ว่ากันว่า…
วิธีคิดของคนเรา จะบ่งบอกความสำเร็จของคนนั้นๆ
คนหลายคน จมอยู่กับอดีตและปัจจุบัน จนหลายครั้งไม่เคยมองถึงนาคต
.
การบริหารประเทศก็เช่นกัน
บางครั้งคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียวมันไม่มีจริงหรอก
มันอยู่ที่คุณคิด และคุณมองจากมุมไหน?
.
จากมุมของคนที่มีชีวิตในอดีต จนถึงปัจจุบัน
หรือคนที่ยืนอยู่ปัจจุบัน และมองไปยังอนาคตข้างหน้า…
—————-
เวลาพูดเรื่อง 2 ล้านๆ ผมมักได้ยินคำถามทำนองว่า
“ทำไมต้องเป็นหนี้ชั่วลูกชั่วหลาน นานถึง 50 ปี?”
.
คำตอบง่ายๆเลยก็คือ ถ้าไม่มีเงินถุงเงินถังเก่าเก็บ มีมนุษย์เงินเดือนคนไหนซื้อบ้านหลายๆล้านด้วยเงินสดบ้างครับ? และถ้าพอจะมีหัวธุรกิจอยู่บ้าง ก็ต้องลองถามตัวเองว่า มีใครลงทุนทำกิจการขนาดใหญ่ร้อยล้านพันล้านด้วยเงินสดทั้งหมด โดยไม่อาศัยเงินกู้เลยบ้าง? มันไม่มีหรอกครับ แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าเป็นพันล้านหมื่นล้าน ก็ยังมีหนี้ เพราะมันคือวิธีบริหารจัดการการใช้จ่ายเงินในอีกรูปแบบหนึ่งฉะนั้นอย่ากลัวการเป็นหนี้ โดยเฉพาะหากเป็นหนี้ที่เป็นการลงทุน
.
และอีกมุมหนึ่งทีหลายคนไม่เคยคิดเลยก็คือเรื่องของ “เงินเฟ้อ”
.
เงินเฟ้อคืออะไร?
ให้แปลสั้นๆคือ “เงินเฟ้อ” ก็คือ “ของแพง”
แล้ว “ของแพง” แปลว่าอะไร?
ของแพงก็แปลว่า เงินที่คุณมีวันนี้ มันจะลดมูลค่าลงเรื่อยๆ เพราะของมันแพงขึ้น
.
สมัยก่อน 1 ล้านบาทอาจจะซื้อเบ๊นซ์ หรือ บ้านเดี่ยว 50 ตารางวา ได้ แต่สมัยนี้ แค่ทาวเฮ้าส์อาจจะไม่พอเสียแล้ว
.
เงินเฟ้อไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังเท่านั้น เงินเฟ้อมีมาตลอดในทุกสมัย ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษเรา ถ้าใครเคยจำได้ พ่อแม่คุณอาจจะเคยบอกว่าได้เงินไปโรงเรียนวันละ 1 บาท ข้าวจานละ 50 สตางค์ (เมื่อ 50 ปีที่แล้ว) พอมาวันนี้ ใครยังซื้อขช้าวได้ในราคานั้นบ้างครับ? และคุณพกเงินไปโรงเรียนวันละเท่าไหร่?
.
สมัยนั้นถ้าใครมีเงินหมื่นก็คือ รวย สมัยนี้มีเงินเก็บหมื่นนึง ชีวิตคุณโคตรไม่ secure เลย
ลองคิดง่ายๆว่า 50 ปีที่แล้ว เงิน 50 สตางค์ ซื้อข้าวได้ 1 จาน
ปัจจุบันข้าวตามสั่งราคาถูกสุดแบบทั่วๆไปอยู่ที่ 30 บาท
แปลว่าถ้าเทียบด้วยเรื่องอาหาร เงินอ่อนค่าลงไปถึง 60 เท่าเลยทีเดียว
—————————
แล้วเงินเฟ้อเกี่ยวอะไรกับ 2 ล้านๆฟะ?
.
อ้าวว ไม่เกี่ยวได้ไง ก็-ที่คุณบ่นนักหนาว่าต้องใช้เงินมหาศาล แพงแสนแพง ลงทุนผ่อนยืดยาวไป ทำไมคุณไม่คิดเรื่องเงินเฟ้อเล่า?
.
คุณคิดว่า 2 ล้านๆ วันนี้แพงโคตร เพราะมันคือมูลค่าของเงินในวันนี้ไง
คุณคิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า จะสร้างโครงสร้างแบบนี้ในราคานี้ได้อีกรึเปล่า?
แล้วอีก 20 ปี ข้างหน้าละ? อีก 30 ปีละ? เงินเท่านี้จะสร้างได้ไหม?
คำตอนสั้นๆคือ
.
“ไม่มีทาง”
.
ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นจริงก็มีให้เห็นแล้ว
ใน พ.ศ. 2537 รัฐบาลชวน หลีกภัย เคยอนุมัติโครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศใช้งบประมาณแค่ 80,000 ล้าน แต่ด้วยระบบงบประมาณปกติที่ทำให้งบถูกดึงไปทำนั่นนี่ จนแล้วจนรอดก็สร้างได้เพียง 13% เท่านั้น
.
จนวันนี้ผ่านไป 20 ปี จากเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น
งบที่เคยต้องใช้แค่เพียง 80,000 ล้าน
กลับกลายเป็นเงินถึง 400,000 ล้านบาท
หรือมากขึ้นกว่า 5 เท่า เพียงแค่ระยะเวลา 20 ปีเท่านั้น !!!!
.
คุณเห็นแล้วยังว่า “มูลค่าของเงินเฟ้อ” มันน่ากลัวแค่ไหน?
ฉะนั้น จะกลัวอะไรกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนี้?
เพราะยังไงเสียมูลค่าการก่อสร้างก็แพงขึ้นทุกปีๆ
ถ้าเราจะกลัวเป็นหนี้ 2 ล้านๆ ในการสร้างรถไฟวันนี้
แล้วไม่กลัวจะต้องเป็นหนี้ 10 ล้านๆในวันข้างหน้าแทนหรอครับ?
.
.อ่านข่าวได้ที่
https://www.facebook.com/Sasdha
https://www.twitter.com/IamSasdha
2 ความคิดเห็น
ก็ไม่ได้กลัวอะไรนะ แต่รายละเอียดในการขอกู้ ยังน้อยไป = =" แล้ว 2ล้านๆ นี่ ก็ไม่ใช่แค่ รถไฟความเร็วสูงอย่างเดียวด้วย ที่อ่านๆ มา เหมือนจะ 53 โครงการนิ (ไม่เข้าใจว่าจะเอามารวมกันทำไม บางโครงการ อีกหลายปีกว่าจะเริ่มด้วยซ้ำ = =") แล้วจำนวนเงินเยอะขนาดนี้ มันอาจรั่วไหล ได้ง่ายๆ (เป็นอะไรที่เห็นได้บ่อยๆ ในรัฐบาลไทย ฮ่าๆๆๆ)
รถไฟความเร็วสูงมันก็ดีครับ ผมก็อยากให้ทำ แต่ผมว่า อาจจะยังไม่ถึงเวลารึป่าว ^^
ส่วนเรื่องที่ว่า อาจจะเป็น 10ล้านๆ ในอนาคต ผมว่า มันก็แค่ตัวเลขนะครับ เมื่อก่อน รายได้ ค่าใช้จ่าย ก็ไม่ได้เท่าในปัจจุบัน เหมือนมันเป็น สะดส่วน(ไหงมันพิมพ์ สอเสือ ไม้หันอากาศ ดอเด็ก ไม่ได้เนี่ยยย = =") ที่เพิ่มขึ้นตามกันนะครับ ถ้าในอนาคตจาก 2ล้านๆ เป็น 10ล้านๆ จริงๆ รายได้ที่ได้ขึ้นต่ำ จาก 300 อาจจะเป็น 1500 ก็ได้ครับ ^^
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?