Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

นักเขียน(ที่ไม่ได้ตีพิมพ์)ได้อะไรจากนิยายของตัวเองบ้าง [เศร้าจุง]

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
     เขียนนิยายแล้วไม่ได้ตีพิมพ์ หารายได้จากนิยายตัวเองก็ไม่ได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ลงให้ผู้อ่านได้มีความสุขกัน ได้ฝึกตัวเอง แล้วเพื่อนๆ ได้อะไรจากนิยายตัวเองบ้างคะ 
     มีตัวอย่างที่ฝึกฝนจนสำเร็จได้ตีพิมพ์ไหมคะ จะอ่านไว้เป็นแรงบันดาลใจจ้ะ 
    

แสดงความคิดเห็น

>

34 ความคิดเห็น

SpringLady 31 ส.ค. 58 เวลา 15:00 น. 1

เราเขียนแล้วมีความสุข เราได้ความสุขจากนิยายที่เราจิตนาการ ถึงไม่ได้ตีพิมพ์ก็ได้รับความสุขจากตัวอักษรและจิตนาการที่เราเขียนออกมา

สู้ต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ สักวันจะได้ตีพิมพ์แน่นอนค่ะ (ไม่ก็ตีพิมพ์เองเลย)

1
Death With Love 31 ส.ค. 58 เวลา 15:14 น. 2

เพราะอยากเขียนจึงเขียน ได้สนองความอยากส่วนตัว (ฮา)

ถ้าอยากตีพิมพ์อยากมีรายได้ เดี๋ยวนี้ก็สามารถตีพิมพ์เองได้ไม่ยากนะครับ ตามทุนทรัพย์ที่สู้ไหว
นิยายตีพิมพ์กับสนพ.การันต์ตีได้ระดับหนึ่งว่าเป็นนิยายที่กลั่นกรองแล้ว มีความสนุกและขายได้
แต่นิยายที่ดีก็อาจจะไม่ได้ตีพิมพ์ เพราะไม่ตรงตามตลาดหรือความต้องการของสนพ.

อยู่ที่นักเขียนเช่นกันครับ จะเขียนสิ่งที่อยากเขียน หรือผลตอบแทน

1
จิ้ง 31 ส.ค. 58 เวลา 15:35 น. 3

ตอนผมเริ่มเขียนนิยาย ผมเขียนเอามันอย่างเดียวเลยอะ คือย้อนไปเกือบๆ 10 ปีก่อน จะได้พิมพ์หนังสือเนี่ยโคตรยากเลย พิมพ์ออดิมานก็ยังไม่มี ต้นก็ทุนสูง แต่จากที่เริ่มเขียนแฟนฟิคในช่วงนั้น นอกจากได้ระบายอะไรออกมาแล้ว คือการมีคนเข้ามาอ่านฟิคเราแล้วเขาเอ็นจอยไปกับเราอะครับ 

คือจะบอกว่าเขียนเพื่อความสุขตัวเอง ไม่ได้ต้องการคนอ่านมากมายมันก็เท่ไป เอาเป็นว่าผมได้เขียนฟิคเรื่องแรกที่ผมชอบมากๆ แล้วลงให้คนอ่าน แล้วผมโชคดีที่มีคนชอบแบบเดียวกันมาแชร์กัน มามีความสุขร่วมกัน คุยกัน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน (คิดดูคนอ่านบางคนยังคบหากันมาถึงทุกวันนี้ กลายเป็นนักอ่านประจำ เป็นลูกค้าที่ซื้อหนังสือเราด้วย) คือตอนนั้นมันอิ่มเอมมากเลยครับ ไม่มีความคิดว่าเราจะต้องได้ทำหนังสือ ทำรวมเล่มเลย 

พอเขียนๆ ไปสักพักพอจะมีประสบการณ์ ก็เริ่มหันไปเขียนงานออริของตัวเอง แต่คนอ่านแทบไม่มีเลยครับ ต้องไปเกณฑ์เพื่อนมาอ่าน มันก็ไม่ค่อยชอบกัน อ่านกันตามมารยาท เราก็ต้องไปดูเราพลาดตรงไหนวะ จะปรับยังไงดี ก็หานิยายมาอ่าน ดูว่าคนนักเขียนอื่นๆ เขาเล่าเรื่องยังไง เก็บเอาความรู้จากสิ่งที่อ่านมาปรับใช้กับงานเรา ประโยคนี้ใช้คำไหนดูดีกว่า ประโยคนี้บรรยายยังไงยังไงให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ยืดเยื้อ อ๋อ นักเขียนคนนี้เขาทำแบบนั้น นักเขียนคนนั้นเขาทำแบบนี้ ฝึกๆ เขียนๆ ไปสักพักมันจะเริ่มจับจุดได้อะครับ(จริงๆ นะ เหมือนเราขับรถเป็นอะ สมองเรา มือไม้เราจะมันไปเองโดยธรรมชาติ อีกกี่เมตรเราจะชะลอ เราจะเปลี่ยนเกียร์เมื่อไหร่ เราจะเร่งเครื่องตอนไหน จะถอยรถยังไง ไม่ต้องมาพะวักพะวงเหมือนเพิ่งหัดขับแรกๆ)

บางทีเห็นนักเขียนใหม่ๆ จะชอบออกมาบ่นงอนๆ ว่าไม่มีใครตินิยายเลย จะรู้ได้ไงเราเขียนไม่ดีตรงไหน บอกหน่อยสิ จะเอาไปปรับ พอไม่มีคนสนใจก็งอแงจะเลิกเขียนแล้วหมดกำลังใจ

คือส่วนตัวผมว่ารอคนมาติอย่างเดียวมันก็ไม่ทันกินอะครับ มันก็ต้องเรียนรู้ที่ตัวเองไปพร้อมกันด้วย บางอย่างเราก็ต้องคิดเองลองผิดลองถูกไป ความสำเร็จมันก็เริ่มจากความผิดพลาดนี่แหละ แม้แต่คนที่เขาเข้ามาแนะนำเรา ก็ใช่ว่าเราทำตามที่เขาแนะนำทุกอย่างแล้วมันจะเวิร์คนะ

การเขียนนิยายมันไม่ใช่ต้มมาม่ารอสามนาทีกินได้เลยอะครับ มันต้องฝึก ต้องใช้ประสบการณ์ แล้วประสบการณ์กว่าจะได้มามันต้องใช้เวลา (เวลาที่ต้องลงมือปฏิบัตินะไม่ใช่นั่งรอเวลาผ่านไปเฉยๆ)  

ผมคิดว่า คนอ่านหรือคำวิจารณ์ต่างๆ มันเป็นประมาณวิตามินหรือวัคซีนอะครับ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้เรา แต่สุดท้ายแล้วอาหารหลักเราก็ต้องเลือกเอง กินเอง และตัวเราก็ย่อมรู้ว่าร่างกายเราเป็นยังไง ขาดอะไร ต้องการอะไรเพิ่ม ดังนั้นเริ่มที่ตัวเราก่อน จัดการวิธีคิดเราก่อน พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ความสำเร็จมันต้องมาแหละครับ

2
Arpapon 1 ก.ย. 58 เวลา 13:42 น. 3-1

อ่านความเห็นนี้แล้วรู้สึกมีแรงผลักดันขึ้นมาเลยแฮะ ^^

0
mayaangel 3 ก.ย. 58 เวลา 00:35 น. 3-2

เราเป็นนักเขียนมือใหม่นะ แต่รู้สึกไม่ค่อยตรงกับที่ว่าทำไมไม่ค่อยมีคนติเลยอะไรเทือกๆนี้ แบบว่าเรามีคนติแล้วแนะนำอยู่เยอะพอสมควรเลยละ ส่วนตัวคิดว่าคนที่พูดว่าอยากได้คำติเยอะๆไปปรับปรุงพอเจอไปมากจริงๆก็ท้อแล้วเลิกแต่งมากกว่า (ส่วนงอลนี้ไม่ค่อยเจอแฮะ)
แต่พออ่านคอมเม้นนี้แล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย

0
Micael K. Beaudoin 31 ส.ค. 58 เวลา 16:19 น. 4

แค่ให้หายอยากเฉยๆ บางทีมันมโนคนเดียวก็เหงาไปครับ
เลยเอามาให้คนอื่นอ่านเพื่อช่วยกันมโนต่อๆกันไป 5555

2
Micael K. Beaudoin 1 ก.ย. 58 เวลา 10:24 น. 4-2

555 ครับ ทุกคนมีความสามารถในการมโนอยู่ในตัวอยู่แล้ว
คิดให้มันเป็นเรื่องสนุก หวังน้อยๆแต่ตั้งใจก็พอ สู้ๆครับ ^^

0
ณ พิชา 31 ส.ค. 58 เวลา 16:28 น. 5

สิ่งแรก "ได้เขียน" เขียนออกมาจากจินตนาการ แค่นี้ก็นับว่า "ได้" แล้ว

สิ่งต่อมา ถ้างานชิ้นนั้นไม่ได้ตีพิมพ์ แสดงว่างานมีข้อบกพร่อง (อาจด้วยตัวงานเอง หรือสังคมไม่นิยม) คำแนะนำจาก กอง บก และคนอ่าน เป็นเงาสะท้อนให้เราพัฒนาตัวเองในงานชิ้นถัดๆ ไปได้ 

หายากนะที่งานทุกชิ้นจะผ่านมาตรฐาน สำนักพิมพ์ บางคนอาจจะเก่งขนาดผ่านทุกเรื่อง แต่สำหรับเรา บางเรื่องเท่านั้นจะส่ง สนพ แต่บางเรื่องเราเขียนเองยังรู้เลยว่ามาตรฐานไม่พอจะส่ง ก็ไม่ส่งนะ 

1
ดาวดวงน้อยของท่านเทพ 31 ส.ค. 58 เวลา 16:30 น. 6

เพราะรักที่จะเขียนก็เลยเขียนค่ะ

นิยายเรื่องแรกของเรามีคอมเม้นท์ไม่ถึงร้อย แอดแฟนร้อยนิดๆ แล้วก็ยอดวิวไม่สูงเลยค่ะ
ตอนนั้นไม่มีใครอ่าน ไม่กล้าบอกเพื่อนด้วย กลัวว่ามันจะไม่อ่านให้ เพราะก่อนหน้านี้สมัยยังเด็กพ่อยังไม่ซื้อคอมให้ เราก็ใช้วิธีเขียนใส่สมุดไปบังคับเพื่อนอ่าน (น่ากลัวมาก-_-) จนเพื่อนรู้สึกหลอนนิยายของเราไปเลย พอมาลงเน็ตกระแสตอบรับก็ธรรมดาเหมือนคนอื่นค่ะ

เรื่องสองนี่เขียนยังไม่จบมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเหตุผลสั้นๆก็คือ ก่อนหน้านี้ที่เขียนไม่ได้วางพล็อตไว้เลย ใส่แค่ปมอย่างเดียวแล้วก็ด้นเอา มันเลยดองมาจะเข้าปีที่สี่แล้ว แต่เราก็เขียนเรื่อยๆ นะ ถูกทวงบ่อยเหมือนกัน ตอนนี้เรื่องนี้กำลังรอผลจากสนพ.อยู่

เรื่องที่สามนี่เขียนแล้วฟลุ้กค่ะ ดันติดท้อปขึ้นมาซะได้ ตอนนั้นคนด่ากระจายว่ามันโคตะระไม่สมเหตุสมผล ยังไม่เคยถูกด่าเรื่องแรกเราก็รู้สึกนอยด์จนไม่อยากจะเขียนต่อสิคะ ถึงขั้นมีคอมเม้นท์ว่าห่วยแตกอย่าเขียนเลยอะไรแบบนี้ แต่เพราะติดท้อปนั่นแหละก็เลยได้มีหนังสือเป็นของตัวเอง ถามว่าภูมิใจมั้ย ตอบเลยว่ามากถึงมันจะผิดพลาดก็เถอะ

เพราะเรื่องที่สามนี่ทำให้เราเว้นระยะจากนิยายก่อนหน้านี้ยาวเลยค่ะ รู้สึกจิตตกแต่ก็คิดว่าเอาวะ ยังไงก็ต้องสู้แล้วก็เขียนเรื่องใหม่ค่ะ เรื่องนี้กระแสธรรมดาแฟนคลับประมาณพัน คอมเม้นท์ไม่ถึงพันแต่เรากลับภูมิใจมากแล้วก็ตั้งใจมากเพราะหวังจะลบคำสบประมาทค่ะ ปรากฏว่าสนพ.นึงที่เราอยากร่วมงานกับเค้าติดต่อมา ตอนนั้นดีใจมากเพราะนิยายจะจบแล้วแถมยังยอดวิวไม่เยอะ เราก็เลยภูมิใจกับมันมากทีเดียวค่ะ

ทั้งหมดทั้งมวลข้างบนนั้นถือเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดสำหรับเราค่ะ เราภูมิใจกับมันมากเพราะอดทนมาตลอด ถ้าเราถอดใจตั้งแต่เรื่องแรกที่ลงเราคงไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ยอดขายหนังสือเราก็ไม่ได้ดีอะไรมากมายนะคะ แต่เรารู้สึกดีมากเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นเล่มให้เราได้เห็น เป็นสิ่งที่รักที่ทำให้เรารู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่จะทำค่ะ

เราเชื่อว่าไม่ว่ายอดวิวจะเยอะหรือไม่เยอะ แต่ถ้าทำด้วยใจรักมันก็จะทำให้มีความสุขได้ค่ะ ยิ่งอดทนมากเท่าไหร่ เวลาที่ได้ตีพิมพ์ก็ยิ่งทำให้รู้สึกดีมากขึ้นเป็นเท่าตัวค่ะ แล้วพอถึงวันนั้นเราก็จะได้บอกตัวเองว่าดีแล้วที่เราไม่เลิกเขียน ^^

1
ยูอิ่ง 31 ส.ค. 58 เวลา 16:55 น. 7

ไม่รู้นะว่าตัวเองตั้งเป้าหมายอะไรไว้กันแน่ แต่ที่แน่ๆคือ เรามีความสุขเวลาเขียน เวลาได้วางโครงเรื่องใหม่ๆ มันสนุกทุกครั้งที่ทำ เราไม่เคยส่งบทเลยสักครั้ง ถามว่าอยากตีพิมพ์มั้ย ตอบเลยว่าอยาก (ทุกคนก็เหมือนกันแหละเนอะ) แต่ฝีมือเรามันยังไม่ได้ เรารู้ดีกว่าใครเพราะเราก็อ่านมาเยอะ แต่งมาเรื่อยๆ พอใจในส่วนๆนี้ไป เพื่อสักวันที่เราจะส่งผลงานไปสู่อวกาศศศศศศศศ 5555555 แต่เราโคตรภูมิใจเลยเวลาที่เรามองนิยายตัวเองบนเวบไซต์แล้วมีคนเข้ามาอ่านแล้วอินไปกับบทของเรา เอ้ย! นี่แหละพระเจ้าจอร์ชมันยอดมากกก ><

1
ゆみご 31 ส.ค. 58 เวลา 17:45 น. 9

พุทธบอกกับพระอานนท์ว่า

"เจ้าไม่มีทางเข้าสู่เส้นทางของธรรมมะได้หรอก ถ้าเจ้าไม่เป็นเส้นทางธรรมมะนั่นเสียเอง"

การเขียนนิยายก็เช่นกัน ถ้าไม่เดินไปในเส้นทางนั้นด้วยตัวของตัวเองก็คงไม่อาจเป็นได้
เราอยากเดินบนเส้นทางนี้ก็เท่านั้นเอง ความรักน่ะ จะพูดได้เต็มปากก็ต่อเมื่อมันเป็นจริง

ปล แลว่าเม้นท์ไม่เกี่ยวกับกระทู้เท่าไหร่เลยเรา
1
no one know 31 ส.ค. 58 เวลา 18:58 น. 11
ได้ดองครับ  ยาว ๆ เลย (ฮา)

จริง ๆ ก็ได้ประสบการณ์การเขียน+ความสุขที่ได้เห็นยอดวิวยอดแอดเพิ่มขึ้นทีละนิดมั้งครับ? (แต่ปกติของคนอื่นนี่ขึ้นพรวด ๆ เลย  =______=)

3
no one know 1 ก.ย. 58 เวลา 11:16 น. 11-3

11-1 กำลังใจม่ายมี ขายหมดแล้ว เวลาตัวเองจะใช้ยังไม่มีเลย (ฮา)

11-2 อย่างกับบ๊วยเลยครับ 555+

0
ฺButterflylazy 31 ส.ค. 58 เวลา 19:02 น. 12

ได้ความสุขและได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ค่ะ ^^ เราชอบตัวเองเวลาที่เราเขียนนิยาย สมัยก่อนตอนที่เรายังไม่มีคอม เราชอบเขียนใส่สมุดเอาไว้แล้วก็นั่งอ่านคนเดียว (เพราะมันเอาลงเว็บไม่ได้ 555) รู้สึกดีมากกกก ถึงนิยายของเราจะไม่ได้มียอดวิวสูง ไม่ได้มีเม้นท์เยอะ และไม่ได้มีแฟนคลับมากมายอะไร แต่เราก็ภูมิใจและรักในงานที่เราเขียนค่ะ ^^ 

อาจจะดูว่าเราเพ้อนะคะ แต่เราอยากแต่งนิยายให้คนอ่านแล้วมีความสุขกับนิยายที่เราแต่ง ได้เพื่อนใหม่ๆ และได้ฝึกการคิดอย่างเป็นกระบวนการด้วย (กว่าจะแต่งนิยายได้ก็ต้องมีพล็อตก่อนถูกมั้ยคะ อิอิ) มันมีประโยชน์มากๆ เลยนะคะ เวลาเราคิดงานที่เกี่ยวกับการเขียนการคิดเนี่ย เราคิดเร็วมากๆ จนเพื่อนต้องยกให้เราเป็นที่หนึ่งในเรื่องนี้เลยยยย อิอิ

5
พิกุลกรอง,lady Grayya 31 ส.ค. 58 เวลา 19:59 น. 12-1

คอมเม้นนี้ รู้สึกเหมือนว่าเคยเจอสถานการณ์นี้มาแล้ว เคยอ่าน และอยู่ที่เดิม ว๊าบป่าวเนี้ย เริ่มเบลอ

0
ฺButterflylazy 31 ส.ค. 58 เวลา 20:13 น. 12-2

ว๊าปคืออะไรหรอคะ ขอโทษนะคะที่ถาม แต่เราไม่รู้จริงๆอ่ะค่ะ T^T

0
พิกุลกรอง,lady Grayya 31 ส.ค. 58 เวลา 23:04 น. 12-3

คล้ายๆ เดจาวูค่ะ เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรามาก่อน แต่พอเรามาพบกับเหตุการณ์บางอย่าง แต่เรากลับรู้สึกเหมือนว่าเราเคยเจอมาแล้วค่ะ นี่พี่ก็อธิบายไม่เก่ง ^^

0
ฺButterflylazy 31 ส.ค. 58 เวลา 23:10 น. 12-4

อ๋ออออ เข้าใจแล้วค่ะ 555 บางทีเราก็เม้นท์หลายกระทู้ด้วยคำตอบคล้ายๆ เดิม จขกท.อาจจะไปอ่านเจอจากกระทู้อื่นหรือไม่ก็จากกระทู้ที่จขกท.เป็นคนตั้งก็ได้นะคะ 555 มันก็เลยอาจจะรู้สึกคุ้นๆ

#เราก็มึนค่ะ อิอิ (แต่ที่จขกท.อธิบายมาเราเข้าใจนะ 555) ตอนนี้เข้าใจคำว่าว๊าปแจ่มแจ้งเลย ^^ ขอบคุณที่อธิบายด้วยค่ะ

0
SilverPlus 31 ส.ค. 58 เวลา 19:04 น. 13

ยิ่งเขียน ยิ่งเก่ง ยิ่งอดทน แฟนคลับจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะสมพวกนี้ไว้ อนาคตจะได้สบาย

ผมเขียนมาตั้งนานแล้ว ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์กับเขาสักที ตอนแรกก็ท้อ คิดว่าเอาเวลาไปใช้กับอย่างอื่นดีกว่า... แต่พอได้แต่งนิยายแล้วมันเพลิน ลืมไปเลยว่าอยากจะเลิก ปัจจุบันก็ยังคงเขียนอยู่

แต่งไปนานๆ ประสบการณ์จะยิ่งมาก เวลาจะทำให้เราเข้าใจความต้องการของนักอ่านมากขึ้น แล้วสักวันหนึ่ง จะมีนิยายเรื่องหนึ่งของเรา เข้าฟอร์ม(ดูดี) มีคนอ่านเยอะ มีคนติดตามเยอะ และเมื่อลองส่งสำนักพิมพ์ก็จะมีโอกาสผ่านสูง 

ประสบการณ์คือต้นทุนในอนาคต อย่าเพิ่งเลิกครับ ปรับปรุงการวางพล็อต ปรับปรุงการเขียน แล้วสักวันเราจะได้รับพิจารณาเอง

1
สระสนาน 31 ส.ค. 58 เวลา 20:37 น. 14

ผมว่านักเขียนได้แสดงคุณสมบัติประจำตัวของมนุษย์ออกมาครับ
ผมคิดว่าคนทุกคนอยากเป็นนักเขียนครับ
ผมคิดว่าความฝัน จินตนาการ และการอยากให้คนอื่นได้รับรู้เป็นสิ่งติดตัวมนุษย์ทุกคน
แต่มันเป็นเรื่องยาก
ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้
ต้องคนพิเศษจริงๆ
คนส่วนใหญ่จึงได้แต่คิดที่จะเขียนแต่ทำไม่ได้
ทำได้แค่อ่านแทน
ผมรู้สึกว่าคนที่อยากเป็นนักเขียนจนทนไม่ได้จนต้องเขียนออกมาเป็นคนพิเศษครับ

1
ไพลินภัทร 31 ส.ค. 58 เวลา 20:39 น. 15

พี่คะ... เสน่ห์รักรัตนโกสินทร์นี่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของหนูเลยนะคะ

หนูเองก็ไม่ได้เก่งอะไร มีนิยายตีพิมพ์กับเขา1เล่ม อาศัยคลื่นลมโชคชะตาพาไปล้วนๆ ^^

เรื่องแรกของหนูก็เขียนย้อนยุคเหมือนกัน เขียนไม่ทันเสร็จก็มีสนพ.แรก มาติดต่อขอให้ส่งต้นฉบับให้พิจารณา แต่ปรากฏว่ายาวไป แล้วหนูไม่อยากตัด ก็เลยต้องยอมปล่อยผ่านไป

ต่อมาพอเขียนจบก็ส่งสนพ.ที่2 ซึ่งกำลังมาแรงในช่วงนั้น ซึ่งเขาบอกชัดเจนว่ารับต้นฉบับย้อนยุค หนูก็ส่งแล้วรอค่ะ รอจนกระทั่งครบ3เดือน จึงลองส่งเมล์ไปสอบถามความคืบหน้าดู ปรากฏว่าสำนักพิมพ์ตอบว่าไม่รับแนวย้อนยุคค่ะ... มาถึงตรงนี้คือเฟลมากค่ะ ทำอะไรไม่ถูกเลย คือรู้สึกได้จากข้อความที่ทางสนพ.ตอบกลับมาว่าเขายังไม่ได้แตะต้นฉบับเราเลยด้วยซ้ำ เข้าใจแล้วว่าวงการนี้มีความดาร์คอยู่ในตัวเหมือนกัน 555 ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากแคปหน้าจอภาพประกาศรับต้นฉบับแล้วส่งเมล์กลับไปมาก แต่รู้ว่าไม่ได้ช่วยอะไร เลยกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานในส่วนของเราต่อ

นอกเรืองนิดนึง... อยากฝากถึงสนพ.ที่เปิดรับต้นฉบับนิดนะคะ ว่าต่อให้คิวต้นฉบับคุณจะยาวแค่ไหน แต่หลังจากได้รับเมล์แล้ว ขอวิงวอนเลยว่าช่วยสละเวลาคัดกรอง อ่านเรื่องย่อ1-2หน้าที่แนบไปก่อน ถ้ามันไม่ตรงกับความต้องการของคุณ พล็อตไม่ถูกใจ เห็นว่าเป็นนักเขียนหน้าใหม่ไร้เครดิต หรือไม่คิดจะอ่านตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว โปรดแจ้งมาตรงๆ ได้เลยค่ะ จะไม่โกรธเลยจริงๆ ต่อให้ในประกาศรับต้นฉบับจะจั่วว่ารับนิยายแนวนั้น แล้วคุณมากลืนน้ำลายตัวเองก็ตาม เพราะเวลา3เดือนของคนเรา มันมีค่าจริงๆนะคะ U_U

หลังจากเสียความรู้สึกกับสนพ.ที่2ไปแล้ว ก็ไม่อยากโทษเขาฝ่ายเดียว กลับมามองงานตัวเอง เออ...มันก็ธรรมดาเกินไปจริงๆ นั่นแหละ ไม่แปลกใจเลยถ้าจะสอบตก (แต่อย่างน้อยอ่านสักนิดก็ยังดีไง ไม่ใช่ดองไว้3เดือน แล้วค่อยมาปฏิเสธนิ่มๆว่านิยายไม่ตรงแนว แหม...แค้นฝังหุ่นจริงๆ 555) หลังจากนั้นก็รีไรท์ค่ะ ตรงนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งหนึ่งของการเขียนต้นฉบับรอบแรกเลย แต่เนื้อเรื่องคือเปลี่ยนไปมาก นับว่าคุ้มมากกับเวลาที่เสียไป

ตอนนั้นด้วยความโกรธ(ฟีลแบบพระเอกอ่อนๆ ในหนังจีนกำลังภายในโดนดูถูก เลยตัดสินใจออกเดินทางไปฝึกวิชา 555) คิดแต่ว่าคอยดูนะ เดี๋ยวฉันจะต้องได้ตีพิมพ์กับสนพ.ที่ดังกว่านี้ พองานเสร็จออกมาคือเรื่องพลิกจากเดิมมาก แต่ก็รู้ว่าเสียตัวตนไปกับเรื่องครั้งนั้นมากเหมือนกัน

จนกระทั่งมีน้องนักอ่านคนหนึ่งส่งข้อความมาในเพจ ว่าน้องไปสอบO-net แล้วข้อสอบวิชาประวัติศาสตร์ออกตรงกับเนื้อเรื่องที่สอดแทรกไว้ในนิยายพอดี และน้องทำข้อนั้นได้เพราะอ่านนิยายของหนู เท่านั้นแหละค่ะ เหมือนมีพลุจุดอยู่รอบตัวเลยค่ะ 555 คือฟินมาก มากจนคิดว่านี่แหละคือสิ่งตอบแทนที่ดีที่สุดจากนิยายเรื่องนี้

เหมือนจะมีตอนจบแบบแฮปปี้กับความพอเพียง แต่ยังค่ะ... หลังจากนั้น หนูก็ลงนิยายฉบับรีไรท์ต่อเรื่อยๆ จนกระทั่ง...มีสนพ.นึงซึ่งใหญ่มาก ใหญ่สะใจ ใหญ่แบบที่เคยเล็งไว้สมัยเขียนด้วยความโกรธเกรี้ยวว่าฉันจะต้องได้พิมพ์กับที่นี่แหละมาติดต่อให้ส่งต้นฉบับไปให้พิจารณา ซึ่งจริงๆ แล้วพี่นักเขียนท่านหนึ่งของสนพ.นี้เป็นคนเชียร์ให้ค่ะ(ซึ่งหนูเพิ่งมารู้ทีหลัง)

รวบรัดตัดความ สุดท้ายก็ได้พิมพ์ออกมาแบบฟลุ๊คๆ เมื่องานหนังสือที่ผ่านมานี่เอง ^^

สู้ๆ นะคะ

2
คาระ 31 ส.ค. 58 เวลา 20:48 น. 15-1

การมีคนมาติดต่อให้ตีพิมพ์สำหรับเราไม่มีคำว่าฟลุ้กนะคะ บอกเลยว่าไม่เคยฟลุ้กอะไรแบบนี้ มันคือฝีมือแน่ ๆ นับถือ ๆ

แต่เห็นด้วยนะคะ ว่าสนพ.คะ ถ้าไม่ตรงแนวตั้งแ่เรื้องย่อ ก็บอกมาเถอะ การรอคอยมันทรมานนะ
การรอคอยมันทรมานนะ

0
พิกุลกรอง,lady Grayya 31 ส.ค. 58 เวลา 23:08 น. 15-2

พี่อ่านแล้วน้ำตาจะไหล จริงๆ นะคะ แรงบันดาลใจของน้อง เป็นสิ่งดีๆ ที่พี่ไม่ได้คาดฝันจริงๆ ซึ้ง! เรื่องอะไรหนอ รักเลย

0
Sleeping Fox 31 ส.ค. 58 เวลา 23:31 น. 17

เริ่มเขียนเพราะอยากหาอะไรทำตอนแกร่วอยู่บนรถ
ได้ลองทำสิ่งใหม่ ๆ แล้วรู้สึกดี ได้เขียนนิยายตามแบบที่เคยอ่านแล้วถูกใจ
ได้เดินเรื่องนิยายให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ใจอยากทำ

ได้รู้ว่านักเขียนนิยายเขารู้สึกยังไงที่เริ่มมีแฟนคลับ รู้สึกยังไงที่โดนแฟนคลับถอน Fav
ได้รู้ความรู้สึกตอนที่มีท่านนักวิจารณ์และท่านนักอ่านทั้งเงาและไม่เงามาช่วยติชม 
ได้รู้ว่าตัวเองก็มีทั้งแรงต้าน ทั้งความอยากที่จะตอบสนองคนอ่านและนักวิจารณ์

ถึงจุดเริ่มต้นจะเป็นเพียงแค่อยากลองดูสักหน่อยสิว่าจะรอดได้เกิน 10 หน้าไหม
แต่มาถึงตอนนี้ผมก็ว่าได้อะไรมาเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก 
ถึงจะเดินมาช้า ๆ ก็เถอะ การได้ทำอะไรในสายที่เคยคิดว่าไม่ถนัดเลยแล้วรู้สึก
เอ่อ ... ก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ มันก็ให้อะไรหลายอย่าง

สำหรับท่านที่คิดจะเป็นมืออาชีพ ผมว่าคงต้องผ่านอะไรอีกเยอะ
คงต้องมีเรื่องให้สะสมประสบการณ์มากกว่าที่ผมเจอในช่วงสั้น ๆ อีกเป็นกระบุง

การเติมความมุ่งมั่น การให้กำลังใจตัวเองให้ก้าวไปได้เรื่อย ๆ
คงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำกันอยู่เสมอ ๆ
ช้าเร็วก็คงตามกำลังของแต่ละคน
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ ^^


1
รถขนมปังกรอบ 1 ก.ย. 58 เวลา 02:35 น. 18

ได้ความมันในอารมณ์ค่ะ (กร๊ากกก) ^^'

นิยายเรื่องแรกที่หนมปังเขียน หนมปังเขียนเอามันจริงๆค่ะ ไม่ได้นึกถึงตลาดไปทางไหน ใครจะอ่าน หรือมันจะยาวจะสั้นเกินไปสำหรับงานแรกของนักเขียนหน้าใหม่หรือเปล่า ยิ่งไม่ได้คิดถึงเรื่องพิมพ์อะไรเลย แค่คิดว่าอยากจะเขียนจินตนาการนี้ให้จบเท่านั้นเอง

เรื่องที่สองก็ยังคงคอนเซปเดิม เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ 555

เรื่องที่สามยิ่งแล้วค่ะ เป็นการลองของที่เอาแต่ใจตัวเองกว่าเดิมด้วยซ้ำ (หนมปังมันติสดีจิงๆ -_-' ) คิดว่าอย่างน้อยที่สุดถ้าออกมาไม่เวิร์ค ก็ได้ฝึกฝีมือ ลองเขียนอะไรที่ไม่เคยเขียน ถ้าไม่มีงานที่ไม่ดี ก็อาจจะไม่มีงานดีๆที่จะตามมาก็ได้

เพราะงั้นต่อให้ไม่มีสนพ.รับ หนมปังก็จะแถเขียนจนจบ และหน้าด้านเอาไปขายแบบทำมือหรืออีบุ๊คเองเนี่ยแหละ ต่อให้ขายไม่ออกอย่างน้อยก็ได้ภูมิใจว่า "เราเขียนจบไปอีกเรื่องแล้ววุ้ย" 

อีกอย่าง นิยายที่กำลังเขียนอยู่นี่ กึ่งๆพูดถึงปัญหาครอบครัวและปัญหาวัยรุ่น หนมปังก็คิดว่า ยังไงถ้าคนอ่านได้อ่าน ถ้าไม่ได้ความสนุกก็อาจจะได้แง่คิดได้สาระบ้าง (ล่ะมั้ง? ^^' )

มีหลายเหตุผลที่จะปั่นเรื่องนี้จนจบค่ะ เรื่องตีพิมพ์หรือเปล่าตียังไง สำหรับหนมปังคิดว่าให้เป็นเรื่องตอนที่เขียนจนจบเป็นต้นฉบับแล้วดีกว่า ^^

เอวัง


1
ถังเถียน糖甜 1 ก.ย. 58 เวลา 08:09 น. 20

ได้อะไรจากการเขียนนิยาย? อันดับแรกคือ ได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจของตัวเองออกมา ซึ่งเป็นความชอบที่บอกคนใกล้ชิดหรือคนรู้จักไม่ได้ (เดี๋ยวโดนหาว่าบ้า //เศร้า) จากนั้นก็ได้ความสุขตามมา รวมทั้งได้แบ่งปันความสุขให้คนอ่าน(คิดว่าน่าจะสุขกันมั้ง555) และที่เห็นได้ชัดในตอนนี้คือได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ความชอบเดียวกันมาเพียบ โม้แหลกกันทุกวันแบบเกินความคาดหมายมว้ากกกค่ะ5555  //ฟิน



1
พิกุลกรอง,lady Grayya 1 ก.ย. 58 เวลา 10:51 น. 20-1

นั่นนะสิคะ มาตั้งกระทู้นี้แล้วรู้สึกเหมือนมีเพื่อนร่วมอุดมการณยังไงก็ไม่รู้นะคะ

0