Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

(Y) ช่วยด้วยครับ! ผมแอบชอบเพื่อนสนิทและรอเค้ามาแล้ว 19 ปี ผมจะบอกเค้าได้รึยัง?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับน้องๆชาวเด็กดีทุกคน จริงๆผมตั้งกระทู้ไว้ที่พันทิปด้วยแต่อยากได้ความเห็นของน้องๆหรือคนเคยมีประสบการณ์เผื่อจะได้มีเพื่อนหรือคำแนะนำดีๆเพราะผมไม่อยากค้างคาใจอยู่อีกต่อไปแล้วเพราะถ้าผมไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรไปซักอย่างผมคงต้องรู้สึกแบบนี้อยู่ต่อไป ไม่หยุดแค่ 19 ปีแค่นี้แน่ๆครับ T T คือเรื่องราวมันดำเนินมาถึง 19 ปีก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้ปะติดปะต่ออะไรมากนัก งั้นผมจะขอเล่าเป็นช่วงวัยไปนะครับเพราะน่าจะสะดวกกับการลำดับเหตุการณ์ของผมเองและคนอ่านก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายๆด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผมเคยคิดมาหลายรอบแล้วว่าจะบอกเค้าไปหลังจากที่ได้กลับมาเจอกันแต่ก็ยังไม่กล้าอยู่ดี จะว่ากลัวมั้ยก็ไม่เชิงแต่มันยังเหมือนติดอยู่ที่ปาก ยังค้างอยู่ที่นิ้ว(พิมพ์บอก)ยังไงก็ไม่รู้ครับ คือ ณ ตอนนี้เราสองคนยังติดต่อกันอยู่บ้างนานๆที อย่างล่าสุดเราก็เพิ่งไปดูหนังมาด้วยกันครับ งั้นผมขอเริ่มเรื่องทั้งหมดเลยนะครับอาจจะละเอียดและมีน้ำเยอะเพราะผมอยากให้เข้าใจความรู้สึกของผมให้มากที่สุด ยังไงถ้าอ่านแล้วงงต้องขออภัยไว้ด้วยเพราะผมนั่งพิมพ์สด พิมพ์ไปนึกไปจนอาจทำให้สับสนกันก็เป็นได้และผมขอคำแนะนำด้วยนะครับว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี.. 


Part 1 : วัยประถมกับความรู้สึกที่ไม่เข้าใจ 
       เราสองคนรู้จักกันและพบกันครั้งแรกในโรงเรียนต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ตอนนั้นคือตอนป.2 ใหม่ทั้งครู ทั้งนักเรียน ตึกอาคารไปยันนักการภารโรงเพราะเป็นโรงเรียนที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ(ขนาดย้ายห้องย้ายตึกยังต้องให้นักเรียนแบกโต๊ะเก้าอี้ส่วนตัวของตัวเองไปยังอีกตึกอย่างงั้นเลยล่ะ) การไปเรียนช่วงแรกๆผ่านไป 1 ปีก็ยังไม่มีอะไรมากครับ จนมาถึงป.3 วันนั้นหลังจากเข้าแถวในตอนเช้า ห้องของผมก็มีเด็กนักเรียนใหม่เข้ามาคนนึง เป็นเด็กผู้ชายที่มีพ่อแม่มายืนส่งลูกเข้าเรียนวันเปิดเทอมวันแรก ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติแต่พอพ่อแม่ส่งนายคนนั้นให้ครูเท่านั้นแหละ ร้องไห้ โวยวายเลย ร้องแบบสะอื้นจริงจังเสียงดังน่ารำคาญมาก ครูลากให้เข้าห้องก็ไม่เข้าปากพูดแต่จะกลับบ้านๆ จนครูต้องปล่อยให้นั่งร้องอยู่หน้าห้อง จนสายๆมันเหนื่อยก็หยุดร้องครูเลยพาเข้ามาให้นั่งในห้อง ถ้าจำไม่ผิดเห็นครูมองๆว่าจะให้ตรงไหน ในวันแรกของการเปิดเทอมห้องเรียนมักจะมีที่ว่างๆอยู่บ้าง เพราะเด็กยังมาไม่ครบบ้างล่ะ หรือเพราะจำนวนที่นั่งมันเยอะกว่าเด็กอันนี้ก็ไม่รู้ สุดท้ายครูชี้ให้มานั่งข้างผมที่นั่งอยู่ติดหน้ากระดานดำ เอาจริงๆข้างๆผมมันก็ว่างล่ะครับ เด็กๆส่วนมากไม่ชอบนั่งหน้ากันแต่แม่ผมสั่งไว้ว่าต้องนั่งข้างหน้าเท่านั้นเพราะจะได้เรียนเก่งๆฉลาดๆรู้เรื่อง(แต่ก็ดูเหมือนมันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมฉลาดขึ้นมากมายนะผมว่า 55) 
       ต่อจากนี้ผมขอแทนเด็กคนนั้นว่า "เอ" นะครับพิมพ์ง่ายดี ต่อๆ หลังจากที่เอนั่งลงข้างๆผมมันก็ยังมีสะอื้นๆอยู่นะ หน้าตานี่ทีแต่คราบน้ำตา นั่งๆไปผมก็ถามว่ามันชื่ออะไร ถามแค่นั้นเพราะมันก็เหมือนไม่อยากตอบ จนผ่านไปหลายอาทิตย์ทุกๆเช้าเหมือนวนลูปเดิมๆคือพ่อแม่มันมาส่งหน้าห้อง ร้องไห้ (ซิสเตอร์ก็แล้ว ครูก็แล้ว พวกเค้าเองก็คงเหนื่อยใจ ครูทั้งชั้นมาปลอบ มากล่อมยังไงก็ไม่ฟัง) สายๆเหนื่อยหน่อยถึงจะกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะ ตอนนั้นคือคิดแบบว่า ตูงอแงแล้วเจอ-นี้เข้าไปเรานี่จิ๊บๆไปเลย ลูกแหง่มาก ผ่านพักหลังๆระยะเวลาร้องไห้ก็ค่อยๆลดลงจนหลายร้องไม่ในที่สุด พูดมากขึ้น ชวนเราเล่นมากขึ้น เอาของเล่นมาโชว์ทุกวันแต่ดีหน่อยที่ยังชวนเราเล่นด้วย จากเป็นแค่เป็นนั่งคู่กับกลายเป็นเพื่อนสนิท ก็จะไม่ให้สนิทได้ไงมันมาติดผมแจเลย จะไปกินข้าว ไปห้องน้ำหรือไปเล่นไหนๆก็จะตามไปด้วยตลอด ตอนเข้าแถวก็ยังชวนเล่นถูกครูเอ็ดหน้าเสาธงยืนตากแดดทำโทษเพราะมันก็เคยมาแล้ว แต่มันก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือขี้ร้องมากๆ และด้วยบุคคลิกที่น่าแกล้งมันที่อยู่ไม่นิ่ง ไฮเปอร์ๆก็จะโดนเพื่อนและรุ่นพี่แหย่ตลอดนะ ครั้งนึงเราเล่นตอนพักเที่ยงกันอยู่ดีๆก็มีรุ่นพี่สองคนมาแกล้งเราแกล้งท่าไหนก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่ามันพุงไปทุบไปต่อยเค้าจนปากแตก จนครูมาเห็นและเรียกไปคุย -เราก็ต้องไปเพราะอยู่ในเหตุการณ์และไปเป็นพยานให้มัน สรุปโดนตีทั้ง 4 คน คือตูไม่เกี่ยวมั้ยล่ะ? มาเป็นพยานชี้ตัวคนผิดเฉยๆมั้ย T T  และครูก็ปล่อยขึ้นไปเรียนตามปกติ 
       ในตอนนั้นถ้าถามผมว่าผมรู้สึกดีไหม มันก็มีความรู้สึกดีๆนะครับแต่แบบว่ามันยังบอกตัวเองไม่ได้ว่าคืออะไร ตอนนั้นยังไม่รู้จักคำว่ารักหรือเรื่องทอมเกย์กระเทยนี้แล้วใหญ่ เอาเป็นว่ารู้สึกดีแล้วกันแบบว่าอยู่ๆมีคนมาตามติด(เหมือนวิญญาณ) อยากกินน้ำกินขนมบอกเอ เอก็จะไปเข้าแถวซื้อให้ ตอนเข้าค่ายลูกเสือไม่ได้อยู่หมู่เดียวกัน มันก็จะเดินมาหามาเล่นอยู่บ่อยๆ และด้วยความที่เราขี้งอนเวลามันไปเล่นกับใครก็มักจะน้อยใจ เคืองๆอารมณ์หึงเพื่อนล่ะตอนนั้น มันก็จะมาง้อมาตื้อให้คืนดี มาวอแวถามว่าเป็นอะไรๆอยู่บ่อยๆ จนก็กลับไปเล่นกันเหมือนเดิมทุกที เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนใกล้จะจบป.3 ครูบอกว่าจะมีการจัดอันดับแล้วจะมีการแยกห้องสำหรับคนที่มีผลการเรียนดี+โรงเรียนน่าจะมีจำนวนนักเรียนที่มาสมัครเพิ่มมากขึ้นเพราะเป็นเอกชนที่ค่อนข้างจะดีที่สุดในจังหวัดจึงได้มีการเพิ่มห้องแบบนี้ และแน่นอนตอนประกาศผลสอบมีใบบอกคะแนนและหมายเหตุสำหรับผู้ที่ต้องย้ายห้อง ผมน่ะเหลอ ตกซัก 4-5 วิชาได้มั้ง โดนแม่เขกกระโหลกด้วยตอนนั้น ส่วนเอได้ย้ายห้องไปอยู่ห้อง 1 ผมก็อยู่ห้อง 2 ไปตามระเบียบครับ
       เราสองคนตั้งแต่ปิดเทอมก็ไม่ได้เจอกันอีก จะโทรจะเมลอะไรในสมัยนั้นก็ยังไม่มี จะมีแต่ก็เพจเจอร์(ที่จะเลิกบูมแล้วเพราะโทรศัพท์รุ่นกระติกน้ำบ้องใหญ่ๆดำๆที่เริ่มจะเข้ามาแทนที่) ผมกับเอเจออีกทีก็วันแรกของการเปิดเทอม ป.4 มันเดินมาหาบอกว่าได้ย้ายห้อง ผมก็บอกไปว่ารู้แล้ว แต่ตอบแบบไม่ดีๆ ความรู้สึกตอนนั้นคือแบบว่าทำไมต้องย้ายแล้วตูล่ะ ง่ายๆคือไม่อยากให้ย้ายแล้วก็พาลมันบอกว่าจะไปไหนก็ไปไม่ต้องมายุ่งแล้วเดินหนีมัน มันก็ยังตามๆมาแหย่จนเสียงออดเข้าแถวดังขึ้นก็แยกย้ายกันไป วันแรกมันเหวงๆ มันรู้สึกได้จนจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ อยากให้เอมันมานั่งกวนๆ อยากนั่งดูมันเขียนแล้วขำตัวหนังสือที่มันเขียน ผมจะบอกมันเสมอว่า "นี่ๆลายมือไก่เขี่ย" คือใครๆหรือครูก็ชมมันแบบนี้ เพราะมันลายมือแย่มากอ่านแทบไม่ออกเลยจริงๆ พอถึงเวลาพักเที่ยงด้วยความที่ว่าโรงเรียนคริสต์(แต่ไม่ได้นับถือนะ)เราจะต้องสวดกินข้าวก่อนออกจากห้อง (โมทนามีอาหาร ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า..) แล้วพอดีห้องผมสวดเสร็จเร็วก็เลยได้ปล่อยก่อนกับห้องของเอที่อยู่ติดกัน ผมก็เดินๆไปกับเพื่อนแต่ก็รู้สึกว่ามีใครมันตามมา แว่บไปแว่บมาหันไปก็ไม่เจออะไร จนพอมาถึงโรงอาหารก็ซื้อข้าวมานั่งกินกับเพื่อนห้องผม มันมาจากไหนไม่รู้มานั่งกินข้าวด้วย แต่ผมก็วางฟอร์มเหมือนเดิม คือไม่อยากยุ่ง "-คนทิ้งเพื่อน!" ไม่ได้ตะโกนแต่ในสมองตอนนั้นคิดประมาณนี้ ผมกินไปโดยไม่คุยกับเอ รีบกินให้เสร็จแล้วลุกไปเก็บจานเลย  พอซื้อขนมผมก็เดินไปตึกอนุบาลข้างๆโรงอาหาร เหมือนเดิม เหมือนมีอะไรแว่บๆตามหลังแต่ที่นี้เห็นเป็นชายเสื้อ กางเกงโผล่มาคือผมรู้แล้วล่ะว่าต้องเป็นมัน มันก็ตามไปเรื่อยๆหลบหลังกระถางต้นไม้ พุ่มไม้บ้างล่ะ ในใจก็ขำๆนะแต่พอนึกว่ามันยิ้มย้ายห้องไปแล้วก็เคืองมันอีก เลยหยุดเดินแล้วหันไปถามมันว่า ตามมาทำไม? มีอะไร มันก็บอกว่าอยากเล่นด้วย ยิ้มๆมาแล้วถามว่าหายโกรธยัง? ผมก็ไม่ตอบหันหลังเดินไปต่อแต่ก็ได้ยินเสียงมันเดินตามผมเลยหันไปว่ามันว่า "เลิกยุ่งซักที จะไปไหนก็ไป รำคาญ ไม่ต้องมาตามอีก" พูดประมาณนี้แต่คำพูดจริงๆไม่รู้ว่าพูดยังไงแต่ก็น่าจะแรงอยู่  เพราะพูดเสร็จมันก็หน้าจ๋อยเหมือนจะร้องไห้ตามนิสัยของเอแล้วก็เดินจากไปเลย และนั้นคือครั้งสุดท้าย ครั้งที่ผมไม่คิดว่าเราสองคนจะไม่ได้คุยและเจอกันอีกต่อไป..
        หลังจากเกิดเรื่องวันนั้นเราก็ไม่ได้คุยกัน เจอกันมันก็ไม่ทักเหมือนเดิม ไม่มีมาวอแวก่อกวนอะไรอีก ผมเดินไปเล่นห้องมันบ่อยๆ(เพราะเพื่อนตอนป.3ก็ย้ายไปอยู่หลายคน) มันก็ไม่สนใจ นั่งนิ่งบ้างเล่นกับคนอื่นอยู่บ้าง ผมก็รู้สึกเสียใจนะที่มันไม่สนใจผมเหมือนเดิม แต่อย่างว่าผมเป็นที่ชอบวางฟอร์มยังเล่นตัวต่อไปจนผ่านไปได้เกือบเดือนหรือหลายๆเดือนนี่แหละ ผมถามเพื่อนที่อยู่ห้อง 1 ว่า "เอมันไม่มาเรียนเหรอ?" เพราะผมไม่เห็นมันที่โต๊ะ เพื่อนผมตอบกลับมาว่า "เอ มันลาออกไปแล้วน่ะ" คือตอนนั้นผมก็อึ้งๆนะทำอะไรไม่ถูก คือมันเหมือนอะไรหายไป เพื่อนที่ผมสนิทมันไม่อยู่แล้ว คิดเสียใจ โทษตัวเองที่ทำตัวเองเรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเองที่มันงี่เง่า จะทำยังไงจะแก้ไขยังไงก็ไม่รู้ (ใครหลายๆคนสงสัยว่าเด็กขนาดนั้นมันโทษตัวเองได้แล้วหรือ บอกเลยว่าได้) สมัยนั้นอย่าว่าแต่ Internet แชทอย่าง MSN หรือตัวไหนๆก็ยังไม่มีเลย ผมต้องเก็บความรู้สึกผิดมาตลอดจนจบป.6 พ่อแม่ได้ทำเรื่องย้ายให้ผมเข้ามาเรียนที่กทม. และแน่นอนความรู้สึกผิดที่ยังติดอยู่ในใจมันได้ทำให้ผมคิดที่จะเริ่มตามหาเอ ว่าแต่ผมจะตามหาเค้ายังไง...

แสดงความคิดเห็น

>

27 ความคิดเห็น

Im2265580 21 เม.ย. 58 เวลา 20:10 น. 1
Part 2 : วัยมัธยมกับการตามหาที่ไม่เจอ
       หลังจากผมได้ย้ายเข้ามาเรียนในกทม. ทุกอย่างที่นี้ดูจะวุ่นวายสำหรับผม คนเยอะแยะมากมาย รถราขวักไขว่น่าปวดหัว และไหนจะต้องเดินเท้าไปโรงเรียน คือบ้านอยู่ใกล้ขนาดเดินเท้าไปเรียนได้ จะนั่งมอเตอร์ไซต์ไปก็ไม่ชอบ ไม่ชิน(จริงๆแล้วกลัว)เพราะตอนอยู่ที่เก่าพ่อแม่จะเป็นคนขับรถยนต์ไปรับ-ส่งผมที่โรงเรียนตลอดจึงตัดสินใจได้ว่าเดินเอานี่แหละดีที่สุด ส่วนการเรียนของผมที่นี่ ถือว่าดีมาก ตั้งใจเรียน ทำงานส่งอ่านหนังสือก่อนสอบทุกครั้งไม่เคยแวะไปนอกลู่นอกทางเลยตลอด ม.1-ม.3 เกรดใช้ได้ในระดับดี อันดับ Top 5 ตลอดซึ่งผิดจากตอนประถมที่ตกทีนึง 3-4 วิชาแล้วแถมได้ที่ท้ายๆอีก คงเป็นเพราะชีวิตผมมีแต่เรียน ไปโรงเรียน กลับบ้าน อยู่บ้าน วนอยู่แค่นี้ ไม่ได้ถูกกักขังแต่เต็มใจอยู่เอง นานๆทีถึงจะโทรบอกพ่อแม่ขอไปดูหนังบ้างเท่านั้นเองส่วนเรื่องเที่ยวนั้นถ้านอกจากไปทัศนศึกษากับทางโรงเรียนที่มักจะพาไปดรีมเวิร์ด ศูนย์พิพิธภัณฑ์วิทยาศาตร์ หรือวัดโบราณสถานแถวๆอยุธยาก็แค่นั้นที่คือเที่ยวของผม ส่วนเรื่องฟงแฟนก็ไม่มีอะไรเลย จะมีก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแค่คุยๆเพราะตอนม.3ได้เจอกับรุ่นพี่ม.6  เธอเป็นดัมคณะสีนึง(สีอะไรจำได้ได้) เรารู้จักกันที่โรงอาหารเพราะเค้าหาไม้ที่ใช้ควงๆอ่ะ เรียกว่าอะไรคฑาใช่ไหมก็ไม่รู้? แล้วผมก็ช่วยพี่เค้าหาสุดท้ายมันถูกเก็บไว้บนหลังคาขายตู้น้ำข้างบน แล้วผมก็หยิบลงมาให้เค้า แล้วหลังจากนั้นก็เจอกับทักกันตลอด กินๆข้าวอยู่พี่เค้าก็ซื้อน้ำมาให้ แล้วเค้าก็ขอเบอร์ผมไปก็โทรคุยๆกัน ขอรูปผมไปแต่งหน้าตลกๆแล้วส่งเมลกลับมาให้ดู ตอนนั่นได้ไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์กันด้วย 55 ยังเก็บไว้อยู่เลยล่ะ จนเพื่อนๆแซวว่าเล่นของใหญ่มีแฟนสวยนะอะไรทำนองนี้ แต่ผมก็ยังเป็นผมก็ยังวางฟอร์มบอกไม่ถูกรู้สึกดีนะแต่เราก้ไม่รู้จะไปยังไงต่อไปอีก จนพี่เค้าจบไปแล้วกลับมาหาในวันไหว้ครูพร้อมชุดนศ.พี่เค้าก็ยังมาหาที่ห้องนะ เขินเลยเพื่อนแซว 55 จากนั้นเราคุยกันไปเรื่อยๆจนครั้งสุดท้ายที่จำได้ผมโทรไปหาพี่เค้า เค้าบอกว่าตอนนี้เป็นหลีดคณะหรือประกวดดาวซักอย่าง ซ้อมหนักทุกวันเลย แล้วต่างคนก็ต่างเงียบๆเหมือนไม่มีอะไรจะคุยกัน จนพี่เค้าขอวางสาย เชื่อไหมตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่เราจะได้คุยกับกับพี่เค้า ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ..
       ส่วนเรื่องของเอ ผมน่ะยังรู้สึกผิด ยังคิดอยู่เสมอว่าต้องเจอให้ได้ อยากขอโทษจริงๆ จะหาใน Net ที่บ้านก็ไม่มี ก็เลยถือเวลาพักเที่ยงและคาบคอมลองค้นหาในเว็บดูแต่เหมือนสมัยนั้นระบบค้นหาอะไรพวกนี้ก็ยังไม่ได้ดีเหมือนตอนนี้ ไหนจะต้องเข้าไปที่ไหน หรือใช้คำค้นหาอะไรก็ยังไม่รู้ คลำๆไปตลอด 3 ปี ก็ไม่เคยเจออะไรเลย(แน่ล่ะ ไม่ใช่คนดังอะไร จะไปมีข้อมูลอะไรให้สืบ) สิ่งที่มีอยู่กับตัวและจำได้ขึ้นใจ ก็มีแต่เพียงแค่ "ชื่อและนามสกุล" เท่านั้น จนผมจบม.3 ชีวิตมัธยมต้นของผมที่ไม่มีอะไรเลย ผ่านไปไว 3 ปีเหมือนโกหก ตลอดเวลาก็ตามหาค้นหาอะไรๆไม่เจอเอ ค้นจนท้อ วนอยู่แบบนี้ไปทุกครั้งแต่ก็ไม่เคยเลิกค้นหา จนผ่านมาถึง 3 ปีหลังในชีวิตมัธยมปลายผมก็ได้เลือกเรียนสายวิทย์(ถ้าเลือกได้จะไม่เลือกมารู้ตัวทีหลังว่าตัวเองชอบภาษามากๆมันก็สายไปแล้ว) ชีวิตผมก็ไม่ได้ต่างจาก 3 ปีแรกเท่าไร จะมีก็ไปเรียนพิเศษชื่อดังแถวๆงามวงศ์วานก็เท่านั้นและอีกสิ่งที่ผมยังทำเหมือนเดิมก็คือยังคงตามหาเออยู่ทุกครั้งเมื่อมีโอกาสหรือนึกขึ้นได้ และก็จบกับความว่างเปล่าเหมือนเดิม นี่มันก็ผ่านไป 6 ปีแล้วนะ คือเราจะทำยังไงถึงจะตามหาเจอ มันเหมือนมืด 8 ด้าน ไม่รู้จะทำยังไง จ้างนักสืบอะไรยังไงก็ดูจะยิ่งใหญ่ เงินก็ยังได้เป็นรายอาทิตย์จะไปจ้างเค้าก็คงไม่มีปัญญาอยู่ดี รวมๆจากครั้งล่าสุดที่ผมไล่เอจนถึงตอนมัธยมนี้มันก็ 8-9 ปี มันนานไปแล้วนะ บอกเลยว่ามันไม่ได้ทรมานเป็นจะเป็นจะตาย แต่พอนึกถึงเรื่องที่ผ่านมานั้นทีไร มันรู้สึกแน่นๆอึดอัดๆยิ่งเสียกว่าคำว่าทรมานซะอีก หรือนี่จะเป็นบทลงโทษของคนที่งี่เง่าเอาแต่ใจอย่างผม...
0
Im2265580 21 เม.ย. 58 เวลา 20:11 น. 2
Part 3-1 : วัยมหาลัยกับความรู้สึกที่สับสนและการพบเจอ(ช่วงนี้จะยาวหน่อยขอแยกย่อยนะครับ)
       เมื่อจบม.6 ได้ผมเข้าเรียนต่อมหาลัยเอกชนย่านรังสิต แต่ด้วยความที่เรียนไม่ไหวและรู้ว่าไม่ใช่แนวแน่ๆทั้งวิชาเรียนและเกรดที่ต่ำสุดๆจึงตัดสินใจลาออกและสอบตรงของมหาวิทยาลัยรัฐในคณะที่เคยต้องการไว้ได้สำเร็จ ปีแรกของชีวิตมหาลัยครั้งที่ 2 ทำให้ได้รู้จักคนเยอะขึ้นได้รับโอกาสทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะอย่าง เช่น การประกวดดาวเดือน(หน้าตาไม่ได้ดีครับแต่ทั้งคณะมีผู้ชาย10กว่าคนเอง) ซึ่งโชคดีหน่อยที่ผมสามารถเลือกได้ระหว่างลงเดือนกับถือพาน แน่นอนผมขอเลือกถือพานครับเพราะจากนิสัย ความสามารถแล้วผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก แต่กับถือพานก็ไม่เคยนะ 55 แต่แบบเคยประกวดมารยาทตอนมัธยมแล้วมีท่าบังคับคือส่งมอบสิ่งของรวมทั้งพานให้ผู้ใหญ่ ที่ต้องประกวดบนเวทีไม่ต่างจากถือของจริงซักเท่าไรในความคิดผม(เลยเป็นผลพวงที่ทั้ง 4 ปีหน้าที่นี้ก็คือตกมาที่ผมไปโดยปริยาย) ตลอดเวลารับน้องและถือพานมันทำให้เจอคนเยอะแถมต่างคณะ ก็มีเรื่องอย่างว่า อย่างว่าหมายถึงเรื่องการถูกชะตาการขอเบอร์ขอ MSN อ่ะครับ คือผมไม่เคยจีบใครนะและจีบไม่เป็นด้วย ไม่ได้หยิ่งแต่ผมคิดเสมอว่า "อยากเป็นผู้ถูกเลือก" ความคิดผมแปลกดีสิ้นดี คือง่ายๆ การที่คนอื่นเข้ามามันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองยังมีดี มีคนสนใจ เห็นอะไรดีๆในตัวผม(เพราะผมข้อเสียเยอะอยู่นะ)และเราก็ค่อยเลือกเค้าต่ออีกทีว่ามันไปด้วยกันได้จริงๆไหม 55 ซึ่งอาทิตย์แรกๆผมมีคนมาขอเบอร์ผม 3 คน ชาย2 หญิง1 นั่นมันทำให้ผมเริ่มแปลกๆที่ว่าสงสัยในตัวเองนี่มันใช่หรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ให้ใครไป นอกจากมีคนโทรมาเพราะเป็นเพื่อนกับเพื่อนในคณะของผมแล้วให้ไปโดยที่ไม่ได้ขอก่อนคนสองคน(ผมว่าเรื่องแบบนี้มันปกติไหม?การที่มีคนมาชอบขอเบอร์มันไม่จำเป็นเสมอไปว่าคนนั้นหน้าตาดีเพราะผมเห็นจากตัวผมเองนี่แหละ) เกริ่นมาซะยาวและถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ผมจะบอกว่ามันทำให้ผมมองย้อนกลับไปเรื่องเก่าๆระหว่างผมกับเอ  เอที่ไม่ได้คิดอะไรแต่กับผมที่อาจจะคิดแต่ยังไม่รู้ตัวว่าความรู้สึกกับเอนั้นคือรักแบบเพื่อนทั่วไปหรือรักแบบอื่นนั่นเอง
       หลังจากผ่านช่วงปี 1 ผมไม่มีใครและไม่ได้คบใครเลย ที่โทรๆมาคุยที่บอกไว้ก็คือผู้ชายครับ คนนึงคุยแป๊บเดียวก็เลิกคุยเพราะคุยอะไรก็ไม่รู้ ส่วนอีกคนคุยนานหน่อยเพราะคุยแบบเพื่อนกันมากกว่า ระยะเวลาคุยแต่ละครั้งก็ไม่เกิน 30 นาทีและผมก็ไม่เคยโทรไปด้วยจนเค้าคงคิดได้ว่านี่คงไม่เล่นด้วยเลยหายไป เจอกันที่มหาลัยก็ทักทายเป็นมารยาทกันซะมากกว่า จนมาช่วงขึ้นปี 2 กิจกรรมน้อยลงเป็นคนคุมสั่งการไม่ต้องลงมือทำเลยมีเวลามากขึ้นและไม่ได้เป็นตัวจัดการอะไรมากนัก เพราะพี่ๆปี3และที่จบทำงานไปแล้วยังคงวนเวียนมาคุมซะมากกว่า ผมเลยยึดตำแหน่งเป็นพี่ปลอบง่ายดีน้องรักไม่เกลียดด้วย 55 จนเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆกับน้องผู้ชายคนนึง แปลกคือมันทำให้รู้สึกแปลก เช่น ไม่ได้เข้าซุ้มตอนเย็นก็โทรตาม มาขอเบอร์เพื่อนโทรถามแพลนกิจกรรมต่างๆซึ่งผมไม่ใช้ที่สันทนาหรือแผนทำนองนั้น การล่าลายเซ็นต์รุ่นพี่ผมให้แนะนำตัวแล้วไปยินไกลๆก่อนมันทำตามมันก้มมาใกล้ๆ(ผมนั่งอยู่แล้วมันมาขอ) แล้วพูดว่า "ฟังผมดีๆนะ" มันก็ตะโกนมาทางผม แนะนำตัวเสียงดัง ชื่ออะไร อายุ จบไหน มาจากจังหวัดอะไรครบหมด ยกเว้นข้อสุดท้าย มันบอกว่าสเป็กผมผมชอบคนอายุมากกว่า คือเพื่อนมันเพื่อนผมฮิ้วกันใหญ่ แต่ไม่ได้ฮิ้วผมกับมันนะ เพื่อนๆคนคิดว่าถูกแกล้งซะมากกว่า ตลอดเวลาที่พูดมันก็จ้องผมนิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนผมอดคิดไม่ได้ว่าเด็กนี่มันบ้ารึเปล่า 
       และอีกครั้งนึงที่ชัดเจนว่าเด็กคนนี้ต้องไม่ได้มาธรรมดาทั่วไป คือผมมีเรียนเช้าตัวเดียว บ่ายก็ฟรีผมเลยชวนเพื่อนไปหาอะไรกินก่อนกลับบ้าน จริงๆก็อยากกลับเลยเพราะคืนก่อนผมนอนดึก เลยทำให้รู้สึกเพลียแล้วตึ๊บๆหัวแต่ด้วยความอยากกินมากก็ฝืนๆไป ซึ่งเป็นพอดีกับน้องคนนั้นก็เดินมานั่งข้างๆเพื่อนผมพอดี น้องถามว่าจะไปไหนกัน ผมยังไม่ทันจะพูดเพื่อนก็บอกว่า ไปห้างแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว บอกว่าผมอยากกินนี้ๆ ผมเด็กมันได้ยินมันก็หันมาบอกว่า รอผมหน่อยเดี๋ยวไปด้วยแล้วมันก็วิ่งไปเลย แล้ววิ่งกลับมาพร้อมกระเป๋ามัน สรุปมันโดดเรียน ไล่ยังไงก็ไม่ไป ทนจริงๆ พอพวกเราเรียกแท็กซี่ได้ผมก็เงียบเลย เพราะจากอากาศร้อนๆเจอแอร์เย็นฉ่ำ+อาการตึ๊บๆมันทำให้หัวผมจี๊ดๆ จนน้องมันถามว่าเป็นไร(เพื่อนผมนั่งข้างคนขับเพราะตัวมันใหญ่ผมเลยต้องนั่งกับน้องมัน) ผมบอกปวดๆหัวคือพูดจบมันเอามือมาแตะหน้าผากผม แล้วมันก็พูดว่าก็ไม่เห็นร้อนเลย แต่คือก็ขี้เกียจเถียงว่าไม่ได้ปวดป่วยปวดแบบนอนไม่พอต่างหาก ผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆไปจนถึงห้างระหว่างทางผมก็รู้สึกว่ามันมองๆมาอยู่ตลอดจนถึงที่หมาย ผมเดินลงจากรถมันอ้อมมาแล้วดึงกระเป๋าสะพายข้างไปเลย คือแย่งเอากลับมาก็ไม่ให้ มันบอกว่า "ป่วยไม่ใช่เหรอ เดินไปเดี๋ยวสะพายให้" ผมกับเพื่อนได้แต่มองหน้ากันและนั่นก็คือเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้แล้วแหละว่ามันมาไม้ไหน..
       ตลอดเวลาเทอมแรกของปี 2 น้องคนที่ผมว่าก็โทรมาหาบ่อยขึ้น สรรหาเรื่องมาคุยแต่จะเน้นหนักไปทางเรื่องเรียนและกิจกรรมในมหาลัยซะมากกว่า ถ้าทำขอวางมันจะคุยเรื่องเรียน แล้วอ้างว่าถามไม่ได้เหรอเป็นพี่ภาษาอะไรบ้างล่ะ บางครั้งถึงกับต้องปิดเสียงจะได้ไม่รู้และต้องรับเลย จนวันประกาศพี่รหัสมาถึงแน่นอนผมได้น้องผู้หญิงที่เป็นเพื่อนกับมัน ผมได้ยินแว่วๆว่าแลกกันๆซึ่งความจริงมันก็แลกไม่ได้ใช่มั้ยล่ะครับ พอตกค่ำมันโทรมาหาผม บอกว่าเสียใจว่าไม่ได้ผมเป็นพี่รหัส จู่ๆมันก็ขอมาเป็นน้องรหัสผมอีกคน ทั้งๆที่มันก็มีพี่รหัสอยู่แล้ว มันติ้อๆจนผมต้องตกลงรับ มันก็ยังไม่เลิกคุย จนต้องขอวางจริงๆและสุดท้ายก่อนวางมันพูดขึ้นมาคำนึงว่า "ถ้าผมอยากเป็นมากกว่าน้องรหัสล่ะ จะได้มั้ย? " ผมนี่เงิบไปเลย แล้วทำเป็นว่าไม่ได้ยิน ถามมันใหม่อีกรอบมันก็บอกว่าเปล่าๆไม่มีอะไรแล้วก็วางสายกันไป คือไม่คิดว่าจะมาโต้งๆกันแบบนี้...
1
Im2265580 21 เม.ย. 58 เวลา 20:26 น. 3
Part 3-2 : วัยมหาลัยกับความรู้สึกที่สับสนและการพบเจอ
       จนหลังจากหมดกิจกรรมช่วงรับน้องไป น้องคนนั้นยังคงโทรหาและเจอผมอยู่อีกบ่อยๆ(ที่ม.) มันคอยถาม คอยดูแล ไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนผมมันก้ไป รวมไปถึงเดินไปส่งขึ้นรถเวลากลับบ้านและคอยมารับที่ป้ายรถเมล์เวลาไปเรียน คือทุกครั้งผมก็จะไล่ไปตลอดแต่ก็ไม่เคยไล่ได้เลยเพราะหอมันถึงจะอยู่หลังม.แต่ก็เดินออกมาไกลเอาเรื่องเหมือนกัน บางครั้งผมไม่รับสายหรือปิดเสียงมันก็จะโทรหาเพื่อนของผมแทน โอกาสหนีรอดนั้นคือเท่ากับ 0 จนเกือบๆเทอมมันก็ขอผมเป็นแฟนอีก ผมก็เห็นในความพยายามของมันก็ลองคบดู ทุกอย่างก็เหมือนๆเดิมนะจากที่มันเคยทำ อาจจะมีไปดูหนัง กินข้าวกันบ่อยขึ้น รวมไปถึงซื้อขนมมาให้เวลาที่ผมทำงานที่มหาลัยดึกๆและโทรคุยกันถี่และนานกว่าเดิม
       ขอตัดตอนนะครับเพราะจะมีแต่น้ำเกินไป หลังจากคบจริงๆกันได้ไม่ถึง 2 เดือนเราทะเลาะกันมากขึ้น แล้วก็บอกเลิกมัน สุดท้ายมันก็ยอม ไม่ตื้อและคงเพราะเหนื่อยกับผมจริงๆ ตอนเลิกมันก็รู้สึกว่างๆนะ เคยถูกเติมมาตลอดอยู่ๆก็หายไป จนตอนนี้เราก็ยังคุยกันบ้างนานๆที หลายๆครั้งที่มันก็เหมือนจะพยายามกลับมาขอเบอร์ ขอไลน์ นัดกินข้าวดูหนังแต่ผมก็ไม่เคยไปนะ เพราะไม่อยากให้ความหวังเค้าอีก เป็นแบบนี้ต่อไปแหละดีแล้ว และหลังจากที่ผมเลิกกับคนนี้ผมก็มีแฟนเป็นรุ่นน้องต่างคณะอีก 2 คน เท่ากับว่า 4 ปีในมหาลัยผมมีแฟนที่เป็นผู้ชายไปแล้วถึง 3 คน พอถึงตอนนี้ผมก็มั่นใจแล้วล่ะว่าที่ผมรู้สึกกับเอน่ะมันคืออะไร มันไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างที่ผมเคยบอกตัวเองเลย ตลอดเวลาในช่วง 4 ปี ผมนึกถึงเอก็จะค้นหาเค้าตลอดจาก Google เจอชื่อบ้างแต่ไม่มีข้อมูลอะไร แต่ถึงเจอแค่นั้นผมก็ดีใจมาก ผมค้นหาเค้าจาก Net มาเรื่อยๆวันนึงความพยายามมาหลายปีของผมก็มีผล ผมเจอชื่อของเอและรูปภาพของเอ ซึ่งผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นเค้าอีกครั้ง มันเป็นภาพของเอที่น่าจะหลังจากที่เค้าย้ายโรงเรียนเป็นในมัธยมต้นแล้วเพราะชื่อเค้ายังเป็นคำนำหน้าว่าเด็กชายและยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมตกใจ คือรูปนั้นเป็นภาพคู่ ที่คนข้างๆของเอคือเพื่อนต่างห้องที่ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนผมเมื่อตอนม.ปลายครับ ผมรีบเปิดเฟสค้นหาชื่อเพื่อนคนนั้นและถามเค้า เค้าบอกว่ารู้จักแต่ไม่ได้สนิท คือรูปนั้นก็หลายปีแล้วแล้วเป็นการทำกิจกรรมทางวิทยาศาตร์ที่ต่างโรงเรียนจะมาเจอกับ พอจบงานก็แยกย้าย และใช่ครับผมก็หงอเลย เพราะเหมือนมาเจอทางตันอีกครั้ง ผมก็ไม่เลิกหาจนไปเจอชื่อเค้า+เบอร์บ้านผมโทรไปติดแต่ไม่มีคนรับ เชื่อมั้ยผมโทรอยู่ไปเป็นเดือนๆก็ไม่เคยมีคนรับเลย 
       จนวันนึงมีเสียงลุงแก่ๆรับ คืออารมณ์นั้นผมดีใจมากที่อย่างน้อยๆมีอะไรตอบรับกลับมาหลังจากที่โทรไปนาน คุยไปคุยมาก็รู้มาว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่แล้วลุงเค้าก็เป็นคนดูแลบ้านที่อาทิตย์ๆนึงจะเข้ามาแค่ไม่กี่ครั้งหรือนานๆเข้ามาตรวจบ้านทีก็เท่านั้น ผมเลยบอกแกไปว่าผมกำลังตามหาเพื่อนผู้ชายอยู่คนนึง ผมไปเจอชื่อและเบอร์เค้าจากในเว็บๆนึงแต่ไม่รู้จะใช่หรือเปล่า ผมเลยถามไปว่าเจ้าของบ้านที่ลุงดูแลมีพ่อแม่ พี่สาวน้องชายใช่ไหม? ลุงก็ตอบว่าใช่ คือตอนนั้นผมพูดไปยิ้มไป มันดีใจมากและคิดว่าต้องใช่แน่ๆ จนลุงเอ่ยขึ้นมาว่า งั้นฝากเบอร์ไว้ไหมเดี๋ยวเจ้าของบ้านเค้ามาลุงจะให้เค้าโทรกลับ ผมก็ได้ฝากชื่อและเบอร์โทรศัพท์ให้ไปแล้วก็วางไป หลายวันผ่านไปผมก็เฝ้ารอแต่โทรศัพท์ใครโทรมาก็คิดว่าเป็นเอหมด จนวันนึงก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา ผมรับแล้วก็เป็นเสียงของผู้ชายคนนึง ใช่เลยครับเป็นเสียงของเอ! ผมจำได้..
0
Im2265580 21 เม.ย. 58 เวลา 21:23 น. 4
Part 4 : เจอกันครั้งแรกกับความรู้สึกที่อยากบอกมันออกไป (จบแล้วนะครับ)
       เป็นเอจริงๆครับ เสียงของเอยังเหมือนเดิมแต่จะดูโตขึ้นเข้มขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ประโยคแรกที่ผมถามคือถามว่าจำผมได้มั้ย เป็นเพื่อนตอนเรียนประถม มันก็บอกว่าจำได้แล้วถามว่าผมเป็นยังไง แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบถ้าจำไม่ผิดคือผมเอ่ยคำว่า "ขอโทษ" มันเหมือนเป็นคำๆที่ผมอยากพูดมานานตลอดระยะเวลา 14 ปี ตั้งแต่ ป.3 จนมาถึง ปี4(ช่วงนั้นผมอยู่ปี4ใกล้ๆจบเทอม1) เค้าก็ถามว่าขอโทษอะไร ผมก็บอกว่าที่เราไม่ได้คุยกันก็เพราะผม เราหาเรื่องทะเลาะแล้วก็รู้สึกไม่ดีมาตลอดเลย แต่เค้าก็ดูเหมือนจะจำไม่ได้นะว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็แอบนอยด์นิดนึงแต่อย่างน้อยๆก็ยังรู้ว่ามันไม่ได้โกรธหรือฝังใจอะไร เราคุยกันอยู่พักใหญ่ถามเรื่องทั่วๆไปว่าที่หายไป ไปอยู่ไหน เรียนไหนแล้วก็บอกไปว่าผมตามหาเค้ามาตลอดเลย จนมาเจอเนี้ยล่ะและบอกไปว่าโคตรรู้สึกผิดเลย รวมไปถึงบอกว่าเจอเอถ่ายรูปคู่กับเพื่อนผมเมื่อตอนม.ปลาย แบบว่าโลกมันกลมมากๆ จนตอนท้ายจะวางเราก็แลกเฟสกันไวเพื่อได้ติดต่อกันง่ายๆ
       จากที่โทรคุยครั้งนั้นและได้คุยผ่านทางเฟส คือเอเปลี่ยนไปมาก นิสัยจากกวนๆหายไปหมด พูดเพราะกว่าเดิม(จริงๆมันก็พูดครับๆมาตั้งแต่เด็กๆแล้วแต่ผมไม่ชิน) ลงท้ายทุกคำต้องครับหมด ปกติผมไม่พูดคำหยาบอาจมีบ้างตอนจะแซวใครขำๆ แต่มาคุยกับมันทำให้ผมเกรงมากๆ เราสองคนคุยก็อยู่พักแล้วผมก็อยากเจอเลยนัดกัน แต่มันไม่ค่อยจะว่างผมเลยไม่ได้อะไรมาก จนวันนีงมันคนเห็นว่าผมนัดหลายครั้งแล้วมันเลยมาบอกว่าว่างมั้ยไปดูหนังกัน จนในที่สุดเราก็ได้พบกันที่ห้างแห่งหนึ่ง ตอนนั้นที่เจอมันก็สูงขึ้นแต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าผม ผมสูงกว่าผิวคล้ำและล่ำขึ้น อาจเป็นเพราะกิจกรรมยามว่างของมันคือรวมตัวกับชมรมกิจกรรมๆหนึ่งที่ตั้งใช้กำลังและเล่นกลางแจ้งเลยทำให้มันดูสมส่วน การไปดูหนังก็ปกติต่อดูหนังก็ไปกินข้าวกินไอติมแล้วก็แยกย้ายกันกลับ พอถึงบ้านผมก็บอกว่าถึงแล้วมันก็บอกว่าเพิ่งถึงเหมือนกัน แล้วก็จบไม่มีการสนทนาใดๆต่ออีก ทุกๆครั้งจะเป็นแบบนี้(หลังจากนั้นก็นานๆๆทีจะมีมาเจอกินข้าวดูหนังอีก) ถ้าไม่ได้มีการนัดกันเจอกันมันก็ไม่เคยทักมาคุยเลย นอกจากบางปีเอก็จะส่งข้อความปีใหม่หรือโทรมาอวยพรวันเกิดมาให้ผม ครั้งสองครั้งได้มั้ง จนผมรู้สึกน้อยใจ(นิสัยดิบๆประจำตัว)ก็ออกมาอีก คิดว่าเราอุตส่าห์ตามหา เราเป็นเพื่อนเก่า เพื่อนสนิทสมัยก่อน คุยกันบ้างจะเป็นอะไรมั้ย ทำไมไม่ให้ความสนใจเราบ้างเลยว่ะ แต่มาคิดๆจากวันนั้นถึงวันนี้มันก็ผ่านมานานมาก คนที่รอมาตลอดกับคนที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย รูปแบบมันก็คงต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้วก็พอเข้าใจ เลิกคิดมากไป จนหลังๆผมก็ไปคอมเม้นท์ในเฟสเค้าบ่อยขึ้น เค้าก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง มาเม้ทน์ในเฟสผมแต่ก็ไม่เยอะอะไร และมีอยู่ครั้งนึงเค้าอัพสเตตัสอะไรอย่างนึง แล้วผมก็ไปเม้นท์คุยที่ไม่เกี่ยวอะไรกับสเตตัสนั้นเลย พอพักนึงผมไปดูอีกทีเค้าลบเม้นท์ผมออก ผมนี่ทักแชทไปเลย แล้วถามว่าลบทำไมเค้าบอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย ตอนนั้นโห โกรธนะ อันเฟรนด์เลย(นิสัยดิบๆโผล่มาอีก) อารมณ์ตอนนั้นคือ อะไรวะ ไม่สนใจแล้วยังจะทำแบบนี้อีก คือก็ผิดนะแต่บอกกันดีๆก็ได้ ลบทิ้งเลย ผ่านไปหลายวันมันก็ส่งคำขอเป็นเพื่อนมา ผมรับนะ แล้วผ่านไปซักพักก็อันเฟรนด์มันไปอีก แล้วมันก็ส่งมาอีก รับอีกแล้วก็ลบอีก เป็นอย่างนี้กันอยู่ 4-5 ครั้ง(ก็ไม่รู้ว่าเล่นอะไรกัน) มันก็ถามว่าทำไมหาผมไม่เจอ ผมบอกไม่รู้เฟสรวนมั้ง ผมแถไปแบบนั้น
       นี่ก็จะ 5 ปีกว่าแล้วที่ตั้งแต่ได้กลับมาคุยมาเจอกันอีกครั้ง เจอตัวกับก็ประมาณ 5 ครั้ง กินไอติม ดูหนัง กินข้าว เป็น 3 อย่างที่ต้องทำเวลานัดเจอกัน เวลานั่งกินไปก็คุยกันไป ผมชอบคุยเรื่องเก่าๆว่าตอนนั้นเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ แต่มันก็จำไม่ได้เลย ทำหน้างงๆตลอด และมันเคยเล่าว่ามันไม่เคยมีแฟนเลย เคยชอบผู้หญิงคนนึงแต่เค้าไม่ได้สนใจหรือไม่ชอบนี่ล่ะ ขนาดลงมือทำช็อคโกแล็ตไปให้ด้วยนะ และจากที่คุยกันผมก็รู้ว่ามันค่อนข้างรักสันโดษ ชอบทำขนมอาหารกินเอง รักครอบครัว มุ่งมันในการทำงาน แล้วก็ไม่ค่อยจะติดโซเชียลอะไร แต่ถ้าถามก็รู้หมดเพราะเอเรียนจบด้านนี้จากมหาลัยรัฐดังแห่งหนึ่ง เวลาคุยเวลาเจอกัน มันมีความรู้สึกทำให้ผมมีหวังแต่พอเราแยกกันมันก็ทำเย็นชากับผมเหมือนเดิม ผมเคยลองพยายามทักชวนคุยไปในเพสในไลน์บ่อยๆ มันก็ถามคำตอบคำ หรือไม่ก็หลายๆชั่วโมงหรือข้ามวันข้ามคืนแล้วมาตอบเลยก็มี มันทำให้ผมกลัวและสับสน และคิดเสมอว่ามันชอบผู้หญิง(ก็แหงล่ะ คิดไปเองคนเดียวมาตั้งนาน และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ รู้สึกแบบนี้กับผชด้วยกันด้วย)
       เรื่องทั้งหมดจาก 19 ปี ก็ย่อแบบรวบๆได้เท่านี้ ไม่ได้ละเอียดมากแต่มันก็เป็นทั้งหมดที่ผมจำได้ ผมอยากถามเพื่อนๆหรือคนมีประสบการณ์หรืออ่านเรื่องผมแล้วผมควรทำยังไงดี? ผมเคยคิดมาหลายรอบว่าจะบอกไปตรงๆ(ทางแชทนะ โทรคุยคงพูดไม่ออก) แต่ก็ไม่กล้าอยู่ดี เคยถามตัวเองว่าทำไมต้องทนต่อไปอีก ไหนๆก็ไม่ได้อยู่ใกล้กัน ไม่ได้เจอกันทุกวัน อย่างมากก็จะได้ต่างคนต่างอยู่แบบรู้และเข้าใจว่าคบแบบนั้นไม่ได้มันไม่ใช่ ถ้าเทียบกับตอนนี้ที่คิดว่าช่างๆไปไม่บอกหรอกต่างคนต่างอยู่ แล้วจู่ๆผมก็จะกลับมาคิดเรื่องเดิมๆอีก มันวนๆแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ผมอยากหลุดพ้นไปซักที ผมควรทำไงดีครับ? เก็บเอาไว้อยู่อย่างนี้รักษาความเป็นเพื่อนต่อไปหรือบอกไปและยอมรับกับผลที่จะตามมาเพราะไหนๆก็ไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมแล้วอย่างมากก็แค่ไม่ได้คุยกันอีกต่อไปแค่นั้น..  
ถ้าสื่อความรู้สึกของผมก็จะประมาณ 2 เพลงนี้ ฟังแล้วก็สงสารตัวเองยังไงก็ไม่รู้
รู้ไหม? : นัททิว AF5

เธอไม่เคยตาย : ขนมจีน

ช่วยแนะนำผมด้วยครับ เพราะหลังจากเลิกคบกับแฟนคนล่าสุดไปก็ไม่ได้มีใครเลยเกือบๆจะ 5 ปีแล้ว มันเหมือนมีอะไรฝังใจ คาใจ ไม่มีความอยากที่จะมีใครเลย  ทั้งๆที่ทุกวันนี้ก็ยังมีเข้ามาอยู่เรื่อยๆทั้งชายและหญิง รักษาเชิงกันไม่ให้มีใครเข้ามาเลย ถ้าผมผ่านตรงนี้ไปได้ มันก็น่าจะมีอะไรที่ดีขึ้นกว่าตอนนี้(มั้ง) 
ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาอ่านเรื่องของผมครับ
I'm 2265508

ผมตั้งไว้สองที่เนื้อหาเหมือนกันนะครับ
http://pantip.com/topic/33542628
0
ผ่านมา 22 เม.ย. 58 เวลา 19:56 น. 5

เอิ่ม ถ้าคุณจะบอกชอบเขา คุณก็ควรทำใจไว้บ้างก็ดีนะครับ อาจจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมหรือเขาจะหายไปจากชีวิตด้วย ก็อยู่ที่การตัดสินใจของคุณ เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนครับ
สู้ๆนะ ครับเป็ยกำลังใจให้ ขอให้คุณโชคดีกัน 19 ปีของคุณ

1
mikiiez 23 เม.ย. 58 เวลา 16:20 น. 6

ร้องไห้แปป เนื้อเรื่องยาว ขก.อ่าน 

//เอาเป็นว่าจะขอทำความเข้าใจจากหัวข้อกระทู้และการอ่านส่วนย่อสุดท้ายนะคะ -w-''

จากที่ดูก็เข้าใจความรู้สึกของพี่จขกท.นะคะ เคยเป็นเหมือนกัน แต่อยากจะแนะนำว่า 
ถ้าเกิดว่าการที่เราไม่บอกแล้วมันทำให้เรามานั่งคิดมาก หรือทุกข์ใจอะไรก็แล้วแต่ มันคงไม่ดีเท่าไหร่ ลองรวบรวมความกล้าแล้วบอกเขาไปก็น่าจะดีกว่านะคะ ถึงโอกาสมันจะมีน้อย แต่เราจะได้รู้ไปเลยว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ได้ จริงอยู่ว่ามันก็ดีที่จะรักษาความเป็นเพื่อนไว้ แต่ลองถามใจตัวเองดูนะคะ ว่าพี่จขกท.อยากบอกความรู้สึกที่มีให้เขารับรู้ถึงแม้มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ (รึเปล่า) กับการที่ไม่บอกเขาแล้วอยู่ในสถานะแบบนี้ต่อไป อะไรคือความสุขจริงๆของพี่จขกท.
..ความสุขของคนเรามันต่างกันนะคะ บางคนเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ เพราะกลัวเสียเขาไป มันอาจจะเจ็บตรงที่ว่า เราไม่ได้บอกรักเขา และอาจเห็นเขามีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่เรา
หรือถ้าเลือกที่จะบอกก็อย่างที่พี่จขกท.คิดน่ะค่ะ ถึงแม้โอกาสมันอาจจะมีไม่ถึงครึ่ง ถึงจะต้องเสียใจ แต่มันก็ดีที่เราจะได้รับรู้ และอยู่อย่างไม่ต้องอึดอัดอีก (ส่วนนี้คงต้องใช้เวลาในการทำใจสักหน่อยนะคะ)
จะยังไงก็แล้วแต่ที่บอกมาทั้งหมดนี้ก็คงต้องแล้วแต่พี่จขกท.จะตัดสินใจเท่านั้น.. ยังไงก็ขอให้พี่จขกท.โชคดีนะคะ 
ปล.ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกมั้ยนะคะกับที่เขียน ยังไงก็ลองๆดูนะคะ 55555 สู้ๆ

1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 00:51 น. 6-1

เข้าใจประมาณนั่นล่ะครับ ขอบคุณนะครับ ^^

0
ning :3 23 เม.ย. 58 เวลา 16:32 น. 7

อ่า จากที่อ่านมาเเล้วคือ เค้าคงไม่ได้ชอบคุณอ่ะนะ
เเต่ว่าลองเริ่มจากการตี้ซี้ไหมคะ เเบบว่าเป็นเพื่อนสนิท
หาเรื่องนู้นเรื่องนี้ชวนคุยไปมั่วๆอาจจะเดาทางถูกว่าเค้าชอบหนัง การ์ตูน เพลงอะไรงี้ หรือไม่ก็คุย ปัญหาชีวิต เรื่องเรียน บลาๆ
เเล้วก็เเบบ ...คือจขกท.เป็นเเล้วก็เคยมีเเฟนมาสามคนเเล้วใช่ไหมคะ
ลองเลียบๆเคียงๆก่อนว่า เค้ารับอะไรพวกนี้ได้ไหม
ถ้าไม่ก็ไปเลยน่าจะดีที่สุด เเต่ถ้าเค้าเฉยๆรับได้ ก็ลุยต่อ
พอเค้ารับได้เเล้วก็ลองหยอดมุกดู เเบบกวนๆไปไรงี้
ผ่านไปจนที่จขกท.คิดว่ามาถึงตรงนี้คงต้องบอกเเล้ว ก็บอกเลยค่ะ
ว่าเเบบจขกท.รู้สึกยังไง หรือไม่ก็มีวิธีที่เร็วกว่านั้นนะคะ เเต่ถ้าจบก็เหมือนตกเหว
อืม..ก็บอกไปตรงๆเลยค่ะวาชอบนะ เรื่องเป็นไง เผื่อเค้าจะรู้สึกดีๆกับเราบ้าง จำๆได้มั่ง 55555
ยังไงก็สู้สู้นะคะ จขกท.เข้มเเข็งมากเลยนะ ที่มาได้ขนาดนี้
อวยพรให้สมหวังนะคะ

1
SoulSilent 23 เม.ย. 58 เวลา 18:56 น. 8

ไม่รู้ว่าอ่านครบหรือข้ามอะไรอย่างไงนะครับ แต่มีเป็นข้อๆให้อ่านเล่นๆ

-ตอนที่เขาติดซี้กับคุณ อาจจะแค่อยากเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เพราะความเป็นเด็กมันก็อยากมีเพื่อนฝูงเพื่อนสนิทเยอะๆไรงี้

-คือตอนนั้นมันก็แค่ 'ประถม' นะครับ ไม่อยากให้คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงจัง
ปล.ถึงตอนประถมจะมีความรักได้จริงๆก็เถอะ

-เจอกันช่วงมหาลัย ผมอ่านไปก็ดูออกนะ ว่าทุกอย่างมันไม่มีเหมือนเดิมเลย อย่างที่บาง คห. บอกว่า เวลาเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยน

-ตอนนี้ยังไม่สายที่จะหาใครมาดูแลเรานะครับ เรื่อง ช-ช เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อยากให้ตัดสินใจดีๆ หาคนดีๆ 

อย่างไรก็สู้ๆนะครับบบ #ยาวเลย

1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 00:54 น. 8-1

อ่านแล้วเข้าใจทุกข้อเลยครับ ความจริงมักจะโหดร้ายเสมอเลยเนอะ(คิดไปเอง) ไว้ยังไงจะมาอัพเดทนะครับ ขอบคุณครับ ^^

0
จิ้งจกทะเล 24 เม.ย. 58 เวลา 16:58 น. 10

อ่านไม่หมดนะ แต่อยากบอกว่า มันอยุ่ที่นายแหละ  ไม่บอกเขาก็ไม่รุ้  แล้วนายก็จาอยุ่แค่นี้ละ

ถ้านายบอก ผลลัพมานกะออกมายุ 3แบบมั้ง  1 เลิกลา 2 เป็นเพื่อนต่อ 3  อาจได้คบกัน  ข้อ2  น่าจะมีโอกาศสุด  3นี่ ลุ้นเอา     1นี่ ถ้าเป็นเพื่อนกันจิงๆมานจาไม่เกิดขึ้นหรอกคับ ถ้าเรื่องแค่นี้ทำให้เลิกคบได้ กะเลิกคบไปเถอะ


แต่ที่คุณจาได้แน่ๆคือ ความสบายใจหลังจากบอกแล้ว  ถ้าจาบอกก็หาโอกาศเหมาะๆกะได้    เพราะอนาคตมานไม่แน่นอน ไม่ใช่พอจาบอกจิงๆ เขาดันไปชอบใครอีกละก็ ตอนนั้น  ก็ได้หนุกหนานกันแน่ๆ   เอาใจช่วยคับ

1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 22:39 น. 10-1

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ^^ จริงอย่างว่าอนาคตไม่แน่นอนจริงๆ

0
kimmykung 24 เม.ย. 58 เวลา 17:10 น. 11
ผมก็เด็กอยู่ยังไม่รู้เรื่องแบบนี้มาก(18 แล้ว55+)
จขกท. คิดดูดีๆนะครับว่าความรู้สึกตัวเอง จขกท.รู้ดีที่สุดครับ
ส่วน
คนนั้นเหมือนเขาจะคิดเเบบเพื่อนส่วนเรื่องความสนิทเหมือนเขาลืมไปแล้วก็มันนานแล้วนิครับ
ก็อย่าไปโกรธเขานะครับ จขกท. เองนิสัยเหมือนผู้หญิงเอาแต่ใจแฮะ 
สู้ๆนะครับ
1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 22:41 น. 11-1

18 คือไม่เด็กแล้วมั้ย? 55
ขอบคุณครับแล้วจะลองคิดดูดีๆครับ ปล.หลังๆนี่ชม? (- -")

0
โชกี้ 24 เม.ย. 58 เวลา 17:22 น. 12

อ่านจนจบ และคิดว่า บอกไปเลย!! ผลจะเป็นยังไงช่างมัน!! เชียร์ จขกท นะคะ แต่อยากให้พยายามเผื่อใจไว้ด้วยนิดนึง ยังไงก็สู้ๆนะ!! เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ตั้งใจ

1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 22:42 น. 12-1

ขอบคุณนะครับที่อ่านจบ ยาวน้ำเยอะแต่แบบว่าอยากให้เข้าใจอารมณ์ลึกๆแต่ไม่รู้ว่าจะเข้าใจกันมากแค่ไหนอ่ะครับ แต่แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว ^^

0
สาววายยย 24 เม.ย. 58 เวลา 19:12 น. 13

อืมม ถ้าถามหนูหนูว่าบอกไปเถอะค่ะพี่ คือถ้าเค้าคิดเหมือนเราก็จะได้สมหวังไป แต่ถ้าเค้าไม่คิดเราก็จะได้ตัดใจไปดีกว่ามานั่งเครียดอยู่คนเดียวน้าาา สู้ๆค่ะเชียร์อยู่ๆหนูอยากให้ผู้ชายรักกันอยู่แล้วสู้สู้

1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 22:43 น. 13-1

พี่ก็แอบคิดอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วถ้าได้บอกจะมาอัพเดทนะครับ

0
s. Art Pop 24 เม.ย. 58 เวลา 19:57 น. 14

อ่านไม่จบ แต่ก็พอจับจุดได้นะคับ = = 

Me ก็เป็น Y นะคับ ส่วนตัวไม่เคยบอกชอบเขาหรอก 5555 ชอบให้เพื่อนไปบอก 555 ไม่ค่อยจะแนะนำนะคับ จขกท. เราบอกเอง จะดูเท่มากกว่า 5555 เราบอกไป เขาก็เข้าใจเรานะ ถึงเราจะไม่ได้เป็นแฟนกะเขา แต่ก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจ และไม่เก็บกด ดีอีก เขายังมาให้กุหลาบมาให้ผมวันวาเลนไทล์ด้วย 5555

ทุกคนก็มีสิทธิชอบนะคับ เราไม่ผิดที่ชอบเขา แต่ถ้าเขาจะคิดยังไง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขา แต่ผมเข้าใจนะ ซักวันเขาจะต้องเข้าใจ ว่าทุกคนมีสิทธิชอบ

ไม่ต้องเสียใจถ้าเขาไม่ได้อะไร หรือโกรธเกียจเรา เราต้องเดินหน้าต่อไป สู้ๆ จขกท.


1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 22:44 น. 14-1

ขอบคุณมากเลยครับ อ่านแล้วได้แง่คิดใหม่ๆอยู่พอสมควร ^^

0
Fook 24 เม.ย. 58 เวลา 21:22 น. 16

อยากให้พี่บอกเค้าไปนะครับ เพราะผมเคยมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกันแต่วันที่ผมหาเค้าเจอเค้าก็ไม่อยู่บนโลกแล้วได้แต่โทษตัวเองทีไม่ได้พูดไปครับเยี่ยม

1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 22:45 น. 16-1

ยังไงก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ T T พี่เองก็ว่าจะบอกจริงๆหล่ะ รอจังหว่ะดีๆก่อน แล้วจะมาอัพเดทนะครับ

0
red sakura 24 เม.ย. 58 เวลา 22:33 น. 17

เราเป็นเด็กผู้หญิง อายุก็อ่อนกว่าจขกท.พอควรนะคะ
แต่เราก็เคยมีเรื่องประมาณแนวๆนี้เหมือนกัน ถึงจะไม่ได้นานเหมือนจขกทก็เถอะค่ะ

เรื่องที่จขกทถาม ส่วนตัวเราคิดว่าถ้าจะบอกความรู้สึกไป อาจจะมีผลอย่างสองอย่าง
อย่างแรกคือ เค้ารับได้ คบกัน แฮปปี้เอนด์
อย่างที่สอง เค้ารับได้ แต่ไม่ตอบรับความรู้สึกนั้น ยังคงเป็นเพื่อนกันต่อไป
อย่างที่สาม เค้ารับไม่ได้ แล้วหายไปจากชีวิตจขกท.เลย
ถ้าอยากจะบอกจริงๆ ก็ต้องเตรีมใจไว้เลยล่ะค่ะ เพราะเราก็ไม่รู้ผลจะออกมาเป็นแบบไหน

สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ เราเชื่อว่า 19 ปีที่ผ่านมา จะไม่ไร้ค่าแน่นอนค่ะ ^ ^

1
Im2265580 24 เม.ย. 58 เวลา 22:47 น. 17-1

พี่ก็เคยคิดแบบน้องเลยนะครับ 3 ข้อ พี่คิดว่าถ้ามันจะไปตกอยู่ข้อไหนซักข้อนึง มันก็เป็นสิ่งที่พี่เลือกเองพี่ก็ว่าน่าจะทำใจได้ แต่ถ้าถึงเวลานั้นจริงพี่ก็กลัวใจตัวเองเหมือนกัน ขอบคุณนะครับสำหรับคำแนะนำและกำลังใจดีๆที่มีให้ ^^

0
กวางตุ้ง 24 เม.ย. 58 เวลา 23:10 น. 18

อ่านจนจบเลยนะคะ โดยส่วนตัวคิดว่า
บอกไปเลย!!! แล้วเราจะโล่งไม่อึดอัดค่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่นิสัยของบุคคลนะคะ
เช่นตัวเราเองชอบความชัดเจน ไม่ชอบอะไรลังเล
ตัดสินใจได้ก็จะทำ ดิบๆเนอะ55555
แม้ผลที่ออกมาไม่ดีหรือไม่เป็นดังที่หวัง
ก็จะยอมรับเพราะเป็นทางที่เราเลือกแล้ว:)
อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่ทุกๆคอมเมนต์ได้ว่าไว้แหละค่ะ
ส่วนตัวนะคะ คิดว่าคนเรามักจะมีทางเลือกที่เราเลือกไว้อยู่แล้วในใจ

ยังไงก็ สู้ๆๆๆๆ นะคะะะ

ปล. ตั้ง19ปี ยาวนานนะคะ หาได้ยากนะคะเนี่ย555
ส่วนตัวประทับใจมากกกกกค่ะ

สู้สู้

1
Im2265580 27 เม.ย. 58 เวลา 18:32 น. 18-1

ตอนนี้กำลังคุยให้บ่อยๆขึ้นนะ แล้วรอโอกาสอ่าครับ ขอบคุณมากๆนะครับแล้วไว้จะมาอัพเดทเรื่อยๆ

0
LIEWWOO 24 เม.ย. 58 เวลา 23:40 น. 19
TT 
พี่ลองบอกนัดเจอเค้าดูครับ ผมอยากให้พี่พูดแบบเห็นหน้ามากกว่า มันจะดูจริงใจกว่า คำพูดก็ประมาณว่า 'เราชอบนายนะ นายอาจจะไม่ชอบเราแบบที่เราชอบนาย นายไม่จำเป็นต้องคบกับเราก็ได้ แต่เราอยากให้เรื่องของเรากลับมาเป็นแบบเดิมได้มั้ย,กลับมาสยิทกันเหมือนเมื่อก่อน..........' และสุดท้ายพี่ก็เอาเรื่องที่พี่พิมพ์มาทั้งหมดไปให้เค้าอ่าน แล้วขอให้เขาอ่านให้จบ พี่มีอะไรปรึกษาผมได้ เราหัวอกเดียวกัน แอบชอบเขามานานแต่ก็ไม่ได้บอก แต่ผมไม่หนักเท่าพี่ ยังไงพี่มีอะไรปรึกษาผมได้นะครับ ผมยินดีให้คำปรึกษาพี่ ยินดีรับฟังครับ(เป็นที่ปรึกษาเรื่องแบบนี้ให้เพื่อนบ่อยๆเลยชอบซะแล้ววว)
เฟส: ผู้ชาย'ย ใบไม้ร่วง
1
Im2265580 27 เม.ย. 58 เวลา 18:32 น. 19-1

บอกต่อหน้าไม่กล้าอ่าครับ ขอเป็นทางไลน์ดีกว่าเนอะ ห้าห้า

0
LIEWWOO 25 เม.ย. 58 เวลา 00:07 น. 20

ที่ผมอยากจะแนะนำคือ การเตรียมใจ และลืมนิสัยของตัวเอง
เพราะจากที่อ่านมา พี่ดูเหมือนจะเป็นคนขี้นอย เพราะฉนั้นการที่พี่ลืมนิสัยของตัวเองคือสิ่งที่จำเป็นมากๆ

-พี่ลองนัดเขาแล้วเอาเรื่องทั้งหมดที่พี่พิมพ์มาปริ้นใส่กระดาษไปด้วย แล้วสารภาพความจริงกับเขาไป 

-ถ้าคำตอบคือ ไม่ พี่ก็บอกเขาไปว่า ไม่เป็นไร แล้วยิ้มรับความจริง แล้วค่อยยื่นกระดาษที่เตรียมมาให้เขาไปอ่าน บอกเขาว่า อ่านให้จบนะ มันดูเหมือนอาจจะไร้สาระ แต่มันคือสิ่งที่ช่วยเราได้ นอกจากจะทำให้ความเป็นเพื่อนไม่หายไปแล้ว เขาอาจจะเข้าใจพี่มากขึ้น แล้วลองให้พี่พิสูจตัวเองก็ได้ เขาอาจให้โอกาศพี่

-ถ้าคำตอบคือ ใช่ พี่ก็ให้เขาอ่านเหมือนเดิม เขาจะได้รู้ว่าเรารอเขามานานแค่ไหน

ความรักมันไม่มีผิด เพราะความรักคือสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะเกิดกับเพศไหนก็ตาม

1
Im2265580 27 เม.ย. 58 เวลา 18:33 น. 20-1

ขอบคุณมากครับที่อ่านจนจบและคำแนะนำทั้ง2ความเห็นเลย จะลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ

0