Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ปาร์ค ยอง แบ เขาไม่ใช่ติ่งไทย แต่เขาคือคนเกาหลีที่กตัญญูต่อคนไทย เพราะทหารไทยมีบุญคุณต่อเขาในสงครามเกาหลี

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่


ปาร์ค ยอง แบ มีพี่น้อง 6 คน  อาศัยในหมู่บ้านปันมุนจอม  บริเวณเส้นละติจูดที่ 38
ครอบครัวมีอาชีพโรงงานทอผ้าและปลูกโสม
วันหนึ่งเกาหลีเหนือบุกเข้ายึดหมู่บ้าน กวาดต้อนผู้คน  ครอบครัวเขาต้องอพยพหนีลงใต้
ระหว่างที่ข้ามสะพาน  เกาหลีใต้ยกกำลังมาสกัดกองทัพเกาหลีเหนือ  เกิดการปะทะรุนแรง
ปาร์ค ยอง แบ วัย 7 ขวบ พลัดหลุดมือจากแม่ตรงกลางสะพาน  จากวันนั้นเขาก็ไม่เคยเจอแม่และพี่น้องอีก



ท่ามกลางความชุลมุน  ทหารไทย 2 นายได้ช่วยชีวิตปาร์คไว้
แล้วพามาอยู่ในค่ายทหารไทย  คอยช่วยทำงานสารพัดตามแต่จะสั่ง
ในปีเดียวกันนั้น 2 ทหารไทยถูกส่งตัวกลับไทย  มีความพยายามที่จะนำปาร์คกลับมาด้วย
โดยซ่อนมาในถุงทะเล  แต่ก็ถูกตรวจพบเสียก่อน
ทำให้เขาต้องพลัดพรากจากทหารไทยทั้งสอง  กลายเป็นเด็กจรจัด
แต่ก็ยังผูกพันกับค่ายทหารไทย  รับใช้ทหารรุ่นต่อๆมา
บ่มเพาะความรู้สึกผูกพันไปถึงคนไทยทุกคนที่เจอ



ปาร์คเรียนจบปริญญาตรีด้านพลศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกียงฮี  และได้เป็นครูสอนพละ
แต่ความที่ชอบมาขลุกกับคนไทย  ทำให้ทางโรงเรียนเชิญออกมาแล้วหลายครั้ง
เขาสมรสกับนางยัง ยอง จา  มีบุตรธิดา 2 คนคือ นางปาร์ค เฮ ลัน และนายปาร์ค เมียง ฮัน
บ้านเขาอยู่เมืองอินชอน  ห่างจากโซล 30 กม.
ด้วยสายใยที่มีต่อคนไทย  บ้านเขาจึงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ไทย  และทุกอย่างที่ได้จากคนไทย แม้กล่องใส่น้ำพริก
ปาร์คมีโรคประจำตัวคือโรคกระเพาะ  ทำให้ต้องว่างงานเป็นประจำ
แต่ภรรยาเขาเป็นครูสอนดนตรี  มีรายได้พอค้ำจุนครอบครัว
หลังจากที่มีครอบครัวก็เปิดโรงงานผลิตเปียโน  แต่ในที่สุดโรงงานก็เจ๊ง



เมื่อปาร์คอายุ 30 ปีเศษ  เขาประกาศตามหาครอบครัว  จนได้พบพ่อกับพี่ชายในเกาหลีใต้
ส่วนแม่ พี่สาว และน้องสาวทราบเพียงว่าติดอยู่ในเกาหลีเหนือ
และเริ่มออกตามหาทหารไทยทั้งสอง  ที่เขานับถือเสมือนพ่อ

เมื่อ 40 ปีที่แล้ว "ปาร์ค ยอง แบ" เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักกีฬาไทยที่ไปแข่งฟุตบอลชิงถ้วยประธานาธิบดี "ปักจุงฮีคัพ" ที่เกาหลีใต้
ทุกคนจะได้พบกับชายรูปร่างสันทัดเข้ามาต้อนรับด้วยความเต็มใจ  ปาร์คทำหน้าที่เลซองให้แก่ทีมไทย

เขาช่วยเหลือรับใช้คนไทยทุกคณะโดยไม่เคยพูดถึงค่าตอบแทน  เขามาด้วยใจจริงๆ  ตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่มี
ลักษณะพิเศษที่โดดเด่นของเขา คือพูดภาษาไทยได้  ซึ่งในเวลานั้นแทบไม่มีคนเกาหลีที่พูดภาษาไทยได้
ปาร์คเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของคนไทยที่เกาหลีใต้  คอยช่วยเหลือติดต่อประสานงานทุกเรื่อง เป็นล่าม ยามว่างจะพาไปเที่ยว/ช้อปปิ้ง
เวลานอนก็นอนขลุกอยู่ด้วยกัน  แต่อาหารแต่ละมื้อต้องอาศัยน้ำใจคนไทย  โดยเฉพาะสื่อช่วยตุนอาหารมาเผื่อ



ทุกครั้งที่รู้ว่าคณะคนไทยจะเดินทางกลับ  ทุกคนจะได้รับคำขอร้อง 1 อย่างคือ
ให้ช่วยตามหา 2 ทหารไทยที่ไปร่วมรบในสมรภูมิเกาหลี เมื่อ พ.ศ.2493
เพื่อตอบแทนพระคุณ  และพบหน้ากันอีกสักครั้งในชีวิต
ปาร์คจำได้เพียงชื่อ ว่าชื่อ หมู่วีระ และ หมู่ตาด  กับภาพถ่ายโพลารอยด์สีน้ำตาลคล้ำ แสดงรูป 2 ทหารไทยยืนคู่กัน
เขาไม่มีข้อมูลอันใดมากไปกว่านั้น



เรื่องราวความกตัญญูของ "ปาร์ค ยอง แบ" กลายเป็นข่าวดังเกรียวกราว  เมื่อ นสพ.ไทยรัฐช่วยติดตามจากองค์การทหารผ่านศึก
มีทหารชื่อ "วีระ" 32 คน  ยากที่จะเจาะจงไปว่า "วีระ" ไหน
โชคดีที่ "หมู่ตาด" มีคนเดียว คือ ส.ท.ตราด กองจันดี  ได้เลื่อนยศและเปลี่ยนชื่อเป็น พ.ต.นรชัย กองจันดี สังกัดศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (ในขณะนั้น)
เมื่อเจอหมู่ตาดก็ได้กุญแจไขไปหาหมู่วีระ  ส.อ.วีระ ประภาสวัตร ได้เลื่อนยศและเปลี่ยนชื่อเป็น พ.ท.สุริยิน ประภาสวัตร สังกัดกรมการรักษาดินแดน (ในขณะนั้น)



หมู่ตาดเล่าว่า  "ครั้งหนึ่งทหารในค่ายอดอาหาร  เพราะขาดการติดต่อกับหน่วยเหนือ  มันไปขอเนื้อจากชาวบ้านมาให้กินประทังหิว"
"อิ่มแล้ว  มันจึงบอกว่าเป็นเนื้อหมา  จะโมโหมันก็ไม่ได้"
หมู่วีระเล่าว่า  "มันเป็นเด็กฉลาด คล่องแคล่ว บุคลิกก็ดี"



นสพ.ไทยรัฐได้แจ้งไปยังนายกฤษณ์ บุญประพฤกษ์ (แจ๊ส สยาม) ผู้กำกับค่ายไฟว์สตาร์
ที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "อารีดัง" อยู่ในเกาหลีใต้ (ออกฉาย พ.ศ.2523)
นำแสดงโดย จตุพล ภูอภิรมย์  นางเอกใช้คนเกาหลี  ซึ่งปาร์คมาช่วยเป็นล่าม ประสานงานกองถ่าย และร่วมแสดงด้วย
เมื่อยกกองถ่ายกลับไทย  เขาจึงอาศัยเดินทางมาด้วย



ปาร์คในชุดสากลสีเทา  พบหมู่วีระกับหมู่ตาด ในวันที่ 30 ธ.ค. 2522
พวกเขาอุทานแล้วยืนจ้องหน้ากันครู่ใหญ่  ก่อนโผเข้ากอดกัน น้ำตาซึม
ภาพและข่าวนี้ขึ้นหน้าหนึ่ง  เป็นข่าวเดี่ยวขายดีของยุคนั้น
ความดังของปาร์ค  เขามักเล่าให้นักข่าวรุ่นน้องฟังว่า  เรียกแท็กซี่ / ตุ๊กตุ๊ก ได้นั่งฟรีตลอด



นับแต่วันนั้นปาร์คก็ผูกขาดอยู่ในประเทศไทย  นานๆทีจะกลับไปเกาหลี
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตในเมืองไทย
โลดแล่นในวงการสื่อมวลชน  มีบทบาทสำคัญในการประสานงานไทย-เกาหลีใต้
ได้รับการยกย่องและใบประกาศเกียรติคุณจากสมาคมกีฬาต่างๆของไทยเป็นจำนวนมาก
เป็นผู้สื่อข่าวพิเศษหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ประจำเกาหลีใต้
เป็นผู้แทนพิเศษคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย
เมื่ออายุมากขึ้น  เขาวางมือจากงานสื่อมวลชน  หันไปทำหน้าที่ประสานงานให้กับวงการกีฬา
และยังเป็นที่ปรึกษาของนักธุรกิจเกาหลีใต้ที่เข้ามาลงทุนในไทย



ปาร์คพยายามตามหาแม่ทุกทาง ทั้งทางตรง ทางลับ  แต่ไม่ได้ผล
เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้  ก็เหมือนคนไทยเสื้อแดง-เสื้อเหลืองยามนี้  ที่ไม่ยอมญาติดีกัน
ทั้ง 2 ประเทศมีระเบียบเข้มงวด  ใครติดต่อกับคนอีกประเทศหนึ่งจะมีความผิดฐานเป็นสายลับ  โทษถึงขั้นประหาร
เขาร้องไห้ทุกครั้งที่ฝันถึงแม่  เขาจำไม่ได้แล้วว่าแม่หน้าตาเป็นอย่างไร
เขาให้คนปั้นรูปแม่ตามจินตนาการมาตั้งไว้ดูต่างหน้า  เป็นเครื่องปลอบประโลมใจยามคิดถึง
ไม่รู้ว่าแม่เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่  จนป่านนี้ก็ยังไม่มีข่าวดี  ว่าเมื่อไหร่จะได้พบหน้าแม่
ลูกสาวกับลูกชายที่ปาร์คเคยพามาอยู่เมืองไทย  ต่างก็กลับไปมีครอบครัวที่เกาหลีกันหมดแล้ว
พ.ศ.2550 ภรรยาเขาตายลงด้วยโรคมะเร็ง



ปาร์คขาดการติดต่อกับลูกๆ จนเหมือนคนไร้ญาติ
ล่าสุดปาร์คป่วยด้วยสารพัดโรค  โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และอัลไซเมอร์
ลูกสาวและลูกชายของเขายังไม่รู้ว่าพ่อใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต  เขาอาจต้องตายอย่างเดียวดาย
แต่ได้กัลยาณมิตร ดำฤทธิ์ วิริยะกุล กับ อ้วน อรชร เพื่อนนักข่าวช่วยพามารักษาที่ รพ.ตำรวจ


ปาร์คถึงแก่กรรมเมื่อ 21 ก.ค. 52  ในวัย 72 ปี  ด้วยอาการปอดอักเสบและติดเชื้อ


ปล. ติ่งเกาหลีรุ่นใหม่ฟังแล้วคงอึ้ง กับชายคนนี้ ถ้าจะบอกว่าปาร์คคือติ่งไทย ปาร์คก็คือติ่งไทยขนานแท้ และเป็นติ่งที่จะหาติ่งที่ใหนเทียบเท่าไม่ได้ เพราะความเป็นติ่งของปาร์คไม่ใช่เพราะความคลั่งใคล้ในนักร้องไทย หรือดาราไทย แต่ปาร์คเป็นติ่งไทยเพราะเขากตัญญูรู้คุณคนไทย และพยายามตามหานายทหารที่ช่วยเหลือเขาจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

แสดงความคิดเห็น

>

6 ความคิดเห็น

ขี้เหร่เละ 10 ต.ค. 57 เวลา 10:47 น. 2

ยกนิ้วให้เลยค่ะ สุดยอด

เราเชื่อว่ามนุษย์ยังมีคนดีอยู่เสมอ ไม่ว่าเชื่้อชาติศาสนาไหน สิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้อย่างภาคภูมิ คือ "การรู้คุณของคนที่ช่วยเหลือเรา" นั่นคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด หาใดเปรียบไม่ได้แล้ว

ป่านนี้ "ปาร์ค ยอง แบ" คงมีความสุขอยู่ ณ ที่แห่งใดสักแห่ง


ว่าแต่ว่า....แล้วลูกชายกะลูกสาวเขารู้หรือยังว่าพ่อเขาเสียแล้ว......

0
qqaew 10 ต.ค. 57 เวลา 20:29 น. 4

เราว่าเค้าไม่ใช่ติ่งไทยหรอก..
แต่เป็นบุคคลที่รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณ 

# ยกนิ้วให้

0
nut_maruko 11 ต.ค. 57 เวลา 02:59 น. 5

เขาคือคนดี รู้จักตอบแทนบุญคุณคน
เป็นคนที่น่ายกย่องและควรเอาเป็นแบบอย่าง

0