Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

4 ปี กับการเตรียมตัวทำ Ielts 7.5+ ทันไหม

ตั้งกระทู้ใหม่
ผมอยากไปเรียนต่อเมืองนอกมาก เห็นในนั้นบอกว่า ต้องทำ ielts ให้ได้ 7.5 ขึ้นไป 
ผมอยากรู้ว่า เตรียมตัว 4 ปี ที่ ปตรี ทันไหม 
แล้วควรทำอย่างไงบ้างเพื่อเพิ่ม คะแนน ความรู้ ช่วยบอกผมทีเพราะมันสำคัญกับผมมมากจริงๆ ?

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

cool monkeyz 11 พ.ย. 58 เวลา 20:43 น. 1

เราว่าทำได้นะ เริ่มแรกดูตัวเองก่อนเลยว่าตอนนี้เราได้เท่าไหร่ แล้วก็ค่อยๆพัฒนา

ทำอะไรเพื่อเพิ่มคะแนน เพิ่มความรู้ เราว่าฝึกฝนอ่ะ อาจจะดูธรรมดามากๆ คนอื่นก็พูดแบบนี้ แต่มันจริงนะ แล้วก็ใช้ได้จริงๆแหละ

Listening เราว่า ดูหนัง (ตอนแรกเริ่มจากดูภาษาอังกฤษ ซับอังกฤษก่อน แล้วค่อยปิดซับอังกฤษ) ฟังข่าวเป็นภาษาอังกฤษพวก CNN หรือ BBC อะไรพวกนี้ (สอบ IELTS listening เป็นสำเนียงอังกฤษ ฟังพวก BBC น่าจะดีกว่า)

Reading ก็อ่านโลดจ่ะ อาจจะอ่านนิยายภาษาอังกฤษ หรือถ้าไม่มีเวลามากมายก็อ่านข่วงภาษาอังกฤษก็ได้ ข่าวหน้าสองหน้า ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่หรอก หาอะไรที่อยู่ในระดับตัวเอง ไม่ยากจนเกินไป แต่ก็ไม่ง่ายจนเราอ่านสบ๊ายสบาย ถ้ายากเกิน เราก็ท้อ แต่ถ้าง่ายเกินไปเราก็ไม่พัฒนา ถ้าเจอคำไหนไม่เข้าใจ ลองอ่านต่อไปอีกซักประโยคสองประโยค แล้วดูว่าเราเข้าใจมั้ย เพราะตอนสอบ เราไม่มีดิคให้ ฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจอะไร เราก็ต้องหาอะไรที่จะทำให้เราพอเข้าใจในบทความนั้นนั่นแหละ แล้วเราก็ลองจดคำศัพท์ที่เราไม่เข้าใจดู ลองหาความหมายแล้วก็ลองใช้มัน ใข้คำนั้นแต่งประโยคดู เราจะได้จำได้ มันก็จะช่วยด้าน writing ด้วยเพราะเราจะได้มีคำศัทพ์ใช้ในการเขียนมากขึ้น ท่องคำศัพท์สำหรับเรา เราว่าไม่ช่วยสำหรับ IELTS หรอก ท่องไป ถ้าเจอคำศัพท์เราก็อาจจะจำได้ แต่ถ้าเราต้องทำ writing ที่เราต้องดึงคำศัพท์มาจากหัว เราว่าเราคิดคำออกมาไม่ทันหรอก เพราะเราไม่เคยได้ใช้มัน ยิ่งใช้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งจำได้แม่นเท่านั้น

Writing อย่างที่เราบอกอ่ะ เราว่าถ้าเราไม่ใช้เลย เราก็จะคิดคำศัพท์นั้นไม่ออก ยิ่งใช้เวลาคิดมากเท่าไหร่ ยิ่งเสียเวลาสำหรับเขียนและเช็คแกรมม่ามากเท่านั้น ฉะนั้น ถ้าเราอยากคิดคำศัพท์ได้เร็วๆก็ควรจะฝึกเขียนเยอะๆ บางทีเราก็ไม่ต้องเขียน essay ของ IELTS ตลอดเวลาก็ได้ (แต่ก่อนสอบก็ฝึกๆการเขียนแบบ IELTS ดูนะ) บางทีเราอาจจะเขียนอะไรเล็กๆน้อยๆแบบ ไดอารี่เป็นภาษาอังกฤษ วันนี้เราทำอะไร เจออะไร หรือไม่ก็ลองทำพวก ตารางหรือ to-do list เป็นภาษาอังกฤษดู ถ้ามีเพื่อนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษด้วยยิ่งดีใหญ่ ลองเขียนคุยกันเป็นภาษาอังกฤษดู ใช้บ่อยๆ บางทีคิด topic อะไรมาซักอันหรือหาจากในอินเตอร์เน็ตก็ได้ แล้วลองเขียนดู แล้วก็ส่งให้เพื่อนช่วยเช็ค ช่วยกันเช็คแกรมม่า เพราะบางทีเราคิดว่าเขียนดีแล้ว แต่แกรมม่าอาจจะผิดเยอะ ถ้าไม่มีเพื่อนเช็ค พอเขียนเสร็จ เช็ครอบนึงเสร็จ ปิดมัน แล้วไปทำอย่างอื่น ทำอะไรก็ได้ซักพัก แล้วค่อยกลับมาอ่านใหม่ เราอาจจะเจอที่ๆเราผิดแกรมม่าหรือไม่ก็เจอที่ๆเราคิดว่าเขียนไม่รู้เรื่องก็ได้ (เวิร์คๆ เราก็ทำอยู่)

Speaking นี่แอบฝึกยากแฮะ เพราะไม่มีคนคุยด้วย หรือไม่ก็หาคนคุยด้วยยาก เราว่าที่ speaking ยากคือ เวลาเค้าถามอะไรมา หรือเวลาเราต้องพูด เราไม่มีเวลาคิดเรื่องคำและแกรมม่ามากมาย เราต้องตอบเค้าทันทีเลย (พูด เอิ่มกะเอ่อ นานๆ หรือหยุดนานๆ อาจเสียคะแนนได้นะ) ถ้ามีเพื่อนที่อยากฝึกภาษาอังกฤษด้วยก็โชคดีไป พูดกะเค้าเป็นภาษาอังกฤษดู เรื่องนี้ ด้านได้อายอดนะ มัวแต่อายก็ไม่ได้ฝึก ไม่ได้ฝึกก็ไม่พัฒนา ถ้าไม่มีอันนี้เราอาจจะต้องหน้าหนาๆหน่อย เช่น พูดคนเดียวเวลาอยู่คนเดียว คิด topic อะไรมาซักอันหรือหาจากในเน็ต แล้วลองพูดดู​​ (ในตอนสอบเค้าจะมีช่วงนึงที่คนคุมจะให้หัวข้อมา ให้เวลาเราแพลนซักนาทีนึงแล้วให้เราพูดไม่หยุดสองนาที)

วิธีเพิ่มคะแนน สอบ IELTS เราว่ามันก็มี trick ในแต่ละ part ของมันอ่ะ เราใช้ทริคพวกนี้ในการสอบแต่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเวิร์คสำหรับทุกคนมั้ย ถ้าอยากได้ เดี๋ยวเราโพสอีกที เพราะมันยาว ฮ่าฮ่าฮ่า

ถ้ามีงบก็เรียน IELTS ของ British Council ก็ได้มั้ง แต่เราไม่รู้นะว่าเป็นยังไงเพราะเราไม่เคยเรียนอ่าาาา

สี่ปีมีเวลาพัฒนาเยอะล่ะ เราเคยเห็นเพื่อนเราที่พัฒนาเยอะมาก แล้วใช้เวลาแค่ปีเดียวเอง ถ้าตั้งใจ ทำได้อยู่แล้วล่ะ

สู้เค้านะ

2
go0323123 11 พ.ย. 58 เวลา 22:16 น. 1-1
เยี่ยม ขอบคุณมากๆๆนะครับสำหรับคำแนะผมจะพยายามทำตามที่คุณบอกนะครับ ส่วนเรื่องtrick ถ้ามีเวลาสักหน่อยก็ ช่วยเขียนให้ผมหน่อยได้ไหมครับ
0
cool monkeyz 12 พ.ย. 58 เวลา 22:28 น. 1-2

No pressure แต่ 7.5 ขึ้นไปนั้นมีหลายแบบนะ มี overall 7.5 หรือ each part 7.5

ถ้า overall 7.5 อาจจะได้ง่ายกว่าเพราะเราสามารถทำดีมากๆใน part นึงเพื่อนเสริมใน part ที่เราคิดว่าไม่แข็งได้ (เช่น 8 ใน listening แต่ 7 ใน reading พออกมาก็ overall 7.5)

เต็ม 40 นะ:

7.5 ของ Listening คือต้องได้ 32 ขึ้นไป (32-34 คะแนนคือ 7.5)

7.5 ของ Reading คือต้องได้ 33 ขึ้นไป (33-34 คะแนนคือ 7.5)

Speaking กะ Writing นั้นขึ้นอยู่กับคนเช็คล่ะ

0
cool monkeyz 12 พ.ย. 58 เวลา 14:25 น. 2

เคยเขียนในบอร์ดนึงไปแล้ว แต่คนนั้นเค้าจะสอบ ELTIS อ่ะ ไม่ใช่ IELTS เศร้ามาก ฮ่าฮ่าฮ่า

ไม่ ได้ทำ IELTS ได้ซักสามปีได้แล้วมั้ง เราอาจจะจำรายละเอียดไม่ได้เท่าไหร่ พวกตรงไหนหักคะแนนบ้าง เราคงจำไม่ได้มาก แต่พวกนี้คือที่เราจำได้แหละ หวังว่ามันจะช่วยได้บ้างนะ

Listening ส่วนใหญ่มี 4 part อ่ะ part 1 จะเป็นประมาณว่าฟังบทสนทนาแล้วตอบคำถาม บางทีเป็นฟอร์มให้กรอก คำถามก็จะเป็นพวก ชื่อ(ของคนในบทสนทนา)อะไร เบอร์โทรอะไร ที่อยู่ที่ไหน อะไรแบบนั้น part 2 มีให้จับคู่คำถามกะคำตอบ แล้วก็มีเติมคำในช่องว่างบ้าง part 3 กะ part 4 เราว่ายากหน่อยอ่ะ เพราะมันเป็นเหมือนให้ฟังบทความแบบที่มีความรู้อ่ะ แล้วให้เติมคำในช่องว่างหรือ multiple choice

ทริกที่เราใช้นะ (ไม่รู้สำหรับคนอื่นเป็นไงนะ) คือ อ่านคำถามแล้วหา keyword ในคำถาม ดูว่าเค้าต้องการให้เราตอบอะไร เช่น คำถามถามชื่อ ถามที่อยู่ หรือว่า คำถามที่ให้เราต้องเติ่มคำในช่องว่างอ่ะ เกี่ยวกะอะไร listening มันจะไปข้อต่อข้อลงไปเรื่อยๆ ไม่มีวกกลับแบบบอกข้อมูลให้ตอบข้อสามก่อนแล้วค่อยบอกของข้อสอง ถ้าข้อหนึ่งถามชื่อ ข้อสองถามที่อยู่ บทสนทนาก็จะเริ่มด้วยชื่อก่อน แล้วก็ตามด้วยที่อยู่ แล้วก็ไปเรื่อยๆตามข้อคำถาม พอมันเริ่มเกริ่น keyword เราแล้ว เราค่อยฟังดีๆอ่ะ

part 1 ต้องระวังนิดนึงคือ บทสนทนาชอบพูดว่า "อุ๊ย ผิด" แล้วแก้คำตอบใหม่ เช่น เบอร์โทร 02-1234 อุ๊ยผิดๆ 02-1233 อะไรแบบนั้น หรือว่าบางทีชื่อหรือที่อยู่มันสะกดยาก เค้าจะสะกดให้ (แล้วบางทีมี อุ๊ยผิดๆ แบบ M-i-c-h-e-l อุ๊ยผิดๆ M-i-c-h-e-l-l-e อะไรแบบนั้น) ฉะนั้น ฟังดีๆ อย่าเขียนคำตอบแบบแน่ใจลงไปเลย เขียนคร่าวๆฟังดีๆไปก่อน (จริงๆแล้วเขียนไปบนกระดาษข้อสอบก่อนก็ได้แหละ เค้าน่าจะให้เวลาเขียนลงกระดาษคำตอบทีหลังแต่ต้องดูดีๆนะ)

part 3 หรือ part 4 อันนี้เราว่ายากหน่อย สำหรับเราเราใช้วิธีเดิมคือหา keyword เช่น


แบบ นี้เราก็หา keyword แบบ ข้อ 15 เค้าถาม target group เค้าก็จะเริ่มเกริ่นมาก่อนเลยว่า workshop อะไร contact แบบไหน แล้วก็ target group อะไร เราก็หา keyword ว่า คำถามข้อ 15 ต้องการคำตอบเรื่อง target group ของ adjusting workshop พอเค้าเริ่มพูดเรื่อง adjusting workshop เราก็ฟังดีๆ อะไรแบบนั้น ข้อ 19 ถามว่า workshop อะไร มันจะมาหลังเค้าพูดเรื่อง target group ของ anxiety workshop แล้ว ฉะนั้นพอเราเริ่มได้ยินว่าเค้าพูดเรื่อง target group ของ anxiety workshop เราก็มาสนใจฟังดีๆ

Reading มี 3 บทความ ให้ทำบทความละ 20 นาที แล้วแต่ว่าใครอ่านเร็วแค่ไหนนะ สำหรับเรา เราอ่านบทความรอบนึงก่อนทำ พอเราอ่านเสร็จเราจะเริ่มรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนของบทความ แล้วเราก็หา keyword เหมือนเดิมว่าเค้าถามอะไรแล้วเราก็ไปหาคำตอบจากในบทความอีกที มันจะหาเร็วขึ้นเพราะเราพอรู้คร่าวๆแล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง reading เหมือน listening คือ คำถามมันจะตามบทความลงไปเรื่อยๆ มันจะไม่มีย้อน ถ้า paragraph ที่สามถามข้อหนึ่ง จะไม่มีคำตอบข้อสองใน paragraph ที่หนึ่งหรือสอง

เช่น...นี่คือ 2 paragrah ของบทความนึงที่เป็นตัวอย่างข้อสอบ IELTS

นี่คือตัวอย่างคำถาม

อย่าง ที่เห็นคือ คำถาม 8 ถามเรื่องเวลา ถ้าเราอ่านหมดแล้ว เราจะเห็นว่า keyword คือ เวลาต่างๆ และ คำว่า เวลาตื่นนอน เราก็จะไปหาในบทความว่า paragraph ไหนเกี่ยวกะเวลาตื่นนอน แล้วก็คำถามที่ 9 ถามเรื่องลดน้ำหนักและกิจกรรมหลังอาหารเช้า เราก็จะเห็นได้ว่าคำตอบข้อ 9 อยู่ใน paragraph ที่มาทีหลัง paragraph ที่มีคำตอบข้อ 8 มันจะไม่มาก่อนแน่นอน (แต่หลังแค่ไหนก็แล้วแต่ข้อสอบนะ) keyword คือลดน้ำหนักกะอาหารเช้า เราก็ไปหาว่า paragraph ไหนมี keyword สองอันนี้มั่ง

สิ่งที่เราเกลียดที่สุดคือ true/false/not given สิ่งที่ทำให้งงคือ not given อันนี้เราไม่มี trick แฮะเพราะเราก็งงเหมือนกันว่าเราผ่านมันมาได้ไง

Writing มี 2 part part แรกเป็นการเขียนอธิบาย อาจจะเป็นการอธิบาย graph หรือ chart หรือ อธิบาย process ของเครื่องมืออะไรซักอย่าง ใช้เวลาทำซัก 20 นาที เค้าให้เขียนแค่ 150 คำ writing สำหรับเรา เราว่าอธิบาย graph หรือ chart ง่ายกว่าอธิบาย diagram พวก process อะไรต่างๆนะ เราว่าให้ใช้คำที่หลากหลายและใช้คำที่อธิบายภาพเช่นคำว่า graph is rising สามารถใช้คำอื่นๆเช่น improving, ascending หรือ climbing แล้วก็อธิบายว่าขึ้นอย่างไรเช่น gradually (ค่อยๆ) หรือ rapdily / sharply (รวดเร็ว) ถ้าเป็น chart ก็ใช้คำพวก half / quarter / double / tripple หรือ เปอร์เซ็นต์ เราไม่เพียงแต่สามารถเขียนอธิบาย graph หรือ chart เราสามารถเปียบเทียบอะไรใน graph หรือ chart ได้ใช้คำพวก in contrast / while / compare with หรือคำเบสิคอย่าง .....than.....


เช่น ถ้าเจอรูปแบบนี้ paragraph แรก เราก็เขียนคร่าวๆไปก่อนว่า-รูปนี้คืออะไร เช่น chart นี้แสดงถึง household expenditure ของสองประเทศ, ญี่ปุ่นและมาเลย์เซีย paragraph 2 เราก็อาจจะเขียนไปว่า 2 chart นี้มีอะไรที่เหมือนกันเช่น สามอย่างที่เยอะที่สุดคือ housing, food และ health care ส่วนที่น้อยที่สุดคือ health care ซึ่งญี่ปุ่นใช้เพียงแค่  6% และมาเลย์ใช้ 3% paragraph 3 เราก็หาอะไรที่แตกต่างระหว่าง 2 chart แล้วเปรียบเทียบเช่น expenditure ที่เยอะที่สุดของญี่ปุ่นคือ other goods and services แต่ของมาเลย์คือ housing ถึงแม้ housing จะเป็นหนึ่งใน main expenditure ของญี่ปุ่น แต่ expenditure ใน housing ก็น้อยกว่ามาเลย์ถึง 13%

line graph เราก็เขียนพวก กราฟนี้พุ่งขึ้นสูง อย่างรวดเร็ว หรือค่อยขึ้น หรือค่อยๆตกอะไรประมาณนั้น ตอนเปรียบเทียบก็หามาเปรียบเทียบซักสองสามอันเช่น กราฟสองกราฟนี้เริ่มต้นใกล้ๆกัน แต่พอเวลาผ่านไป กราฟแรกกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วทำให้กราฟแรกมีค่ามากกว่ากราฟที่สองใน จุด.....

bar graph เราก็อาจจะอธิบยาว่ากราฟไหนสูงสุด กราฟไหนต่ำสุด เวลาเปรียบเทียบก็อาจจะบอกว่ากราฟนี้มีค่าเป็นสองเท่าของอีกกราฟนึง หรือน้อยกว่าอีกกราฟนึงอะไรแบบนั้น

สรุปคือ part แรก format การเขียนของเราอาจเขียน intro (เขียนว่ากราฟนี้คือกราฟอะไร) อธิบายชาร์ต (กราฟเป็นยังไง อะไรสูงสุด อะไรต่ำสุด) เปรียบเทียบ (กราฟนี้ต่างกะอีกกราฟอย่างไร) แล้วก็สรุป

part 2 คือให้หัวข้อมาแล้วให้เขียนเรียงความไม่เกิน 250 คำ ให้ใช้เวลาใน part นี้ประมาณ 40 นาที ตอนเราเขียนเราแบ่งเป็น 4 paragraph อ่ะ intro 1 paragraph, body 2 paragraph แล้วก็ conclusion 1 paragraph ในตัว body paragraph นึงเขียนเหตุผลที่เห็นด้วย และ paragraph 2 เขียนเหตุผลที่ไม่เห็นด้วย แล้ว conclusion คือเราตัดสินว่าไง เช่น



เรื่อง นี้เกี่ยวกะว่าเราควรให้ผู้เหญิงเข้าเป็นทหารเหมือนผู้ชายมั้ย...อินโทรเรา ก็อาจจะเกริ่นๆแบบ สมัยนี้มีสงครามมากมาย ทำให้เราต้องมีทหารมากขึ้น และเดี๋ยวนี้ผู้หญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมผู้ชายมากขึ้น ฉะนั้นการเข้าเป็นทหารก็เหมือนกัน paragraph ต่อมาเราก็พล่ามไปว่าทำไมผู้หญิงถึงควรเข้าเป็นทหารเหมือนผู้ชายได้ เช่น เราก็มีความสามารถเหมือนกัน สิทธิ์เท่าเที่ยมกัน หาอะไรมายกตัวอย่าง เช่น ในคำถามนี้ก็ยกตัวอย่างประเทศอเมริกาที่มีผู้หญิงเป็นทหาร ไปอิรักรัยงี้ paragraph อีกอันก็บอกว่าทำไมผู้หญิง "ไม่ควร" เป็นทหารแบบผู้ชาย เช่น ร่างกายไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการทำอะไรหนักๆ แล้วก็ยกตัวอย่างไปเรื่อง แล้ว conclusion ก็คือ ตกลงว่าไง เลือกอะไร ในคำถามนี้คือ ตกลงเราควรหรือไม่ควรให้ผู้หญิงเป็นทหาร

เขียนแค่ 250 คำ ดูที่แกรมม่าและการใช้คำเป็นหลัก ไม่ต้องเขียนเยอะ (เขียนให้ถึงที่เค้ากำหนดแต่ไม่ต้องเขียนเกินเยอะก็ได้ ดูคุณภาพของการเขียนดีกว่าจำนวน) ใช้คำอย่าซ้ำกันบ่อยๆ อย่าง soldier ก็มีหลายคำเช่น officer / militant / trooper อะไรแบบนั้น ใช้คำเชื่อมต่างๆเช่น เวลาจะเพิ่มอะไรก็ใช้ furthermore / moreover / in addition / also แทนที่จะใช้ and ตลอด แล้วก็แทนที่จะใช้ but ตลอกเวลาจะแย้งก็ใช้ however / on the other hand / nonetheless / although / despite เวลาสรุปก็ใช้พวก therefore / in conclusion / hence / thus แทนที่จะใช้ so ตลอด และอีกอย่างที่สำคัญคือ ไม่ควรใช้คำว่า "And" ในการเริ่มประโยค มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครชอบเลย (เราโดน feedback เรื่องนี้บ่อยจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย) ฉะนั้นพวกคำเชื่อมพวกนี้สำคัญนะ

สรุป คือ part 2 format การเขียนคือ intro (แนะนำว่าเราจะเขียนอะไร) เหตุผลที่เห็นด้วย เหตุผลที่ไม่เห็นด้วย แล้วก็สรุป (ตกลงเราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ทำไม?) 250 คำสั้นมากๆ ฉะนั้น เหตุผลไม่ต้องเยอะเลย หาเหตุผลทำไมถึงเห็นด้วย/ไม่เห็นด้วยมาซักอย่างละสองข้อก็เหลือหลายละ เราว่า

Speaking....พูดไปเต๊อะ เราว่า ไม่ต้องอาย พูดโลด มั่นใจเข้าไว้ พยายามใช้คำ สื่อสารให้คนฟังเข้าใจ เราไม่คิดว่าถ้าสำเนียงไม่ดีเค้าจะหักคะแนน แต่เราว่ามันเป็นเรื่อง clarity ของการพูดมากกว่าคือ เค้าเข้าใจที่เราพูดรึเปล่า ถ้าให้เราแบ่งนะ เราแบ่งเป็น 3 part อ่ะ part แรกเค้าจะให้แนะนำตัว เราก็ประมาณว่า ชื่ออะไร เรียนที่ไหน เรียนอะไรอยู่อะไรแบบนั้น เค้าก็อาจจะถามนู่นนี่ เมืองเป็นยังไง เรียนเป็นยังไงอะไรแบบนั้น คุยกะเราบ้าง แล้ว part 2 คือ เค้าจะให้หัวข้อมา ให้เวลาเราแพลนซักนาทีนึงได้มั้งแล้วให้เราพูดเกี่ยวกะหัวข้อนี้ 2 นาที เวลาแพลนสำคัญมากๆ เพราะเวลาพูดอะไรแบบนี้ ต้องพูดยาวๆ อย่าหยุดคิดพูดพวก "เอิ่ม" หรือ "เอ่อ" หรือ หยุดไปเลยพักนึงอาจทำให้เสียคะแนนได้ เวลาแพลน เราเขียนเป็นเหมือน mind map อ่ะว่า หัวข้อนี้พูดเกี่ยวกะอะไรได้บ้าง แล้วที่เราจะพูดอ่ะใช้ตัวอย่างอะไรดี มีประสบการณ์อะไรบ้างอะไรแบบนั้นอ่ะ

เช่น topic คือ "Describe interesting city you know and like" (หวังว่าจะอ่านลายมือเรารู้เรื่องนะ เหะๆ)



พอ พูดเสร็จเค้าก็จะมีถามนู่นถามนี่บ้าง อีกอย่างคือ พอหมดสองนาทีแล้วเค้าจะตัดบทเราฉับเลยนะ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องอาย พูดเยอะๆให้เค้าตัดบทดีกว่าพูดน้อยๆแล้วหยุดก่อนเวลาหมดนะ เราว่า แล้ว part สุดท้ายคือ discussion เค้าจะถามคำถามมาแล้วให้เราอธิบาย สนทนากะเค้าอะไรแบบนั้นอ่ะ เวลาเค้าถามอะไรมา  แทนที่เราจะพูด "เอิ่ม" หรือ "อ่า" เราอาจจะพูดคำเช่น "to be honest" หรือ "tell you the truth" หรือ "actually..." เพื่อเป็นการยืดเวลาได้บ้าง

ปล. ทริกนี้เราใช้แต่ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะใช้ได้มั้ยหรือใช้เป็นยังไง (โดยเฉพาะ reading กะ listening อ่ะนะ) แต่ละคนก็มีวิธีไม่เหมือนกันเนอะ ลองก่อนทำในวันสอบละกันนะ เพราะถ้ารู้ว่ามันไม่เวิร์คสำหรับตัวเอง จะได้มีเวลาคิดทริกใหม่ให้ตัวเองทัน

(credit คำถามและรูปของคำถาม IELTS british council website)

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

เนื้อหาซ้ำ เคยโพสท์ไปแล้ว เพื่อความเป็นระเบียบกรุณาโพสท์กระทู้เพียงครั้งเดียว

nics 5 มิ.ย. 62 เวลา 23:07 น. 5

4 years is a lot. You can easily get overall 7.5 just by integrating English in your daily life but getting everything 7.5+ is a different story.

I got 9 : 8.5 : 7 : 6 (L:R:S:W). Enough for overall 7.5 but failed to get speaking/writing over the line.


Fortunately for me, I got what I applied for and also allowed to use that for another application after I finished from my first destination so I don't have to deal with this ever again.

(p.s. not in an English speaking country though, so my scores are more than enough but it is noteworthy that my friends who got accepted to the top US university got lower IELTS/GRE than mine)


In short, the reading and listening parts are the easiest. Try searching in English first whenever you are looking for something on the internet and read/listen to that stuff instead. That's how I got 8.5 and 9 from those parts. I never specifically go for British news, but it could help. Still, I think finding the content that you genuinely enjoy and somewhat beneficial is far more practical than looking at specific accent.


Speaking and writing are much harder. Find some friends or some random study group to practice together. I didn't get 7.5 on these parts, so I can't really say much.

(You can also see that my grammar is an absolute trainwreck, so I can't really help with these parts 555)


And just like any test ever, there is a pattern. The correction in the listening test, the absurdly long article in the reading test, etc. If you are already fluent in those skills, you will know how to get around that stuff very easily after a few practices with an old exam. โชคดีคับ


ps. Sorry for using English. I don't have thai key and can't really touch typing.

0