Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เด็กติ่งกับเมกา- Ep2: คุณหลอกดาววว

ตั้งกระทู้ใหม่
มาล่ะ ต่อ ๆ หลังจากที่เราตัดสินใจมาอเมริกาอย่างที่บอกคือ "ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง" ไม่รู้แม้แต่รัฐที่ตัวเองจะไปอยู่ อารมณ์ตอนนั้นแบบถึงไม่อยากไปแต่ก็แอบจินตนาการไว้ว่าเมกาต้องเป็นแบบในรูปแน่ๆ ตึกเยอะๆ คนหุ่นดี หน้าตาดีๆ เต็มเมืองไรงี้ (เราชอบดูรูปแฟชั่นญี่ปุ่นมากตอนนั้น เป็นช่วงที่คนไทยบ้าญี่ปุ่น) คือ ณ จุดๆ นั้นคิดล่ะว่า เอาว่ะ อย่างน้อยฉันก็จะได้ใส่กระโปรงกับบูทแบบในหนังสือแฟชั่นญี่ปุ่น  5555555555 แต่พอเครื่องบินประกาศว่าจะลงเท่านั้นแหละ เรามองลงไปข้างล่าง โอ้ววแม่จ้าวววว ตาค้างเลย ช็อคไม่ใช่เพราะตึกนะ แต่ตกใจเพราะคิดว่านิ่มันแถบอีสาน(สมัยก่อน)รึป่าวเนี้ย เป็นดินแดนว่างปล่าวมาก มีตึกอยู่ย่อมน้อยๆ ณ จุดๆ นั้นคือแบบ ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยนะ! ความหวังแรกของฉ้านนนหายไปตั้งแต่ยังไม่ลงเครื่อง ด๋วกจริงๆ 55555555 อารมณ์ตอนนั้นเหมือนถ่อนไม้ที่โดนปลวกกินจนไม่เหลือเนื้อดี 5555555 
หลังจากลงจากเครื่อง ที่ Austin, texas  เรา ด้วยความที่หมดอารมณ์ไปล่ะครึ่งนึง ก็ตกหมดอารมณ์อีกเมื่อเจอฝรั่งตัวเบอเริ่มเต็มไปหมด อาจจะเพราะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนดูง่วงด้วย คือแต่ละคนหน้าเซ็งมากก คือแบบบบบ โอ่ยยย กูว่ากูเซ็งแล้ว ชีวิตกูดูมีความสุขขึ้นมาทันทีโมเม้นนั้น555555555 หลังจากเอากระเป๋าเสร็จ อะไรเสร็จเราก็เดินออกมา คือเอ่อดีหน่อยอากาศยังเย็นๆ สบายๆ จิตนการหิมะไว้นิดๆละ จนพ่อเลี้ยงเราที่เปนคนอเมกันพูดให้แม่เราฟังว่า "อากาศเย็นนะวันนี้ แต่ดีเพราะปกติที่นี่หิมะไม่ตก นานน้านนนที ถึงตกที"   =.......= แพร้งงงงงงงงง! จบไปอีกหนึ่งหวัง โถ่วววชีวิต 55555555 
หลังจากเรามาอยู่ได้สองสามวัน ลุงเราก็คุยกับเรเรื่องโรงเรียนซึ่งตอนนั้นจับใจความได้ประโยคเดียวคือ "Are you excited for school?" จากประโยคทั้งหมดเป็นสิบๆ 55555 บอกเลยว่าอยากที่บอกเราไม่ชอบภาษามากๆ และก็ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างนึง ทำให้แบบฟังใครไม่รู้เรื่อง ช่วงนั้นทั้งแม่ทั้งเราเครียด ต่างเป็น home sick กันหมด ส่วน-ที่สงสัยว่ามาอยู่กับแม่จะเป็นยังไง คำตอบคือมาสามวันแรกก็ทะเลาะกันเลยจ้าาาา เพราะเราทำหน้าเซ็งตลอด (เป็นหน้าปกติแต่ตอนนั้นคงเซ็งบวกเศร้าด้วยเพราะห่างบ้าน แต่แม่ชอบหาว่าเราโกรธ คือตอนนั้นแบบ โอเค ขอโทษที่เกิดมาหน้าเซ็ง 55555555555555)   หลังจากวันที่สาม รึสี่นิ่แหละลุงก็พาเราไปทดสอบภาษา เพื่อที่จะดูระดับภาษาของเรา ซึ่งเราที่ปกติเป็นคนชอบเอาชนะ แต่ต้องรู้สึกแพ้จริงจังจนน้ำตาแตกเพราะกูฟังอิคนถามไม่รู้เรื่อง บวกคำง่ายๆที่ตอบไม่ได้ทำให้รู้สึกแบบ ชีวิตตั้งแต่อนุบาลยัน ม.ต้น กับวิชาภาษาอังกฤษที่เรียนมาตลอด มันเป็นเรื่องหลอกลวง กูผ่านมันมาได้ยังไงโดยที่ไม่รู้อะไรเล้ยย 555555555555 จนแม่เรามาปลอบแล้วก็บอกว่า "คิดสะว่าขึ้นอนุบาลใหม่ เริ่มเรียนรู้ใหม่ ไม่เป็นไร" ตอนนั้นแบบฮึดขึ้นมานะ แต่ลึกๆก็เหมือนถูกตอกย้ำเรื่องชีวิตอนุบาล 555555555  หลังจากวันนั้นวันต่อมาลุงบอกจะพาไปดูโรงเรียน (International High School - โรงเรียน เกรด 9-10 ของเด็กที่มาอเมกาใหม่ๆ ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ. ไม่เชิงโรงเรียนสอนภาษานะ แค่แบบอธิบายระเอียดและสอนคำในตัวนิดๆ ไม่ได้สอนภาษาโดยตรง)  หลังจากลุงบอกจะพาไปดูโรงเรียนเราก็ตามเดิมจิตนการดิบดี แต่พอเห็นเท่านั้นแหละ ร้องไห้หนักม้ากกกก โรงเรียนเล็กมากจนสลด 5555555555 ตึกชั้นเดียว นี่ทันคืออาร้ายยยย! พอเดินๆดู ซึ่งเราวางมาดมากด้วยความที่เคยชินกับนิสัยตอนอยู่ ม.ต้นที่ไทย สักพักครูมาทักด้วยใบหน้าแจ่มใสว่า
 "=,*,#$_\*8\%(#*( " เราก่ะแบบตามตำรา แค่ yes no ok ก็พอ เราเลยตอบ Yes แบบเสียงดังฟังชัดมาก นางก็คงแบบ yes อะไรของ-ง- พูดไม่ออก เค้าเลยถามว่าเราเข้าใจภาษาอังกฤษมั้ย ซึ่งก็ตอบ  yes เหมือนเดิม นะจุดๆนั้น yes นิ่ไม่ได้แปลว่าใช่นะ แต่มันคือ เหยดดดดดด นิ่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตช้านนนน ฮืออออ (TT^TT) นอกจากนั้นไม่พอ พอเดินดูโรงเรียนสักพัก saying yes ตลอดทาง ไปๆมาๆ ไม่รู้ไป say yes ใส่อะไร เราโดนทิ้งไว้ที่โรงเรียนเฉย อ่าววววววเห่ยยยย อะไรฟ่ะ จะถามก็ถามไม่เป็น สรุปไปถูกปล่อยไว้ในห้องเรียนที่กำลังทำโปรเจคกันอยู่ ซึ่งก็แน่นอนเรานั่งงงเป็นไก่ตาแตก เด็กในห้องก็งงว่าอินี่เป็นใคร แต่ก็เข้ามาทักเรื่อยๆ จนเราแอบบรู้สึกเป็นเซเลบเบาๆ 55555555 ในที่สุดชีวิตดาวก็ดีขึ้น!!! จนกระทั่งตอนส่งงาน ... กระดาษคนอื่นมาลายอักษรฟรุ้งฟริ้ง ของเราล่ะ กระดาษปล่าวค่ะ งานเข้าแล้ว!!! เราเลยเอาว่ะแอ็บเนียนเดินออกเฉยๆ แต่ครูก็มารั้งไว้แล้วบอกว่า ...... แอบเหงื่อตก ไม่มีงานส่ง แต่! ครูกลับไม่ทักเรื่องงานสักคำ คงรู้ว่าทำไม่ได้ แต่เค้าบอกจะพาไปแนะนำกับนักเรียนไทย"  O__o" ห่ะ!! เรานิ่รีบเลยยย พาไปคนแรก หน้าตาแบบ คนไทยหรอว่ะ เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้าตาทาแป้งเป็นจุดๆ จนเค้าเริ่มพูดออกมาว่า " =&_((^¥*/€" กลับเพื่อนอีกคน ซึ่งสรุปเป็นคนไม่พม่าก็กะเหรี่ยงที่อยู่ไทย ตอนนั้นแบบอือหือออออออ รู้สึกเหมือนเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย คุณหลอกดาวอีกแล้ววว! แต่พอพาไปคนที่สอง คนนี้ก็กะเหรี่ยงเค้าชื่อซาด้า พูดไทยได้ (มีคนเดียวที่พูดไทยได้ทั้งโรงเรียน) ตอนนั้นแบบไม่อยากจะเชื่อตอนอยู่ไทยเราอยู่ใกล้กะเหรี่ยงแท้ๆ ไม่คิดว่าจะได้เป็นเพื่อน จนวันนึงมาตั้งไกล มาได้เพื่อนกะเหรี่ยง อุบ้ะ! 55555555555555 หลังจากนั้นเราก็อยู่กับนางตล้อดตลอด นางนิสัยดีม้ากกกกก ดีจนบางทีเรานิ่อึ้ง 5555555555 แต่ตอนนั้นเราแอบเหมือนสวยเบาๆนะ หลงตัวเองแป้บ 5555555555  มีคนมาจีบแต่ก็มักถูกตัดบทด้วย I can't speak English  กูพูดอังกฤษไม่เป็นแสดด 555555 หลังจากประมาณเดือนนึง ตอนนั้นเรากับแฟนคนเดิมที่ว่าห่างๆกัน ห่างกันไปอีกจ้าาา เค้าอ่ะเหมือนเดิมนะ แต่เราเองแหละที่เปลี่ยน เราเป็นขี้เบื่อมากกกกก แล้วยิ่งมีเรื่องให้ต้องคิดมากเยอะแล้ว ยิ่งไม่อยากคิดเรื่องอื่น แฟนเราอดหลับอดนอนเติมเงินโทรต่างประเทศมาตลอด ช่วงนั้นน่าจะคบกันได้สักปีกว่าแล้วมั้งนะ คือเริ่มแบบเค้าพูดอะไรก็ไม่เข้าหู รำคานไปหมด บางทีเราก็อ้างเพราะไม่อยากคุย จนวันนึงเราเริ่มรู้สึกว่าเราไม่มีความรู้สึกไรเหลือแล้ว (ส่วนนึงเพราะเค้าทำไม่ดี แบบโกหก ติดเพื่อนไว้แล้วพึ่งมาแก้ตัวตอนที่เราห่างกันพอดี ตอนที่เราก็รักน้อยลงไปแล้วด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่เราก็เบื่อมาเฉยๆนะ มันมีต้นตอ อย่าพึ่งด่าเรานะเฟ่ย 55555555) แต่สิ่งที่เลวกว่าการไม่คุยด้วยคือ เราโกหกทั้งเค้าทั้งตัวเองว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้น ว่ายังรัก เป็นเดือนอ่ะกว่าจะเลิก ตอนเลิกกันร้องไห้ทั้งคู่ เราร้องไห้เพราะได้ยินเค้าร้องไห้ และตัวเราเองก็รู้สึกแย่เพราะรู้ว่าตัวเองทำผิดที่โกหกเค้ามาตลอด คืออารมณ์แบบนางร้ายสำนึกผิด 55555555555 แต่สุดท้ายก็เลิกกัน ตอนนั้นเค้ายังคอยโทมาตลอดเลยนะ ไม่ว่าจะวันเกิด วันครบรอบส่งข้อความมาตลอดแต่เราอ่ะที่ไม่ตอบ คือถ้าอ่านแล้วรู้ตัว กูขอโทดด้วยนะตัวเอง 55555555  หลังจากเรื่องที่ตัวเองโดนหลอกและหลอกเค้าทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเดือนแรกๆ เราก็เริ่มชินกับโรงเรียนและสังคมทั่วไป จนวันนึงมีหนุ่มเกาหลีที่เป็นเด็กใหม่คนนึงเดินเข้ามาในห้องเรียนแล้ว ep.3 ก็บังเกิด ... อิอิ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น