เจค็อบ บาร์เน็ต เด็กอัจฉริยะ ว่าที่ไอน์สไตน์คนต่อไป
เจค็อบ บาร์เน็ต อายุ 15 ปี เป็นลูกชายคนโต (ในจำนวนลูกชายทั้ง 3 คน) ของครอบครัว บาร์เน็ต ดูเผินๆ แล้วเจค็อบนั้นก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่ความจริงแล้วเจค็อบป่วยเป็นแอสเพอร์เกอร์ (Asperger”s Syndrome)
ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน คริสตินถึงกับหมดหวัง เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่า เจค็อบ วัย 2 ขวบ ลูกคนแรกจากลูกชายทั้งหมด 3 คนของเธอ ป่วยเป็นโรคออทิสติก เพราะในช่วงวัย 14 เดือนที่ผ่านมา เจค็อบไม่เคยพูด ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ และชอบทำอะไรคนเดียวซ้ำไปซ้ำมา แพทย์ต่างให้การบำบัดรักษาเขาเช่นเดียวกับวิธีที่ดูแลเด็กพิเศษคนอื่นๆ จนกระทั่งเจค็อบส่งสัญญาณให้รู้ว่าแพทย์วินิจฉัยผิด ก่อนจะเผยแววอัจฉริยะออกมา เพราะเจค็อบเรียนรู้ตัวอักษรได้ก่อนที่เขาจะหัดเดิน ฟังคำสั้นๆ รู้เรื่องก่อนจะอายุครบ 1 ขวบ เสียอีก
ในช่วงหน้าร้อน ครอบครัวไปพักร้อนที่ต่างจังหวัด คืนนั้นเธอพาลูกชายขึ้นไปนอนดูดาวบนหลังคารถ เจค็อบดูจะสนใจสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้ามาก เมื่อกลับมาบ้านคุณแม่จึงตัดสินใจพาเจค็อบไปงานบรรยายเรื่อง “ดาวอังคาร” ที่ท้องฟ้าจำลอง ระหว่างบรรยาย วิทยากรก็ถามขึ้นมาว่า “มีใครทราบหรือไม่ว่า ทำไมดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวอังคารจึงมีลักษณะเป็นรูปไข่”
ปรากฏว่า จู่ๆ เจ้าหนูเจค็อบยกมือขึ้น แล้วถามว่า “ขอโทษนะครับ คุณช่วยบอกขนาดของดวงจันทร์ได้ไหม” วิทยากรตอบคำถามเขา แล้วเจค็อบก็อธิบายออกมาว่า “เป็นเพราะดวงจันทร์ที่โคจรรอบดาวอังคารมีขนาดเล็ก มันจึงมีมวลขนาดเล็ก ดังนั้น ดวงจันทร์จึงไม่มีแรงโน้มถ่วงมากพอที่จะคงรูปเป็นทรงกลมโดยสมบูรณ์” ทุกคนที่ได้ยินต่างเงียบด้วยความทึ่งในความสามารถของเจค็อบ นั่นเป็นครั้งแรกที่คริสตินได้ฟังบทสนทนาที่ยาวที่สุดจากปากลูกชายของเธอในวัยเพียง 3 ขวบ
แอสเพอร์เกอร์ (Asperger”s Syndrome)
โรคดังกล่าวค้นพบเมื่อปี ค.ศ.1940 โดย นายแพทย์ฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ อาการมีลักษณะใกล้เคียงกับออทิสติกมาก โดยเป็นความบกพร่องทางพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่มีความผิดปกติของพัฒนาการด้านสังคม และการสื่อสาร
เด็กที่เป็นแอส เพอร์เกอร์นั้นจะแตกต่างจากเด็กที่เป็นออ ทิสติก ซึ่งมีปัญหาการพูด รวมทั้งอาการผิดปกติอย่างอื่นที่รุนแรงกว่า คนจึงมักเข้าใจว่าแอสเพอร์เกอร์ คือออทิสติก แต่เป็นออทิสติกที่มีศักยภาพสูงกว่า และมีปัญหามากกว่าในทักษะการเข้าสังคม โดยเฉพาะการสื่อสารและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพราะไม่สามารถเข้าใจความหมายของการประชดเปรียบเปรยได้
แต่เจค็อบได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับการดูแลอย่างดีจากครอบครัว แม้ว่าครอบครัวต้องเผชิญกับลูกชายทั้ง 3 คน ที่มีภาวะบกพร่องคล้ายๆกัน
ทั้งนี้ เจค็อบเองเชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ ส่วนน้องชายอีก 2 คน "อีธาน" มีความสนใจในเรื่องชีววิทยา และ "เวสลี่" สนใจเรื่องอุตุนิยมวิทยา
เจค็อบกลายเป็นเด็กหัวกะทิของโรงเรียน มีไอคิวอยู่ในระดับ 170 ซึ่งสูงกว่าไอคิวของ "ไอน์สไตน์" ยอดอัจฉริยะฟิลิกส์โลก ในวัย 8 ขวบ เจค็อบเข้าเรียนสาขาดาราศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยอินเดียน่า จบจากมหาวิทยาลัยเปอร์ดู ในวัย 10 ขวบและตอนนี้กำลังศึกษาระดับปริญญาโทเพื่อที่จะต่อปริญญาเอก ในสาขาควอนตั้มฟิสิกส์
"ผมใช้เวลาตลอดปิดเทอมนั่งวาดรูปทรงเรขาคณิตในความคิดของผม นับ 100 รูปทรง ลงบนกระดาษเป็นพันๆ ใบ จนกระทั่งผมสามารถแก้ปัญหาโจทย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ได้ ผมเลยมานั่งคิดว่า มันเปลืองกระดาษ เลยย้ายไปเขียนบนไวต์บอร์ด และบานหน้าต่าง ผมยังพยายามพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมคิดได้มันเป็นสิ่งผิดหรือไม่ตลอดเวลา ก่อนที่จะย้ายมาครุ่นคิดกับเรื่องสมการคณิตศาสตร์" เจค็อบเล่าให้ ผู้สื่อข่าวอเมริกันฟัง
ในที่สุด เจค็อบก็เกิดไอเดียอัดวิดีโอลงเว็บไซต์ยูทูบ เพื่อสอนคณิตศาสตร์แคลคูลัสให้กับผู้ที่สนใจ จนทำให้มีผู้ชมติดตามเป็นจำนวนมาก ทั้งตะลึงกับความสามารถของเด็กชายวัย 15 ปี คนนี้
คำพูดและข้อคิดของ จาค๊อบ
เจค็อบทิ้งประเด็นน่าสนใจไว้ในรายการ “เท็ด เอ็กซ์ ทีน” ที่เชิญมาพูดถึงความอัจฉริยะในหัวข้อ “ภูมิปัญญาของความไม่รู้”
“การที่จะประสบความสำเร็จได้ คุณต้องทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ด้วยมุมมองที่สร้างสรรค์ในแบบของคุณเอง อย่าผูกขาดที่จะเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งโดยตรง จงหยุดเรียนแต่อย่าหยุดคิด เพราะในวัย 3 ขวบ ผมสอบตกการวาดภาพสีน้ำด้วยนิ้วมือ ในขณะที่ผมเข้าใจสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติเป็นอย่างดี อย่างเช่นที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถูกบังคับให้คิดและทำสิ่งต่างๆ ให้กลมกลืนกับสังคม แต่เมื่อปฏิเสธที่จะทำอย่างที่คนทั่วไปทำ เขาเลยกลายเป็นคนแปลกแยกของสังคม ทั้งที่ไอน์ สไตน์พยายามจะแก้ปัญหาเดียวกันกับที่ทุกคนแก้ ด้วยวิธีและมุมมองที่หลากหลายและแตกต่างออกไป” เจค็อบพูดบนเวที
ในรายการเท็ด เอ็กซ์ ทีน เจค็อบไม่ได้สอนสิ่งที่ยุ่งยากหรือเป็นหลักการให้กับคนฟัง ตรงกันข้ามกลับแนะนำให้เราเริ่มฟิสิกส์ด้วยการมองจากสิ่งง่ายๆใกล้ตัว เช่น คุกกี้ ล้อสเกตบอร์ด อะไรที่เป็นทรงกลม ไปจนถึงกลไกการทำงาน แล้วนำมาคิดหาเหตุผล พร้อมทั้งพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองคิด ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไปอยู่เสมอ
“ผมหวังว่า จะสามารถทำให้คุณมั่นใจได้ว่าเราควรจะหยุดเรียน ลืมสิ่งที่คุณเคยรู้ซะ ช่วงเวลาในการสร้าง สรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อเราเลิกเรียนรู้จากตำรา คุณต้องหยุดทำบางสิ่งที่คุณไม่ชอบ เพื่อให้ครูหรือเพื่อนร่วมงานของคุณพอใจในสิ่งที่คุณไม่ได้เป็น และหวังว่าคุณจะลองเก็บความท้าทายนี้ที่ผมบอกไปคิด แล้วออกไปค้นหาสิ่งที่คุณอยากจะทำจริงๆ โดยทำตามความฝันแล้วนำมาปรับใช้ในโลกของความเป็นจริง”
นอกจากนั้น เจค็อบยังพิสูจน์ว่าทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเก๋าหลายคน ผิดบ้างหรือขาดความสมบูรณ์บ้าง อย่างทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของ “เซอร์ ไอแซ็ก นิวตัน” ความพิเศษอยู่เขาคนนี้ไม่ได้รู้จากการเรียน แต่เกิดจากการที่ใช้เวลานั่งขบคิดตัวเลข ถอดสมการ และหารูปทรงด้วยตัวเอง ซึ่งบางครั้งมันคือสูตรคณิตศาสตร์อันนำมาสู่ทฤษฎีฟิสิกส์ที่มีอยู่แล้ว
จนทำให้หลายคนจับตาว่าวันหนึ่ง เจค็อบอาจจะสามารถเพิ่มเติมและต่อยอดทฤษฎีสัมพันธภาพ ของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังก้องโลกอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็เป็นได้
ที่มา :
http://teen.mthai.com/variety/77354.html
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEF5TURjMU5nPT0=
Youtube ของ เจค็อบ บาร์เน็ต :
https://www.youtube.com/channel/UCJoGOSQDPqV5usHAbyMAP7w
79 ความคิดเห็น
ถ้าเขาคิดเพิ่มมาได้อีก นักเรียนรุ่นต่อๆไปก็ต้องเรียนหนักและยากขึ้นอีกน่ะสิ แต่ก็นะ นายเก่งมากค่ะ
สุดยอดดดดดดดดดดดดดด (แต่อย่าคิดสูตรอะไรต่างๆเพิ่มขึ้นมาอีกนะ...ขอร้อง แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ววววววว) 5555555555
เก่งอะ
ถ้าเขาคิดเรื่องแสงต่อล่ะ (โฟตอน การเคลื่อนที่ของแสง ฯลฯ) หรือทำไงให้วัตถุเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง เฮ้อ อยากจะบ้า[bb-003][bb-008]
ฉลาดเวอร์อะ อยากเป็นแบบนี้บ้าง
บางทีเขาอาจสร้างเครื่องวาร์ปได้!!
บาร์เน็ตอาจจะเป็นผู้นำทีมที่สำคัญมากคนหนึ่งออกไปสำรวจเพื่อค้นหาดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
หรือ
เขาอาจเป็นคนที่ประดิษฐ์ยานที่สามารถวิ่งได้ไกลกว่าปัจจุบัน
ไม่ต้องเพิ่มหลักสูตรนะ555555555555555555555 =W=
ต้องคิดให้ง่ายต่อการเข้าใจด้วย ถึงจะเก่งจริง
แค่นี้ก็ปวดหัวแย่แล้ว
ป้าขี้เกียจมาเรียนอีกรอบนะหนู อย่าแก้เยอะล่ะ T_T 5555555
บางทีเขาอาจจะสร้างเกมonlineแบบในนิยายก็ได้
10ขวบ จบปริญญาตรีแล้ว ทำไปได้น่ะ!!!
ต่อยอดเลยครับ เพราะผมจะเอาคำพูดของคุณมาใช้ จงหยุดเรียนแต่อย่าหยุดคิด ลองไม่อ่านตำราที่จะเขียนต่อมาก็ไม่ปวดหัวแล้วใช้ความคิดกับสิ่งรอบตัวด้วย ความคิดวิเคราะห์ของตัวเองดีกว่า แต่สมัยนี้คงยากเพราะ วุฒิมันบัญญัติ แทบทุกอย่างอ่านะ
เก่งมากๆเลย ทู้นี้ทำให้คิดว่าอย่าดูถูกเด็กออทิสติก
ครูสอนคณิตเราเคยเล่าให้เราฟังบ่อยๆถึงเด็กที่อายุยังน้อยแต่มี ไอคิวสูงกว่า140 แต่เด็กที่ครูเล่าทำม้ายยถึงมีแต่เด็กที่เป็นโรคออทิสติกหรือดาวซินโดรม
บางทีคนประเภทนี้สติปัญญาค่อนข้างดีกว่าคนปกติอีก(ไม่ทุกคนหรอกนะ)
เพื่อนในห้องของเราสติไม่ค่อยเต็ม บางทีเรานั่งทำงานกับมันมันก็พูดคนเดียวจนเราขำไปด้วยอ่ะ55555 หลับตลอด ไม่เคยทำงานอะไรเลย การบงการบ้านไม่ทำ
แต่สอบผ่านทุกอย่าง ลองให้โจทย์คณิตที่ว่ายากโคตรๆๆๆๆๆ ที่ไม่มีใครในห้องทำได้ให้มันทำดู แปบๆเสร็จอ่ะ=_= โจทย์ฟิสิกส์ครูปลุกให้เขาออกไปทำ ทำได้ด้วยอ่ะ ยืนคิดสดๆ แต่ไม่ใช่สูตรตามครูสอน เอามาบวกลบคูณหารยังไงไม่รู้คำตอบออกมาตรงกับของครูด้วย ทั้งๆที่ไม่ฟังครูเลย มันหลับในห้องตลอด จัดว่าเด็ดมากอ่ะ! 55555555555555
หวังว่าน้องคงจะไม่คิดทฤษฏีอะไรใหม่ๆ มาให้พี่ต้องปวดใจอีกนะคะ
แต่พ่อ-แม่น้องเค้าพันธุ์ดีแท้ ออกลูกมา 3 คน ฉลาดหมดเลย เจ๋งๆ
มนุษย์คนเราสามารถใช้สมองได้เพียง 10% แต่ถ้าหากเราสามารถใช้ได้มากกว่า 10% จะเกิดความสามารถพิเศษขึ้นมาอย่างนึง คือเรียนรู้ไว ฉลาดไว และมีสติมากกว่าคนทั่วไป สามารถคิดและวิเคราะห์สถานการณ์ หรืออย่างอื่นได้อย่างแม่นยำ แต่ขอชมเลยนะว่าเก่งมากแต่ขอเถอะเก่งแค่นี้ขอพอแล้ว ไมเกรนจะขึ้นแล้วไม่อยากมีสูตรอีก คสช ช่วยหนูด้วยยยยยยยยย
ขอโทษนะอย่าเพิ่งไปนอกโลกเลยเอาเป็นว่าช่วยโอโซนและสืงแสดล้อมกลับมาทีเถอะ. ~@หนุมาร@~
ไอสไตน์คนต่อไป
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?