Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ศุภโชค

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ชัชชัย ชาญธนวงศ์

ศุภโชค
“ผี” คือพลังงานรูปหนึ่งของมนุษย์ 
มนุษย์ทุกคน ตราบใดยังมีลมหายใจอยู่ทุกคนมีผีในตัวทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น 
ผีการพนัน ผีขี้ขอ ผีบ้า ผีบอ ฯลฯ 
ผีสามารถสั่งให้เจ้าของร่างทำบาปได้ หรือบังคับให้ทำบุญก็ได้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันทดลองเรื่องผีโดยเฉพาะ จากผลการพิสูจน์จึงได้สรุปแบบเอกฉันท์ สำหรับคำนิยามของผีว่า 
“เป็นพลังงานนามธรรมไร้สภาพรูปร่าง ซึ่งพลังงานอันนี้ ถึงถูกใช้ก็ไม่มีวันหมดไป เป็นหมอกควัน และมีอณูเป็นอนันต์ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น” 
นี่เป็นนิยามของแขนงวิทย์นะครับ 
ทีนี้ลองมาฟังความคิดของหมอผีดูบ้าง เขามีทัศนะต่อผีแปลกเพียงไร คนแรกผู้ชำนาญเรื่องผีๆสางๆโดยเฉพาะ แกเป็นสัปเหร่อชื่อ ตาสมุย เรียกลุงหมุยก็ได้ ดูเป็นกันเองดี แกบอกปูทางไว้ก่อนเริ่มเรื่อง 
“ ผีหรือครับ ? สำหรับผมมันแค่คนที่ตายไปแล้ว พูดไม่ได้ กินไม่ได้ เอาแต่นอน แล้วอย่าทำสำออยกลัวเข้าล่ะ หุ่นกระบอกดีๆนี่แหละ” 
ครับนั่นทรรศนะของหมอผี ยังมีอีกท่านซึ่งเราจะมองข้ามไม่ได้ คือ หลวงปู่ ค้ำฟ้า ชีปะขาว ผู้บำเพ็ญเพียรภาวนามานับร้อยปี ท่านจึงผ่านโลกมามาก ย่อมรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ และเห็นในสิ่งที่คนธรรมดา สัมผัสไม่ได้ ท่านอ้างไสยศาสตร์ ก่อนวกเข้าเรื่องผีท่านลูบเครายาวถึงราวนมช้าๆ 
“ผีเป็นวิญญาณของคนตาย สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ หากรู้สึกรุ่มร้อน ส่วนประกอบของผีมีไม่สมบูรณ์ แห่งเนื้อดิน (สรีระ) จึงต้องอาศัยสภาพอากาศหนัก ซึ่งมักจะเย็นยะเยือก เป็นที่อยู่ ร่างกายของผีคล้ายหมอกควัน และน้ำหนักเบามาก เบากว่าอากาศจึงทำให้ลอยตัวอยู่ได้ เท้าไม่แตะดิน เพราะมวลของโลกจะมีผลทางเนื้อดินของผี ซึ่งอาจทำให้สูญสลายอย่างง่ายดาย ผีโดยส่วนใหญ่จะแพ้ลม แม้เพียงหายใจ ก็สามารถทำให้ผีปลิวกลับนรกได้ 
เอาล่ะ จากคำบอกเล่าของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ คงพอเป็นข้อมูลให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณเฉพาะตัววิเคราะห์ได้เองนะว่า ผีมีจริงหรือไม่ มีเวลาก็ลองใช้เหล้าเถียงกันได้ ผิดหูผิดทัศนะจะได้ถองหน้ากันต่อไปเลย ระวังไว้นิด อย่าไพล่หาเรื่องกันตอนหลังเที่ยงคืนเข้า เพราะนอกจากจะมืดจนมองหมัดคู่ต่อสู้ไม่ถนัดแล้ว อาจจะมีมือที่สาม สี่ ห้า ตัวเย็นชืดๆ มาร่วมวงด้วยก็ได้ 
สำหรับผมเชื่อครับว่าผีมีจริง ถ้าคุณผู้อ่านมีทัศนะแตกต่างจากผม ก็ไม่ว่ากันหรอก สำคัญอยู่ที่ว่า คุณจะฟังเรื่องที่ทำให้ผมเชื่อว่าในโลกมีผีจริง หรือไม่เท่านั้นเอง ตามสบายครับ จะวิ่งหนี หรือเอื้อมหยิบพระเครื่องมาคล้องคอก่อนอ่าน ผมก็จะเล่าหลังจากที่คุณตกลงใจได้แล้ว 
ในบ้านของผมมีลูกพี่ลูกน้องของพ่อคนหนึ่ง เป็นคนจีน ชื่อ”อาเขี่ยง” 
เขี่ยงภาษาจีนแต้จิ๋วแปลว่า เก่ง พ่อของผมเป็นคนไทยแท้ ที่มีน้องเป็นคนจีนนั้นต้องย้อนหลังไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ช่วงนั้นเป็นยุคเศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู คนจีนคนไทยจับมือกันค้าขายชาวตะวันตกอย่างคึกคัก สินค้าส่วนมากจะเป็นข้าวและผลไม้ พอทราบหรือยังครับว่าความสัมพันธ์ของพี่น้องร่วมสาบาน คู่นี้เป็นอย่างไร ถ้าจะเปรียบก็เหมือนน้ำพริกกับปลาทู ชาวนากับเถ้าแก่โรงสีไงครับ! 
พ่อบอกว่า อาเขี่ยงเป็นคนดี ไม่เอารัดเอาเปรียบใครถ้าไม่จำเป็น ขยันและเป็นกันเอง เหมือนพี่น้องคลานตามกันมาก็ว่าได้ พ่อรู้ดีว่า อาเขี่ยงแกตัวคนเดียว ลงเรือจากเมืองจีนตามลำพัง สมัยก่อนแกเป็นหมอผี ปราบผีดุที่อาละวาด ผู้คนมานักต่อนักแล้ว ภายหลังหันมาเอาดีทางขายเครื่องหนังส่งออกนอก โดยยึดเอาบ้านของผม ซึ่งอยู่ย่านปากน้ำเป็นที่อยู่ถาวร 
พฤติกรรมของอาเขี่ยงออกจะพิลึกอยู่ ตั้งแต่เช้าทีเดียว หลังจากออกท่าไท้เก๊ก เพิ่มพูนกำลังภายใจตามแบบชาวจีนโบราณเสร็จแล้ว อาเขี่ยงจะอาบน้ำ แล้วตรวจบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือนตลอดทั้งวัน ซึ่งถ้าดูในแง่คนทำการค้า ก็พอสรุปได้ว่าถูกต้อง คือขยันขันแข็งในหน้าที่การงานดี ผมยังเคยขอดูสมุดรายงานดังกล่าวเลยพบว่า มีลูกค้าชาวต่างชาติ สั่งซื้อเครื่องหนังเพียบ เพราะสินค้าของอาเขี่ยงอยู่ในเกณฑ์ดีมากนั่นเอง ดูไปมันช่างธรรมดาเหลือเกิน กิจวัตรของอาเขี่ยง ตอนแรกผมคิดอย่างนี้จริงๆ 
แต่แล้ว วันหนึ่งผมกำลังจะเข้านอน หลังดูหนังดูโทรทัศน์จบในราวเที่ยงคืนเศษ ผมจึงขึ้นบันไดสู่ชั้นสาม เพื่อจะเข้านอน ตาปรือจะหลับมิหลับแหล่ ทันใดนั้นผมได้สัมผัสแสงประหลาด ซึ่งกำเนิดจากดวงไฟ ภายในห้องของอาเขี่ยง ด้วยความสงสัยแกมอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก ป.6 จึงเสียมารยาท ปีนลังไม้เก็บเครื่องหนัง แอบดูทางช่องระบายลม สายตาผมทำความเคยชินกับดวงไฟดังกล่าวอยู่ครู่หนึ่งจนชัดขึ้นๆ ผมเห็นอะไรคุณรู้ไหมครับ ภาพนั้นลางเลือนเหมือนกลุ่มควันจางๆแต่เค้าหน้า และท่าทางอันเบาโหวงทำให้ทราบว่านั่นไม่ใช่มนุษย์ จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก “ผี” 
อาเขี่ยงกำลังเจรจาอยู่กับผีอย่างออกรสทีเดียวจนลืมสังเกตว่าผมอยู่ตรงช่องลม แอบดูพฤติกรรมของแกอยู่ ถ้าถึงขนาดคุยกับผีรู้เรื่องแล้วล่ะก็ อย่าเคลือบแคลงเป็นอื่นใดเลยนอกจากคำตอบสั้นๆแต่เพียงว่า “อาเขี่ยงเลี้ยงผี” ผมคิดด้วยอาการจินตนาการ ขนงี้ลุกซู่ทีเดียว รีบไต่ลงพื้นบ้านอีกครั้ง แบบเบาปานตีนแมวจนไม้กระดานไม่กระดิก ก็ผมกลัวผีนี่ครับ คืนนั้นผมนอนไม่ลง หลับตาครั้งใดเห็นภาพนั้นมาลอยวนเวียนอยู่ตรงหน้าทุกที บรื๋อ… 
รุ่งขึ้นผมตื่นนอนเตรียมตัวจะไปโรงเรียน พอดีกับอาเขี่ยงกำลังออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จ เหตุการณ์เมื่อคืนนี้ผมยังจำติดตาและคิดเอาไว้ว่า กลับจากโรงเรียนเมื่อไหร่ จะเข้าไปถามอาเขี่ยง กับสิ่งที่ผมเห็นให้หมดความกังขาให้ได้ นับว่าแปลกดีที่ทั้งวันนั้นผมเรียนหนังสือรู้เรื่อง ชั่วโมงภาษาอังกฤษมีการทดสอบกึ่งเซมิไฟนอล ผมก็ทำได้อย่างมั่นใจ ทั้งๆที่ปกติวันก่อนๆ ผมยังท่องเอ บี ซี ผิดเลย และแล้วเวลาเลิกเรียนได้มาถึง ผมบึ่งกลับบ้าน เร็วกว่าปกติสองชั่วโมง งดเที่ยวเตร่ชั่วคราวด้วยเหตุว่า ความคิดเรื่องผีในหัว มันเกือบจะแตกล้นหัวออกมาเป็นเสี่ยงๆแล้ว 
“อาเขี่ยงครับ สวัสดีฮะ” ผมมาถึงทักทายอย่างที่เคยทำ เสร็จแล้วผมรีบยิงคำถามใส่อาเขี่ยงอย่างตื่นเต้น 
“อาเขี่ยงครับ คนเมื่อคืนนี้เป็นใครครับ อาเขี่ยงคุยกับเขาด้วย รู้จักกับพ่อไหมครับ” 
อาเขี่ยงมองหน้าผมอย่างสนเท่ห์ นิ่งอึ้งสักครู่ จากนั้นแกรีบยิ้มแบบนึกออก ซึ่งผมรอคำตอบอยู่นานแล้ว 
“ผีไงล่ะ บรรจบลื้อรู้จักผีใช่มั้ย?” 
“ผี!” ผมทวนคำของแกในลำคอ ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที 
อาเขี่ยงพยักหน้า 
“อาเขี่ยงพูดกับผีรู้เรื่องหรือครับ” 
“รู้สิ ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง อาก็คงเหมือนบรรจบนี่แหละกลัวลานเลย” 
แกหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วอธิบายความเข้าใจในโลกวิญญาณ ตลอดจนความเป็นมาของผีตัวนี้ ซึ่งแกเรียกว่า “ผีโชคดี” คือให้โชคต่อผู้พบเห็นทุกคน จนถึงชื่อของผีตนนั้นให้ฟังด้วย 
“ผีตัวที่บรรจบเห็นเมื่อคืน อารู้จักมาเกือบห้าปีแล้ว เดิมเป็นคนที่ถือศีลกินเจ ใจบุญสุนทาน แต่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในความรัก บุญกุศลจึงไม่ส่งไปสวรรค์ แต่ก็ไม่ตกนรก ผลบุญเลยพาตัวเขาวนเวียนอยู่ในโลก รอรับส่วนบุญจากคนที่ต้องชะตา จนวันหนึ่ง อาโชคดีได้เป็นเพื่อนกับเขา ทีแรกอาก็กลัวลานเหมือนกัน ตอนที่หุ้นตก อาเกือบจะฆ่าตัวตายแล้ว ช่วงนั้นเองเขาก็ปรากฏตัวให้เห็นปลอบใจอาต่างๆนานา เขาขอเป็นเพื่อนกับอา เพราะถือว่ามีชะตาร่วมกัน อาไม่ปฏิเสธ ชื่อของเขาคือ “ศุภโชค” ตั้งแต่เป็นที่สนิทสนมกัน อารู้สึกว่าตัวเองโชคดีขึ้นทุกวัน แข็งแรง แจ่มใส ทำมาค้าขึ้น วันดีคืนดียังถูกหวยด้วยนา” 
อาเขี่ยงเล่าต่อไปอีกว่า “อันที่จริงอาก็เคยคิดจะพาไปแนะนำให้บุญลือ(พ่อผม) รู้จัก แต่สงสัยว่า มันอาจทำหัวใจของพ่อของบรรจบหยุดก็เป็นได้ เลยงดความคิดเอาดื้อๆ” 
อย่างที่เคยบอกให้ฟังข้างต้น อาเขี่ยงและพ่อสนิทกันมาก มีอยู่บ่อยที่เวลาอาเขี่ยงมีของดีก็มักจะนำมาอวดคุณพ่อ คุณพ่อพบเห็นอะไรดีๆ ก็มักจะเก็บมาเล่าให้อาเขี่ยงฟังเช่นเดียวกัน ความสงสัยของผมยังไม่หมดลงโดยสิ้นเชิงจึงถามว่า 
“อาเขี่ยงไม่กลัวผีหรือครับ” 
“กลัว แต่กลัวเฉพาะผีในตัวคนเป็นๆ ผีที่ตายแล้วอาไม่กลัวหรอก” 
“ทำไมล่ะครับ” 
“อ้าว เพราะอาพูดกับผีรู้เรื่องน่ะสิ ผีน่ะทำอะไรคนเราไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวตน แต่คนเรานี่มันมี มันสัมผัสได้ เราควรจะกลัวมากกว่าผี เพราะมันชกเราได้ ด่าเราได้ เผลอๆอาจะฆ่าเราก็ได้ด้วย เออนี่บรรจบ เอาอย่างนี้สิ คืนนี้อาจะแนะนำศุภโชคให้เธอรู้จักดีไหม” 
ผมตอบอย่างลังเล “ดี…ดี…ครับบ” 
และแล้วคืนนั้นตามนัด ประมาณเที่ยงคืนดุจวันวาน ผมได้เดินเข้าไปในห้องของอาเขี่ยง ด้วยใจระทึก ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย เพราะอาเขี่ยงบอกให้ผมเก็บเรื่องต่างๆเป็นความลับ ผมได้พูดคุยกับผีที่ชื่อ”ศุภโชค”เป็นครั้งแรก 
“หวะ…หวะ…หวะ…” ตบปากตัวเองหนึ่งครั้ง “หวัดดีครับแฮะๆ” 
“สวัสดีครับน้องบรรจบ” เขาทักตอบอย่างสุภาพ 
ต่อจากนั้น เราจึงเริ่มรู้จัก สนิทสนมขึ้นเป็นลำดับ 
จากการสนทนาหลายประโยค ทำให้ผมพบว่าผีศุภโชคขี้อาย และออกจะกลัวมนุษย์ สังเกตจากการที่เขาพยายามหลบสายตาผมเสมอ ครั้งพอถามอาเขี่ยง แกตอบว่า อำนาจจิตของมนุษย์เหนือกว่าจิตสัตว์ใดทั้งปวง รวมถึงผีอย่างศุภโชคด้วย ได้ยินดังนั้นใจผมชื้นขึ้นมาเลยลืมกลัวผีไปทันที คุยกันเรื่อยเปื่อยอย่างคนกับผีที่มีเรื่องพูดมากมาย ผีศุภโชคได้เล่าให้ผมฟังถึงความเป็นอยู่ในมิติที่แตกต่างมีทั้งโหวงเหวง เงียบ หนาว ไร้เพื่อนคุย เพราะส่วนมากการที่ผีออกปรากฏตัว พอคนเห็นก็กลัวลาน จับไข้หัวโกร๋น ที่จริงเขาต้องการคนเห็นใจเท่านั้น มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งแม้แต่น้อย อาเขี่ยงเป็นคนแรกที่กล้าพูดกล้าคุยกับเขา ด้วยสำนึกในบุญคุณ เขาจึงตอบแทนโดยให้ลาภอยู่เนืองๆ 
ผมคิดว่าจะต้องนำเรื่องเหลือเชื่อนี้ไปเล่าให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง อันที่จริงในโลกของวิญญาณก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ สภาพบ้านเรือนตั้งเรียงรายคล้ายตึกแถว ร้านรวงขายสินค้าก็มี ต่างกันที่อุณหภูมิเท่านั้น คือในโลกวิญญาณ อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งติดลบถึงหนึ่งร้อยองศาฯ คุยมาเรื่อยจนถึงอายุอานาม พอพูดจบประโยคผมเห็นหน้าตาเขาซึมลงทันที ผมไถ่ถามรายละเอียด เขาก็บอกว่า สัญญาระหว่างผีกับคนนั้นสั้นนักเพียงห้าปีเท่านั้น แล้วเขาต้องรีบหาเพื่อนใหม่ ไม่เช่นนั้นตัวผีศุภโชค จะกลายเป็นอับโชคทันที ผมถามว่ามีหนทางแก้ไขอย่างไร เขาเผยความลับว่า ต้องเป็นคนที่มีอายุในราว ยี่สิบ – สี่สิบปี ถือศีลห้า มีจิตใจอันบริสุทธิ์เท่านั้น ก็เป็นอันว่าผมหมดสิทธิ์ เพราะนอกจากอายุไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการแล้ว ผมยังฆ่าสัตว์และผิดศีลห้าหลายข้อด้วยกัน ผมเลยคิดว่าจะตอบแทนบุญคุณที่วันนี้ ช่วยให้ผมทำข้อสอบภาษาอังกฤษผ่าน โดยการนำเรื่องราวของเขามาลงให้รับรู้กัน 
สำหรับใครที่ต้องการผีศุภโชคเป็นเพื่อน เป็นคู่คิดเป็นตัวนำโชค เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง คุณมีโอกาสทดลองแล้ว เพียงแต่คุณต้องมีเงื่อนไขห้าประการ 
1.เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว
2.อายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบ และไม่เกินสี่สิบ 
3.ถือศีลห้า กฎที่ว่าคือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่พูดปด งดลักทรัพย์ผู้อื่น ไม่ผิดประเวณี และเลิกสุราด้วย 
4.มีจิตใจอันบริสุทธิ์ 
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ย่อพระไตรปิฎกทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ให้เหลือสามข้อย่อยคือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ จากสามข้อสรุปเหลือเพียงข้อเดียวคือ 
ข้อ 5. เป็นผู้ไม่ประมาท 
หากคุณมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎเกณฑ์ ผีศุภโชคก็พร้อมจะไปอยู่กับคุณ เพียงแต่เรียกชื่อของเขาเพียงสามครั้ง เริ่มครับ!!! 

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น

White Frangipani 24 พ.ย. 58 เวลา 08:30 น. 1

สวัสดีค่ะ เจ้าของกระทู้

ศุภโชค เป็นผี หรือ ผีศุภโชคนะคะ คือสาระของเรื่องนี้

ศุภ...แปลว่า...ศุภ[สุบพะ] น. ความงาม ความดีงาม ความเจริญ.

หรือ... โชค แปลว่า น. สิ่งที่นําผลมาให้โดยคาดหมายได้ยาก เช่น โชคดี โชคร้าย มักนิยมใช้ในทางดี เช่น นายแดงเป็นคนมีโชค. นะคะ

ศุภโชค...ที่คุณเล่ามานี้(แท้จริง) คือ...ความงาม ความดีงาม ความเจริญ ที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้อง+++...สิ่งที่นําผลมาให้โดยคาดหมายได้ยาก แต่ในที่นี้ดูคุณจะต้องการสื่อให้เห็นเป็น เช่น ความ โชคดี นะคะ

ศุภโชค...ในที่นี้ คือ ความโชคดีที่ได้พบเจอซึ่งเป็นเช่นความดีงาม ความงาม ความเจริญ นั้นแท้จริงที่คุณต้องการจะสื่อผ่านให้เห็นเป็นเช่น ผี ศุภโชค นะคะ (ใช่แบบนั้นหรือเปล่าเอ่ย)


1.เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว
(2.คุณเรียงผิดค่ะ คุณทำข้อ2 ผิด ให้ตกไปนะ  ข้อ2ที่คุณตั้งมานั้น ดูจะมีข้อยกเว้นสำหรับความรู้สึกของคุณ เพราะแท้จริงต้องไม่มีข้อยกเว้นใดๆได้ค่ะ แม้อายุก็จะต้องไม่มีข้อยกเว้นค่ะเพื่อการนี้  ดิฉันจึงช่วยตัดไปค่ะ)

3.ถือศีลห้า กฎที่ว่าคือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่พูดปด งดลักทรัพย์ผู้อื่น ไม่ผิดประเวณี และเลิกสุราด้วย 
4.มีจิตใจอันบริสุทธิ์ 
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ย่อพระไตรปิฎกทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ให้เหลือสามข้อย่อยคือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ จากสามข้อสรุปเหลือเพียงข้อเดียวคือ

คงต้องรวมข้อห้าเข้าไปด้วยค่ะจึงจะครบ  ข้อ 5. เป็นผู้ไม่ประมาท...

สามข้อนี้+++ข้อ5นั้นจะเป็นได้เช่นสื่อเป็นหนทางเพื่อพบเจอ ผีศุภโชค...หรือความโชคดีที่สวยงามที่คุณตั้งใจจะบอกจากเรื่องเล่ายาวๆที่คุณเล่ามานี้ (เห็นด้วยค่ะ)


"หากคุณมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎเกณฑ์ ผีศุภโชคก็พร้อมจะไปอยู่กับคุณ เพียงแต่เรียกชื่อของเขาเพียงสามครั้ง เริ่มครับ!!!"...ไม่ต้องเรียกก็ได้ค่ะ เพียงระลึกถึงเขา เขาจะสว่างใสวในจิตใจคุณ เพราะผี ศุภโชค นั้นแท้จริงอยู่ที่จิตใจหรือจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกของคุณและทุกคนค่ะ  (เปรียบเทียบแบบนี้ดีกว่าหรือเปล่า แบบนี้คือเหตุที่น่าจะเป็นได้ในธรรมชาติ นั้นคือ คิดดี ทำดี ก็จะได้พบเจอสิ่งดีๆนั้นเอง)

ทั้งหมดนี้ใช่ไหมคะที่คุณต้องการสื่อ แท้จริงแล้วคุณเชื่อว่าผีไม่มีอยู่จริงหรือเปล่าคะนี่

ดิฉันเชื่อเรื่องจิตวิญญาณค่ะ เชื่อว่าจิตวิญญาณนั้นมีอยู่จริงอีกด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่อยู่นอกสังสาร(ตายไปแล้วเรียกว่าผี) หรือช่วงที่อยู่ในสังขาร(เรียกว่าคนมีชีวิตอยู่ หรือที่เราเรียกว่าผีดิบ เชื่อว่าวิญญาณมีอยู่จริงค่ะ ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นของดิฉันค่ะ)

ไม่เชื่อเรื่องผีนะคะ แต่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ หรือว่าผี(ที่แท้จริง และจิตวิญญาณคือเรื่องเดียวกัน) เช่น ศุภโชคนั้นอาจจะมีอยู่จริง...


ดิฉันตีความเล่นๆจากเรื่องเล่าของคุณค่ะ เพื่อความบันเทิงที่หาได้จากกระทู้นี้(คิดเล่นๆไปเรื่อยเปื่อยซึ่งอาจจะผิดก็ได้นะ) ขอบคุณที่เล่าให้อ่านค่ะตั้งใจ







0