Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อุทาหรณ์สอนใจน้อง "เรื่องเพื่อน"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เห่นนนนนโลวววววว สวัสดีค่ะน้องๆ :] หรือพี่ๆ เพื่อนๆ
วันนี้(ขอแทนตัวเองว่า "พี่" นะคะ) จะมาเล่าเรื่องในรั้วมหาวิทยาลัยสักเล็กน้อย
เตือนนิดนึงนะคะ ***อาจมีภาษาวิบัติ และคำหยาบเล็กน้อย(เล็กน้อยยยยยจริงๆค่ะ)ในการเล่าเรื่อง เพื่อให้น้องๆที่อ่านไม่เบื่อกันไปเสียก่อนนะคะ ;w;
อยากให้เธอรู้ อยากให้เธอลอง(อ่านดู เพราะไม่แนะนำให้ไปเจอเอง =w=)
เริ่มต้นค่ะ
น้องๆอาจจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า "เพื่อนในมัธยม คือเพื่อนที่ดีที่สุด" กับ "เพื่อนในมหาลัย หาจริงใจยาก"
อะ หนะๆ มาละ ในหัวเริ่มคิดกันในแง่ลบแล้วล่ะสิ
อะ! พี่ถามหน่อย คิดว่าจริงปะ?
.....เหยยยยย อะไรกัน ใครเป็นคนบอกน้องอะว่าจริง หรือไม่จริง คนเราเอาแน่เอานอนกับคำพูดของใครสักคนได้จริงดิ?
อนึ่ง เปิดใจให้กว้างก่อนอ่าน
อสอง อย่าคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ แค่นี้ฉันก็จัดการได้
อสาม เรื่องราวของพี่ ไม่สามารถอธิบายทุกสิ่งได้
แท่มแทมมมมม
เปิดม่านสีแดงกำมะหยี่ออก มีเพลงอินโทรขึ้น ทางทีมงานเรียกตัวนักแสดงขึ้นเวที
มีคนมากมายขึ้นมารวมตัวกันบนเวที ทุกคนมีชื่อไม่เหมือนกัน นิสัยแตกต่างกัน แต่มีสิ่งเดียวกัน คือ เราเรียนเสคเดียว
กัน(หรือก็คือกลุ่มที่เรียนห้องเดียวกัน) ตั้งแต่เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี ไปจนถึงแซด (ไม่ใช่เกรดนะคะ -0-)
โดยเพื่อนๆที่เข้ามาหาพี่เนี่ย ก็จะมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนมาแบบนิ่มๆ บางคนมาก็ทะลึ่งใส่ บางคนมาแตกสาวใส่ 
บางคนมากรี๊ดกร๊าดใส่ บางคนมาเสนอชวนทำงานก็มี =_=
มีเพื่อนที่ทั้งทำดีกับเรา เป็นมิตรกับเรา เมินเรา หมั่นไส้เรา หรือแม้แต่แสดงคนที่ทำให้ใจเราสปาร์ก...
าลครั้งหนึ่ง ไม่นานเท่าไร ก็แค่ปีที่แล้ว...
มีเหตุการณ์หนึ่งในห้องเรียน ที่พี่คนเล่ากำลังนั่งปั่นงานกลุ่มยิกๆอยู่ ซึ่งก็มาด้วย Concept เด็กไทยเช่นเดิมค่ะ
"งานกลุ่มทำคนเดียว งานเดี่ยวทำเป็นกลุ่ม"
แหม่... แล้ววันนั้นเป็นวิชาที่ไม่มีใครเขาจะตั้งใจเรียนกันด้วยจ้า สักพักพอทำงานไปเรื่อยๆ คนในกลุ่มก็เดินมาหา ทำท่า
เหมือนจะมาช่วยนะ ไอเราก็บอกให้หาข้อมูลในโทรศัพท์ให้หน่อยเนาะ
ทำไปทำมาสักพัก พวกนาง(ผช.สองคน)ก็นั่งหัวเราะคิกคักดูคลิปบ้าอะไรกันไปก็ไม่รู้ค่ะ (อยากจะเอากระดาษปาใส่หน้าจริมๆ)
คือไม่เห็นรึไงว่าเครียด ทำไม่ค่อยเป็น แล้วก็ยื้อเวลาที่ทำมาเป็นชั่วโมงแล้วด้วย
สักพัก(ใหญ่ใหญญญญญญญ่ จนใกล้จะหมดคาบ) ก็มีหญิงเอ(นามสมมุติ)ที่อยู่กลุ่มเดียวกันมานั่งข้างๆ แล้วนางก็เอาแต่บ่น
เรื่องงานในอีกคนฟัง แบบไม่เห็นหัวคนทำ แล้วก็พูดประโยคที่แสนน่ารักออกมาว่า
"ถ้ากุเป็นคนทำนะ เสร็จไปนานละ"
อนึ่งพี่นั่งทำมาเกือบสองชั่วโมง...
ไม่ทำละจ้ะ.....(ยิ้ม) ^w^****!!!
หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความอัดอั้นตันใจเหมือนน้ำอัดลมที่เขย่ามาตลอดทางตั้งแต่ถนนรามคำแหงถึงสะพานพุทธได้ถูก
เปิดออก
ไอเราก็จัดการโพสข้อความระบายแกมด่าบนเฟสบุ๊คด้วยความหงุดหงิด หมั่นไส้กับหญิงเอผู้งดงามที่แลดูนางจะมั่นใจกับชีวิต
เหลือเกิน
แล้ว....จากนั้นไม่นาน หลังพระอาทิตย์ตกดิน ก็มีเหตุโต้วาทีบนเวทีเฟชบุ๊คอย่างดุเดือด
โดยหญิงเอได้แปลงร่างเป็นนางยักษีแยกเขี้ยวชี้หน้าด่าข้าพเจ้าอย่างรุนแรงในทันที แต่มีหรือที่นางเงือกซึ่งไม่ใช่เมียของอภัย
มณีจะยอมถูกด่าอยู่ฝ่ายเดียว อิฉันก็จัดการโวยกลับบ้าง
หาเรื่องกันไป หาเรื่องกันมา กลายเป็นว่าจะโดนท้าตบละจ้า
ในตอนนั้นที่คิดอยู่ในหัวคือ...... "ฉิบหายละกุ"
อนึ่ง พี่แค่โพสระบายความในใจ
อสอง นางกรีดร้องจะตบข้าน้อยอย่างเดียว ยกเอาเหตุผลล้านแปดประการมาอ้างก็ไม่เป็นผล
จากนั้นวันต่อมา พี่จึงบากหน้าเดินไปหามันที่ห้อง อ้าปากขอโทษที่ตัวเองไปโพสบ่นบนเฟสบุ๊ค (ทั้งที่ในหัวอารมณ์แบบ เฮ้ยยยยยยย กุไม่ผิดดดดดดนะเว้ย T[]T ทำไมต้องมาขอโทษด้วยวะ)
แล้วเรื่องวันนั้นก็จบด้วยดี... ไม่มีการตบตีใดๆทั้งสิ้น
และก่อนจากกันในวันนั้น พี่ได้ถามคำถามที่คาใจมากกับหญิงเอ ว่าเช่นใดเจ้าจึงโกรธพี่มากถึงเพียงนี้ แถมยังรู้ด้วยว่าข้อความ
ในเฟชตู(ที่ยังไม่ได้แอดเฟรนหญิงเอด้วยซ้ำ) มันหมายถึงนาง
แล้วนางก็ตอบว่า
"มีคนบอก"



...... :}
ใครวะ?




จากนั้นเวลาก็ผ่านไปยาวนานถึง 6 เดือน (เนื่องด้วยมหาวิทยาลัยร่วมใจกันปิดแล้วเพื่อพร้อมอาเซียน)
พี่ก็มีเวลาไปนั่งปวดหัว เซ็ง เครียดไม่อยากมีชีวิตไปเจอหน้าเพื่อนอีกซะนานนมทีเดียว
จนกระทั่งได้มาพบเจอกับหญิงเอ และเพื่อนๆอีกครั้ง
คิดว่าจะมองหน้ากันติดปะ?
แล้วความที่คิดว่า ยังไงซะอะ 4 ปีน่ะ มันก็ต้องอยู่ด้วยกัน ยังไงก็กลับมาคืนดีกันดีกว่า (ดูเป็นนางเอกขึ้นมาในทันที)
ซึ่งมีวันหนึ่งที่นางแหกปากลั่นว่าไม่มีกาวมาติดภาพส่งอาจารย์ พี่ก็เลยเรียกนางแล้วยื่นสกอตเทปไปให้แบบสั่นๆ....
ย้ำว่า สั่น... แต่ไม่รู้นางเห็นไหม พอดีอาคารมันมืด
แต่สีหน้านางดูฉงนสนเท่มาก เมื่อพี่มีความหน้าด้านพอจะกลับไปคุยกับนางแบบนี้
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เดินเข้ามาคุยกับเรา ขอให้ช่วยวาดรูปให้หน่อย พี่ก็นั่งทำไป คุยไป นางก็ชมเราบ้าง จนบางทีก็
สงสัยว่าชมจริงรึเปล่า หรือแค่เอาใจเฉพาะตอนนี้ (เคยโดนมุขนี้มาเยอะ)
สักพักหลังๆ นางก็เริ่มจะมาปรึกษา เริ่มทัก เริ่มยิ้มให้ จนเราเริ่มทำตัวปกติกับเขามากขึ้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งปัจจุบัน...
ไปนั่งกินข้าว คุยเสียงดังโหวกเหวก เล่าเรื่องตลกโปกฮาในร้านอาหารจนคนอื่นมอง และรับรู้กันว่า
"คนๆนี้ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรเลย"
ยิ่งคุยยิ่งรู้จักกันมากขึ้น ยิ่งทำความเข้าใจชีวิตเขามากเท่าไร เราก็ทำให้เขารู้จักเรามากขึ้นเท่านั้น
จนกระทั่งเย็นวันนี้...เดินกลับบ้านด้วยกัน
คุยกันเฮฮาถึงการไปทำงาน กิจกรรมช่วงวันหยุด เรื่องโก๊ะๆในชีวิต แล้วสุดท้าย...
พี่ก็ตัดสินใจหวนกลับมาเรื่องที่วันนั้นเกือบจะตบกัน
เราขอโทษซึ่งกันและกัน ยิ้มและอธิบายความรู้สึกเวลานั้นให้อีกคนฟัง ด้วยเพราะทั้งคู่อยู่ใน "ความโกรธ" เหมือนกัน จึงทำให้
เรื่อง(เกือบ)บานปลาย
แต่พอเข้าใจความรู้สึกแล้ว เราก็ไม่มีอะไรติดค้าง และออกจะชอบนิสัยกันด้วยซ้ำ
แล้วสุดท้ายพี่ก็ถามเรื่องที่ค้างคาใจมาน๊านนาน
"ใครเป็นคนบอกแกเรื่องโพสเขาวันนั้นวะ"
"ที่ยุกูอะนะ" (นางใช้คำว่า "ยุ" เองเลยจ้า)
me พยักหน้า
"อีซี (นามสมมุติ)"
ขออธิบายสักนิ๊สสสสสนึง เรื่องของน้องซีที่พูดถึงนะฮะ
ซี เป็นคนทำงานเก่งมาก นางมีธุรกิจของตัวเอง ได้เริ่มลงทุนเป็นตัวเป็นตน ติดต่อประสานงานกับผู้คนเพื่อซื้อขายของและ
เช่าแผงในตลาดที่ตัวเองได้เป็นผู้ดูแล พูดง่ายๆคือนางเป็นคนที่ทำงานแล้ว แลดูเอาจริงเอาจัง แถมยังทำดีกับพี่มาโดยตลอด 
นางเคยไปญี่ปุ่นแล้วซื้อคิทแคทจากนู้นมาให้กล่องเบ่อเริ่ม! เพราะเวลานางไม่มา เราช่วยนางเท่าที่ทำได้ งานกลุ่ม งานเดี่ยว....
แต่พอความจริงมันกระจ่าง...
ความรู้สึกเหมือนกระโดนขึ้นจากพื้นสนามวอลเล่ย์บอลขึ้นไปในตำแหน่งบล็อกแล้วโดนอีกฝ่ายตบใส่หน้าเต็มแรง!
วิ้ง......
อุทาหรณ์เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า
"คนที่จริงใจกับเรา จริงๆอาจไม่จริงใจเลยก็ได้ ขณะเดียวกัน คนที่ไม่จริงใจกับเราเลย อาจเป็นคนจริงใจจริงๆก็ได้"
นะแจ๊ะ :3 ฝากถึงน้องๆทุกคน ตั้งแต่การโพสสเตตัสบนเฟชบุ๊ค ไปจนถึง การป้องกันตัวจากเพื่อนที่ไม่ประสงค์ดีกับเรา
ด้วยรักและห่วงใย
ปล. ได้แรงบรรดาลใจในการเขียนรูปแบบอย่างนี้มาจากหนังสือเรื่อง "บันทึกของตุ๊ด"

แสดงความคิดเห็น

>