เมื่อฉันป่วยเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงMG
ตั้งกระทู้ใหม่
จะเล่าตั้งแต่ก่อนป่วย จนถึงปัจจุบันนะคะ (ปัจจุบันปี2557 อายุ30คะ)
การดำเนินชีวิตที่ผ่านมาก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นMG(ปี2555) ตอนนั้นอายุ28ปี
ก็ใช้ชีวิตเหมือนพนักงานกินเงินเดือนทั่วไปต้องตื่นเช้านั้งทำงานหน้าคอมกลับถึงบ้าน
ช่วยเย็นหรือบางวันก็ดึกมาก วันหยุดก็จะออกไปเที่ยวดูหนังฟังเพลง ซื้อเสื้อผ้ากับเพื่อนคิดว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เงินเดือนเนอะ มีออกกำลังกายบ้างนี้คือวงจรชีวิต
อยู่มาวันนึงนั้งมองจอคอมแล้วแสบตามาก พอทำงานนานๆน้ำตาก็ไหล เลยคิดไปเองว่าคงเป็นเพราะแสงจากจอคอมพิวเตอร์ (คือคอมไม่ได้ติดที่กันแสงตรงหน้าจอ)
บวกกับช่วงนั้นติดซีรีย์มากกลับถึงบ้านก็มานั้งดูซีรี่ย์หน้าคอมอีก รวมๆใช้คอมเกิน15ชม.
ต่อวัน นอนก็ไม่พอ(บอกแล้วว่าติดซีรีย์) ผ่านไปซักพักอาการน้ำตาไหลแสบตาดีขึ้น
(ดูซีรี่ย์จบแล้ว) เลยสรุปว่าตาคงได้พักอาการเลยดีขึ้นจึงไม่ใส่ใจ ผ่านไปสักระยะเริ่มรู้สึกว่ามองอะไรไม่ค่อยชัดกว่าเดิม คือปกติเป็นคนสายตาสั้น175 เลยคิดเอาเอง(อีกแล้ว)
ว่าสายตาต้องสั้นเพิ่มขึ้นแน่นอน เลยไปร้านแว่นเจ้าประจำถอยแว่นสายตาอันใหม่มา
ทำการตรวจวัดสายตาใหม่หมดทุกขั้นตอน แต่ผลตรวจสรุปว่าสายตาสั้นเท่าเดิมเลยโทษแว่นอันเก่าว่าคงเสี่ยมคุณภาพตามกาลเวลา หลังได้แว่นอาการทุกอย่างหายไปเป็นปกติ
(ไม่ได้ใส่แว่นตลอดเวลานะ) และเริ่มมามีอาการอีกครั้งปี2556
เดือนกุมภาพันธ์ (เดือนที่วุ้นวายที่สุด) โดนน้องหมาอายุ3เดือนที่เลี้ยงไว้กัดเข้าที่ขาส่วนล่าง จึงไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีนป้องกัน โดนฉีดที่หัวไหล่(เป็นการฉีดใต้ผิวหนัง)
ลองพยายามจะยกแขนทั้งสองข้างเพื่อผูกผมแต่ยกยังไงก็ไม่ขึ้น ยกได้เทียมหน้าอก
เริ่มตกใจว่าเป็นอะไร สักพักใหญ่อาการปวดแขนค่อยๆลดลง แต่ยังยกแขนผูกผมลำบาก
พอเข้าไปฉีดเข็มยาเข็มที่2 จึงขอพบหมอก่อนฉีด เล่าอาการให้หมอฟังว่าเป็นยังไงหมอบอกว่าเป็นเรื่องปกติของการฉีดยาเดี๋ยวก็หาย เลยรู้สึกสบายใจขึ้น(คือยกแขนได้แต่ยังไม่เท่าเดิม) วันที่ต้องฉีดยาเข็มสุดท้ายก็ขับรถไปโรงพยาบาลเองทุกอย่างปกติฉีดเสร็จก็ขับรถออกจากโรงพยาบาลขับมาได้ประมาณ5นาที ขับรถต่อไม่ได้ตามันปิดเอง
(ทั้งสองข้าง)เหมือนคนง่วงนอนมากๆจะหลับให้ได้ทั้งที่นอนเต็มที่
ตัดสินใจจอดโทรหาเพื่อนให้มารับแล้วพากันเข้าไปหาอะไรกินในห้างนั้งสักครึ่งชั่วโมงอาการทุกอย่างหายไปเหมือนเรื่องโกหก ตาเปิดได้ปกติ ไม่ง่วง ไม่เหนื่อย ไม่เพลียจนเพื่อนคิดว่าเราเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า ไม่เห็นเป็นอะไรเลย กินข้าวเสร็จเดินเล่นต่ออีกสักพัก จึงให้เพื่องพากลับไปส่งที่รถคิดว่าตัวเองโอเคแล้วขับกลับบ้านไหว แต่พอขับไปได้ซัก5นาที มีอาการเหมือนเดิมเดะ จะโทรตามเพื่อนก็กลัวโดนด่าได้แต่หยิกแขนตัวเองไปตลอดทางให้ตื่นแถมเอานิ้วฉีกเปลือกตาขึ้นเพื่อมองทางทำสลับกับไปมาจนถึงบ้าน
(วันนั้นอากาศที่ภูเก็ตร้อนมากๆ) ถึงปุ๊บเข้าบ้านนอนเลย
อีกหลายวันต่อมาก็ต้องตกใจสุดชีวิตคือคุยโทรศัพท์กับแม่ประมาณครึงชั่วโมงพูดกันอยู่ดีๆออกเสียงไม่ได้ พยายามตะโกนออกไปดังๆก็ไม่มีเสียงออกมาสักนิด เริ่มหน้าซีดแม่ก็สงสัยว่าพูดอยู่ดีๆทำไม่เงียบ ถามก็ไม่ตอบ จึงหายใจเข้าออกลึกๆ พยายามพูดคำว่า
"แค่นี้นะ" ออกไปแล้วกดว่างสายหลังจากนั้นก็นั่งนิ่งๆอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหนไม่พยายามที่จะพูดอะไรออกมา มันรู้สึกกลัวได้แต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้น (ช่วงนี้กำลังขยายขากรรไกรเพื่อทำการจัดฟัน) หรือเพราะเครื่องมือทำให้พูดไม่ได้ คิดไปสารพัด จึงเข้าไปคุยกับหมอจัดฟัน
เล่าให้หมอฟังว่าเราเป็นแบบนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกอย่างปกติ หมอบอกว่าอาจเป็นเพราะเครื่องมือทำให้พูดไม่ชัดเดี๋ยวก็ปรับตัวได้ จริงๆก็แอบคิดนะว่าใส่เครื่องมือมาตั้งนานทำไมเพิ่งจะมาเป็นหรือมันขยายจนไปโดนเส้นประสาทอะไรหรือป่าว
สุดท้ายก็เชื่อหมอว่ามันจะดีขึ้น แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่หมอจัดฟันพูด อาการมันแย่ลงเริ่มสำลักอาหาร กลืนไม่ได้แม้แต่น้ำลายตัวเอง พูดไม่ชัดมากขึ้นจะพูดได้แค่สองสามคำแรกหลังจากนั้นไม่รู้เรื่องเลย เริ่มกินน้ำจากแก้วไม่ได้ต้องดูดน้ำจากหลอด จึงไปคุยกับหมออีก(หมออยู่กรุงเทพบินมาภูเก็ตเดือนละครั้ง) หมอบอกไม่น่าจะเกี่ยวกับหมอแล้วนะถ้าอาการแบบนี้ จึงสั้งoffเครื่องมือขยายขากรรไกร หมอบอกถอดออกไปก่อน แม้จะถอดเครื่องมือออกไปแลัวแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นแถมยังเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ
เข้าเดือนเมษาช่วงวันสงกรานต์ ลางานกลับมาเยี่ยมบ้านที่จังหวัดยะลา ตอนนี้ก็ยังพูดไม่ชัดเหมือนเดิมเหมือนคนลิ้นไก่สั่น พูดไปรู้เรื่องสามคำที่เหลือไม่รู้เรื่องบ้างออกเสียงไม่ได้บ้าง จึงไม่ค่อยคุยกับใคร-เท่าไหร์ คุยแบบถามคำตอบคำ เริ่มกลายเป็นคนเงียบๆไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเสียงจะคุยLineหรือพิมพ์ข้อความมากกว่า
ตลกมั้ยห่างกันแค่นิดเดียวแต่ต้องพิมพ์ข้อความให้เค้าอ่าน จะไปหาหมอก็ไม่รู้จะไปหาหมออะไร เริ่มสำลักมากขึ้น เคยสำลักอาหารจนอาหารติดหลอดลมหายใจไม่ออกทรมานสุดๆดีที่ไม่ตายการกินน้ำต้องใช้หลอดทุกครั้งเวลากินค่อยๆดูดทีละนิดแล้วปล่อยให้น้ำไหลลงคอ ข้าวกินได้แต่พวกข้าวน้ำต้มน้ำเหลวๆ เพราะกลืนหรือเคี้ยวไม่ได้ แรงที่มีเริ่มลดลงอาจเป็นเพราะร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อวัน ก่อนหน้านี้น้ำหนัก54-53กิโลคงที่มาตลอด พอมีอาการป่วยน้ำหนักเริ่มลดลงอยู่ที่53-52-51เลขวิ่งไปมาแค่นี้
จนสุดท้ายแรงดูดน้ำจากหลอดก็ไม่มีเหลือ คิดว่ายังไงก็ต้องหาหมอแล้ว จึงกลับไปลาออกจากงานที่ภูเก็ตเพื่อกลับมาอยู่บ้านที่ยะลา ต้องกลายสภาพเป็นคนที่พูดไม่ได้แถมตกงานตอนอายุ29ปีซะงั้น ถือเป็นช่วงชีวิตที่ติดลบสุดๆ
(มีต่อนะหลังจากนี้เริ่มตามล่าหาโรคแล้ว)
3 ความคิดเห็น
ผมก็คนยะลาครับ
นับเป็นการแชร์ประสบการณ์ที่น่าสนใจค่ะ อยากให้เอนเตอร์หน่อยค่ะ ติดกันเป็นพรืดแบบนี้เราอ่านไม่ได้อะค่ะ
ขอให้สู้ต่อไปและชนะมันให้ได้นะคะ
ขอบคุณที่แนะนำคะ คือกดอัพโหลดกับโทรศัพท์เลยติดกัน
จะลงต่อก็ ลงต่อมิเป็น ไปหาวิธีลงก่อนนะคะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?