Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ข้อคิดในการใช้ชีวิต

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่


ชายคนหนึ่งกับลูกชายวัยซน กำลังเดินเที่ยวอยู่ในป่าบนภูเขา
ทันใดนั้น เท้าเด็กน้อยได้สะดุดกับหินก้อนโต และเจ็บแปลบ จึงร้องเสียงหลง "โอ๊ย!!"
แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมาจากภูเขาว่า... "โอ๊ย!!"

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจ้าหนูจึงตะโกนถาม "เจ้าเป็นใคร"
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ... "เจ้าเป็นใคร!!"

ด้วยเหตุนี้ ความโกรธของเจ้าหนู ก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ

แล้วตะโกนสุดเสียงกลับไปอีกว่า "เจ้าคนขี้ขลาด"
และเสียงนั้นก็ตอบกลับมาว่า "เจ้าคนขี้ขลาด!!"

เด็กน้อยตาโต...มองหน้าพ่อ ที่เดินเข้ามาหา แล้วถามว่า "พ่อครับ...เกิดอะไรขึ้น"
ผู้เป็นพ่อ ยิ้มบางๆ ก่อนตอบ "ลูกรัก...ฟังให้ดีนะ"


จากนั้นจึงหันไปทางหน้าผา ภูเขาสูง แล้วตะโกน... "ผมชื่นชมในตัวคุณ"
เสียงนั้นตอบกลับมาว่า... "ผมชื่นชมในตัวคุณ!!" 
พ่อตะโกนต่อไปอีกว่า... 
"คุณยอดเยี่ยมมาก"
และเสียงนั้นก็ตอบกลับมาว่า... "คุณยอดเยี่ยมมาก!!"
สร้างความฉงนให้กับเจ้าหนูยิ่งนัก


พ่อหันมองลูกชาย...ก่อนอธิบายว่า...
"คนทั่วไป เรียกเสียงนี้ว่า 'เสียงสะท้อน' แต่จริงๆ แล้ว มันคือ 'ชีวิต'...
ชีวิต...มักจะคืนให้ในสิ่งที่เราให้ออกไป

ชีวิต...เป็นกระจกสะท้อนการกระทำของเรา....

ถ้าลูกอยากได้รับความรักมากขึ้น...
จงหยิบยื่นความรักออกไปมากขึ้น!
ถ้าลูกอยากได้รับความเมตตา กรุณามากขึ้น...
จงให้ความกรุณามากขึ้น
ถ้าลูกอยากได้ความเข้าใจ และความนับถือ...
ลูกจงให้ความเข้าใจ และนับถือ
ถ้าลูกอยากให้คนอดทนและให้เกียรติลูก...
ลูกจงอดทน และให้เกียรติคนอื่น
กฎเหล่านี้ ใช้ได้กับชีวิตทุกด้านของเราเลยลูกเอ๋ย...


"จงจำไว้ว่า๊ 
ชีวิตมักคืนให้ ในสิ่งที่เราให้ออกไป
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ไม่ใช่เหตุบังเอิญ...

หากแต่ เป็นกระจกสะท้อนการกระทำของเราเอง..."

อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/59033.html

เรื่องสั้นให้แง่คิด... ความโลภของชายพเนจร
ในเมืองอันอุดมสมบูรณ์เมือง หนึ่ง ยังมีชายพเนจรคนหนึ่งเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย เขาไม่มีที่ดินทำกิน วันๆได้แต่เดินเร่ร่อนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เพื่อรับจ้างคนในเมือง แลกกับข้าวปลาอาหาร 

ทุกๆวันเขา ได้แต่นั่งอ้อนวอนเทวดา เพื่อขอที่ดินสักผืนไว้เป็นที่ทำกิน แต่เขาก็ยังไม่ได้สมความปรารถนา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่าเจ้าเมืองจะออกเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ชายหนุ่มดีใจมาก จึงไปรอพบเจ้าเมืองพร้อมกับพวกชาวบ้าน ขณะที่เจ้าเมือง กำลังเดินทักทายชาวบ้านอยู่นั้น ได้มีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปหาเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงรีบพุ่งตัวออกไปจับงูร้ายก่อนที่มันจะฉกกัดท่าน

เมื่อเจ้าเมืองรอดตายจากงูร้าย จึงบอกกับชายหนุ่มว่า

"ขอขอบใจเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เจ้าต้องการอะไร ข้าก็จะให้"

ชายหนุ่มรู้สึกดีใจมากจึงบอกกับเจ้าเมืองว่า


"ข้าต้องการที่ดินสักผืนหนึ่ง ไว้ปลูกบ้าน ปลูกผักปลูกข้าว ทำมาหากิน" 
เจ้าเมืองได้ฟังดังนั้น จึงเอ่ยขึ้นว่า


"ตกลง ข้าจะให้ที่ดินแก่เจ้าผืนหนึ่ง เอาเป็นว่าตั้งแต่ชานเมืองนี้ไป เจ้าเดินไปถึงแค่ไหน แค่นั้นก็เป็นที่ดินของเจ้าก็แล้วกัน" 

ชาย หนุ่มรับคำด้วยความดีใจ เขากราบลาท่านเจ้าเมือง แล้วรีบเดินออกไปยัง ชานเมืองทันที เขาเริ่มต้นเดินๆๆๆๆไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเขาก็ครุ่นคิดถึงคำของท่านเจ้าเมืองไปตลอด
 

ถ้าหากเราเดินไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ที่ดินมากเท่าที่เราต้องการ? 
ดังนั้น แม้ว่าอากาศในตอนบ่ายจะร้อนอบอ้าว ทำให้เขารู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำมากเพียงใด ชายหนุ่มก็ไม่ยอมหยุดพัก เขายังคงก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปจนกระทั่งมืด ค่ำ เขาเริ่มรู้สึกหิวและอ่อนล้ามากขึ้น ขาทั้งสองก้าวได้ช้าลง แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดเดิน เพราะคิดอยู่ตลอดว่า ยิ่งเดินได้ไกลเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ที่ดินมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงกัดฟันเดินฝ่าความมืดต่อไปเรื่อยๆจนถึงรุ่งเช้า ในที่สุดเขาก็ล้มลง และไม่นานก็ขาดใจตาย ชายหนุ่มไม่ได้ที่ดินดังหวัง แม้กระทั่งที่ดินที่จะฝังศพตัวเอง ก็เพราะความไม่รู้จักพอเป็นเหตุนั่นเอง

คน ที่ไม่รู้จักพอ ย่อมก่อความเดือดร้อนให้กับตนเองได้ในภายหลัง เพราะความไม่รู้จักพอ ทำให้ไม่รู้จักประมาณในการกินการอยู่ และความโลภที่แม้เกิดขึ้นในใจเพียงเล็กน้อย ก็จะปิดบังปัญญาในการยั้งคิดไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม 

อ้างอิง
http://variety.teenee.com/foodforbrain/59029.html
ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว พระราชาผู้ปราดเปรื่ององค์หนึ่ง ต้องการจะออกเดินทางท่องเที่ยวไป เยี่ยมประชาชนของพระองค์ เมื่อมาถึงที่กลางตลาดพระองค์ก็เกิดความคิดที่แยบคายอย่างหนึ่งขึ้น พระองค์นำหินก้อนใหญ่ มาวางกลางถนนกีดขวางทางเดินของชาวบ้าน และพระองค์ก็ไปซ่อนตัวและ คอยสังเกตอยู่ห่างๆ 

ชาวนาคนแรกเดินผ่านมา พร้อมทั้งบ่นอย่างไม่พอใจว่าใครกันที่เป็นผู้ที่นำหิน นี้มากีดขวางทางเดินของเขาแต่แล้วเขาก็เดินอ้อมหินนั้นไปพระราชาก็มองดูด้วย ความสนใจ 

ต่อมามีหญิงเลี้ยงวัวคนหนึ่งเดินจูงวัวของตนมา เมื่อมองเห็นหินก่อนนั้นเธอก็พูดว่าทำไมหินก่อนนี้จึงมาอยู่ที่นี่ แล้วอย่างนี้เธอจะข้ามมันไปได้อย่างไร พูดจบหญิงคนนั้นก็จูงวัวของเธอเดินหันหลังกลับไปโดยไม่สนใจที่จะเดินอ้อมมัน ไปเหมือนชาวนาคนแรก 

เวลาผ่านไปไม่นานก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าก้อนหินก้อนใหญ่นั้น เค้าพยายามที่จะผลักหินไปให้พ้นทางแต่เพียงลำพังตัวเขาก็ไม่สามารถทำได้เขา จึงเดินหันหลังกลับไป แต่เพียงไม่กี่อึดใจเด็กน้อย คนนั้นก็เดินกลับมาพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขาหลายคน แล้วเด็ก ๆ ก็ช่วยกันผลักหินก้อนนั้นออกไปให้พ้นทางเดิน 

เมื่อพวกเขาเดินกลับมาที่ถนน พวกเขาก็พบถุงใส่เหรียญทองของพระราชาวางอยู่แทนที่หินก้อนนั้น 

หิน ก้อนนั้นได้ให้ข้อคิดที่มีค่าอย่างหนึ่งนั่นก็คือ 
อุปสรรคในชีวิตของพวกเรานั้นมีไว้เพื่อพิสูจน์ความกล้าของเราที่จะเผชิญหน้า กับมัน

หากเราหนีปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องหนีมันไปเรื่อย หากปัญหานั้นหนักหนาเกินกว่าเราจะฝ่าฟันไปได้ ลองมองไปรอบ ๆ ตัวแล้วเราจะพบว่ายังมีผู้ที่สามารถช่วยเรามาก เท่ากับผู้ที่เราสามารถจะช่วยให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคของเขาไปได้ และอุปสรรคที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ความอ่อนแอและความหวาดกลัวของตัวเราเองที่จะเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นนั่นเอง

อ้างอิง http://variety.teenee.com/foodforbrain/59030.html

แสดงความคิดเห็น

>