เกิดมาเป็นเด็กสายศิลป์ภาษา ช่างเสียเปรียบ .......
ตั้งกระทู้ใหม่
ขณะที่เด็กศิลป์ เรียนมา ไปสมัครคณะวิทย์ไม่ได้เลย เหมือนไม่มีตัวเลือกอ่ะ
นอกจากเด็กสายศิลป์จะเป็นฐานของประเทศ ที่มีคนเรียนเยอะสุดแล้ว ต้องแข่งขันกันมาก
และนี่ยังโดนเด็กวิทย์เข้ามาแย่งเรียนในคณะอีก ..... ไว้มีลูกจะให้มันตั้งใจเรียน เข้าสายวิทย์
มันจะได้ไม่เสียเปรียบ ตราบใดที่ประเทศสารขัณฐ์นี้ยังมีระบบการศึกษาแปลกๆ อยู่อ่านะ หึหึหึ
29 ความคิดเห็น
พอเรียนสายวิทย์ก็จะบ่นว่ายาก และเยอะ เด็กศิลป์ได้เปรียบสอบน้อยกว่า ง่ายกว่านะครับ
ถ้า "ชอบ" มันก็ไม่มีอะไรยากหรอก... ทุกคณะ มันก็ยากเท่ากันหมด
อย่าไปให้คุณค่ากับสิ่งใดมากเกินไปเลย เราต่างมีความหลากหลาย
้ถ้าไม่ได้ชอบวิทย์ แล้วมาบอกเข้าคณะวิทย์ไม่ได้ เพื่ออะไร?
ถ้าคุณอ้างนี้
คุณไม่ได้ถนัดไม่ได้ชอบเลยไม่เข้าสายวิทย์ แล้วจะมาเข้าคณะวิทย์ วิศวะ เพื่ออะไร?
มันก็แค่ข้ออ้างของคุณเองอ่ะแหละบอกแค่นี้
แล้วถ้าชอบสายวิทย์ จะเข้าคณะสายศิลป์ทำไมคะ ถ้าอยากเข้าคณะสายศิลป์ทำไมเรียนสายวิทย์ละ ตรรกะคล้ายกันหรือป่าวคะ
เพราะนี่คือชีวิตจริง โลกมันโหดร้ายกว่าที่คุณคิดครับ เขาคะแนนดีกว่าคุณ เขามีสิทธิ์เลือกได้มากกว่าคุณ ก็เท่านั้น
จะบอกว่าตรรกะของคุณ 1-3 นั้นใช้ไม่ค่อยได้ครับ เพราะอย่างที่รู้ว่าคณะสายวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในระดับที่ดีพอสมควร นั่นคือต้องเรียนเนื้อหาทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างกว้างๆและเข้มข้นตลอด 3 ปีเพื่อเอาไปประยุกต์ต่อในการเรียนระดับสูงขึ้น และอีกอย่างวิชาพวกนี้มีความเป็น profession ที่สูง ไม่ใช่ใครๆก็สามารถทำความเข้าใจได้ในระยะเวลาสั้นๆ มันไม่เหมือนรายวิชาทางศิลป์ที่ใครๆก็เรียนได้ (แต่ก็แค่ระดับหนึ่ง ถ้าเรียนอย่างลึกต้องระดับมหาวิทยาลัย แต่พวกวิทย๋นี่จะเจาะลึกไปเลยตั้งแต่ ม.ปลายแต่กว้างๆ) ความเป็นวิชาชีพมีมากไม่เท่า ความจริงอีกอย่างคือเด็กสายวิทย์ทุกคนไมไ่ด้ชอบวิชาทางวิทยาศาสตร์ครับ แต่เพราะมันเลือกคณะได้กว้างกว่า พ่อแม่ให้เรียนบ้าง คือคุณไม่ต้องถามเหตุผลหรอกครับว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ นี่คือสังคมแห่งการแข่งขันครับ ไม่มีใครมาสนใจหรือปรานีคุณทั้งนั้นว่าคุณเรียนสายอะไร (จะบอกว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ครับ) สิ่งที่คุณทำได้ก็อย่างที่ผมบอก คุณเลือกเรียน คุณก็ต้องเอาชนะคนมาแย่งให้ได้ ก็เท่านั้น
ปล. ไม่ใช่ผมโง่วิทย์ เรียนวิทย์ไม่ไหวนะ ผมเด็ก สอวน. ครับ แต่ผมชอบวิชาสายศิลป์มาตั้งแต่เด็กๆเหมือนกัน เรียนแล้วมีความสุขมากกว่าสายวิทย์ ก็แค่นั้น สิ่งที่สายวิทย์บ่มเพาะมาตลอด 3 ปีทำให้ผมมีเหตุผล รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบมีขั้นตอน ซึ่งถ้าหากคุณมองดีๆ คุณจะพบครับว่าทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สามารถประยุกต์เข้าได้กับทุกสายการเรียนอย่างน่าเหลือเชื่อ (ไม่ได้บอกว่าสายศิลป์ไม่ดี มันดีคนละแบบ เด็กศิลป์บางคนก็มีเหตุผลมากกว่าเหมือนกัน) แต่ถ้าคุณยังคิดว่ามันก็ยังไม่ยุติธรรม นั่นเรื่องของคุณครับ ไม่มีใครเห็นใจอะไรนอกจากคุณต้องทำตัวเองให้ดีพอและไม่ต้องถามอะไรจากสังคม เพราะคำตอบมันไม่มี :)
เบื่อจริงๆเลยพวกขี้แพ้ชอบบอกว่าสายศิลป์แย่งที่สายวิทย์ ถามจริงเหอะ ตอนม 3 รู้แล้วหรออยากเข้าอะไร บางคนขึ้นม 6 แล้วยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เข้าคณะแล้วเพิ่งรู้ว่าไม่ชอบก็มี ทั้งที่พวกคุณได้เปรียบกว่าแท้ๆได้เรียนภาษา สิ่งที่ชอบมาตลอด 3 ปี พวกสายวิทย์ บางคนต้องเข้าเพราะพ่อแม้บังคับ ต้องอ่าน ต้องวิทย์ หนักสมอง เพราะต้องทำเกรด แต่กลับมาแย่งที่พวกคุณได้ ก็ลองพิจารณาตัวเองมั่งนะคะ
ที่จริงสายศิลป์นี่จะสอบหมอ สอบวิศวะก็ได้นะครับ ไม่มีใครห้าม เห็นมีกระทู้ที่น้องสายศิลป์สอบหมอได้ อยู่ในเว็บนี้แหละ
ขนาดจบ กศน ยังสอบหมอได้เลย
ถ้า จขกท อยากสอบหมอก็ได้ครับ ดีเสียอีก จะได้เป็น idol ให้เด็กสายศิลป์ในอนาคต
ควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้วนะว่าตัวเองสอบไม่ติดเพราะอะไร
เขามีสิทธินะคะ เพราะเขาเรียนมายากกว่าและเยอะกว่า
นั่นเลยทำให้เขามีโอกาสจะเลือกได้หลายทาง
ไม่ใช่ว่าเขาเห็นแก่ตัวแล้วเลือกสายไม่ตรงกับที่จะเข้าหรอกค่ะ
แต่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าคนๆ นึงเลือกเรียนศิลป์เรียบร้อยเพราะอะไรก็ตาม
แล้ววันนึงเกิดอยากเป็นหมอกลางคัน เขาก็เสียความฝันสิคะ
เห็นมีกระทู้แบบนี้ทุกปี น่าแปลกนะครับ เราเห็นชอบมีเด็กสายศิลป์ (โดยเฉพาะสายภาษา) มาบ่นทุกปีว่าทำไมเด็กวิทย์ชอบมาแย่งคณะสายศิลป์เรียน ทำแบบนี้มันไม่แฟร์ บลาๆๆ มักเห็นเป็นพวกคณะสายภาษาหรือนิเทศศาสตร์ ขอพูดตรงนี้หน่อยนะครับว่า
1. เวลารับตรง พวกคุณได้เปรียบกว่าเด็กสายวิทย์ใช่หรือไม่? คุณเรียนภาษาที่สามมาแท้ๆ แต่บางคนกลับไม่สามารถที่จะสอบให้ติดรับตรงได้ อันนี้พวกคุณต้องพิจารณาตัวเองด้วยครับ ว่าทำไมคุณทำไม่ได้ แต่เด็กสายภาษาคนอื่น (หรือบางทีก็เป็นเด็กสายวิทย์ที่ภาษาที่สามแน่นกว่าคุณ) เขาทำได้
2. พวกคุณหลายๆคนมักบอกว่า เด็กศิลป์ภาษาเก่งภาษามากกว่าเด็กวิทย์ ถ้าภาษาที่สามเราไม่เถียงนะ แต่ภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ คหสต. นะ เราเห็นว่าเด็กวิทย์นี่แหละ ที่ได้คะแนนเป็นลำดับต้นๆตลอด ไม่ใช่เด็กสายศิลป์ไม่เก่ง แต่เพราะบางคนชอบเอา logical fallacy มาอ้างว่าเด็กวิทย์อ่อนภาษากว่าเด็กสายศิลป์ภาษา ซึ่งจะบอกเลยว่าในปัจจุบันหาความจริงดังกล่าวได้น้อยมาก
3. เวลายื่นแอดมิชชันกลาง คุณยก logic ว่าเด็กสายคุณเก่งภาษามากกว่าเด็กวิทย์ คุณก็ยื่นแบบ PAT7 สิครับ หรือคุณสู้เขาไม่ได้อีกล่ะ GAT ล้วนก็มีนะครับ น่าแปลกไหมล่ะ ทั้งที่เด็กวิทย์ก็ได้เกรดยาก แถมพวกคุณยังชอบบอกว่าเขาอ่อนภาษา เขาสามารถแอดมัชชันติดคณะพวกนี้ได้ อย่างเช่น นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ แบบ GAT ล้วน ฯลฯ แต่คุณหลายๆคนทำไม่ได้ คุณก็เริ่มโทษโชคชะตาที่เด็กสายวิทย์มากลั่นแกล้งคุณ แต่คุณบางคนมักโทษคนอื่น ไม่โทษตัวเอง
4. สาเหตุที่เด็กสายศิลป์มักเลือกคณะสายวิทย์ไม่ได้ เป็นเพราะสายวิทย์มันเรียนในรายวิชาที่เหมือนกับสายศิลป์อยู่พอสมควร แต่สายศิลป์มันไมไ่ด้เรียนวิทย์ - คณิตแบบที่จำเป็นต่อสำหรับการศึกษาคณะสายวิทยาศาสตร์ บางคนอาจมาเถียงว่า แล้วเด็กวิทย์ได้เรียนวิชาเกี่ยวกับสายภาษางั้นเหรอ คำตอบคือก็ไม่นะ แต่อย่าลืมว่าเวลาที่เขาเอาเกณฑ์ว่ารับคนจบสายไหนศึกษาต่อ เขาดูแค่หน่วยกิตว่าครบตามที่กำหนดไหม เพราะเด็กสายวิทย์มันเรียนตามหน่วยกิตที่เขากำหนดครบทั้งหมด เขาเลยไม่จำเป็นต้องเรียนวิชาสายศิลป์เพิ่มเติมต่อให้เขาจะเป็นเด็กวิทย์หัวใจศิลป์ (เราก็เป็น 1 คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ แอดติดอักษรฯ จุฬาฯ แล้ว) แต่เขาก็เสียเปรียบกว่าพวกคุณในบางจุด เราไม่บอกละกัน แต่พวกเขาก็พร้อมจะสู้ เด็กสายศิลป์ควรเข้าใจตรงนี้ด้วย ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็เปิดโอกาสให้คุณได้ลงสอบ กสพท. นะ จะมาบอกว่าเด็กศิลป์สอบคณะวิทย์ไม่ได้เลยนี่ไม่ถูกละ (เราไม่คิดด้วยว่าเด็กศิลป์จำนวนมากอยากเข้าศึกษาต่อคณะทางวิทย์อะ พูดตรงๆ บางทีแพ้แล้วพาล แต่ก็มีบางคนอยากจริงๆ)
ปล. ไม่ต้องมายก exceptional case นะครับว่าฉันติดนะแต่ไม่เอา ฉันติดนะแค่มาตั้งกระทู้เฉยๆ บอกอยู่ในเนื้อหาว่าแค่บางคน ไม่ได้เหมารวมทั้งสาย และตรรกะเด็กศิลป์ภาษาอ่อนกว่าเด็กวิทย์ มักใช้ไม่ได้กับ รร.ในกรุงเทพฯ ครับ เพราะพวกนี้สายของเขาก็เก่งกันจริงๆเยอะ แต่ถ้าที่อื่น ขอไม่ฟันธง แต่ส่วนมากที่เราเห็น มันก็สะท้อนมาแบบนั้น ภาพของเด็กที่ไม่มีที่ไป เกรดไม่ดี ไม่เรียนหนังสือ ถึงแม้จะมีส่วนนึงที่ตั้งใจเข้ามาและตั้งใจเรียนก็เถอะนะ
โทษแต่คืนอื่นโคตรเบื่อเลย
ผมเป็นเด็กภาษานะแต่ไม่เคย
กล่าวโทษเด็กสายวิทย์เลยว่ามาแย่งที่สายศิลป์ทำไม
คือ...มันอยู่ที่ตัวเองอ่ะครับ เด็กสายศิลป์ก็สามารถเข้าคณะ
ของสายวิทย์ได้เหมือนกัน ไม่ทราบว่าก่อนโพสหาข้อมูลรึยัง 55
บางทีแพ้มาแล้วมาโทษคนอื่นโคตรแย่อ่ะ
แล้วก็ผมก็ไม่คิดว่าสายภาษาจะเสียเปรียบตรงไหนเลยนะ
มีภาษานี่ดีมากๆเลยด้วยซ้ำจะทำอะไรก็ได้
จขกท.ควรพิจารณาตัวเองก่อนเลยนะ
เรารู้สึกว่าเสียเปรียบในบางคณะน่ะค่ะ อย่างคะแนนโอเน็ต เวลาคิดคะแนน รวมทั้งหมด คณิต วิทย์ ซึ่งข้อสอบที่เอามาออก ก็เป็นคณิตเสริม ที่สายศิลป์ไม่ได้เรียน ข้อสอบฟิสิกส์ อะไรอย่างนี้ คณะภาษาในบางมหาลัย ต้องใช้แพท1(คณิต)ยื่นเลือกเท่านั้น ทั้งๆที่ไม่เห็นเกี่ยวกับภาษาตรงไหนเลย
คือคณะภาษาที่ใช้ PAT1 ยื่นรอบแอดมิชชันเขาให้โอกาสเด็กวิทย์หัวใจศิลป์อะครับ อย่างเช่นอักษรฯ จุฬาฯ เพราะเขารับตรง PAT7 ไปเยอะมากๆแล้วอะครับ 200 กว่าคนเลยนะ ซึ่งเด็กสายวิทย์ส่วนน้อยจะเข้าไปแย่งได้ ส่วนมากเลยมารอรอบแอดกันมากกว่า (แต่เอาจริงๆรอบแอดก็มีเด็กสายศิลป์เข้ามาครับ PAT1 ก็มั่วๆกันมาทั้งนั้น 555+) หรือถ้าเป็นอักษรฯ ศิลปากร รอบรับตรงก็มี รอบแอดก็เปิดกว้างทั้ง PAT1 PAT7 ครับ เลือกเอาได้ตามความต้องการเลย
O-net มันพื้นฐานเต็มๆเลยนะ ไม่มีเสริมเลยก็ได้เรียนกันหมดนั่นแหละ บอกเลย O-net เด็กวิทย์เสียเปรียบมาก เพราะข้อมูลที่เรียนมามันตีกันมั่วไปหมด บางทีก็ลืมดื้อๆยังมี ส่วน PAT1 มั่วกันเกือบ 80% กันทั้งนั้น นี่ไม่ใช่ข้ออ้างเลยนะที่บอกว่าสายวิทย์ดีกว่า '-'
เสียเปรียบตรงไหนคณะทางสายศิลป์ก็ใช้ภาษายื่นไง จขกทถามตัวเองดีกว่าตอนเรียนตั้งใจเรียนมั้ย ตอนสอบตั้งใจสอบมั้ย ถ้าพยายามไม่พอก็อย่าไปโทษคนอื่น กลับไปตั้งใจสอบใหม่นะ จะได้สอบติดซะทีไม่มาบ่นเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ เพราะมีคนแบบ จขกทไง ที่เป็นประเทศ โทษนู่นโทษนี่แต่ไม่เคยโทษตัวเอง สังคมเลยเป็นแบบนี้
เลือกเข้าเองไม่ใช่หรอ? อย่างเราอ่าตอน ม.3. เราก็ไม่รู้ว่าเราชอบอะไรอยากเรียนอะไร แต่เพราะสายวิทย์สามารถเลือกคณะได้มากกว่า เราเลยเรียนสายวิทย์(แถมแทรกวิศวะ) ทั้งที่เราไม่ชอบวิศวะเลยแต่ก็ทนๆเรียนไป เพราะเลือกแล้ว เราว่าสายศิลป์อ่าาดูสบายๆกว่าสายวิทย์เยอะเลยนะ เลิกเรียนเร็วกว่า มีเวลาเที่ยวเล่นมากกว่า เกรดได้ง่ายกว่า(?) แล้วคุณสบายขนาดนี้ถ้าคุณสามารถเลือกคณะของสายวิทย์ได้ คุณนั้นแหละที่จะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรอ? |เอาเวลาน้อยใจไปอ่านหนังสือหรือฝึกฝนภาษาที่คุณเลือกดีกว่านะคะ|
เราเห็นด้วยนะ แต่มาติดตรงที่ "สายศิลป์ดูสบายๆกว่าสายวิทย์เยอะเลยนะ เลิกเรียนเร็วกว่า มีเวลาเที่ยวเล่นมากกว่า เกรดได้ง่ายกว่า" อันนี้เราไม่เห็นด้วยต้องลองมาเรียน มาสอบ มาดูเองถึงจะรู้นะคะ :)
เราว่าแต่ละสายมันก็เท่าเทียมกันหมดแหละไม่มีสายไหนยากง่ายกว่าสายไหนแต่ละวิชาอาชีพมันก็มีส่วนแตกต่างกันไปถ้าไม่เข้าใจเรื่องนั้นๆอย่างถ่องแท้แล้วเราเอาอะไรมาตัดสินว่ามันยากง่ายกัน? เราสายศิลป์ญี่ปุ่น ได้ยินมาเยอะว่าสายวิทย์เรียนกันหนัก วิทย์ 10 คาบ คณิต 10 คาบ ว่ากันไปเพราะเนื้อหาทางนี้มันเยอะมีหลากหลายเรื่องหลากหลายสูตรให้ต้องจำ ส่วนสายศิลป์ภาษาก็ขอพูดแต่ญี่ปุ่นละกันนะ ต้องมานั่งจำอักษรกันหัวแทบแตกฮิระงานะคาตาคานะ จำตั้งแต่ว่าเขียนยังไง เส้นแบบไหน ต้องนำไปประสมคำยังไง มีศัพท์อะไรบ้าง พูดยังไง มันดูเหมือนสบายใช่มั้ย? เพราะ "ภาษา" เป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่เราที่มาตรงนี้ก็เคยคิดนะว่ามันง่ายจริงหรอ? ถ้ามันง่ายจริทำไมเราถึงเรียนอังกฤษกันตั้งหลายปี อังกฤษยังดีหน่อยที่เราเรียนกันตั้งแต่อนุบาล แต่ญี่ปุ่นนี่สิมันต้อง "เริ่มต้นใหม่" ไม่คิดบ้างหรอว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเราย้อนกลับไปหัดพูดเหมือนตอนเด็กๆอีกครั้ง ทั้งหมดนี้จะบอกว่ามันเป็นความง่ายในความยากน่ะ ต้องฝึกฝนอยุ่ตลอดเวลาไม่แพ้คณิตกับวิทย์เลย เพราะอย่างนั้นถึงได้บอกว่ามัน "เท่าเทียมกัน" มันก็ดีนะเป็นเครื่องเตือนใจให้เราพอรู้ในศาสตร์วิชานั้นๆแล้วไม่เหลิง ไม่มองว่าตัวเองเก่งจนคิด "เหยียบหัวคนอื่น" ให้เขาต้อยต่ำกว่าตัวเองไม่ว่าจะร่วมสายหรือต่างสายกันก็ตาม แต่คุณเจ้าของกระทู้ก็ทำไม่ถูกนะคะ แต่ละสายมีสิทธ์เลือกแต่บางอย่างบางอาชีพมันก็ต้องใช้วิชาความรู้เฉพาะ อย่างคุนเรียนญี่ปุ่นอย่างเดียวแล้วจะไปสอบหมอ มันก็ไม่มีทางติดใช่มั้ยหล่ะ คุณเลือกสายนี้แล้วถ้าอยากไปสอบอย่างอื่นที่มันไม่เกียวข้องก็ต้องไปหาเรียนรู้เพิ่มเติมเอาและมันไม่ได้ง่ายๆแน่เพราะคุณต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด จะมาบอกว่าสายศิลป์เสียเปรียบสายวิทย์มันก็ไม่ใช่นะคะ "เราเท่าเทียมกัน" ดีๆกันไว้ดีกว่า ^^
ไม่เห็นจะสำคัญตรงไหนสายวิทย์ สายศิลป์ มันอยู่ที่เราจะเลือกเรียนอะไรมากกว่า นี่เรียนจบสายศิลป์มาก็เห็นว่า มันมีมหาลัยต่างๆที่เปิดคณะรับสายศิลป์ตั้งเยอะ บางคนไปเรียนแบบเฉพาะทางไปเลยก็มีนะ เชฟบ้าง ช่างทำผมบ้าง ใจเย็นคิดดีๆว่ามองข้ามความสามารถตัวเองเกินไปรึป่าว
ฝากถึงพวกสายวิทย์ชนกลุ่มน้อย(น้อยจริงๆ) ไม่ต้องไปว่าเขาหรอกว่าเขาเป็นเด็กสายภาษามันฉลาดน้อยข้างนั่นบ้างนี่บ้างตัวอย่างเช่นโรงเรียนดังในลำปางได้ยินมากับหู ทั้งครูทั้งนักเรียนเลย ยกหางกันสุดๆ ไอ่พวกนี้นะ นิสัยไม่ดี ทำสายวิทย์คนอื่นๆเสียหน้าหมด
พี่จบสายวิทย์แต่ไปเข้าคณะสายศิลป์ ภาษาที่สามก็อ่านเอง หาข้อสอบเองทั้งหมด วิชาวิทย์ก็ต้องทำเกรดเพื่อให้พอสู้กับศิลป์ได้ แล้วตัวน้องที่มีคนสอนภาษาที่3 อยู่โดยแทบไม่ต้องขวนขวายเองแล้ว ทำไมถึงไม่ติด? ไปคิดดูนะครับ
เราเข้าใจจขกท.นะที่แค่อยากบ่นเฉยๆ เพราะรู้สึกว่าตัวเลือกน้อยการแข่งขันสูง
แล้วในความเป็นจริงที่บอกเด็กศิลป์สอบเข้าวิทย์ได้น่ะมันยากมาก
เพราะตามโครงสร้างหลักสูตรแล้วเด็กศิลป์เรียนวิทย์มาน้อยกว่า
แล่วก็ต้องยอมรับว่าเนื้อหาสายวิทย์เข้มข้นกว่าจริงๆ
อย่างรร.เราเอง รร.น้องเราหลักสูตรใหม่ๆก็มีสอนภาษาที่สามเสริม
พอเด็กสายวิทย์เนื้อหาเข้มข้นกว่ามาก ก็จะต้องหาความถนัดอื่นมาทดแทน
เพื่อให้เด็กทุกคนได้เรียนเหมือนๆกัน นั่นก็คือภาษา
ปัญหาก็คือเด็กที่อ่อนวิทย์ทุกคนไม่ได้เก่งหรือถนัดภาษา
หรือบางโรงเรียนก็สอนพอผ่านๆ เคยเจอเด็กจบภาษามาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เลยก็มี
ในขณะเดียวกันเด็กวิทย์หลายคนกลับทำภาษาไทย อังกฤษ สังคมได้ดี
มันเลยทำให้เด็กสายศิลป์ไม่ได้มีประสบการณ์ที่เข้มข้นมากมายเท่ากัน
อันนั้นคือปัญหาของหลักสูตรการศึกษา+ทัศนคติของคน
ฉะนั้น เด็กศิลป์อย่าน้อยใจไป ถ้าเราถนัดอย่างใดอย่างหนึ่่งเราก็สู้กับสิ่งที่เรามีเอาให้เต็มที ตลาดของงานตอนนี้ไม่ใช่แค่วิทย์อย่างเดียวแล้ว ภาษาสำคัญมากๆเป็นอันดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ทำงานอะไรถ้าชำนาญภาษาอังกฤษ ได้ภาษาที่สามยิ่งจะทำให้เผลอๆไปได้ไกลกว่าสายวิทย์อีก
เรา dek58 นะ เรียนสายวิทย์ด้วย ตอนเรียนแรกๆเราก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากเข้าอะไร จนตอนแรกจะเข้าหมอด้วยซ้ำ สุดท้าย เราพึ่งมารู้ตัวตอนจะจบ ม.6 เทอม 1 อยู่แล้ว เราต้องไปตะลุยอ่านภาษาที่ 3 ตอนปิดเทอมย่อย มีเวลาแค่ 2 เดือนในการอ่านภาษาที่ 3 แต่ตอนนี้เราเป็นนิสิต อักษร จุฬา แล้วผ่านระบบรับตรง
ตอนที่เราเลือกเรียนสายวิทย์ นี่เป็นเหตุผลหลักของเราเลย ว่า มันสามารถสมัครได้ทุกสาย เราเผื่อไว้ เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถาม่าถ้าย้อนเวลากลับไป เราจะเรียนสายอะไร เราก็ยังจะเรียนสายวิทย์เหมือนเดิม สิ่งที่ได้มันไม่ได้แค่คะแนนสอบ ไม่ได้ได้แค่คณะที่อยากเข้าหรอกนะ มันได้ความรู้ ได้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่สายอื่นๆไม่ได้เรียน เราไม่เห็นจะอิจฉาคนสายศิลป์ภาษาเลย ทั้งๆที่บางคนเรียนภาษามาตั้ง 3 ปี แต่กลับสอบได้น้อยกว่าเราที่เรียนแค่ 2 เดือน เสียอีก เพราะบางคน มัวแต่คอยอิจฉาคนอื่น แต่ไม่เคยลงมือทำด้วยตัวเอง เอาเวลาที่ควรจะไปอ่านหนังสือ มานั่งด่า นั่งคิดร้ายกับคนอื่น ทั้งๆที่ความผิดจริงๆก็คือ ความโง่ของน้องเองทั้งนั้นแหละ
เราเห็นด้วยนะ จากประสบการณ์ตรง เราเป็นเด็กสายศิลป์
ถ้าคิดจะตั้งใจทำอะไรสักอย่างจริงๆอะไรๆก็ย่อมสำเร็จได้ โอกาสไม่ได้ไว้สำหรับคนที่ไม่พยายาม บ่นโทษโชคชะตา สังคม การศึกษา บ่นไปทั่ว เวลาที่เสียไปกับการบ่นเอามานั่งอ่านหนังสือไปคงจบได้หลายเล่ม
เราเองมารู้ตัวว่าเราชอบแนววิทย์ ก็ปาไปตอนที่อยู่ ม.5 เทอม 2 เสียแล้ว แต่ก็หันหลังกลับไม่ทัน อย่างน้อยที่ตัวเองพอจะทำได้คือ นั่งอ่านหนังสือวิทย์ คณิต พยายามฝึกฝนด้วยตัวเองด้วยความชอบ
คะแนนโอเน็ตคณิตวิทย์ที่ออกมาเยอะกว่าเพื่อนสายวิทย์หลายคน (70,63 ตามลำดับ) ถึงแม้มันจะไม่ได้มากและไม่ได้ทำให้เราสอบติดแพทย์ วิศวะ แต่เราก็ภูมิใจแล้วที่เราได้พิสูจน์ตัวเองว่าถึงเป็นเด็กศิลป์มามันก็สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้ ไม่ต้องไปตกอยู่ใน stereotype ที่สองวิชานี้เด็กศิลป์ส่วนมากจะอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แค่นี้ก็พอใจแล้วว่ะ
เห็นด้วยกับ คห 7 นะคะ เราก็เป็นเด็กศิลป์ภาษานะ แต่ทำไมเราไม่เห็นคิดเลยว่าเด็กสายวิทย์มาแย่งที่เด็กสายศิลป์ ถ้าคุณเก่งจริง คุณก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาสิคะ เวลายื่นแอดยื่นรับตรงก็ยื่นคนละแบบอยู่แล้ว แถมคุณยังมีสิทธิเลือกสอบ pat7 อีก แถมมีเวลาเตรียมตัวด้านภาษาตั้ง 3 ปี ยิ่งคิดเราก็ยิ่งรู้สึกพวกเขาเสียเปรียบกว่าคุณด้วยซ้ำ แต่คุณได้เปรียบแล้วยังไม่ติด ก็ลองกลับไปคิดดูนะคะ
เอาจริงๆ ในฐานะจบมอปลายมาสองปีละ เราคิดว่า เรียนสายศิลป์แล้วจะเข้าคณะสายศิลป์ มันง่ายกว่าไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องเสียเวลาไปสู้กับฟิสิกส์ เคมี ชีวะ โดยที่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ ทุ่มได้เต็มที่กับวิชาอื่นๆ จะไปอ้อมเรียนสายวิทย์แล้วเข้านิเทศเพื่อออออ หรือ จขกท มีปม? อยากเข้าคณะวิทย์ๆ แต่เข้าไม่ได้ ถ้างั้นก็ต้องถามตัวเองดูนะจ๊ะ ว่าตั้งแต่ต้นแล้วใครผิด?
จขกท ปัญญาอ่านรึป่าว ก็น่าจะรู้ยุแล้วว่าสายวิทย์คณิตมันเรียนเยอะกว่า หนักกว่า สายศิลป์
มันก้ทำให้มีสิทธิ์เลือกได้หลายอย่างกว่า
เพื่อนเราเรียนศิลป์-คำนวณก็เข้าเรียนคณะของสายวิทย์ได้นะ แค่ตอนสอบให้สอบวิชาที่คณะนั้นๆ กำหนด(รับตรง)
เลือกจะมาเป็นเด็กสายศิลป์แล้วมันต้องยอมรับให้ได้กับทุกอย่างนะ
ยอมรับตั้งแต่การ รู้สึกเพิกเฉยไม่ยินดียินแลของสถาบันบ้าง สังคมบาง คนรอบๆข้าง
ยอมรับว่า มันเป็นแผนการเรียนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เด็กที่ไม่มีความถนัดทางด้านตรรกะและการเรียนรู้อย่างเป็นระบบขั้นตอนมากมายนัก อย่าเถียงว่าไม่จริงนะ ถึงแม้ทุกอย่างจะมีข้อยกเว้นและสามารถพูดได้ว่าถึงแม้เรียนสายศิลป์ ก็ไม่จำเป็นต้องไร้ศักยภาพทางการเรียนรู้ แต่เมื่อกลับมามองความเป็นจริงที่เป็นรูปธรรม ชัดเจนจนแยงลูกตาก็คือ เด็กที่เรียนสายศิลป์ ส่วนมาก หัวอ่อน เธอคิดว่าจริงหรือเท็จ
เรียนอ่อนแล้วไปไหนได้ โดนคนที่เขาปฎิบัติการมามากกว่าคว้าสิทธิ์ ย่อมสมควรอยู่ หาที่ไปไม่ได้เอามาบ่นในกระทู้เด็กดีดีมั้ย บอกแล้วว่ามีแต่เสียกับเสีย ขนาดเด็กวิทย์เม้นบนยังมาตอบกลับว่า "พวกโง่" เลย
ปล. ทั้งนี้ทั้งนั้น เอาตามตรง สังคมควรจะเปิดโอกาสให้เด็กศิลป์ ที่เผลอรู้ตัวอีกทีอยากมาเรียนคณะสายวิทย์บ้าง ในที่นี้ฉันหมายถึง นักเรียนเมื่อรู้ตัวแล้วไม่อยู่เฉยๆ พยายามเล่าเรียนเขียนอ่านทั้งวิทย์ทั้งคณิตได้ในเวลาอันสั้น สอบแพท 1 2 ออกมาแล้วได้คะแนนอันพึงชื่มชมอะไรเช่นนี้ มันจะได้สร้างบรรยากาศความยุติธรรมให้เกิดขึ้น ในเมื่อขณะเดียวกันเด็กสายวิทย์อยู่ๆอุตรินึกอยากเรียนภาษา แล้วติวแพท 7 จนสอบเข้าได้ อะไรเช่นนี้ สังคมมันจะได้แมนๆ แฟร์ๆ ไม่ต้องมานั่งเถียงกันตบกันเหมือนเด็กน้อยอยู่
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?