Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

3 บุคคลอันตรายที่มีแผนร้าย คิดจะเปลี่ยนโลก!!

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

Skorzeny Otto (12 มิถุนายน 1908-5 กรกฎาคม 1975)



ออตโต สคอร์เซนี่ เป็นพันเอกในกองทัพหน่วยคอมมานโด SS ของนาซี และมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2 เก่งเรื่องการบแบบกองโจรและมีลักษณะเด่นคือแผลเป็นที่แก้มซ้าย

ออตโตในกรุงเวียนนา เป็นชนชั้นกลาง ครอบครัวมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการรับราชการทหาร  ตัวเขาเองนั้นเป็นนักฟันดาบของโรงเรียนที่เวียนนา นิสัยบ้าพลังครั้งหนึ่งเขาเคยดวลระหว่างเพื่อนๆถึง 15 คนเรียงตัว จนได้จนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ต่อมาในปี 1931 เขาก็ได้เข้าร่วมกองทัพนาซีแล้วเข้ารับราชการในหน่วย SS องครักษ์ พิทักษ์ฮิตเลอร์ และเขาก็สร้างผลงานมากมาย จนได้เป็นหัวหน้าหน่วยคอมมานโดชุดปฏิบัติงานพิเศษ ที่ฮิตเล่อร์ได้ตั้งขึ้น ในเดือน กรกฏาคม 1943 โดยภารกิจแรกที่สุดหินคือ การชิงเอาตัวมุสโสลินีออกจากคุก ที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นที่โรงแรม แกรน ซัสโซ บนเทือกเขาอะเพนไนนส์ แต่ภารกิจสุดหินดังกล่าวออตโตก็สามารถผ่านไปอย่างง่ายดาย ด้วยแผนที่ร้ายกาจ และเรียบง่าย คือ ใช้เครื่องร่อนและหน่วยอากาศโยธินบินเข้าไปปฏิบัติการ แบบชนิดรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ทำให้เขาสามารถนำตัวมุสโสลินี ขึ้นเครื่องบินเล็กบินออกมาหน้าตาเฉย.. ซึ่งผลงานดังกล่าวทำให้ชื่อของ  ออตโต สคอร์เซนี่ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก..และได้เลื่อนยศขึ้นเป็นพันตรี

ในเดือนตุลาคม 1944 ฮิตเล่อร์ส่งเขาไปฮังการี เพราะข่าวมีมาว่า ท่านประธานาธิบดีมิคลอส  ฮอร์ธีกำลัง จะเอาใจออกห่างนาซีโดยการจะยอมเป็นมิตรกับรัสเซีย นั่นก็หมายความว่าทหารเยอรมันจำนวนหลายแสนในดินแดนบอลข่านต้องกลายเป็น นักโทษสงครามไปทันทีและเยอรมันจะแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ออตโตจึงถูกส่งไปแก้ใขสถานการณ์ และเขาได้ใช้วิธีเข้าไปลักพาตัว นิโคลาส ลูกชายของประธานาธิบดี(รหัสปฏิบัติการคือ ปฏิบัติการ Panzerfaust) และข้อเสนอนั่นก็คือ ให้เขาลาออกจากตำแหน่งไม่งั้นลูกชายนายตาย และแล้ว ทุกอย่างสำเร็จลงอย่างง่ายดาย จนฮิตเลอร์สามารถตั้งรัฐบาลที่โปรแลนด์และนาซีขึ้นมาครองเมือง

สองเดือนต่อมาออตโตได้นำกองทัพรถถังเข้าตะลุยกับทหารอเมริกันในการรบที่บุลจ์ (Battle of the Bulge) ทำการก่อวินาศกรรม สงครามกองโจร นอกจากนี้ยังมีการปล่อยข่าวลื่อถึงแผนปฏิบัติการ Greif ว่า เยอรมันจะส่งออตโต สคอร์เซนี่เข้าไปในปารีส เพื่อที่จะสังหารนายพล.อ.ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลกครั้งที่สองถึงแม้ว่าจะเป็นข่าวลือ แต่ก็เล่นเอาท่านนายพลคนดังไม่ยอมออกมาจากศูนย์บัญชาการเป็นเวลาหลายอาทิตย์ เชียว

แต่ในที่สุด ออตโต ก็ต้องยอมจำนนแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เขากลายเป็นนักโทษสงครามอยู่สองปี และ ได้สามารถแหกคุกหนีได้ ในวันที่ 27 กรกฏาคม 1948 เขาได้หลบหนีไปอยู่ที่สเปน โดยได้รับความช่วยเหลือจาก นายพลฟรังโก  แถมยังได้งานทำในฐานะวิศวกร ในปี 1952 เขาก็ได้รับการนิรโทษกรรมจากรัฐบาลเยอรมันในทุกๆข้อหา และเป็นอิสระที่จะเดินทางไปไหนๆก็ได้ และสุดท้าย ในปี 1975 ออตโต ได้เสียชีวิตในคฤหาสน์ในกรุงมาดริดตามอายุขัย อย่างสงบ

 Sir Basil Zaharoff (6 ตุลาคม 1849-27 พฤศจิกายน 1936)




เซอร์เบซิล ซาฮาร์ออฟ หรือ  เซอร์ผักกะเพรา(Basil แปลตรงตัวว่าผักกะเพรา )เป็นพ่อค้าอาวุธสงครามและพ่อมดการเงินชาวตรุกี(เชื้อสายกรีก) เขามักชอบโกหกเรื่องต้นกำเนิดของเขา แต่จากประวัติชีวิตแล้วเขาเป็นลูกชายคนเดียวและลูกคนโของลูกสี่คน เกิดในเมืองมักลา ตรุกี ต่อมาก็ลี้ภัยสงครามไปรัสเซียแล้วกลับมายังตรุกี จากนั้นเขาก็เป็นนักผจญเพลิง ก่อนที่ก้าวมาเป็นตัวแทนขายและผลิตอาวุธของนักประดิษฐ์ธอสเท็น นอร์เดนเฟลท์ ชาวสวีเดน



และนั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นความคิดที่ร้ายกาจของเบซิล เขา เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นนักธุรกิจที่มีกลยุทธ์ที่มีความเล่ห์เหลี่ยมและ แกมโกงมากมาย เขาจะขายอาวุธให้กับฝ่ายสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน โดยไม่เน้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และบางครั้งก็ขายอาวุธปลอมให้ลูกค้า ในหลายประเทศ ไม่ว่าอังกฤษ เยอรมัน รัสเซีย ตรุกี สเปน ญี่ปุ่น สหรัฐ แม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะเหม็นเน่า แต่กระนั้นหลายคนก็นิยมซื้ออาวุธจากเขา เพราะว่าอาวุธและยานพาหนะของเขานั้นมีประสิทธิภาพทำลายล้างสูง ไม่ว่าจะเป็นปืนแม็กซิม(ปืนกลอัตโนมัติยุคแรก) และเรือดำน้ำ ซึ่งนั้นทำให้เขากลายเป็นคนมีอำนาจและอิทธิพลในยุโรป พร้อมกับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในสงครามทั่วยุโรป(สร้างเรื่องให้คนทะเลาะ กัน) โดยเฉพาะตรุกีและกรีก เพื่อที่จะขายอาวุธมากขึ้น ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ชื่อของเขาโด่งดังไปทั่วผืนแผ่นดินเพราะหลายประเทศต่างสั่งซื้อสินค้าจากเขา แม้หลายคนเรียกเขาว่า “พ่อค้าแห่งความตาย” แต่กระนั้นเบซิลหลงใหลการบินมากกว่าอาวุธและเขายังมอบเงินบริจาคและความช่วย เหลือแก่นักบุกเบิกในประเทศอังกฤษและรัสเซีย


Francisco Pizarro (26 กรกฎคม 1529 – 26 มิถุนายน 1541)




ฟรังซิสโก ปิซาโรเป็นขุนนางชาวสเปน นักเดินเรือชาวสเปนผู้พิชิตอาณาจักรอินคา เขาเกิดในสเปน เป็นลูกนอกกฎหมายของนายทหารราบยศพันเอกคนหนึ่ง และ มีชีวิตในวัยเยาว์ค่อนข้างแร้นแค้นโดยอยู่ในความดูแลของตายาย และไม่ได้รับการศึกษา เขาทำงานเป็นคนเลี้ยงหมูอยู่ 15 ปีจนถึงปี 1502 จึงได้เดินทางไปอยู่กับญาติข้างบิดาที่หมู่เกาะเวสต์อินดีสซึ่งเป็นประเทศเฮ ติในปัจจุบัน จากนั้นก็เดินทางไปหลายประเทศในอเมริกาใต้ ละที่นั้นเองเขาได้ยินอาณาจักรที่แสนยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง อาณาจักรที่สมบูรณ์ไปด้วยทองคำอาณาจักรหนึ่ง ทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคของทวีปอเมริกาใต้

เมื่อฟรังซัสโกได้ยินก็เกิดความโลภ อยากได้ทองคำ เขาได้เฝ้า กษัตริย์สเปนเพื่อขอแรงสนับสนุนขอกำลังทหารพิชิตอินคา เพื่อความมั่งคั่งของตนเอง และเขาก็กลับมาในทวีปอเมริกาใต้อีกครั้งพร้อมกำลังทหารและอาวุธครบมือ เขาได้แล่นเรือเลียบฝั่งตะวันตกของปานามาลงไปทางใต้ เพื่อค้นหาอาณาจักรอินคาอันมั่งคั่งแห่งนี้ และเขาต้องเสียเวลาถึง 3 ปี จนได้พบอาณาจักรของพวกอินคาซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นดินแดนของประเทศเปรู

ตอนแรกฟรังซัสโกพบอทาฮวลปาผู้นำของอินคาผู้ ครอบครองดินแดนตอนเหนือ ตอนแรกเขาบอกผู้นำคนนี้ให้นับถือคริสต์ศาสนา แน่นอนว่าผู้นำดังกล่าวได้ปฏิเสธ ทำให้เขามีเหตุผลพอที่จะเปิดสงคราม แม้ว่าทหารของเขาจะแค่ทหารราบ 240 คนกับมา 37ตัวเท่านั้น ปิซาโรก็สามารถโจมตีพวกอินคาจำนวน 20 ล้าน คนจนได้ชัยชนะ เนื่องจาออาวุธของอินคาเป็นแบบโบราณไม่สามารถสู้ปืนใหญ่และเกราะอัน แข็งแกร่งของทหารสเปนได้ แต่นั้นยังไม่จบเมื่อเขาใช้วิธีที่ร้ายกาจสุดแสบที่สุดในประวัติศาสตร์คือการใช้อุบายจับกุมผู้นำอทาฮวลปา(Atahualpa) จากนั้นก็บอกให้ชาวอินคานำค่าไถ่มาแลกกับนายคนตน คือการนำทองคำและเงินเต็มห้องขังให้สูงท่วมหัว แต่เมื่อเขาได้รับทองและเงินจำนวนมหาศาลแล้ว(คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ 100,000,000,000 ดอลลาร์) ปีซาโรต์ไม่ปล่อยหัวหน้าชาวอินคาให้เป็นอิสระ กลับฆ่าเขาเสีย และสถาปนาน้องชายของอทาฮวลปาขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด

หลังจากนั้นฟรังซัสโกก็ได้โจมตี ปล้นสดมภ์พวกอินคาและยึดครองดินแดนเป็นของตน เมื่อได้ดินแดนมาเป็นของตน ปิซาโรก็ค้นพบทองคำอีกเป็นจำนวนมาก เขานำกลับสเปน และก่อนจะกลับเขาได้ทำลายอารยธรรมอินคาเกือบทั้งหมด ซึ่งอารธรรมของอินคาเหล่านี้แต่ละอย่างมีคุณค่าต่อโลกมาก ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ การแพทย์ นักปราชญ์ แต่ฟรังซัสโกทำลายหมดส่งผลทำให้อารยธรรมของชนเผ่าอินคาให้หมดสิ้นไปจากโลก อย่างน่าสลดใจที่สุด


ข้อมูลจาก  cammy  postjung.com
และ
http://www.flagfrog.com/3madman/


แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

mindmymine 16 ต.ค. 57 เวลา 08:17 น. 1

เเต่ละคนเฮ้อ
คนเเรกเอาไปสร้างเป็นหนังได้เลยนะเนี่ยเทพสุดๆ

คนสุดท้ายก้เลวมาก
0
FasaiTanutcha 16 ต.ค. 57 เวลา 16:30 น. 2

คนแรกนี่เก่งเกิน
คนสองเฉยๆอ่ะ แค่ขายอาวุธเองป่ะ?(คหสต.)
คนสุดท้ายนี่เลวสุดละ อารรยธรรมโบราณเผ่าอินคาในเมกาใต้หายหมดดดดดด
คนรุ่นหลังเลยได้แค่ศึกษาแค่ซากที่เหลืออยู่ ทำไปเพื่ออะไรคะเนี่ย
เพราะเงิน? ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ได้แต่บาปติดตัว
นับถือคริสต์ด้วยนี่ -*- คงไม่ได้ไปอยู่กับแม่พระหรอกนะ
แค้นแทนเผ่าอินคา5555555

0
Yoku Akanso 17 ต.ค. 57 เวลา 17:48 น. 5

คนที่สองเราว่าไม่ผิดนะ มันเป็นหลักการ พวกพ่อค้ามักเป็นกลางอยู่แล้ว จะมีกลยุทธ์อะไรก็ไม่แปลก แถมยังเป็นตัวสำคัญเบื้องหลังเศรษฐกิจโลกด้วย

คนที่สามนี่สมควรไปแล้วไปลับไม่กลับมาจริงๆ เล่นถล่มวัฒนธรรมเขาซะยับ - -

0