ชอบแต่งนิยายแต่กลัวคำวิจารณ์ TT^TT
ตั้งกระทู้ใหม่
คือเรามีเรื่องจะปรึกษาค่ะ เราชอบแต่งนิยายแต่ดันกลัวคำวิจารณ์เชิงลบอะ TT^TT
อาจเป็นเพราะเราเคยแต่งแต่มีเพื่อนมาบอกว่าคล้ายเรื่อง...เลย เราก็เฟลไปเลย เราไม่ได้ไปลอกเค้าซะหน่อย จากนั้นเราก็ค่อนข้างหวง(เรียกงี้ได้มั้ย?) แบบว่าไม่ค่อยกล้าให้ใครอ่าน แต่งเองฟินเองคนเดียว ยิ่งเพื่อนสนิทนี่ไม่ได้เลย อายด้วยแหละ =////=
ช่วงหลังๆมานี้ก็ดีขึ้นแล้วนะ คือเรากล้าเอาลงเน็ตให้คนอื่นอ่าน แต่ก็ยังไม่กล้าบอกคนรอบตัว
ซึ่งนิสัยกลัวคำวิจารณ์มันก็ยังแก้ไม่หายอยู่ดี ก็ดีใจนะถ้ามีคนมาเม้นชมเรื่องที่เราแต่ง แต่ถ้ามีคนมาเม้นว่าตรงนั้นยังไม่ดี ควรไปแก้ บลาๆ เราก็ไม่รู้จะทำไงอะ ต้องแก้ยังไงมันถึงจะพอใจทั้งสองฝ่าย หรือไม่แก้ดีเพราะยังไงมันก็เป็นเรื่องของเรา...
เวลาเจอคนรับวิจารณ์นิยายเราก็สนใจนะ แต่อีกใจก็กลัวว่าตัวเองจะรับคำวิจารณ์ไม่ไหว เฟลจนกู่ไม่กลับ
เราควรแก้นิสัยนี้ยังไงดีคะ?? เรากลัวว่าถ้ามัวแต่ยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ยอมฟังคำวิจารณ์ การเขียนของเรามันจะไม่พัฒนาอะ ขอคำแนะนำด้วยนะคะ...
28 ความคิดเห็น
กล้าเขียนก็ต้องเลิกกลัวค่ะถ้าไม่มั่นใจเราก็จะไม่โตขึ้น
ถ้าหากมีคนหนึ่งบอกดีอีกคนบอกให้แก้ก็อ่านเองค่ะถ้าคิดว่าดีแล้วก็ช่างมันถ้าไม่เวิร์คก็แก้ค่ะ
เราไม่มีทางทำอะไรได้ถูกใจใครได้หมดอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราต้องแยกคำว่าดีแล้วของเพื่อนกับคำวิจารณ์ของพนอื่นให้ออกนะ ..
ถ้ากังวลมากและอยากให้ค่อยเป็นค่อยไป ก็บอกผู้ที่จะมาคอมเม้นท์ว่า "ขอคำวิจารณ์เบาๆ หน่อย"
แต่อาจจะได้แต่ 'คำอวย' จนไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเรา
ผมก็เคยเป็นหนักเช่นจขกท. แต่เป็นไม่กล้าเอารูปวาดให้ใครดู
ไม่ได้กลัวคำวิจารณ์ เพราะให้เพื่อนสนิทดูตลอดและโดนด่าประจำ(ไม่มีครั้งไหนที่ไม่โดนด่า)
แต่กับคนภายนอกหรือคนไม่รู้จัก จะไม่กล้าให้ดู
วิธีแก้ของผม คือคิดว่าเราทำเพราะอยากทำ การให้คนอื่นๆ ดูก็เพื่อแชร์
ส่วนเขาจะชอบหรือไม่ รู้สึกอย่างไร ผมพยายามจะไม่คาดเดาทิศทางไว้
แน่นอน ผมเคยโดนวิจารณ์หนัก เฟลบ้างเหมือนกัน
แต่ก็คิดในแง่ดี อย่างน้อยเขาก็หาจุดที่ไม่ดีมาชี้แจ้งเราได้(ในกรณีที่เป็นเรื่องจริง)
เขามีปฏิกิริยาต่อผลงานของเรา จนต้องวิจารณ์ มันก็รู้สึกดีแล้วล่ะครับ ดีกว่าไม่มีคนสนใจ(ฮา)
แต่สุดท้าย ผมยังไม่เจอคำวิจารณ์ที่ไหนรุนแรงเท่าเพื่อนผมเลย
ผมเลยมีภูมิต้านทานสูงไปด้วย โดนด่าจนได้ดีก็มีนะเออ 555+
ทุกคนต้องมีครั้งแรกครับ เอาแต่กลัวก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการหรอกครับ
เฟลสักครั้ง เราจะเติบโตและรับมือครั้งต่อๆ ไปได้
ไม่ต้องกลัวครับ เจอกับมันจังๆ สักครั้งแล้วจะมีภูมิต้านทาน
แน่นอนว่าตอนได้คำวิจารณ์ใหม่ๆ เราจะเฟลมาก แต่ขอให้ปรับอารมณ์ ไปทำโน่นทำนี่แล้วกลับมาอ่านคำวิจารณ์นั้นใหม่ เราจะเฟลน้อยลง และเริ่มเห็นข้อบกพร่องของตนเองมากขึ้น
คำวิจารณ์ในเว็บถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นค่ะ หากมุ่งเข้าทางสายเขียนนิยาย หรือจะเป็นนักเขียนจริงจัง เราจะเจอมากกว่านี้ในภายหน้า ฉะนั้นต้องรับมือกับมันให้ได้ ซึ่งในที่นี้จุดเดียวที่ต้องปรับคือ "จิตใจ" ของตัวเราเองทั้งสิ้นค่ะ
คำวิจารณ์เป็นสิ่งมีค่าและหายากมาก การที่ใครสักคนมาแนะนำชี้แนะให้เราพัฒนาปรับปรุง อาจจะมีผลดีหรือผลเสียต่อนิยายเราก็ตาม เราก็ต้องรับไว้ค่ะ และนำมาพิจารณา ปรับปรุงหรือเก็บไว้เป็นแง่คิด ทุกตัวอักษรจากคนอ่าน มีประโยชน์ต่องานเราทั้งสิ้นค่ะ
นักเขียนต้องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บทที่ 1 ไม่ดี บทต่อไปต้องดีกว่า เรื่องนี้โดนคำวิจารณ์แง่ลบ เรื่องหน้าต้องให้มีแง่บวก สิ่งสำคัญคือต้องกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าค่ะ ถ้าเราหยุด ปิดกั้น ขอไม่รับคำติ อยากรับแต่ทำใจไม่ได้ ขอเดินวนอยู่ในเส้นทางเดิม เราจะไม่ได้อะไรเลยจากงานเขียน คำชมช่วยเป็นกำลังใจก็จริง แต่ไม่ได้ช่วยให้งานเขียนเกิดการแก้ไขพัฒนาค่ะ แต่ความมั่นใจในตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญของนักเขียนเช่นกัน ทั้งสองอย่างต้องควบคู่กันไปค่ะ
ส่วนเรื่องนิยาย "คล้ายเรื่องนั้นจังเลย" ให้กลับไปดูงานของเราให้ละเอียดว่าเหมือนจริงอย่างที่เพื่อนพูดหรือเปล่า แยกย่อยออกมา พล็อตเรามี เนื้อเรื่องเรามี ตอนต้นตอนจบ รายละเอียดมีอะไรบ้าง เพราะมีหลายกรณีมากที่แค่เกิดจากการที่นักอ่านปิดกั้นเอง หรือเสพงานมาน้อย พอเจอเนื้อหาส่วนใดที่คล้ายคลึงกับนิยายดัง (กรณีนิยายดังจะเจอบ่อยมาก) ก็เหมารวมไปว่าเหมือนกัน แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่นักเขียนได้รับแรงบันดาลใจมา และยังหาแนวทางของตัวเองไม่แน่นพอ หากเราไม่ได้ลอก ไม่เหมือนจริงๆ นักอ่านที่ติดตามเค้าจะรู้เองค่ะ และเมื่อถึงจุดที่เราพิสูจน์ได้แล้วจะฟินมาก
^_^ สู้ๆนะคะ
เรื่องที่โดนเพื่อนวิจารณ์มันนานมากแล้วค่ะ ตอนนั้นยังประถมอยู่เลย
แต่ดันฝังใจซะได้ ="=
ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยแนะนำ ต่อไปคงต้องทำใจให้เข้มแข็งขึ้น ^____^
ต้องเจ็บบ่อยๆสินะคะ จะได้ชิน... TTwTT
หนมปังก็เคยเป็นค่ะ ตอนเด็กๆ 555
จริงๆแล้วมาเข้าใจได้ทีหลังว่า-การ "กลัวคำวิจารณ์" จริงๆแล้วมันเพราะเรา "หยิ่งกับงานของตัวเอง" มากกว่า คือเรามีจุดหยิ่งอยู่นะ ตรงนี้ใครไปแตะไม่ได้ แตะแล้วโกรธ แตะแล้วเจ็บ
วิธีแก้คือถ่อมตัวถ่อมใจลงมาค่ะ ถ้าเราจะเดินต่อเราต้องเริ่มจากจุดที่เรายืน งานเราไม่เพอเฟ็คนะ ตัวเราก็ไม่ ถึงคิดว่างานเราดีพอควรแล้ว ฟินแล้ว แต่ตัวเรามองเองไม่รอบด้านหรอกค่ะ ถ้ามีใครมาวิจารณ์ด้วยเจตนาดี มันจะเป็นเข็มทิศให้เรารู้ว่าเราควรเดินไปทางไหน ลองเก็บคำวิจารณ์มาวิเคราะห์ดู ทำไมเขาถึงอ่านแล้วคิดอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นเราควรตัดควรเพิ่มอะไรตรงไหน แก้ไขในเรื่องนี้ไม่ทันก็เก็บไว้เป็นทบเรียนในเรื่องหน้า
อย่างเพื่อนคุณที่บอกว่างานเหมือนนิยายอีกเรื่อง คุณก็ลองหานิยายเรื่องนั้นมาอ่าน แล้วดูว่าเหมือนจริงมั้ย? การเขียนนิยายเองแล้วดันไปตรงกับเรื่องอื่นโดยไม่เจตนา(ย้ำ ไม่เจตนา)นั้น ส่วนมากแสดงถึงความคิดที่เป็นแพทเทิร์นเกินไป อยู่ในกรอบเกินไปทำให้ไอเดียไปซ้ำกันได้ง่ายๆ อย่างนี้คุณก็ต้องกลับมาทำการบ้านกับไอเดียตั้งต้นเพิม คิดยังไงให้นอกกรอบ หรือเราอ่านงานแนวซ้ำๆเกินไป ลองหานิยายแนวอื่นมาเสพดูซิ ลองบรรยากาศใหม่ๆ หรือไม่ก็หานิยายต่างประเทศมาอ่านเลย ดูว่าเราจะทะลุกรอบที่ครอบเราอยู่ออกไปยังไงได้บ้าง
อย่าไปกลัวคำวิจารณ์ค่ะ เก็บเอามาแยกแยะดีๆ มันมีของมีค่าอยู่ข้างใน เพียงคุณต้องกล้าที่จะเข้าใจมันเท่านั้น
เหมือนจริงค่ะ... เพื่อนเราบอกว่านิยายที่เราแต่งเหมือนเรื่องมู่หลานเพราะนางเอกตัดผมแล้วปลอมตัวเป็นผู้ชายเหมือนกัน ตอนนั้นเราก็ยังเด็กเลยเฟล มันเหมือนก็จริงแต่เราไม่ได้ลอกนะ ><
ถ้าตอนนี้โดนวิจารณ์แบบเดิมคงไม่เครียดแล้วค่ะ ฮามากกว่า^^
ที่กลัวก็พวกวิจารณ์พล็อตกับสำนวนภาษามากกว่า ยอมรับว่าเราก็ค่อนข้างยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่อยู่เหมือนกัน ประมาณว่าเราคิดว่ามันดีอยู่แล้วอะ ทำไมยังบอกว่าไม่ดี แล้วจะให้เราแก้ไงอะ?? มันไม่ดีขนาดนั้นจริงเหรอ?? ="=
ที่เคยโดนก็ไม่ได้แรงอะไรหรอกค่ะ แต่เราชอบคิดแล้วเครียดไปเอง สุดท้ายก็พาลไม่อยากให้ใครมาวิจารณ์ซะงั้น...
อย่าคิดว่าต้องแก้อย่างไรจึงจะพอใจทั้งสองฝ่าย ดูด้วยค่ะว่าที่เค้าวิจารณ์น่ะจริงแค่ไหน
ถ้าแค่วิจารณ์ว่าเรื่องของเราไปคล้ายเรื่องนั้นๆๆ โดยที่เราไม่ได้ลอก อย่าได้สนค่ะ อย่างไรเรื่องต่างคนต่างแต่ง มันไม่เหมือนเป๊ะหรอก และโลกนี้มีนิยายเป็นล้านเรื่อง แนวคล้ายๆกัน พลอตคล้ายกัน บางอย่างมีจุดซ้ำกันบ้าง มันก็ธรรมดา
ส่วนถ้าเป็นพวกคำวิจารณ์ด้านอื่นๆที่เรายอมรับว่าเราพลาดจริง ถ้าปรับปรุงตามแล้วมันดีกว่าจริงๆ ก็กลับไปทบทวน ปรับเปลี่ยน
ถือว่า เราได้เรียนรู้
เราแก้ไขได้ เริ่มใหม่กี่ครั้งก็ได้ ถูกชนล้มครั้งแรก ลุกยืนอีก หาทางว่าคราวนี้จะยืนอย่างไรให้มั่นคงกว่าเดิม
ทำใจกล้าๆ เปิดใจกว้างๆ ยอมเจ็บ เหมือนถูกจับฉีดวัคซีน เจ็บนิดเดียว แต่เราแข็งแรงขึ้น
ช่วงแรกๆ ที่เอานิยายลงก็เหมือนกันค่ะ
ไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวโดนวิจารณ์เชิงลบ
แต่พอไปๆ มาๆ ก็คิดว่าได้ว่า
ถ้าไม่ให้คนอื่นวิจารณ์เลย จะอาจไม่รู้ข้อบกพร่องของตัวเอง
หรือบางทีในส่วนที่เราคิดว่าเราทำดีแล้ว เขียนสวย สำนวนเป๊ะ
อาจจะยังไม่ดีหรือดีแต่มันขาดไป เขาเลยแนะให้
แต่ก็ต้องพิจารณาคำวิจารณ์ที่อีกฝ่ายให้มาด้วยค่ะว่าตรงหรือไม่
เพราะมีบางจำพวกที่ชอบเข้ามาป่วนนิยายแบบเสียๆ หายๆี
ซึ่งที่แอบไปอ่านหลายเรื่องมาก็มีหลายเรื่องโดนไปบ่อยนะ
กับจำพวกที่เข้ามาวิจารณ์แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ
อันนี้ก็ต้องเอาไปพิจารณากันไปค่ะ
อย่างจขกท.ที่ไม่ชอบฟังคำวิจารณ์ แนะนำว่าให้อ่านจนจบค่ะแล้วทวนหลายๆรอบ
ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็ปิดซะ พักก่อน เอาไว้ปรับอารมณ์ได้เมื่อไหร่ก็ลองทวนอีกที
หรือไม่งั้นก็ลองหานิยายแนวนั้นๆ ที่จขกท.เขียนมาอ่าน
ลองเปรียบเทียบสำนวนเอาก็น่าจะใช้ได้ค่ะ
ถ้าเอาลงมันต้องมีการวิจารณ์อยู่แล้วล่ะค่ะ ถ้าเราโดนหนักอาจเฟล แต่เราควรย้อนกลับไปอ่านดูนะคะว่าเขาติตรงไหน ไม่เข้าใจยังไง พอเรารู้จุดผิดก็แค่กลับไปแก้ไข ผลงานของเราจะดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ คำวิจารณ์มีมาเพื่อให้เราพัฒนาด้านการเขียนนะคะ
แน่นอนเรื่องขี้อาย เราลงฟิคเรายังไม่ยอมให้เพื่อนสนิทหรือพี่อ่านเลย ยกเว้นน้องเพราะต้องให้น้องคลีนงานให้ น้องจะแก้คำผิดให้กับบอกเราด้วยว่าตรงไหนไม่เข้าใจ ซึ่งมันก็โอเคค่ะ กลับมาแก้งาน
ถ้าจะเขียนนิยาย ไม่มีทางหนีการวิจารณ์พ้น ถ้าหนีมันไม่พ้นก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรอรับการวิจารณ์ให้ดี มีคำชมก็รับมาเป็นกำลังใจแต่อย่าเหลิง มีคำติตำหนิก็รับมาพิจารณาว่าเป็นจริงอย่างที่เขาว่าหรือไม่ ต้องแยกแยะให้ได้ว่าเขาด่าเอามันหรือติงอย่างมีหลักการ
เราไม่สามารถเขียนนิยายให้ทุกคนที่อ่านพอใจได้ คนที่ต้องการให้นางเอกได้กับตัวร้ายก็ยังมี คุณต้องถามความต้องการของตัวเองก่อน คนที่ไม่ได้ดั่งใจแสดงตัวเด่นขึ้นมาคุณก็ต้องมองดูคนอื่น ๆ ที่คิดต่างไปด้วย อย่าให้ความรู้สึกในด้านลบจากคนคนเดียวกลบทับความรู้สึกดี ๆ ที่ได้มาจากส่วนอื่นไปทั้งหมด
เรื่องนี้ต้องเก็บประสบการณ์ขัดหนังให้หนาด้วยตนเอง ต้องใช้เวลาครับ ผมคิดว่ายิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งดีครับ จะได้แก่กล้าไว ๆ คนเป็นนักเขียนมีจุดสำคัญอย่างหนึ่งคือโดนติโดนวิจารณ์หนักมาก หนักกว่าอาชีพอื่นหลาย ๆ อาชีพ ต้องพยายามครับ
เอ่อ นิดนึงนะ ย่อหน้าสุดท้าย "ขัดหนังให้หนังให้หนา" นี่คืออะไรครับ อ่านแล้วสับสน
พิมพ์เกินครับ สมองไปไวกว่ามือ แก้ไขแล้วครับ ขอบคุณที่ชี้ให้เห็นครับ
คำถามคือ คำวิจารณ์ในเชิงลบ ของจขกท. หมายถึงอะไรเหรอครับ?
หมายถึง การโดนด่า การถูกติอย่างเดียว หรืออื่นใด
ถ้าว่ากันตามตรง สิ่งที่เพื่อนจขกท.บอกมา ยังไม่ใช่การวิจารณ์ในเชิงลบด้วยซ้ำ มันเป็นแค่การทัก หรือบอก ยังไม่ได้กล่าวหาว่า จขกท.ไปลอกนิยายใครมาด้วยซ้ำ จขกท.ใจน้อยคิดมากไปหรือเปล่า?
ถ้าหากว่าแค่เพื่อนบอกแบบนี้ โดยที่จขกท.มานั่งเฟล น้อยใจอย่างเดียว ผมว่าไม่ว่าจะเป็นการติแบบไหน จขกท.ก็เฟลอยู่ดี
โดยสรุป จขกท.เป็นพวกที่กลัวการถูกตำหนิติเตียนครับ
ถ้าคิดจะลงนิยายในบอร์ดก็ต้องทำจิตใจให้เข้มแข็งให้ได้ จะเฟลหรือจะอะไรก็ช่าง ต้องคิดพิจารณาข้อความของฝ่ายตรงข้ามให้ดีๆ เอากลับมาทบทวนว่ามันเป็นความจริงไหม ค่อยๆ หาทางปรับแก้ไข ไม่มีใครมานั่งชี้นิ้วบอกให้จขกท.เหมือนกันทุกคนหรอก มันต้องเป็นตัวเองนี่ที่คิดหาทางที่เหมาะสม ทำอย่างไรงานจะออกมาดี เราพอใจ และทำให้นักอ่านยอมรับในสิ่งที่เราแก้ไขได้
ถ้าจิตใจอ่อนแอซะอย่าง ทุกอย่างก็จบ เลิกเขียนได้เลย จขกท.ไม่เหมาะที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้ายอีกแล้ว
แล้วเรื่องบอกครอบครัวเนี่ย ใครเป็นคนกำหนดว่าต้องบอกครับ? หลายคนที่ลงนิยายในเว็บ เขาก็ไม่ได้บอกครอบครัวนะ ผมเองก็ไม่ได้บอกครอบครัวจนกระทั่งนิยายเรื่องแรกของผมได้ตีพิมพ์
คิดมากไปเองหรือเปล่า?
ลดๆ เรื่องคิดมากลงมาก็ได้ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก แค่นั้นจบ เท่านี้มันก็ไม่มีอะไรแล้ว
และสุดท้าย พูดตามตรงว่า ต่อให้จขกท.ได้รับคำแนะนำเป็นร้อยเป็นพัน แต่ถ้าตัวจขกท.ไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองอย่างจริงจัง เอาแต่หวาดกลัว คิดมาก จิตตก เฟล เอนี่ติงบลาๆ จขกท.ก็ไม่มีทางพัฒนาตัวเองไปได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้หรอกครับ
เข้าใจวัยรุ่นนะ เคยเป็นมาเมื่อกัน แต่ถ้าไม่ทำตัวเข้มแข็งตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อไหร่มันจะทำได้?
5-1 ตัดผมแล้วปลอมตัวเป็นชายเหมือนมู่หลาน ! ยังงี้ใส่วิกพันอกปลอมตัวจะเหมือนเรื่องของใครคะเนี่ย ตามต้นเรื่องไม่ถูกเลย อิอิ ^_^ แต่เข้าใจนะคะว่าตอนนั้นก็ยังเด็กกัน จริงๆไม่น่าเอามาคิดมากเลยค่ะ แฮร่ แต่เรื่องสำนวนภาษานี่ค่อยๆปรับกันไปค่ะ สไตล์ของใครของมันจริงๆนะคะ
ผมก็ชอบเขียน ไม่กลัวคำวิจารณ์และอยากได้ด้วย แต่ไม่มีใครวิจารณ์ เฮ่อ....
เราก็เคยโดนนะคะสมัยเด็กๆ ม.ต้น จนตอนนี้ขึ้นมหาลัยแล้วยังจำคำวิจารณ์สมัยนั้นได้มีแบบโอ่เว่อเพ้อเจ้อไม่สมจริงตอนหลัง ๆ เค้าก็มาบอกว่าเออตอนหลัง ๆ แต่งดีขึ้น ที่แย่ฝังใจเลยก็คือเป็นนิยายที่น่าสมเพช อืม...เจอคำนี้จุก แค้น แต่ก็ทำได้แค่ลบและช่างมันค่ะ อย่าได้แคร์ โต ๆ ขึ้นเราก็ค่อยพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ เอา
ลงให้คนอ่านยังไงต้องมีบ้างค่ะ ชินเเละชากับมัน คำที่เขาวิจารณ์อ่านเเละคิดอย่างมีสติ ถ้าเป็นจริงดั่งที่เขาบอกก็ปรับเปลี่ยนให้งานของเราดีขึ้น
เท่านั้นค่ะ
นักเขียนก็ต้องรับให้ได้ทั้งการวิจารณ์ในแง่บวกและลบนะ
การวิจารณ์คือมุมมองหนึ่งที่ผู้อ่านเห็น
อาจจะดีหรือไม่ดีมันก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเขา
ไม่มีนักเขียนคนไหนที่คนอ่านถูกใจร้อยเปอร์เซนต์ กลับกันก็ไม่มีใครเกลียดร้อยเปอร์เซนต์
พยายามปรับทัศนคติแล้วพยายามเขียนต่อไปเถอะค่ะ
การวิจารณ์มันเป็นแค่อุปสรรค์หนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าก้าวผ่านไปได้คุณก็จะเก่งขึ้นไปอีกขั้นนะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?