Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

สดร.ชวนดู 'ใจกลางทางช้างเผือก' มองฟ้าทิศตะวันออก เริ่ม8ก.พ.59

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สดร.เผยรุ่งเช้าตลอดทั้งเดือน ก.พ.2559 จะเห็นใจกลางทางช้างเผือกเด่นชัด ทางทิศตะวันออก ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องกับกลุ่มดาวคนยิงธนู ช่วง 05.30 น. จนถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หากฟ้าใสไร้เมฆไม่มีแสงเมืองรบกวน เห็นชัดในทุกภูมิภาค

เมื่อวันที่ 5 ก.พ.2559 นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ หัวหน้างานบริการวิชาการทางดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ สดร. เปิดเผยว่า ในช่วงรุ่งเช้าตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.2559 เป็นต้นไป จะสังเกตเห็นแนวใจกลางทางช้างเผือกบริเวณขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องกับกลุ่มดาวคนยิงธนู ตั้งแต่เวลาประมาณ 05.30 น. จนถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น มีดาวศุกร์สว่างปรากฏบริเวณด้านซ้ายของใจกลางทางช้างเผือกอีกด้วย

หลังจากวันที่ 8 กุมภาพันธ์ เรายังจะสามารถสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแนวทางช้างเผือกจะโผล่พ้นขอบฟ้าเร็วขึ้น ปรากฏอยู่สูงจากขอบฟ้าขึ้นไปเรื่อยๆ แนวทางช้างเผือกจะค่อยๆ เปลี่ยนทิศทางปรากฏเป็นแนวพาดบริเวณกลางฟ้า จนในช่วงปลายเมษายนจะสามารถเห็นแนวทางช้างเผือกได้ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืน ทำให้มีเวลาชื่นชมความสวยงามและบันทึกภาพทางช้างเผือกได้ยาวนานขึ้น

หัวหน้างานบริการวิชาการทางดาราศาสตร์ สดร.กล่าวต่อว่า ใจกลางทางช้างเผือก (Galactic Center) คือส่วนที่สว่างที่สุดของทางช้างเผือก ประกอบด้วยวัตถุท้องฟ้ามากมาย เช่น ดาวฤกษ์ กระจุกดาว รวมทั้งเนบิวลาอีกด้วย ทางช้างเผือกเป็นวัตถุท้องฟ้าที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีความสวยงาม เราจะเห็นทางช้างเผือกพาดเป็นแนวยาวกลางฟ้า ตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ นับเป็นวัตถุท้องฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเรามองจากโลก ใจกลางทางช้างเผือกจะอยู่ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องและกลุ่มดาวคนยิงธนู ปรากฏบนท้องฟ้าในตำแหน่งที่เฉียงไปทางใต้ ไม่สูงมากนัก

และเนื่องจากใจกลางทางช้างเผือกอยู่ในบริเวณกลุ่มดาวทางซีกฟ้าใต้ ทำให้ทางตอนใต้ของไทย มีโอกาสสังเกตใจกลางทางช้างเผือกได้ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ จะมองเห็นแนวใจกลางทางช้างเผือกอยู่สูงจากขอบฟ้ามากกว่าภูมิภาคอื่นของประเทศ และสูงจากมวลอากาศบริเวณขอบฟ้า ทำให้ผู้คนในแถบภาคใต้สามารถสังเกตทางช้างเผือกได้อย่างชัดเจน

"ช่วงเวลาที่สังเกตทางช้างเผือกได้ดีที่สุดคือ ปลายเมษายน-ต้นตุลาคม เพราะสามารถเห็นใจกลางทางช้างเผือกบริเวณกลุ่มดาวแมงป่องและคนยิงธนูได้ง่าย ทางช้างเผือกบริเวณนี้จะสว่างและสวยงามกว่าบริเวณอื่นๆ และอยู่ในตำแหน่งกลางท้องฟ้าเกือบตลอดทั้งคืน แต่ก็มักมีอุปสรรคในเรื่องเมฆฝน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน แต่หากท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆฝนในช่วงเดือนดังกล่าว จะถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของการถ่ายภาพทางช้างเผือก หลังจากนั้นในช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน จะสังเกตเห็นทางช้างเผือกในช่วงหัวค่ำทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อุปสรรคเรื่องเมฆฝนจะเริ่มน้อยลง" นายศุภฤกษ์ กล่าว

หัวหน้างานบริการวิชาการทางดาราศาสตร์ สดร.กล่าวอีกว่า จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วเราสามารถสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้ตลอดทั้งปี ปัจจัยหลักสำคัญ ได้แก่ สภาพท้องฟ้า หากท้องฟ้าปลอดโปร่ง มีทัศนวิสัยของท้องฟ้าดี ไม่มีแสงรบกวนทั้งแสงจากดวงจันทร์ แสงไฟจากเมือง ก็จะสามารถสังเกตเห็นทางช้างเผือกได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ คนในเมืองส่วนใหญ่มักไม่มีโอกาสได้ชมทางช้างเผือก เนื่องจากในตัวเมืองมีแสงไฟและฝุ่นละออง ควัน เป็นจำนวนมาก ทำให้ทัศนวิสัยของฟ้าที่ในเขตเมืองไม่เอื้อต่อการสังเกตเห็นทางช้างเผือก หากต้องการสัมผัสทางช้างเผือกก็จำเป็นต้องไปยังสถานที่ที่ห่างจากตัวเมืองอย่างน้อยประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อหลีกหนีจากมลภาวะทางแสงและฝุ่นละอองต่างๆ

นายศุภฤกษ์ ได้ให้ข้อแนะนำเบื้องต้นในการถ่ายภาพทางช้างเผือกว่า ควรหาสถานที่ทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้เล็กน้อย ที่มีความมืดสนิท ไม่มีแสงรบกวน หันหน้ากล้องไปที่ใจกลางทางช้างเผือก บริเวณกลุ่มดาวแมงป่องและคนยิงธนู เลือกใช้เลนส์มุมกว้างเพื่อให้ได้องศาการรับภาพที่กว้างมากขึ้น ปรับระยะโฟกัสของเลนส์ที่ระยะอนันต์ ใช้รูรับแสง ที่กว้างที่สุด พร้อมตั้งค่าความไวแสงตั้งแต่ 1600 ขึ้นไป ในเว็บไซต์ สดร. ยังมีรายละเอียดเทคนิคการถ่ายภาพทางช้างเผือกอีกมาก ที่จะทำให้บันทึกภาพได้สวยงาม น่าประทับใจ



ภาพ : ศุภฤกษ์ คฤหานนท์
ติดตามเพิ่มเติม : สดร. http://www.narit.or.th/


แสดงความคิดเห็น

>