Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เรื่องราวของพ่อกับฉัน เนื่องในโอกาศวันพ่อแห่งชาติ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ขอเตือน เรื่องราวนี้อาจจะมีเนื้อหาที่รุนแรงเล็กน้อย 
เพราะความคับแค้นใจของเราเอง และบางทีอาจจะเป็นเพราะ
ตอนนี้เราหัวรุนแรงด้วย ก็เลยหยาบๆนิดหนึ่ง ขออภัยถ้ารับไม่ได้
________________________________
คำว่า'พ่อ'มีความหมายมากกว่าที่จะเขียนได้หมด
วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตของเราเกี่ยวกับพ่อ เนื่องในโอกาศวันพ่อแห่งชาติ
เราจะโพสต์เรื่องนี้ออกไปในวันที่5ธันวาแน่นอน แต่ไม่รู่เวลาไหน เรื่องนี้เป็นเรื่องตอนที่เราอยู่ป.3
เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว
แต่เรายังจำได้ดีเหมือนมันพึ่งเกิดขึ้น....
เราสภาพเลย ว่าเราก็เป็นคนๆหนึ่ง ที่ไม่ค่อยชอบเวลาพ่อมายุ่งกับเรา เราเป็นเด็กผู้หญิงลูกครึ่งจีน-ไทย
พ่อเราเป็นคนจีน อายุ66ปี เป็นโรคเบาหวาน โรคความดัน และอื่นๆอีกที่เราแทบจะจำไม่ได้
เรามีพี่ชายคนละแม่อยู่อีก2คน เราจะขอไม่เอ่ยนาม แต่จะเรียกแทนพี่ใหญ่สุด ว่าพี่X กับพี่คนกลางว่าพี่Y
เอาละ เราจะเริ่มเล่าเรื่องเลยละกัน ย้ำเลยว่า นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง! ไม่ได้ใส่สีตีไข่แต่อย่างใด 
เป็นเรื่องจริงล้วนๆ
พ่อเรากับแม่เราหย่ากันตั้งแต่เราอยู่อนุบาล2 จากนั้นพอเจอกันทีไร จำเป็นต้องมีเลือดตกยางออกทุกที
แม่ขอเราเป็นคนรักสนุกไม่เคยอยู่กับบ้านเสียที เราเลยต้องอยู่กับตากับยาย และพ่อของเราก็แวะไปเวียนมา ระหว่างบ้านเรากับบ้านให้เมือง(เราอยู่เชียงใหม่) และทุกอาทิตย์ตอนวันศุกร์หลังเลิกเรียนเรามักจะเห็นพ่อขอเราหรือพี่Xกับพี่Yรออยู่หน้าโรงเรียนเราเสมอ แต่ส่วนมากคนที่จะมารับเราเป็นพ่อมากกว่าที่พ่อหรือพี่Xพี่Yมารอรับเราอยู่ที่หน้าโรงเรียนเพราะพวกเขาจะมารับเราไปในเมือง(พอดีบ้านเราอยู่ไกลจากตัวเมืองนิดหน่อย) วันเสาร์-อาทิตย์เรามักจะได้ไปเที่ยวโน้นเที่ยวนี้เสมอ เราเลยเป็นเด็กค่อนข้างเอาแต่ใจ วันนั้นที่เรากำลังจะพูดถึงก็คือ จุดเริ่มต้นของการเปลื่ยนแปลงของชีวิตเรา ไม่ว่าจะนิสัย ความรู้สึกนึกคิด ความชอบส่วนตัว หรือแม้แต่ ความแข็งแรงของร่างกาย...
วันนั้น เป็นวันที่เราทะเลาะกับพ่อ ตอนนั้นเราอยากได้ของเล่นชิ้นหนึ่ง แต่พ่อไม่ยอมซื้อให้เราเสียที เราเลยโกรธกับพ่อ วันต่อมาพ่อเราเลยกับไปในเมือง ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจอะไร เราเลยใช้ชีวิตประจำวันของเราแบบปกติไป...
วันแรก....เราไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับพ่อเลย
วันที่สอง....เราได้ยินว่าพ่อเราไปโคราช
วันที่สาม...เราไม่ได้ข่าวอะไรเลย
วันที่สี่....เรา....ได้ข่าวว่า....พ่อเราตายแล้ว......
จริงๆวันที่สี่เราใช้ชีวิตประจำวันของเราไปในช่วงเช้า เรียน เล่น ตามภาษาเด็กๆ แต่ว่าตอนเย็นหลังเรากลับมาจากโรงเรียน เราถูกจับแต่งชุดดำ และไปที่วัดๆหนึ่ง ในความคิดของเราตอนนั้นมันเหมือนงานรวมญาติ ที่จริง...'เราเหมือนพยายามหลอกตัวเองนั้นแหละ' แค่พอพี่Xกับพี่Yบอกเราว่า'พ่อเราตายแล้วเราก็พยายามหลอกตัวเองว่ามันเป็น'เรื่องล้อเล่น '
.....แต่ พอเราเห็น'โรงศพ'เท่านั้นแหละ
การหลอกตัวเองกลายเป็นการทำร้ายตัวเองแบบใหม่ ความรู้สึกที่เห็นโรงศพตอนแรกมันเจ็บยิ่งกว่าเอามีดมาแทงเราสักร้อยครั้งก็ยังเทียบไม่ติด เราร้องไห้ฟูมฟายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสียน้ำตามากที่สุดในชีวิต ทุกคนต่างก็เข้ามาปลอบเรา แต่เราไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือ...
'บอกที ว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเรา... มันคือเรื่องโกหก!!!!!! โกหก!!!!!!! โกหก!!!!!!! โกหก!!!!!!! โกหก!!!!!! โกหก!!! โกหก...บ้าเอ๊ย....'
ในคืนนั้น เราร้องไห้....เราเสียใจที่เราจะไม่ได้เจอพ่อของเราอีกแล้ว เสียใจที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายเราทำไม่ดีกับพ่อ เสียใจที่เราหมดโอกาสที่จะทำดีกับพ่อ
เรามัวพรำคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนบ้า
'ขอโทษ.....ขอโทษ.....ขอโทษ....ขอโทษ...
ขอโทษ.....ขอโทษ.....ขอโทษ....ขอโทษ...ขอโทษ.....ขอโทษ.....ขอโทษ....ขอโทษ...ขอโทษ.....ขอโทษ.....
ขอโทษ....ขอโทษ...ขอโทษ.....ขอโทษ.....ขอโทษ....ขอโทษ...ขอโทษ.....ขอโทษ.....ขอโทษ....ขอโทษ...ขอโทษ.....
ขอโทษ.....
ขอโทษ....ขอโทษ...'
ร้อยพันคำขอโทษ..... ที่พ่อเรา....ไม่มีวันรับ และไม่มีวัน....ที่จะให้อภัยเรา
หลังจากนั้น เราก็จัดการเรื่องมรดกของพ่อกับพี่Xโดยการเซ็นชื่อในใบอะไรสักอย่างที่เราไม่เลือกที่จะอ่านเนื้อหาของใบต่างๆนั้น
และวันต่อๆมานั้น...เรานึกว่าทุกอย่างมันจะเป็นเหมือนเดิม...เหมือนเดิมเหมือนตอนที่พ่อเรายังอยู่...
'แต่นั้น....มันก็เป็นแค่ฝันกลางวันของเราเท่านั้น...'
พี่Xตั้งแต่จัดการเรื่องมรดกเสร็จ ก็หายไปเลย ไม่ติดต่อเราอีกเลย.... แต่เราก็ไม่คิดที่จะรั้งเขาไว้ เราปล่อยเขาไปเถอะ ปล่อยให้เขาไป.... แต่! จำไว้เลยว่า หลังจากไปแล้ว อย่ากลับมาอีก!!!!! ถ้าดึงดันจะกลับมา อย่าคิดว่าเราไม่กล้าพูดนะ!!!!!!
'ไสหัวกลับไป!!!!!!! จะไปไหนก็เชิญเลย!!!!!! อย่ากลับมาให้น้องเห็นหน้า!!!!!! พี่จะไปที่ไหนก็เชิญเลย!!!!!!!!!!!'
ถ้ามาจริงๆน่ะนะ ในตอนนั้นเราแค่ไม่ชอบพี่X แต่ถ้าเกลียดมันยิ่งกว่านี้อีกนะ แต่เราไม่พิมพ์ก็ใช่ว่าเราจะไม่พูด....
ส่วนพี่Yก็ไปทำงานที่ภูเก็ตแต่ก็ยังติดต่อเราเรื่อยๆ ไม่เหมือนใครบางคนอยู่ที่เชียงใหม่เหมือนกัน แต่ก็งั้นแหละ เหมือนอยู่กันคนละมิติ ไม่ติดต่อกลับมาเลย เรียกได้ว่า ลิบมรดกแล้วชิ่ง ดีๆนี่เอง ชีวิตดี๊ดี
แต่เราก็ไม่แคร์อยู่ดีนั้นแหละ แต่จะขอฝากข้อความถึงพี่X1ประโยค...
"ขอให้พี่มีความสุขบนกองเงินที่ได้รับจากมรดกให้พอๆนะค่ะ แล้ววันใดวันหนึ่งน้องจะเหนือกว่าพี่ แล้วจะ...ฆ่า ให้ดู"
จากวันนั้นจนถึงวันตอนนี้ฉันก็ยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดเหมือนถูกแทง ทุกครั้งที่เราร้องเพลงวันพ่อ...มันเจ็บยิ่งกว่าถูกไฟคลอกทั้งเป็น....
ความรู้สึกนั้นทำให้เราเริ่มเปลี่ยนไป.... และเปลี่ยนไปราวกลับเป็นคนละคน....
เราเริ่มเป็นเด็กหัวรุนแรง เริ่มเข้าสังคมกับคนอื่นๆไม่ได้ โกหกมากขึ้น โกหกได้แม้แต่ความรู้สึกของตนเอง เป็นโอตาคุ รักเกมรักอมิเมะ แต่ร่างกายอ่อนแอเนื่องจากไม่ได้ออกกำลังบ้าง เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ท้ายที่สุดสิ่งที่ฉันเปลี่ยนไปคือ 'จากสีขาว...กลายเป็น...สีดำสนิด'และเป็น'สีดำที่กลายเป็นสีขาวไม่ได้แล้ว'
แล้วก็...อยากบอกทุกๆท่านที่ยังมีโอกาศทำดีกลับพ่อ ให้รีบทำซะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาศ และรู้สึกผิดที่ไม่ได้ทำดีกับพ่อตอนที่ยังมีโอกาศ ถ้าคุณไม่รีบทำสักวัน...คุณจะเป็นสีดำ เหมือนกับฉัน.....

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น

BoscoLim 5 ธ.ค. 58 เวลา 10:18 น. 1

ถ้าพูดแทนได้ อยากบอกว่าพ่อคงไม่ได้โกรธ หรือเสียใจ เสียความรู้สึก ที่ลูกดื้อนิดๆหน่อยๆแบบนั้น ในวันก่อนที่พ่อจะเสีย แต่ถ้าในความเป็นพ่อ คงจะรู้สึกเสียดายที่ก่อนตาย ไม่มีโอกาสบอกลูกว่ารัก และได้เจอหน้า ได้กอดอีกสักครั้งมากกว่า อยากให้มาอ่าน จะได้เข้าใจและทำใจให้สบายขึ้นนะ

0