ทองคำนาซีและการนองเลือดของยิว
นาซีเยอรมนี (อังกฤษ: Nazi Germany) หรือ จักรวรรดิไรช์ที่สาม (อังกฤษ: Third Reich) เป็นชื่อสามัญเรียกประเทศเยอรมนี ระหว่างปี 1933 ถึง 1945 โดยมีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมันปกครอง นาซีเยอรมนีตั้งอยู่ในทวีปยุโรป มีกรุงเบอร์ลินเป็นเมืองหลวง มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า จักรวรรดิเยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Reich) และ มหาจักรวรรดิเยอรมัน(เยอรมัน: Großdeutsches Reich) นับตั้งแต่ปี 1943 เป็นต้นมา[3] ในสมัยของฮิตเลอร์ เยอรมนีกลายสภาพเป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ ซึ่งการใช้ชีวิตแทบทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของรัฐ นาซีเยอรมนีล่มสลายหลังถูกฝ่ายสัมพันธมิตรเอาชนะในเดือนพฤษภาคม 1945 และยุติสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป
ความพ่ายแพ้ของเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และอีกหลายปัจจัย ส่งผลให้พรรคนาซีได้รับความนิยม เมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 ฮิตเลอร์ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีโดยประธานาธิบดีเพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก แห่งสาธารณรัฐไวมาร์ จากนั้น พรรคนาซีเริ่มกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ฮินเดนบูร์กถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1934 และฮิตเลอร์กลายเป็นผู้เผด็จการแห่งเยอรมนีเมื่อเขารวมอำนาจแและตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเข้าด้วนกัน มีการลงประชามติระดับชาติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1934 ซึ่งยืนยันว่าฮิตเลอร์เป็นฟือแรร์(ผู้นำ) แต่ผู้เดียวของเยอรมนี อำนาจทั้งหมดอยู่ในมือของฮิตเลอร์ และคำของเขาอยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง รัฐบาลมิได้เป็นหน่วยที่ประสานงานร่วมมือกัน หากแต่เป็นกลุ่มแยกต่าง ๆ ที่แก่งแย่งสะสมอำนาจและได้รับความความนิยมจากฮิตเลอร์ รัฐบาลนาซีฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและยุติการว่างงานขนานใหญ่โดยทุ่มรายจ่ายทางทหารอย่างหนักและใช้เศรษฐกิจแบบผสม[4] มีการดำเนินการโยธาอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการก่อสร้างออโตบาห์น การที่เศรษฐกิจกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้งทำให้รัฐบาลได้รับความนิยมอย่างสูง
คตินิยมเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต่อต้านยิว เป็นลักษณะสำคัญของนาซีเยอรมนี นาซีเชื่อว่า กลุ่มชนเจอร์มานิค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เชื้อชาตินอร์ดิก (Nordic race) เป็นตัวแทนที่บริสุทธิ์ที่สุดของเชื้อชาติอารยัน ฉะนั้นจึงเป็นเชื้อชาติปกครอง (master race) ชาวยิวและชนกลุ่มอื่นที่ถูกมองว่าไม่พึงปรารถนาถูกเบียดเบียนหรือฆ่า และการค้านการปกครองของฮิตเลอร์ถูกปราบปรามอย่างโหดเ-้ยม สมาชิกฝ่ายค้านเสรีนิยม สังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ถูกฆ่า จำคุกหรือบีบให้ลี้ภัย คริสตจักรก็ถูกกดขี่เช่นกัน โดยผู้นำหลายคนถูกจำคุก การศึกษามุ่งเน้นไปยังชีววิทยาเชื้อชาติ นโยบายประชากร และสมรรถภาพทางกาย โอกาสทางอาชีพและการศึกษาของสตรีถูกตัดทอน การบันเทิงและการท่องเที่ยวถูกจัดโดยทางโครงการความแข็งแรงผ่านความรื่นเริง (Strength Through Joy) และโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 จัดแสดงจักรวรรดิไรช์ที่สามในเวทีระหว่างประเทศ รัฐมนตรีโฆษณาการ โยเซฟ เกิบเบิลส์ ใช้ภาพยนตร์ การชุมนุมมวลชน และวาทศิลป์จับจิตของฮิตเลอร์เพื่อควบคุมมติมหาชนอย่างได้ผล[5] รัฐบาลควบคุมการแสดงออกทางศิลปะ โดยสนับสนุนศิลปะบางรูปแบบ แต่ขัดขวางหรือห้ามศิลปะรูปแบบอื่น[6]
เยอรมนียื่นข้อเรียกร้องดินแดนที่ก้าวร้าวขึ้นเรื่อย ๆ และขู่ทำสงครามหากข้อเรียกร้องไม่ได้รับการสนอง อังกฤษและฝรั่งเศสสนองโดยการจำยอมสละ ด้วยหวังว่า ฮิตเลอร์จะพอใจในที่สุด[7] ออสเตรียถูกผนวกรวมในปี 1938 และซูเดเตนแลนด์ถูกยกให้ผ่านความตกลงมิวนิกในปีเดียวกัน ส่วนที่เหลือของเชโกสโลวาเกียถูกยึดในปี 1939 ฮิตเลอร์ทำสนธิสัญญากับโจเซฟ สตาลิน และการบุกครองโปแลนด์ในเดือนกันยายนปีนั้น เป็นการเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป เยอรมนีพิชิตฝรั่งเศสและยุโรปส่วนมากเมื่อถึงปี 1940 ร่วมกับอิตาลีที่มีเบนิโต มุสโสลินีเป็นผู้นำ และคุกคามสหราชอาณาจักร ชาวยิวและชนกลุ่มที่ถูกมองว่าไม่พึงปรารถนาถูกจำคุกในค่ายกักกัน การนำนโยบายเชื้อชาติของระบอบไปปฏิบัติทำให้มีการสังหารชาวยิวและชนกลุ่มน้อยอื่นเป็นจำนวนมากในฮอโลคอสต์ หลังการบุกครองสหภาพโซเวียตในปี 1941 นาซีเยอรมนีก็เริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และในปี 1943 ได้ปราชัยในศึกสำคัญหลายครั้ง การทิ้งระเบิดตามนคร ทางรถไฟและโรงกลั่นน้ำมันของเยรอมนีขนานใหญ่ทวีความรุนแรงขึ้น
2 ความคิดเห็น
อ่านกี่ที่กี่ที่ก้ดหดอ่ะ สงสารชาวยิว
Copy วิกิมาวางแบบนี้ใครๆก้ทำได้ว่ะปัญญาอ่อนชิบหาย
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?