Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ลุกให้นั่ง คือ ผู้หญิงจำพวกแย่งสามีชาวบ้านเมื่อชาติที่แล้ว

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดี น้องต้นครับ & พี่ฟ้าค่ะ


เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทางคณะพวกเราได้ทำการสนทนาเป็นการส่วนตัวกับท่าน "แม่ชีหยั่งรู้"ท่านเป็นบุคคลที่ทางคณะเราติดตามและไปรับฟัง เพราะแม่ชีหยั่งรู้ ได้พูดอะไรก็หลายอย่างในส่วนที่ถูกต้องและการแก้กรรมมาจนทำให้คนที่ได้รับฟังเชื่อและศรัทธากันเป็นจำนวนมาก


และในครั้งนี้ พี่ฟ้ากับน้องต้นก็เป็นหนึ่งในคณะดังกล่าวที่ได้ไปหาท่าน และได้ถามประเด็นเรื่องๆหนึ่ง 


ประเด็นนี้สำหรับครั้งนี้ เกี่ยวกับสิทธิและความเสมอภาคทางเพศ มีอยู่ว่า ผู้หญิง(บางคน) ทำไมถึงอยากนั่งที่นั่งบนรถสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น รถเมล์ รถไฟฟ้า หรืออื่นๆ และทำไมต้องเจาะจงว่าเป็นผู้ชาย พอไม่ได้นั่งก็เลยถ่ายรูปเขา ซึ่งต่อมาก็ถูกประชาชนโจมตีการกระทำของผู้หญิงหน้าด้านคนนั้นอย่างถึงพริกถึงขิง


ถ้ามองในมุมของเหตุที่มา และกรรมเก่า เราจึงมาถามแม่ชี ผู้อธิบายตอบโจทก์นี้ได้ดีที่สุด 

และขอบอกไว้ก่อนว่า "ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่" 



**เนื้อหาถูกย่อ และคัดเอาข้อความสนทนาที่นอกประเด็นออกไป**



พี่ฟ้า "เรียนถามแม่ค่ะ แม่ชีค่ะ ผู้หญิงที่ขึ้นรถไฟฟ้า เดินขึ้นมายังเดินได้ แต่ทำไมเวลายืนถึงอยากให้คนอื่นลุกให้นั่ง(โดยเฉพาะผู้ชาย)"


แม่ชี "แม่หยั่งรู้ทราบมาตั้งนานและลูก ผู้หญิงพวกนี้เมื่อชาติที่แล้ว เคยเป็นพวกขอเค้ากินมาก่อน"


พี่ฟ้า "ขอเค้ากิน มันคืออะไร เป็นหมาหรือค่ะ หรือพวกขี้ขโมย หรือขอทาน"


แม่ชี "ไม่ใช่ คนพวกนี้ทำบาปหนักยิ่งกว่านั้น บาปนี้เป็นบาปติดตัวมาจนฝังรากลึกไปสู่สันดานมาในภพชาตินี้"


น้องต้น "บาปหนักที่ว่านี่คืออะไรครับแม่ ผู้หญิงพวกนั้นจะต้องทำชั่วร้ายมาแน่ๆเลย ผมอยากรู้ครับว่า มันคือคนชั่วอะไร"


แม่ชี "ผู้หญิงที่อยากจะนั่งในที่ๆของคนอื่น ผู้หญิงพวกนี้ คือ ปรสิตกามราคะ พวกแย่งสามีชาวบ้าน แย่งของๆคนอื่้นมาเมื่อชาติก่อน โดยไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษเลย คนพวกนี้บาปหนักมาก บาปนี้มันติดตัว ติดนิสัย ติดทุกอย่างมาในทางที่เลวๆทั้งสิ้น พอมาถึงภาพหน้ามักชอบขอส่วนบุญ ขอในสิ่งที่ตัวเองไม่มี หรือทำได้ ถ้าขอไม่ได้ ก็ต้องแย่งมา นี่คือคนบาปที่ยังรอการชดใช้กรรมหนักไม่ช้าไม่นาน ตามกฎแห่งกรรม"


น้องต้น "อ่อออออออออ แบบนี้นี่เองแม่ มิน่าล่ะ อ่อ คือพวกมันมีนิสัยเลวมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว พวกแย่ง ขโมย อยากได้ของๆคนอื่นนี่เอง โหเลวจริงๆครับ"


พี่ฟ้า "ว่าแล้ว ว่าคนพวกนี้ ต้องเป็นพวกคนเลวจริงๆด้วย คนดีๆเขาจะไม่คิดที่จะแย่งของๆใครก่อนหรอกจริงไมต้น"


น้องต้น "อ่าว แต่ว่า เดี๋ยวคนบางคน มันจะต้องเอาเพศผมมาอ้างแน่ๆเลยครับ ประมาณว่า ผมแข็งแรงกว่า ผมก็ต้องเสียสละอะไรนู่นนี่ บลาๆ"


แม่ชี "นั่นเป็นคำหลอกลวงของคนพวกมีกรรมทั้งสิ้น และยังยึดติดกับวัตถุของต่ำสกปรกอย่างเพศ เครื่องเพศ อวัยวะเพศ แม่ชีเคยพูดในประเด็นๆหนึ่งไปแล้วว่า เหตุใดประจำเดือนของสตรีจึงถือว่าเป็น"วัตถุอัปลักษณ์" เป็นของมนต์ดำที่เอาไว้ใช้ทำร้ายผู้อื่น เป็นของเน่า สกปรก โสโครก แล้วเหตุใด ทำไมมนุษย์ที่ดีจึงไม่ใช้สติปัญญามาอธิบายแทนที่จะใช้เพศซึ่งอยู่ต่ำกว่าสมองของมนุษย์ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐ"


พี่ฟ้า "อ่อ งันหมายความว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ยังแก้ตัวในเรื่องนี้อยู่ ก็คือคนต่ำๆและมีกรรมหนักติดตัวใช่ไหมค่ะ โออ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

น้องต้น " อย่างนี้นี่เอง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมจริงๆพี่ฟ้า คนพวกนั้นก็คือพวกบาปกรรมนี่เอง ไม่ใช่คนดีของสังคมแน่ๆ"


แม่ชี "ผูู้หญิงผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น เพศแม่ แม่ย่อมเสียสละให้กับทุกสิ่งอย่าง แม่ย่อมเป็นผู้ให้ โดยไม่คิดหวังสิ่งตอบแทนใดๆ แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ต้องยอมสละได้เพื่อลูก แม้การให้กำเนิดบุตรหากต้องเลือกชีวิตใดชีวิต คนเป็นแม่ที่ดีต้องยอมสละชีวิตให้กับลูกได้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ


แต่สำหรับผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ทั้งๆที่ไม่ใช่คนพิการ การที่คนเหล่านั้นต้องการได้ของๆคนอื่นมาซึ่งไม่ใช่ของๆที่ตัวมีอยู่ หรือครอบครองมันอยู่ มันก็ไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงที่เป็นได้แค่ตัวเมีย ไม่มีคุณค่าของคำว่าแม่ ไม่สมควรที่จะให้กำเนิดบุตรได้ ขืนหากมีบุตร ทารกน้อยๆผู้บริสุทธิคนนั้นจะต้องมีแม่ที่เป็นคนบาป เป็นคนเลวของสังคม ซึ่งบาปนั้นจะตกทอดมายังสู่เด็กผู้บริสุทธิ์เหมือนกระดาษขาวที่มีสายเลือดชั่วมาครอบงำจนกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ชั่วร้ายในอนาคตได้"


พี่ฟ้า "โห แม่ค่ะ โลกใบนี้เรามองเห็นได้แน่ชัดจริงๆค่ะว่า สังคมเรามีทั้งคนดีและคนเลว อย่างคนเลวที่คิดแย่งของคนอื่นแบบนี้ มันยังเลวได้ไม่มีสิ้นสุดจริงๆค่ะ แล้วกฎแห่งกรรมจะเล่นงานคนพวกนี้ยังไงค่ะแม่"


แม่ชี "กฎแห่งกรรมไม่เคยผ่อนผันกรรมชั่วที่ทำไว้ คนเราไม่มีทางหนีกฎแห่งกรรมได้ ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ย่อมได้ผลๆนั้นไม่ช้าไม่นาน"


น้องต้น "แม่ครับ แล้วถ้าผมไปได้เมียที่มีกรรมชั่วแบบนี้ ผมเป็นห่วงลูกอะครับ กลัวว่าเด็กจะติดบาปชั่วมาจากแม่เลวๆคนนั้นน่ะครับ อึ๋ย"


พี่ฟ้า "เหอะ เป็นเด็กเป็นเล็ก ยังไม่ขึ้นปี1เลย คิดเร็วไปปะย่ะ"


แม่ชี "น้องต้นคิดมาก็ดีงามแล้ว คิดไวซะเดี๋ยวนี้ จะดีกว่าที่รู้ตัวช้า เป็นการดีที่ผู้ชายดีๆที่คิดเป็น หมั่นสร้างบุญ สร้างความดี จะไม่เอาตัวไปพัวพันยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเลวๆ ที่อดีตชาติเคยแย่งของๆคนอื่นมา ซึ่งมันอาจจะไปคบชู้สู่ชายในภายหน้าได้ คนบาป เราต้องรู้ทันและแผ่เมตตาไปให้ผู้หญิงบาปเลวพวกนั้น เอาล่ะสำหรับประเด็นนี้แม่ได้อธิบายให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเรียบร้อยแล้ว"


น้องต้น&พี่ฟ้า " ครับ/ค่ะ แม่"

 

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

Wn_. 11 เม.ย. 58 เวลา 21:44 น. 1

เจ้าของกระทู้ บอกว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่

แล้วทีตนเอง เอาเนื้อหากระทู้มา ลบหลู่คนอื่น
 
ผู้หญิงเขายืนในรถประจำทางเพียงแค่อยากได้ที่นั่ง ไปกล่าวหาเขาถึงขนาดว่า

 " . . .  พวกแย่งสามีชาวบ้าน แย่งของๆคนอื่้นมาเมื่อชาติก่อน โดยไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษเลย คนพวกนี้บาปหนักมาก . . . "


นับเป็นการดูหมิ่น ผู้อื่นอย่างร้ายแรงครับ


0
White Frangipani 12 เม.ย. 58 เวลา 03:45 น. 2

สวัสดีค่ะ

จริงแล้วเมื่อเราพบทุกข์ เกิดความรู้สึกทรมานทุขเวทนาในจิตใจในจิตวิญญาณเมื่อไรนั้นเราๆจะลงความเห็นให้ตัวเองว่า นั้นคือกรรมที่เราทำไว้แต่ชาติปางไหนๆ  เมื่อเราคิดได้เพียงเท่านี้ความทุกข์และทรมานที่จิตใจก็มลายหายหรือคลายลงได้ จิตใจเชื่อฟังความคิดที่จิตเราเองบอกจิตของเรานั้นเรารู้นั้นเรียกว่า มีสติ รู้ตัวรู้ตน รู้ถึงเหตุและแก่นสารที่แท้จริง


ที่ว่ามีสติและรู้ตัวตนในที่นี้ จิตที่มีสติบอกให้จิตรู้ว่านี้คือกรรม(นะ)นั้นล่ะ คืออาการปลอบประโลมจิตของตนให้เกิดความรู้สึกดีๆ ให้เกิดเป็นการยอมรับ ยอมทน และยอมจำนนได้ เมื่อเกิดอาการเหล่านี้ ความทุกข์ก็บางเบา(แปลกไหมล่ะ) ทั้งหมดนี้เป็นกลไกของระบบการทำงานเพื่อความสมดุลย์ของจิตใจและจิตสำนึกของเราๆ(โดยธรรมชาติ)


ทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะ แต่ที่อภินิหารย์มากคือพระศาสดาเป็นผู้ค้นพบนะ ความรู้สึกที่ว่าทุกข์หรือทรมานเปรียบดังทุกข์หรือสุขเป็นอะไรที่เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เกิดจากความรู้สึกเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นด้วยดวงตาเปล่าๆได้ด้วย แต่ท่านมีความสามารถระลึกรู้ได้อย่างไร เมื่อ 2558ปีมาแล้วนะ


ท่านรู้ได้อย่างไรในที่นี้ ทุกคนบนโลกนี้ หากเขาทั้งหลายหรือเราๆมีจิตที่ปรกติ จิตของเราทำงานตามฟั่งก์ชั่นที่ควรจะเป็นนะ เราจะรู้สึกได้ หรือสามารถรู้สึกได้ว่าจริงดั่งที่ท่านแนะนำสั่งสอนไว้ (ทั้งหมดนี้ไม่อยากที่จะให้ชื่อว่าแปลกนะ แต่อยากให้ชื่อการค้นพบของท่านนี้ว่า มหัศจรรย์ ยิ่งนัก)


แต่...ในความมหัศจรรย์นี้ ท่านไม่เคยบอกเอาไว้ว่า "ใครที่ได้รับทุกข์เมื่อไรครั้งไหนนั้นสามารถบอกแบบเจาะจงได้เป๊ะๆเช่นที่เจ้าของกระทู้เล่า เรื่องที่แม่ชีบอกเล่า" ค่ะ


คือดิฉันเองนั้นศรัทธา คำสั่งสอนจากศาสดา แต่เห็นว่า ที่แม่ชีพูดมานั้น "ยกเมฆ"ค่ะ นี้เป็นมุมมองของดิฉันนะคะ ไม่ไช่การแอนตี้ ไม่ไช่ลบหลู่ แต่ไม่เห็นด้วยค่ะ คงไม่เป็นไรนะคะ คนเราคิดเห็นต่างกันได้


อาจจะเป็นได้ที่คนเคย"ระลึกชาติได้" และสามารถเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดของตนได้ในหลายๆชาติที่ผ่านมาได้ แต่หากคนที่ระลึกชาติได้นั้นจริงแท้จริงเขาจะมีคุณสมบัติที่เป็นคนดียิ่งในตนเอง คนที่ระลึกชาติได้นั้นจะมีคุณสมบัติแห่งความดีเป็นความดีสะสมโดยธรรมชาติอยู่ในเขา มีความดีเป็นตัวเซ็นเซ่อร์หรือปกปักรักษาเขาเป็นทุนเดิม


คือเขาจะไม่กระทำความเลวร้ายให้ความดีของเขาต้องมีอันเสื่อมเสียนั้นเอง เพราะฉนั้นคนเหล่านี้ที่ระลึกชาติได้จะไม่ลงความเห็นที่โมเม (ตามที่อ่านๆมานะคะ) หรือไม่ไร้ซึ่งเหตุผล หรือจะไม่คิดนอกลู่ทางแห่งกฎอันเป็นธรรมชาตินั้นเองเขาจะไม่ทำ เพราะเหตุนี้เขาจึงสามารถระลึกชาติได้ทั้งหมดนี้เป็นคะแนนสะสม(หรือผลบุญหรือผลกรรมที่เขาสะสมเอาไว้)เพื่อการระลึกชาติได้(มั้ง) หรือที่เขาระลึกชาติได้ก็เพราะเหตุนี้


เพราะฉนั้น...จึงเห็นว่าที่แม่ชีบอกเล่านั้น ตรงข้ามคำสั่งสอนของพระศาสดาสอนไว้ซึ่งมีอยู่ว่า "เมื่อใดที่เราถูกเขากระทำนั้นเราต่างหากที่เคยทำบาป เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวร เขากลับมาเพื่อเอาคืน เรากลับมาเพื่อชดใช้ต่างหากล่ะ" ไม่ไช่คนที่มากระทำกับเราคือตัวบาป เพราะฉนั้นจึงเกิดการสอนให้ อโหสิกรรม(คือต้องยอมรับและให้อภัย)หรือเมื่อต้องชดใช้กรรมต้องไม่อาฆาตหรือพยาบาท เพราะ "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"นั้นเอง หรือหากเขาทำกับเราเขาคงต้องรอผลแห่งกรรมในโอกาสต่อๆไปที่เขาต้องชดใช้ตามวาระและแน่นอนเขาก็จะหนีไม่พ้นเช่นกันทั้งหมดนี้ต่างหากคือคำสั่งสอน


คำสั่งสอนแห่งพุทธศาสนาจึงมีไว้เป็นแก่นสารว่า "ให้เราตั้งใจสร้างกรรมดี สะสมกรรมดีเพื่อความดี" เพื่อป้องกันการตกอยู่ในทุกขเวทนาหรือการที่จะต้องไปชดใช้กรรมที่เราอาจจะก่อไว้เมื่อภายภาคหน้า และกรรมนะเป็นของใครของเขาไม่มีใครสามารถรับกรรมแทนกันได้นั้นเป็นธรรมชาติค่ะ 


คุณคงเคยรู้เห็นหนังละครที่สร้างจากความจริงมีอยู่มากมาย บางเรื่อง พ่อเป็นมาเฟีย เป็นจอมอิทธิพลสร้างแต่ความชั่วอยู่รํ่าไป ลูกเกิดมาเป็นทนายเป็นตำรวจกลับมาลบล้างแม้พ่อตัวเองก็สามารถเกิดขึ้นได้ หรือพ่อแม่บางคนอดอยากยากจน ลูกๆโตขึ้นมียศฐาบรรดาศักดิ์มีฐานะ  หรือพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นเศรษฐีเมื่อมาถึงรุ่นลูกหลานขี้เกียจทำอะไรไม่เป็นกินหมดผลาญหมดไม่เหลืออะไรแทบต้องขอทานเขากินเรื่องนี้เห็นๆ (เหตุการณ์จริงมีเพื่อนค่ะ) ทั้งหมดนี้เป็นวาระแห่งกรรมเวรค่ะ เป็นของใครของเขานะ ไม่เกี่ยวกันแม้จะเป็นพ่อแม่ลูกกันก็ตามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้ว


ตามคำสั่งสอนที่ศาสดามีไว้ว่า..."ธรรมะผู้ที่พึงปฎิบัติเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่พึงได้รับ"


อยากจะบอกว่า คำบอกเล่าอาการที่แม่ชีสอนเป็นอะไรที่เจ้าของเม้นต์นี้เห็นว่า นอกเหนือไปจากคำสั่งสอนแห่งพุทธ นี้เป็นอีกมุมมองที่อาจจะแตกต่างค่ะ



เพื่อนๆแลกเปลี่ยนความติดเห็นได้นะคะ หากต้องการ แต่ขออย่าดราม่าเท่านั้น









0
Wn_. 12 เม.ย. 58 เวลา 12:16 น. 3

เรื่องนี้  ตามหลักศาสนาพุทธ ( อริยะสัจ 4 )

ทุกข์  ที่ไม่ได้ที่นั่ง แล้วหงุดใจ เจ็บใจที่คนอื่นไม่ลุกให้

สมุทัย (สาเหตุแห่งทุกข์)  คนขึ้นรถโดยสารเป็นจำนวนมากเกินที่นั่งที่มีอยู่ จึงต้องมีคนยืน ถ้ามาทีหลังก็ต้องยืน แต่ถ้ามีคนลุกให้ก็เป็นโชคดี แต่คาดคั้นว่าคนอื่นจะต้องลุกให้นั่งจึงเป็นทุกข์

นิโรธ (ทางดับทุกข์) ถ้ายังต้องเดินทางโดยรถโดยสารอยู่ก็ต้องทำใจ  ทุกข์ที่ใจ ดับทุกข์ด้วยใจ

มรรค (ทางปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์) ดำริชอบ  คิดในทางที่ดี ไม่ต้องโกรธเคืองใครให้ขุ่นข้องใจ  



ส่วนที่แม่ชีตามที่เจ้าของกระทู้กล่าว เป็นเรื่องที่แม่ชีคนนั้น คิดเอาเอง หรือแต่งขึ้นมา เพ้อเจ้อ และ เป็นการคิดและสอนในทางดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นด้วยครับ
 
ต้องการจะสอนอะไร ถ้าแย่งแฟนหรือสามีคนอื่นแล้วจะทำให้ชาติหน้าขึ้นรถโดยสารแล้วไม่ได้ที่นั่งหรือ ?  





0
ฉลาด 12 เม.ย. 58 เวลา 12:26 น. 4

ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะเปรียบเทียบว่าการอยากได้ของๆคนอื่นในที่นี้คือที่นั่งที่มีคนนั่งอยู่ก่อน

คนที่อยากได้ของคนอื้นคือกิเลส และเชื่อว่าไม่ใช่คนดีแน่นอน สรุปง่ายๆไม่ต้องอ้างพระธรรมให้มันวุ่นวาย

แต่สรุปและสรุปอีกคนที่ต้องการของคนอื่อคือคนเลวในสังคม เพราะมันดูเหมือนนิสัยของโจร มีโจรคนไหนบ้างที่จะขโมยของตัวเองถ้ามิใช่ขิงคนอื่น

สรุปอีกที กระทู้นี้คือการเปรียบเทียบคนเลวนั่นเองตลกจัง

0
muisun 14 เม.ย. 58 เวลา 10:56 น. 5

พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่าเธอจงละรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ยิน สิ่งที่ได้ทราบ อีกทั้งมงคลตื่นข่าว รวมทั้งความฝันก็ไม่ควรติดด้วย

0