Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

Review ความรู้สึกและข้อคิดที่ได้จากหนัง EVEREST (มีสปอยล์นิดนึง)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่




สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D ก็ไม่มีไรมาก วันก่อนไปดูหนังเรื่อง EVEREST มา รู้สึกไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากเท่าไร เลยอยากลองเขียนรีวิวในความเห็นของตัวเราเอง เผื่อใครสนใจไปดู มีสปอยล์นิดนึง

EVEREST เนื้อหาคร่าวๆ ก็ไม่มีไรซับซ้อนเลย คือกลุ่มนักเดินทางจากหลายชาติมารวมกันเพื่อจะพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ที่เป็นยอดที่สูงที่สุดในโลก สร้างมาจากเรื่องจริงของนักปีนเขากลุ่มนึงในปี 1996 อุปสรรคที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดตอนปีนขึ้นไป(จริงๆ มีบ้างนิดนึง)แต่เกิดตอนขาไต่ลงมาที่มีพายุลูกใหญ่มาก สุดท้ายก็มีทั้งคนที่รอดและคนที่ไม่รอด






คำถามแรกคือสนุกมั้ย? ส่วนตัวเราว่าไม่ถึงขั้นสนุก ไม่ใช่หนังที่ทุกคนน่าจะชอบ ถ้าให้คะแนนเฉพาะความสนุก น่าจะ 5.5/10 คนกลุ่มที่น่าจะชอบน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ชอบเที่ยวแนว adventure หรือมีความฝันอยากไปเที่ยวแบบ adventure ซักครั้งในชีวิต เพราะเรื่องมันไม่มีอะไรเลยนอกจากการปีนเขา สำหรับเรา การไปเดินเขาที่เนปาลถือเป็น bucket list อย่างนึงในชีวิตและเคยอ่านข้อมูลเส้นทางการเดินเขาไว้ เลยค่อนข้างคุ้นกับศัพท์หรือสถานที่ที่เจอในหนังระดับนึง สาเหตุที่ไปดูเพราะเรารู้ว่า เราคงไม่มีปัญญาไปถึงเอเวอเรสต์แน่ๆ เลยขอเห็นในหนังละกัน (วิวสวยมากกกกก) ดังนั้นจึงไม่เสียดายเงิน 160 บาทเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งโมเม้นท์ที่ตัวละครปักธงเมื่อถึงยอดเอเวอเรสต์คือเราใจเต้นแรงมากกกกกกกกกก แบบว่าตื่นเต้นอะะะ





ข้อคิดที่ได้จากหนัง แน่นอนว่ามีแน่ๆ อย่างแรกเลยคือ คนที่ไปเที่ยวส่วนมากมักทุ่มแรงให้กับตอนขาไป ขากลับเลยปล่อยทุกอย่างชิลล์จนอาจไม่คาดคิดว่า อุปสรรคมันอาจเกิดขึ้นตอนขากลับได้เหมือนในหนังที่พายุมาตอนไต่ลง อันนี้เป็นข้อเตือนใจและปรับใช้ได้แน่ๆ เช่น จะไปเที่ยว มีเงินไปหมื่นนึง ใช้จนตอนกลับเหลือแค่ 200 ซึ่งไม่ควร เผื่อขากลับมีอะไรฉุกเฉินขึ้นมานี่แย่ จะเอาเงินที่ไหนใช้ แถมบางสถานการณ์บางเวลาก็อาจไม่สามารถใช้บัตรเครดิตรูดได้ในทุกที่


ต่างกับชีวิตจริง เพราะพอคิดเรื่องนี้แล้วนึกขึ้นได้ว่า เราเคยได้ยินคำคมที่ว่า "ชีวิตคือตั๋วขาเดียว ไม่มีขากลับ" 


ดังนั้น การท่องเที่ยวที่มีขากลับ กับ ชีวิตจริงที่ไม่มีขากลับ .... อะไรน่ากลัวกว่ากัน?



i.telegraph.co.uk


อย่างที่สอง ความฝันมีค่าใช้จ่ายและมีเวลา .... ใช่แล้ว ทริปทัวร์ไปปีนเอเวอเรสต์เป็นความฝันที่มีค่าใช้จ่ายแพง แพงโคดดดดดดดด ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ราคาคือคนละ 68,000 หน่วยไม่ใช่บาทแต่เป็น USD คูณ 35 เข้าไปก็ 2 ล้านบาทสิจ๊ะ แพงมากแบบไม่ไหวแล้วอะ ที่แพงนี่คือค่า Safety ล้วนๆ ดังนั้นเสีย 160 บาทไปดูหนังเหอะ T^T


ถามว่าทำไมต้องใช้เวลาเกือบสองเดือนขนาดนั้น? คร่าวๆ คือส่วนมากจะเสียเวลาไปกับการปรับสภาพร่างกายให้ชินกับที่สูง โดยทริปจะเริ่มจากการเดินจากพื้นราบ(ซึ่งก็อยู่บนที่สูง)ขึ้นไปยังฐานของเอเวอเรสต์หรือ Everest Base Camp[EBC] ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าวันแล้ว แล้ว ณ จุด EBC ออกซิเจนจะมีน้อยมาก เหลือแค่ประมาณครึ่งนึงของที่พวกเราสูดกัน ใครแพ้ ก็จะมึนหัว ร่างกายเริ่มส่อแววไม่ดี ดังนั้นต้องใช้เวลาปรับตัว ณ จุดนี้นานพอควร


และจาก EBC ไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ ก็จะมีจุดต่างๆ ขอสมมติเป็น A B C D และ ยอดเอเวอเรสต์ ซึ่่งไม่ใช่จะเดินดุ่มๆ จาก EBC ไปถึงยอดได้ ต้องเดินจาก EBC ขึ้นไปจุด A แล้วกลับมา EBC วันต่อมาก็ทำแบบนี้ซ้ำๆ เพื่อปรับสภาพร่างกายก่อนนั่นเอง ไม่งั้นอาจช็อกถึงขั้นตายได้ ในหนังก็มีฉากที่นักท่องเที่ยวหลายคนแพ้สภาพอากาศแบบนี้ ถึงขั้นอ้วกเป็นเลือดเลย น่ากลัวมากกกก หรือหนาวจัดจนมือเน่า 



ใครอยากอ่านเกร็ดเรื่องนี้แบบละเอียด แนะนำที่ หมอๆตะลุยโลก เขียนไว้ เขียนดีมากกกก



prathatravel.com


อย่างที่สาม อีกข้อสงสัยที่เกิดจากหนังเรื่องนี้คือ คนที่คิดจะขึ้นไปปีนถึงเอเวอเรสต์ ในใจเค้าคิดอะไรอยู่ เพราะไม่มีอะไรการันตีว่าเค้าจะไปถึงปลายทาง(หรือจะมีชีวิตรอดกลับมา) ระหว่าง ปีนถึงแน่ๆ มั่นใจ VS ถึงไม่ถึงไม่รู้ ขอลองไว้ก่อน .....รวมไปถึง หากคนที่เรารักมากๆ มาบอกว่า จะไปปีนเอเวอเรสต์ เราจะยินดีกับเค้าและเอาใจช่วย หรือ จะขอว่าอย่าไปเลย กลัวเค้าเป็นอันตราย


สรุปโดยรวม หนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่แบบ Must Watch ต้องไปดูให้ได้ แต่ก็นั่นแหละ ย้ำอีกที คนที่อยากออกไปเที่ยวแบบ adventure ไม่ควรพลาด :)


ปอลอ หลายคนอาจสงสัยเหมือนเราว่าเค้าถ่ายจากสถานที่จริงมั้ย ลองหาข้อมูล ถ่ายหลายที่เลย เช่น ในสตูดิโอ เขาในยุโรป ส่วนโลเกชั่นเนปาล ตรงส่วนของฐานเอเวอเรสต์นั้นเป็นของจริงจ้ะ

แสดงความคิดเห็น

>

7 ความคิดเห็น

Ciuffi_. 29 ก.ย. 58 เวลา 22:03 น. 1

เพื่อนที่เราไปดูมา บอกว่า 


สนุกมาก ได้สาระจ้า

ค่ะ เพื่อนบอกทั้งสนุก ทั้งได้สาระ และซึ้งมาก ควรไปดู #เพื่อนกล่าวไว้ 

0
lจ้าหญิงน้ำแข็ง 29 ก.ย. 58 เวลา 22:11 น. 2

โดยส่วนตัวเราชอบหนังเรื่องนี้นะ มันมีอะไรหลายๆอย่างลงตัว แม้ส่วนใหญ่จะดำเนินเรื่องแค่การไปปีนเขาก็ตาม 5555
แต่เราก็ลุ้นไปกับตัวละครนะ เอาใจช่วยมาก บางทีก็แอบคิดว่าตัวเองไปปีนกับเขาด้วย (แต่ดูจากสภาพเราคงตายก่อน 555)
แล้วก็ถ้าให้แนะนำเราก็แนะนำให้ไปดูเรื่องนี้นะ มันได้อะไรเยอะกว่าที่คิด

0
แย้sie 29 ก.ย. 58 เวลา 22:29 น. 3

ดูแล้วร้องไห้กลางโรงเลยจ้า คือมันก็ไม่ได้มีฉากบีฟหรือฉากไคลแมกซ์ให้ร้องไห้ขนาดนั้นหรอกนะ

แต่ร้องไห้หนักมาก หนักตั้งแต่ตอนต้นเรื่องละ(มันซึ้ง)
เรื่องนี้สะท้อนหลายๆอย่างมาก แบบคนดูสามารถดูแล้วเข้าใจได้
ไม่ใช่หนังที่แบบสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อน ขายความสะท้อนไรงี้อ่ะ
แต่แบบดูไปแล้วเข้าใจได้เองเลยล่ะ

เช่นความมีน้ำใจจากใจจริงๆไม่ใช่ทำเพื่อแค่เรื่องธุรกิจ
มันทำให้หลายๆคนถึงกับสะอึกเลยนะ

โดยเฉพาะในสังคมที่มีแต่ผู้คนที่เย็นชาให้ความสนใจกับตัวเองมากกว่าคนอื่นเหมือนสมัยนี้อ่ะ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

นิพพาน 30 ก.ย. 58 เวลา 09:06 น. 6

เราก็ไปดูมา เลือกเรื่องนี้แทนเมซรันเนอร์คนเค้าเยอะมากเลยเอาเรื่องนี้แทน เราว่าคุ้มกับค่าหนังมาก รู้สึกถึงเวลาที่นักแสดงถึงยอดเราปริ่มมากน้ำตาคลอ จุดไคลแมคซ์คือพายุ โอ้ย มันนั้นกลัวมากจะมีใครเห็นพายุใกล้กว่านี้อีกมั้ยนากจากนักปีนเขา

โรงหนังก็เป็นใจเปิดแอร์ซะเหมือนเราไปเอเวอเรสเลย ดีจริงๆ คนในโรงน้อยวันที่ไปดูมี 9 คน

สรุปหนังดีค่ะ สนุก ตื่นเต้น นักแสดงก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี คงไม่ต้องบอกถึงฝีมือการแสดง
ให้ 7/10

0
ิqm 24 ต.ค. 66 เวลา 01:11 น. 7

สรุปถ้าหนังเล่าจากเรื่องจริง

1.ยาสุโกะตายเพราะความงี่เง่าของเบค ตัวเองไม่สบาย คือมีแรงดันในตา ร่างกายไม่พร้อม พาตัวเองไปเป็นภาระทีม

และตัวเองไม่ไหวร่วงสไลด์ใส่เพื่อนทำให้ยาสุโกะบาดเจ็บและช่วยเหลือตตัวเองไม่ได้จนตาย

2.ดั๊กตายเพราะร่างไม่ไหว ไอ แต่ฝืนเหมือนกัน พลอยทำให้ รอบกับแฮริสตาย เพราะต้องคอยมาช่วยเหลือ

3.สก๊อต ตายเพราะไม่ไหว แต่ฝืนเช่นกัน ไม่สบาย แทนที่จะลงมาก่อน ดันขึ้นไปอีก แต่ดีตรงที่ทำตัวเองตาย ไม่ได้ทำคนอื่นตายเหมือน 2 เคสบน

สรุปพวกประสาท อยากพิชิต แต่ไม่ไหว แล้วฝืนทั้งนั้น พวกนี้สมควรตาย แต่ไม่ควรทำให้คนอื่นๆที่ควรรอดตายไปด้วย

คนที่สมควรตายสนอง need ตัวเองคือ เบค/ดั๊ก/สก๊อต และคนที่ไม่สมควรตายคือ ยาสุโกะ/รอป/แฮรีส

0