ออกกำลังกายแล้ว 
มันก็จะเริ่มทำงานให้กับพวกคุณได้ดีขึ้นกว่าเดิม


ภูมิปัญญาภายในจะทำงานกับพวกคุณได้ 
เมื่อพวกคุณปรับจูนขั้นละเอียดเข้าหามัน 
มันรู้ว่าพวกคุณกำลังพยายามจะทำอะไรอยู่ 
และมันก็จะช่วยพวกคุณไปจนตลอดกระบวนการนั้น
 

บางครั้งพวกคุณอาจจะมองดูใครบางคนอยู่ และพวกเขาก็อาจจะมองดูพวกคุณกลับด้วยเช่นกัน 
แล้วทันใดนั้น พวกคุณก็แทบจะพูดได้ว่า “สวัสดี เพื่อนเก่า! ดีใจที่ได้เจอนายหว่ะ” 
พวกคุณอาจจะสวมกอดกัน หรือจับมือกันก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของพวกคุณ 
แต่จงรู้เอาไว้เถิดว่า พวกคุณเพิ่งได้พบกับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ที่ดีที่สุดของตัวเองไป อีกครั้งหนึ่ง 
พวกเขาอาจจะมีหรือไม่มีอะไรบางอย่างมาให้พวกคุณก็ได้ เพราะมันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆช่วงหนึ่ง 
ที่พวกคุณได้มีโอกาสเชื่อมประสานกันในระดับควอนตัมก็ได้ 
และมันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่จะได้ยอมรับความจริงที่ว่า พวกคุณคือจิตวิญญาณเก่าแก่ก็ได้ ซึ่งนั่นก็ดีมากพอแล้ว

.............................


ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 8: แนวคิดที่เข้าใจยาก


สิ่งที่ยากลำบากที่สุดสำหรับมนุษย์โลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือสิ่งที่ฉันกำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ 
เพราะว่ากระบวนการมันแตกต่างจากที่พวกคุณคิดเอาไว้มาก 

ในขั้นแรก พวกเราได้ปูพื้นฐานของสิ่งที่ไม่ได้เป็นแบบเส้นตรงให้พวกคุณรู้ไปแล้ว 
ซึ่งมันก็คือสิ่งที่เป็นแนวคิดแบบคร่าวๆที่พวกคุณไม่สามารถวางแผนการเอาไว้ก่อนล่วงหน้าได้นั่นเอง 
และช่วงเวลาการเกิดขึ้นของมัน ก็มิอาจที่จะรู้ได้ด้วย ดังนั้นพวกคุณจึงไม่สามารถที่จะเขียนเป้าหมาย
ที่พวกคุณก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยลงบนกระดาษแล้วเอาไปแปะไว้ที่ข้างๆตู้เย็นได้ 
แต่มันแค่จำเป็นจะต้องอาศัยความศรัทธาของมนุษย์ผู้นั้นด้วยเท่านั้นเอง 
โดยปราศจากกรอบของกาลเวลา นั่นคือเรื่องที่ 1

แล้วจากนั้น พวกเราก็ได้พูดถึงข้อมูลข่าวสารที่มาจากส่วนหนึ่งของตัวตนของพวกคุณเอง
ที่อยู่ ณ.ฟากฝั่งโน้นของม่านพรางไปแล้ว เพราะว่าร่างกายเนื้อของพวกคุณ
ไม่สามารถที่จะกักเก็บความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจทั้งหมดของตัวเองเอาไว้ได้ 
เพราะว่าพวกคุณเป็นส่วนหนึ่งของ “แหล่งกำเนิดแห่งการสรรสร้าง” และก็จะเป็นส่วนหนึ่งของมันตลอดไปด้วย 

อีกส่วนหนึ่งของตัวตนของพวกคุณ กำลังอยู่ที่นี่กับฉัน ณ.ฟากฝั่งนี้ของม่านพราง 
ซึ่งส่วนหนึ่งของพวกคุณที่ว่านั้น ก็คือส่วนที่จะพูดกับพวกคุณผ่านทางการหยั่งรู้ของพวกคุณว่า 
“ไปทางซ้าย, ไปทางขวา, ยืนขึ้น, นั่งลง, ไปที่โน่น และ ไปพบกับคนๆนั้น” นั่นเอง

และเรื่องต่อไปนี้ ก็คือเรื่องที่เข้าใจได้ยากที่สุดในบรรดาเรื่องทั้งหมดนี้ พวกเราจะอธิบายมันยังไงดีนะ? 

บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ มีจิตวิญญาณของชาวโลกอาศัยอยู่ราวๆ 7 พันล้านคน 
และทุกๆคนต่างก็มีคุณสมบัติอันนั้น เช่นเดียวกันกับที่พวกคุณแต่ละคนมี เหมือนๆกันหมด ทุกๆคนเลย 

ซึ่งนั่นก็คือ ทุกๆคนต่างก็มีส่วนหนึ่งของตัวตนของตัวเอง
อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของม่านพรางเช่นเดียวกันกับพวกคุณด้วย 
พร้อมๆกับที่มีตัวตนอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่นี่ ในเวลาเดียวกันนี้ด้วย
 

และข้อมูลข่าวสารที่พวกเขากำลังถ่ายทอดมาสู่ตัวตนของตัวเอง
ที่อยู่ ณ.ฟากฝั่งนี้ก็ใช้ “จิตใจของพระเจ้า” ที่พวกคุณมีอยู่ เช่นเดียวกันด้วย 
เพราะว่าพวกเขาอยู่ที่ฟากฝั่งนี้ของม่านพรางเช่นเดียวกันกับฉัน 


และส่วนที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์โลกทุกๆคน 
ก็ยังคงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เช่นเดิม 
ไม่ว่าส่วนที่เป็นตัวตนเนื้อหนัง 
และส่วนที่เป็นเชาว์ปัญญาของมนุษย์คนนั้น 
จะมีความเชื่อเป็นอย่างไรก็ตาม 
หรือจะกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม พวกคุณเข้าใจที่พูดมานี้ไหม๊?


ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีตัวตนส่วนที่เป็นร่างกายเนื้อ
ที่อยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ที่ไม่ยอมรับรู้ 
และไม่สามารถรับรู้ได้อย่างสิ้นเชิง 
และรวมถึง ไม่มีแม้แต่วิทยุที่จะเอามาใช้รับข้อมูลข่าวสาร
จากพวกเขาเลยด้วยซ้ำไปก็ตาม 
แต่นั่นก็จะไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้เลย 
เพราะว่าพวกเขาที่อยู่ ณ.ฟากฝั่งโน้น 
ก็ยังจะถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารแห่งศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ 
มาสู่ญาณหยั่งรู้ของตัวตนส่วนที่อยู่บนโลกใบนี้
ของพวกเขาด้วยความรักอยู่ดี 


ซึ่งข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ก็จะเต็มไปด้วยกุศลเจตนา 
และก็จะถูกส่งมาเพื่อมวลหมู่มนุษยชาติทั้งมวลด้วย 

ซึ่งนี่ก็หมายความว่า พวกคุณก็สามารถรับฟังข้อมูลข่าวสารพวกนี้ได้ด้วยนะ 
และพวกมันก็ถูกปรับจูนให้เข้ากับระดับคลื่นความถี่ของพวกคุณอยู่แล้วด้วย 
เพราะว่าคลื่นความถี่อันนั้นไม่ได้เป็นของคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ 


แล้วผลลัพธ์ของมันคืออะไร? พวกเขาก็จะบอกข้อมูลข่าวสารกับพวกคุณ 
ผ่านทางญาณหยั่งรู้ของพวกคุณ เพื่อช่วยนำทางพวกคุณ 
และเพื่อให้ความช่วยเหลือพวกคุณ ในการทำงานร่วมกับตัวตนอีกส่วนหนึ่งของพวกเขาเอง 
ที่อยู่ในร่างกายเนื้อที่อยู่ร่วมกับพวกคุณ บนโลกใบนี้หนะสิ 

ตรงนี้มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก ลองมาคิดถึงมันในแง่นี้ดูสิ..ว่า..ตัวตนส่วนที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์โลกบางคน 
ที่พวกคุณเองก็ไม่เคยได้พบกับมนุษย์โลกคนที่ว่านี้มาก่อนเลย รู้ว่าพวกคุณกำลังฟังพวกเขาอยู่ 
ดังนั้น พวกเขาจึงส่งข้อมูลข่าวสารมาถึงพวกคุณ ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือ
ตัวตนส่วนที่อยู่บนโลกของพวกเขาเองด้วย เพราะว่าพวกคุณกำลังทำภาระกิจที่เกี่ยวข้องกับ
สันติภาพของโลกและเกี่ยวข้องกับความเมตตากรุณาอยู่ นั่นเอง

ในโลก 3 มิติที่มีตัวตนแบบเป็นเอกเทศของพวกคุณ พวกคุณจะเป็นแค่บุคคลคนเดียว 
ซึ่งก็คือตัวพวกคุณแต่ละคนในขณะนี้ ใช่หรือไม่? แล้ว ณ.ฟากฝั่งนี้ของม่านพรางที่ฉันกำลังอยู่นี่หละ? 

มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย..เพราะว่า ณ.ฟากฝั่งนี้ที่ฉันกำลังอยู่นี่ 
พวกคุณจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “พวกเขา” ทุกๆตัวตนด้วย 


เพราะฉะนั้นแล้ว แม้ว่าชิ้นและส่วน ของจิตวิญญาณดวงใดก็ตาม 
ที่เป็นตัวตนส่วนที่กำลังอยู่บนโลกใบนี้ 
จะไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เอาซะเลยอย่างสิ้นเชิงก็ตาม 
แต่จิตวิญญาณดวงนั้นๆก็ยังจะถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร
ที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลหมู่มนุษยชาติมาอยู่ต่อไป 
และตลอดเวลาด้วย มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก 
แต่ให้คิดถึงมันในแง่ของพลังแห่งการหยั่งรู้ร่วมกันของมวลหมู่มนุษยชาติดูสิ


แล้วมนุษย์โลกก็จะพูดว่า “ว้าว! ดูที่โศกนาฏกรรมในครั้งนั้นสิ คุณรอดมาได้ยังไงเนี่ย 
ทำไมคุณถึงหนีออกมาก่อน ก่อนที่ตึกมันจะถล่มหละ? แล้วพวกคุณก็จะพูดว่า 
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มีบางอย่างบอกกันฉันว่าให้ออกไป แล้วฉันก็ออกไป” 
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่รักทั้งหลาย และตอนนี้พวกคุณก็รู้แล้วใช่ไหมว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? 

มันจะเป็นไปได้หรือ ที่จิตวิญญาณของมนุษย์
จะเชื่อมต่อกันอยู่ ในลักษณะที่ 
มันจะสามารถพูดกับทุกๆคนได้ในเวลาเดียวกัน? 
และคำตอบก็คือ “ใช่แล้ว”


เวลาที่นักบำบัดที่มีญาณหยั่งรู้คนหนึ่ง ไปนั่งลงตรงหน้าผู้ป่วยที่โง่เง่า และหัวดื้อ 
และไม่มีความเชื่อในเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อยคนหนึ่ง นักบำบัดคนนั้นยังจะได้รับข้อมูลข่าวสารอะไรอยู่ไหม๊ 
เพื่อที่จะเอามาใช้รักษาผู้ป่วยคนนั้น? ได้สิ! 

ดังนั้น ญาณหยั่งรู้ที่มีมาแต่กำเนิดของมนุษย์โลกทุกๆคน
จึงกำลังทำงานอยู่ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้น
จะมีความสามารถในการ “รับฟัง” มันหรือไม่ก็ตาม 


เพราะว่ามันกำลังถ่ายทอดสัญญาณไปสู่นักบำบัดคนนั้นอยู่! และถ่ายทอดไปสู่ทุกๆคนด้วย 
ซึ่งประเด็นนี้เพียงประเด็นเดียว ก็สามารถที่จะทำให้พวกคุณมองเห็นได้แล้วว่า 

การหยั่งรู้ (intuition) ไม่ได้มาจากจุดประสานประสาท
ที่อยู่ภายในสมองของพวกคุณแต่อย่างใดเลย 
แต่มันมาจากประตูมิติซึ่งก็คือต่อมไพเนียลต่างหากหละ


พวกคุณคิดว่าจะนำเอาข้อมูลข่าวสารนี้ ไปทำอะไรบ้าง? 
เอาหละ พอมาถึงตรงนี้แล้ว พวกเราก็ได้พูดครอบคลุมถึงมันไปบ้างเล็กน้อยแล้ว 

อันดับแรก จงเข้าใจกระบวนการของมัน และ จงเชื่อมั่นในมัน 
อย่าไปรู้สึกไม่พอใจ หากแผนการที่วางเอาไว้ของพวกคุณไม่บรรลุผล 
เพราะว่าพวกคุณไม่อาจที่จะมีทั้งสองอย่างนี้ได้ ในเวลาเดียวกัน 
พวกคุณไม่อาจที่จะมีแผนการต่างๆรอคอยเอาไว้ล่วงหน้า
หรือเผื่อเอาไว้ล่วงหน้าได้ เพราะว่านั่นจะทำให้ 
synchronicity ไม่อาจเกิดขึ้นได้ 
เพราะว่าพวกคุณจะทำให้มันกลายเป็นโมฆะไป 
ถ้าพวกคุณพยายามที่จะวางแผนเอาไว้ให้กับมัน 
พวกคุณเข้าใจตรงนี้ไหม๊?


..............................
0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:11 น. 9
ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 9:

เรื่องที่ 2: ต้องเข้าใจว่า synchronicity 
อาจจะนำพาพวกคุณไปสู่ที่ๆพวกคุณ
ไม่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าก่อนก็ได้ 
และถ้าเป็นเช่นนั้น พวกคุณยังจะ OK อยู่ไหม๊? 


แล้วจิตวิญญาณเก่าแก่ทั้งหลาย ก็จะนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วพูดว่า
“แน่นอนสิ ใช่..นั่นยัง OK อยู่ เพราะว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี” 

จริงเหรอ? จริงเหรอ? เพราะว่ามนุษย์โลก ชอบให้สิ่งต่างๆมันเป็นไปในแบบที่ตัวเองต้องการไม่ใช่เหรอ 

และพวกคุณก็อาจจะถูกผลักและถูกดัน 
ให้ไปอยู่ในสถานการณ์และในสถานที่ ที่ไม่สะดวกสบาย 
ที่พวกคุณไม่ได้เป็นคนเลือกมาเองตั้งแต่ต้นก็ได้ 
แล้วพวกคุณจะยังสามารถเคารพในเรื่องนี้ได้อยู่อีกไหม? 

แล้วพวกคุณจะสามารถพูดว่า 
“ฉันไม่เป็นไรหรอก เพราะฉันรู้ว่าฉันจะต้องมาอยู่ที่นี่ 
เพราะว่า..ที่นี่ คือที่ๆ synchronicity นำพาฉันมา” ได้ไหม๊?
 

จงรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าที่หลั่งไหลผ่านเข้ามาในหัวใจ และในเซลทุกเซลในร่างกายของพวกคุณ 
แล้วจากนั้นก็จงพูดว่า “ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ได้นำพาข้าพเจ้ามาอยู่ในที่ๆถูกที่ถูกเวลาเช่นนี้” 
และมันก็อาจจะต้องใช้เวลาซักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะได้คำตอบทั้งหมดของคำถามที่ว่า “ทำไมๆๆ” ทั้งหลาย 
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกคุณก็จะมองเห็นเหตุผลของมันอย่างชัดเจน แล้วพวกคุณก็จะยิ้มออก 
แล้วพวกคุณก็จะได้ประจักษ์ว่ามันสมบูรณ์แบบ และพวกคุณไม่ควรที่จะไปวางแผนการใดๆให้กับมันเลย 

ฉันอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกคุณซักหน่อยว่า 
บางทีเป้าหมายในโลก 3 มิติของพวกคุณ 
อาจจะไม่มีวันบรรลุผลเลยก็ได้นะ แล้วพวกคุณจะยัง OK อยู่ไหม๊? 


เพราะว่าแทนที่จะไปยึดติดอยู่กับเป้าหมายสุดท้ายเพียงอย่างเดียว 
พวกคุณก็จะได้อยู่ในการเปลี่ยนแปลง/เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาแทน ตลอดเวลาเลย 
แล้วถ้ามันเป็นแบบนี้พวกคุณยังจะ OK อยู่ไหม๊? 


มันจะยังมีขั้นบันไดให้ปีนขึ้นไปสู่ระดับความรู้, สู่ระดับความตระหนักรู้ และสู่ระดับพลังงาน 
ที่สูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆอยู่เสมอ และสิ่งต่างๆก็จะมีทางของมันเอง 
เพื่อเข้ามาสู่เส้นทางของพวกคุณอยู่เสมอๆด้วย มันจะเป็นแบบนี้ตลอดเลย 
จนกว่าจะถึงวาระแห่งลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพวกคุณบนโลกใบนี้โน่นแหละ 


แต่พวกคุณจะรู้สึกว่า พวกคุณ ”ไม่เคยไปถึงเป้าหมายเลย” แต่ว่านั่นไม่ใช่ความจริงเลย 
เพราะว่าพวกคุณได้ไปถึงเป้าหมายของตัวเองทุกวันๆอยู่แล้ว 
มันเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของพวกคุณเท่านั้นเอง และพวกคุณก็ไม่ชอบมันด้วยใช่ไหม๊? 
เพราะว่าพวกคุณมักจะอยากไปให้ถึงที่ไหนซักแห่งหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันได้มาถึงแล้ว!” มากกว่า 
แล้วจากนั้นพวกคุณก็อยากที่จะซื้อเสื้อยืดซักตัวเอาไว้เป็นที่ระลึกว่าได้มาถึงแล้วด้วย ใช่ไหม๊? [เสียงหัวเราะ]

Synchronicity สามารถนำพาพวกคุณ
ไปสู่สถานที่ต่างๆที่สวยสดงดงามได้ด้วย 
มันสามารถช่วยชีวิตพวกคุณก็ได้ด้วย 
และมันก็ทำเช่นนั้นอยู่บ่อยๆซะด้วย 

มันช่วยทำให้กรรมต่างๆ
ที่คอยผลักและดันพวกคุณอยู่ตลอดเวลา 
กลายเป็นโมฆะได้ด้วย 


มันช่วยให้มุมมองของผู้คนที่มีต่อพวกคุณเปลี่ยนไป เพราะว่าพวกคุณได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้ว 
มันช่วยให้มุมมองของพวกคุณที่มีต่อบุคคลอื่นเปลี่ยนแปลงไปด้วย 
เพราะว่าพวกคุณจะถูกนำไปไว้ในที่ๆพวกคุณจะมองเห็นว่าพวกคุณเป็นใคร 

มันจะจัดระเบียบระบบความเชื่อของพวกคุณใหม่ เพราะว่าพวกคุณเริ่มเห็นผลในทางปฏิบัติแล้ว 
และพวกคุณก็รู้ว่ามันได้ผลจริงๆ พวกคุณจะสามารถยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผยได้ 
แล้วบอกกับคนอื่นๆว่าพวกคุณไม่รู้เลยจริงๆว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน 
และพวกคุณก็จะมีความภาคภูมิใจในสิ่งนี้ซะด้วย! 

และตลอดช่วงเวลาทั้งหมดนี้ พวกคุณก็จะมีสุขภาพดีกว่าพวกเขาด้วย 
และพวกคุณก็จะมีความสุขมากกว่าพวกเขาด้วย 
และพวกคุณก็จะสามารถรักบุคคลที่พวกเขาไม่อาจรักได้ด้วย 
พวกคุณเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่นี้ไหม๊?

นี่คือการเปลี่ยนแปลงความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวกับชีวิตของพวกคุณอย่างหนึ่ง 
มันคือการเปลี่ยนแปลงในทุกๆเรื่องที่มนุษย์โลกเคยถูกสอนมาในมิติที่ 3 แห่งนี้ 
และมันก็ไม่ใช่การ “ปล่อยให้มันเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ด้วย 
แต่มันคือการปฏิบัติงานร่วมกันอย่างหนึ่ง มันคือข้อตกลงอย่างหนึ่งที่เป็นแบบหลักการณ์คร่าวๆ 
และมันก็ต้องการความร่วมมือในส่วนของพวกคุณด้วย ดังนั้น จงเรียกร้องหามัน

............................



ข้อความสื่อสารจากครายออน (Kryon)
เรื่อง: ปรากฎการณ์ Synchronicity มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


ผู้รับสาส์น: Lee Carroll
วันที่: 24 กันยายน 2013

ที่มา:
Synchronicity - The Way It Works > Kryon


ตอนที่ 10: (จบครับ)


จงคาดหวังถึง synchronicity แต่ถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พวกคุณคิดว่ามันควรจะเกิดหละก็ 
ก็อย่าไปรู้สึกไม่พอใจเข้าซะหละ เพราะว่ามันมีความจำเป็นที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลานั้นๆ! 

มนุษย์โลกนี่ก็ตลกจริงๆเลย ลองมองดูที่สำนวนต่างๆที่หลายๆคนในอารยธรรมของพวกคุณใช้กันดูสิ 
พวกเขาก็รู้เรื่องนี้กันด้วยนะ! “เอ่อ..ฉันเดาว่ามันถูกกำหนดให้เกิดขึ้นนะ” 
พวกเขาไม่รู้อะไรเลย! ใช่!! [ครายออนหัวเราะ] 
หรือ “จักรวาลมีข้อความมาถึงฉัน” พวกเขาไม่รู้อะไรเลย! นั่นแหละคือสิ่งที่ถูกต้องจริงๆหละ 
มันถูกเผ็งเลยหละ!

เพราะฉะนั้น ฉันก็เลยเพิ่งบอกพวกคุณไปว่า กลไกการทำงานของมันเป็นอย่างไร และมันก็สวยสดงดงาม 
และมันก็มีไว้สำหรับพวกคุณโดยเฉพาะด้วย 

ข้อมูลข่าวสารที่เต็มไปด้วยกุศลเจตนาและมีประโยชน์อย่างยิ่ง กำลังถูกถ่ายทอดสัญญาณลงมาอยู่ตลอดเวลา 
แม้แต่จากจิตวิญญาณของผู้ที่ไม่มีความเชื่อในเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อยก็ตาม 
แต่ตัวตนส่วนที่เป็น “พระเจ้า” ของพวกเขา ก็ยังคงถ่ายทอดสัญญาณลงมาอยู่ตลอดเวลา 
และพวกเขาก็รู้ว่าพวกคุณกำลังฟังพวกเขาอยู่ด้วย 

ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ มันจะช่วยให้จิตวิญญาณเก่าแก่ทั้งหลาย สามารถเดินจากจุด A ไปถึงจุด B ได้ 
ยิ่งไปกว่านั้น มันจะช่วยให้พวกคุณได้พบกับกระบวนการต่างๆ และได้พบกับหลักการณ์ต่างๆ 
และได้พบกับผู้คนต่างๆ ที่จะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ได้ 
นี่แหละคือสิ่งใหม่หละ

มันกำลังจะมีการเริ่มต้นขึ้นของ “งานแต่งงาน” งานหนึ่ง ซึ่งจะมีขึ้น ไม่เพียงแต่จะเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก
ให้ฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคในปัจจุบันนี้ไปได้เท่านั้น แต่ยังเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก ให้ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรค
ที่กำลังจะมาถึงในอนาคตไปได้อีกด้วย ซึ่งปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ ก็คือเงื่อนไขต่างๆที่ได้ถูกกำหนดไว้ในบันทึกแห่งฟ้าแล้ว 
เพื่อเอาไว้ใช้ในช่วงเวลาต่อๆไป 

ครั้งที่แล้วพวกเราได้บอกกับพวกคุณว่ายังไงนะ? ที่พวกเราพูดถึง “มรดกบันทึกแห่งฟ้า” (Akashic Inheritance) หนะ? 
สิ่งที่พวกคุณได้เรียนรู้อยู่ในเวลานี้ ก็คือสิ่งที่จะถูกนำไปใช้ในช่วงเวลาต่อไปใช่ไหม 
ดังนั้น เงื่อนไขต่างๆที่พวกคุณมีอยู่ในภพชาตินี้ จึงจะถูกส่งต่อไปในภพชาติข้างหน้าด้วย 
พวกคุณจะจดจำพวกมันได้ และพวกคุณก็จะเดินหน้าต่อไป และ synchronicity ของวันนี้ก็คืออนาคตของวันพรุ่งนี้นั่นเอง

ดังนั้น จิตวิญญาณเก่าแก่ทั้งหลายเอ๋ย มันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่พวกคุณจะต้องเริ่มต้นเรียนรู้ว่า
จะใช้งานมัน (synchronicity – ผู้แปล) ได้อย่างไร และจะนำพามันไปด้วย ได้อย่างไร 

จงเรียนรู้ที่จะคาดหวังถึงมัน และจงเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในมันด้วย 
และจงเปลี่ยนแปลงวิถีทางของสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับพวกคุณ 


และในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งของการสอนแบบใหม่นี้ พวกเราอยากจะขอบอกพวกคุณว่า 
มันถึงเวลาแล้วที่พวกคุณจะต้องทำให้กราฟรูประฆังคว่ำของมิติที่ 3 นี้ ที่บอกกับพวกคุณเกี่ยวกับค่าเฉลี่ย 
และความน่าจะเป็นของชีวิตของพวกคุณ ให้มันใช้การไม่ได้อีกต่อไป 
ซึ่งทั้งหมดที่พวกคุณจะต้องทำก็คือ การกระทุ้งกราฟอันนั้นเบาๆ ด้วยพลังงานหลากมิติ 
ที่เรียกว่าปรากฎการณ์ synchronicity นี้ แล้วพวกคุณก็จะออกแบบกราฟของพวกคุณเองได้ 

Synchronicity ก็คือการเรียนรู้ที่จะยอมรับ 
“ตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวพวกคุณเอง” (Higher-Self) 
และยอมรับความเป็นจริงที่ว่า “พระผู้เป็นเจ้า” (God) 
อยู่ภายในตัวของพวกคุณเอง 

มันแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะรับฟังของพวกคุณ 
ในแบบที่พวกคุณไม่เคยทำมาก่อน 
ต่อ “แหล่งกำเนิด” ที่เป็นส่วนตัว และเต็มไปด้วยความรัก, 
และสูงส่งดีงาม, และสวยสดงดงามของตัวพวกคุณเอง 
ซึ่งก็คือพลังงานอย่างหนึ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนั่นเอง



And so it is

Kryon

The information is free and available for you to print out, 
copy and distribute as you wish. 
Its Copyright, however, prohibits its sale in any form except by the publisher. 


Lee Carroll

...........................
0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:25 น. 10

ผมจะโพสไปเรือยๆนะครับ เพราะมีหลายอย่างน่าสนใจเหมื่อนกัน ^^

อ่านขำๆกันก็ได้นะครับ อันนี้อาจเปนสถาน ณ การ ปัจจุบัน -0-


THE HILARION’S WEEKLY MESSAGE 2014
January 5-12, 2014
วันที่โพสท์ Mon Jan 6/1/2014

ผู้แปล: ชยุต-อจิตตะ

การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มกระชั้นเข้ามาแล้วในช่วงเวลานี้ 
และยังเป็นชั่วโมงแห่งข้อมูลข่าวสารมากมายที่ต้องนำเสนอกัน
ซึ่งจะทำให้มนุษย์ปวดเศียรเวียนเกล้า
ไปกับความพยายามทีจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันหนอ
อีกทั้งเหล่าสื่อต่างๆ ก็ได้พากันเผยแพร่ช่าวนี้กันมากซะด้วย
มันเหมือนกับเป็นการปลุกบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกให้ตื่นขึ้น
เพื่อเปิดรับกับเหล่าแสงสว่างด้วยหัวใจและจิตวิญญาณของเหล่ามนุษย์ที่กำลังตื่น
ซึ่งก็เป็นเวลาที่คุณแต่ละคนได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว...
ความสงบและความสมดุลย์ของคุณเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด
ในการรักษาดุลย์ภาพของพลังงานของโลกไว้ 
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ที่กำลังรับมือกับเรื่องนี้ต้องเข้าใจ...

หลายคนเริ่มที่จะจำได้แล้วในเหตุผล
และวัตถุประสงค์ที่มาแสดงตัวอยู่บนโลกใบนี้
ซึ่งในแต่ละวันคุณก็ยังคงก้าวต่อไปอย่างเงียบๆ 
และไม่ทำตัวโฉ่งฉ่างกับการเป็น Light Worker 
มันเหมือนกับการเป็นลูกเรือบนภาคพื้นดินของพวกเรา
ทั้งยังช่วยให้แต่ละคนอยู่ได้โดยไม่เป็นที่สังเกตุเห็นหรือพรางตัวได้
แต่นี่...มันเป็นช่วงเวลาของการเดินไปข้างหน้าแล้วนะ
ซึ่งการเริ่มต้น ก็คือการเปลี่ยนแปลง “คุณ “
ผู้ซึ่งเป็น Light worker ของโลกใบนี้ 
คุณจะเริ่มโดดเด่นขึ้นด้วยแสงสว่างที่แผ่ออกมาจากตัวคุณเอง
จนผู้คนรอบตัวคุณอดสงสัยไม่ได้ในความแตกต่างที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของคุณ

ซึ่งเมื่อคุณคุณได้ส่งคลื่นความถี่ของความรักและความสุขออกไป, 
ถึงแม้เราจะช่วยไม่ได้ในเรื่องของสันติภาพและความสามัคคีของผู้คน
แต่อย่างน้อยก็ย่อมมีผลกระทบและมีการตอบสนองกลับในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับระดับ“ความเข้าใจ” ของพวกเขาแต่ละคน...


การฝึกเล่นมายากลแบบเล่นแร่แปรธาตุด้วยคำพูด
ซึ่งเป็นผลงานของการโฟกัสด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์
โดยมีความตั้งใจและพูดซ้ำ ๆ อย่างไม่ย่อท้อ
จะกลับกลายเป็นเรื่องเด่นขึ้นมากกว่าเก่าก่อน
และ ณ. ขณะนี้...คุณคุณก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญ
ในการยึดหลักการนี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อที่คุณจะได้เห็นและมีประสบการณ์
กับผลของมันอย่างชัดแจ้งของโลกรอบตัวคุณ... 

จงอยู่กับปัจจุบันขณะให้ได้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
จงดูแลรักษาร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณของคุณไว้ให้ดี
คุณต้องดูแลและรักตนเองก่อนจึงจะสามารถนำไปแจกจ่ายให้ผู้อื่นได้
ทั้ง”ความรู้สึกตัว”ของคุณกับชีวิตที่ต้องหมุนไปกับโลกใบนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง...
และทำทุกสิ่งให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ในทุกๆขณะ
และจงมั่นใจว่าคุณจะได้รับคำแนะนำและการกระตุ้นเตือน...
เพราะนั่นคือสิ่งที่ขาดเสียมิได้ในขั้นตอนต่อไปของคุณ


ขณะนี้คุณคุณส่วนใหญ่มีความสามารถในการควบคุมพลังได้ดียิ่งขึ้น
หลังจากที่รูปแบบของการบิดเบือนท้ายสุดได้ถูกปลดปล่อยออกมา
และเลือนหายไปจากภายในของคุณ
คุณถึงได้ดูดซับและปรับตัวทั้งผสมผสานกับแสงสว่างได้ดียิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ซึ่งคุณแต่ละคนก็เหมือนโรงไฟฟ้าที่ยิ่งใหญ่
ที่สามารถนำโลกไปสู่การบรรลุซึ่งเป้าหมาย
ด้วยการมุ่งมั่นในหน้าที่ของงานที่มีมาก่อนที่คุณจะมา (เกิด=ผู้แปล)

พวกคุณได้รับการชี้นำทางเสมอมา และก็จะได้รับต่อๆไปอีกด้วย 
จากครอบครัวชาวแสงสว่างของพวกคุณ 
เพื่อให้พวกคุณได้รับ และได้ประสบกับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 
เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกผู้ทุกนาม
ไม่มีพวกคุณคนไหนเลยที่จะเดินอยู่บนโลกนี้แต่เพียงลำพัง 
เพราะว่าความจริงแล้ว พวกคุณส่วนใหญ่อาจจะถึงกับช็อก 
เมื่อพบว่ามีรูปธรรมชีวิตจำนวนมากมายเพียงใด 
ที่กำลังเดินไปพร้อมๆกับพวกคุณอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกคุณบนโลกใบนี้
จงพยายามปรับจูนตัวเองให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเราในแต่ละวัน 
และจงหาเวลาเพื่อทำสมาธิและภาวนาตามลำพัง 
เพราะว่าในอากาศที่อยู่รอบๆตัวของพวกคุณนั้น 
คับคั่งไปด้วยรูปธรรมชีวิตจากมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย จำนวนมากมาย (Thanks...)


ซึ่งในขณะที่คุณปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาตินั้น
คุณจะได้รับความรู้ และเกิดการกระตุ้นให้เกิดกำลังใจ
และได้รับคำแนะนำที่ดีที่สุดเพื่อก้าวต่อไปของคุณ
บางทีสิ่งที่คุณต้องการมันก็อยู่ที่ที่คุณอยู่นั่นแหละ
ซึ่งก็เพื่อให้คุณได้แสดงตัวในพื้นที่ที่สามารถตอบสนองจุดประสงค์ที่สูงยิ่งขึ้นไปได้
จงทำตัวให้เป็นกลางและสังเกตุสัญญาณ (signs)รอบๆตัวคุณ
และทำตามแรงกระตุ้นเตือนของหัวใจคุณ...
คุณจะปลอดภัย...คุณเป็นที่รักและได้รับความคุ้มครองเสมอ

"จงทำความสงบนิ่งทั้งภายในและภายนอกของคุณดั่งโดนเวทย์มนต์
ก่อนที่คุณจะสามารถสงบนิ่งได้อย่างอัตโนมัติ...
ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่นอนในเวลาที่ถูกที่ควร..."
..


Until next week…
I AM Hilarion
0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:34 น. 11

SaLuSa, January 3, 2014

เราได้ร่วมฉลองช่วงเวลาแห่งการสั่นสะเทือนที่น่าตื่นเต้นในช่วงงานปีใหม่
ท่ามกลางความคาดหวังว่าในเวลาไม่นานนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สวยงามเกิดขึ้น  และมันก็จะมี “การเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง” ที่จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ายุคใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นข้างนอกนั้น ความโกลาหลวุ่นวายดูเหมือนว่า ยังจะคงมีต่อไปอีกอยู่
แต่ว่ามันคือการเคลียร์เส้นทางเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เฝ้ารอคอยมานานและตอนนี้ มันถึงเวลาแล้วที่จะใช้ช่วงโอกาสนี้ แสดงให้เห็นถึงวิถีทางใหม่ที่จะนำผู้คนมาร่วมกัน เพื่อสร้างความสอดประสานกลมกลืนขึ้นมาใหม่พลังแห่งความรักจะลบล้างพลังงานยุคเก่าที่ครอบงำคุณมาเป็นเวลายาวนานออกไปในขณะที่โลกกำลังถูกชะล้าง พลังงานยุคเก่าจะค่อยๆเจือจางรีบหรี่ลงเรื่อยๆ โดยไม่มีความจำเป็นต้องให้บริการอีกต่อไปในอีกไม่ช้า พลังงานยุคเก่าจะไม่สามารถแทรกแทรกการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อีกต่อไป, ซึ่งยุคใหม่ก็จะแสดงให้คุณเห็นกับตาว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วอยู่ที่นี่แล่ะ
ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานแล้ว ที่พวกคุณได้ทำตามคำสัญญาที่จะช่วยเปลี่ยนแปลง
ครั่งยิ่งใหญ่นี้ และก็ทำมันได้สำเร็จด้วย 
ปีนี้จึงจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของหลายๆชีวิต และมันก็จะไม่มีอะไรที่น่าสงสัยค้างคาใจพวกคุณอยู่อีกเลย ว่าวันเวลาของ “กลุ่มคนฝ่ายมืด” นั้น ได้ถูกนับถอยหลังลงไปเรื่อยๆแล้ว
พวกเขารู้และพร้อมที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่มันก็จะมีบางคนเสมอ 
ที่จะรู้แต่เพียงว่า ตัวเองต้องต่อสู้ไปให้ถึงที่สุดแห่งจุดจบอันขมขื่นอันนั้นเท่านั้น
จะมีการเปิดเผยหลายอย่าง ที่จะช่วยตอบคำถามต่างๆของพวกคุณ และจะชี้บ่งว่า เส้นทางสู่แสงกำลังถูกเปิดขึ้นมาแล้ว
โปรดจงมั่นใจเถิดว่า การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นทั้งหลายแหล่เหล่านี้ จะรับประกันอนาคตของพวกคุณเอง
การแยกออกจากกันของยุคเก่าและยุคใหม่ได้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแบบไม่เคยมีมาก่อน 
และจิตวิญญาณมากมาย ก็มาถึงช่วงเวลาที่จะต้องตัดสินใจถึงอนาคตกันแล้ว
พวกเราได้ส่งความรักไปให้พวกเขาทั้งหลาย ที่ยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ความเป็นแสง
แต่ละคนล้วนก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ตัวเองเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง และจะก้าวเดินไปพร้อมๆกับคำอวยพรจากพวกเรา ในขณะที่พวกเขากำลังประสบกับสิ่งที่มีความจำเป็นจริงๆต่อพัฒนาการทางจิตวิญญาณของพวกเขาเองอยู่
ไม่แปลกใจเลย ที่ประวัตศาสตร์ของคุณ เต็มไปด้วยการเผชิญหน้าระหว่างผู้คนที่ต่างความเชื่อ, พวกเขาขัดแย้งกันเพราะพวกเข้าไม่เจอทางสายกลางที่อยู่ระหว่างความขัด
แย้งของพวกเขาอย่างไรก็ตาม, พวกเขาสามารถใช้เวลาเพื่อการแข่งขันนานเท่าที่พวกเขาต้องการ
แต่ในมิติที่สูงกว่ามิติที่สาม อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า เวลาจะไม่มีอยู่จริง จะมีเพียงเวลา
ปัจจุบันขณะเท่านั้นหมายความว่า คุณสามารถกลับไปในอดีต และแม้แต่ไปในอนาคต ถึงแม้มันจะเป็นการฉายภาพของความเป็นไปได้ทั้งหมดก็ตาม
คุณจะตระหนักได้ทันทีที่คุณออกจากมิติแห่งเวลา (มิติที่สาม) ,ว่ามันจะไม่มีอะไรที่เป็นไปในแบบเดิมๆ ที่คุณเคยทำ หรือมีประสบการณ์มาจากมิติที่สามเลย
คุณจะเป็นอิสระ ปราศจากข้อจำกัดที่เหมือนถูกคุมขัง แต่จะเข้าใจได้เองด้วย ว่าคุณต้องไม่ไปแทรกแทรงการเดินทางของจิตวิญญาณอื่นๆ แต่สามารถช่วยได้ถ้าหากได้รับการร้องขอ



0
skyMsz 10 ม.ค. 57 เวลา 00:34 น. 12
ที่รักทั้งหลาย, การเดินทางของพวกคุณใน “ความเป็นทวิภาวะ” (Duality) ที่พวกคุณคุ้นเคยนี้ ใกล้จะมาถึงช่วงเวลาสุดท้ายของมันแล้ว และมันจะเริ่มง่ายขึ้น ต่อการทำให้ตัวเองอยู่ห่างจากความสั่นสะเทือนแบบเก่าทั้งหลาย
คุณจะรู้สึกประหลาดใจ ว่ามันง่ายและรวดเร็วมาก ที่คุณจะสามารถปล่อยวางความทรงจำเก่าๆ ที่เกิดขึ้นในภพชาติต่างๆของตัวเอง ที่อยู่ในความเป็นทวิภาวะนี้ทิ้งไปได้คุณจะสังเกตุได้ว่า คุณจะรู้สึกมีความสุข เบิกบานใจ และมีชีวติชีวามากกว่าประสบการณ์ก่อนหน้านี หลายคนที่กำลังจมดิ่งอยู่ในพลังงานแบบเก่า ก็จำเป็นที่จะต้องรีบยกระดับตัวเองขึ้นมา เพื่อที่จะได้พร้อมต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น
คุณได้ใช้เวลามาหลายภพชาติ เพื่อเตรียมการเพื่อโอกาสนี้ เวลานี้ ที่เป็นเวลาที่น่าตื่นเต้นมากๆ พวกคุณรู้มาตลอดว่า คุณจะพร้อมเพื่อข้ามผ่านไปข้างหน้า และตอนนี้ คุณกำลังมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่รออยู่ข้างหน้า
ในท้ายที่สุดแล้ว หลายๆคนก็จะได้กลับดาวบ้านเกิดของตัวเอง เพราะว่าได้เสร็จสิ้นช่วงเวลาที่จะต้องอยู่ในมิติที่ต่ำๆกว่าแบบนี้เรียบร้อยแล้ว
แต่ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับมา จะถูกแบ่งปันแก่ผู้อื่นต่อไปอีก และดังนั้น มันจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมทั้งหมด
(หมายเหตุ: เขาพูดถึงประสบการณ์จากการลงมาเกิดในมิติที่ต่ำๆนี้ของจิตวิญญาณกลุ่มที่กลับไปดาวบ้านเกิดหนะครับ และในมิติของพวกเขา มันจะเป็นมิติแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ ใครคิดอะไร รู้สึกอะไร หรือได้รับประสบการณ์อะไรมา มันก็จะถูกรับรู้โดยรูปธรรมชีวิตทุกๆรูปธรรม ที่อยู่ในมิตินั้น ทั้งหมด และในทันทีทันใดเลยหละครับ)
บางคนที่ใจยังแคบ เพราะใช้ชีวิตในโลกสามมิตินี้มานานเกินไป, พวกเขาได้ลืมไปว่าสรรพชีวิตยังคงมีในทุกๆที่ในจักรวาลในจักรวาลนี้ยังมีอะไรอีกมากมายให้ดูและให้ทำได้ ซึ่งคุณจะไม่รู้สึกเหนื่อยกับมันเลย กับประการณ์ใหม่นี้
ดวงตาของพวกคุณกำลังจะถูกเปิดขึ้นมาสู่ความเข้าใจที่ว่า 
พวกคุณคือรูปธรรมชีวิตที่ยิ่งใหญ่ และถูกกำหนดไว้เอาล่วงหน้าแล้วว่า 
จะต้องได้รับการฟื้นฟูระบบจักระของตัวเองให้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ 
และจะต้องได้รับการฟื้นฟูความสามารถต่างๆของตัวเอง 
ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกยับยั้งเอาไว้ ให้กลับคืนมาใหม่ทั้งหมดด้วย 
แล้วเมื่อนั้น และก็เฉพาะหลังจากนั้นแล้วเท่านั้น พวกคุณก็จะเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริง ของการเป็นรูปธรรมชีวิตที่วิวัฒน์อย่างเต็มที่แล้ว ที่กำลังเคลื่อนที่ไปมาอยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลายได้
ในขณะนี้ พวกคุณกำลังถูกเตรียมการสำหรับการก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่, มันจะนำคุณไปสู่สภาวะที่คุณเคยอยู่มาก่อน ก่อนที่จะเดินทางผ่านมิติที่สามนี้ไป 
ตอนนี้แล่ะ เป็นเวลาที่น่าทดสอบของพวกคุณแล้ว ด้วยประสบการณ์ของพวกคุณน่าจะสามารถเคลื่อนย้ายไปสู่มิติที่สูงกว่าไม่ยากเมื่อคุณรู้สึกสงสัย ให้ทำตามสัญชาตญาณของคุณ แล้วคุณจะไม่หลงทางจำไว้ว่า มีจิตวิญญาณมากมากที่จะมีประสบการณ์ร่วมกับคุณในการเดินทางของคุณ ในขณะเดียวกัน ก็จะช่วยเหลือคุณเมื่อพวกเขาทำได้ แต่ก็จำไว้ด้วยว่า จิตวิญญาณที่เป็นผู้
นำทางทั้งหลาย จะไม่รบกวนหรือไปแทรกแทรงคุณ ยกเว้นคุณขอให้ช่วยเท่านั้นจิตวิญญาณผู้นำทางจะช่วยชักจูงและส่งคุณไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ

ฉันคือ SaLuSa, และกำลังถามคุณถึงความพร้อมของพวกคุณ ที่จะยอมรับการ

เปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คนอื่นๆอืกมากมายที่ยังไม่ได้รับข้อมูลที่ดี

เพียงพอ. เราอยู่กับคุณเสมอ และกำลังให้ความรักและคำอวยพรกับพวกคุณ เพื่อความสำเร็จใจการเดินทางครั้งนี้.

Thank you SaLuSa.
Mike Quinsey
Website: 
0