Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เราสามารถเขียนเสียดสีหนักๆในนิยาย ที่ลง dek-d ได้ไหม

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ของผมพอ rewrite การผจญภัยของจี้จังใหม่ ผมอยากลองเขียนเสียดสีการศึกษาไทยลงในนิยายด้วย เช่นประมาณนี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความ
ห้องพักครูหมวดสังคมศึกษา อาคาร 9 7.45 น
โมริคะวะผู้เป็นมารดาในเรื่องต่างๆตั้งแต่เด็กๆ     ที่นี่เป็นห้องพักครูหมวดสังคมศึกษาซึ่งกองพะเนินด้วยเอกสารจำนวนมากเพราะเพิ่งเสร็จสิ้นการสอบปลายภาค และการสอบ O-Net โต๊ะของชายหนุ่มมีมนุษย์ป้าคนหนึ่งยินชี้หน้าชายหนุ่ม
“ ถ้าอาจารย์ไม่แก้เกรดลูกชายฉันเป็นเกรด 2 ฉันจะฟ้องร้องโรงเรียนนี้ว่าจ้างครูที่ไม่ได้ความ มาสอนลูกชายฉัน” ผู้ปกครองผู้นั้นด่าว่าชายหนุ่มเพราะวิชาสังคมของลูกชายได้แค่ เกรด 1 ทำให้ได้ GPA น้อยลง
ชายหนุ่มบอกกลับไปว่า
“เฮ้ ผมเอาหลักฐานให้ป้าดูแล้วนะว่า ลูกชายป้าสอบปลายภาคได้แค่ 28 จาก 80 ข้อ ผมไม่ให้เขาได้ 0 ก็บุญหัวเขาแล้ว และอย่าลืมว่า ผมใจดีกว่า ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ลูกชายป้าจะไปเรียนต่อเยอะ”
หัวหน้าหมวดสังคมศึกษา พูดกับผู้ปกครองว่า
“คุณแม่ครับ คุณครูคนนี้ มือดีสุดในโรงเรียนนี้แล้ว และเผลอๆจะดีกว่าครูโรงเรียนอันดับ 1 ของประเทศด้วยซ้ำ เพราะเขาจบมหาวิทยาลัยด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง ด้านประวัติศาสตร์นะครับ แล้วการสอนนี่ เทพกว่าผมอีก แต่ไม่ปล่อยเกรดให้ใครทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่ลูกชายคุณแม่หรอกครับที่ได้เกรด 1 นักเรียนอีกตั้ง 100 กว่าคนที่ได้ แต่เห็นมีแต่คุณแม่นี่แหละที่มาบ่น”
มนุษย์ป้าผู้นั้นจึงบอกว่า
“ฉันจะไปฟ้อง กระทรวง คอยดู !!!”
ชายหนุ่มถอนใจ เขารู้สึกหนักใจมาก เพราะการศึกษาไทยมันเพี้ยนขึ้นทุกวัน
“นี่แหละน่า พนัส นายเป็นครูมาแค่ 1 ปี นายยังด้อยนัก  ผู้ปกครองสมัยนี้มีแต่พวกไม่ได้ความทั้งนั้น แต่ก็นะ นายตัดเกรดเลือดเย็นมาก เกรด 1 เป็น 100 คนนี่ ถ้ากระทรวงศึกษาเอาเรื่อง นายลำบากแหงๆ” หัวหน้าหมวดพูดขึ้นมาด้วยเหนื่อยหน่ายกับการศึกษาไทย
“นั่นสิครับ เด็กสมัยนี้ ไม่ขยันด้วย สู้จี้จังไม่ได้สักคน ห่วยแตกมาก” ชายหนุ่มบ่นโดยพูดถึงเด็กสาวด้วย เพราะเจ้าหล่อนเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง แบบที่เด็กไทยที่ขยันที่สุดไม่ได้เศษเสี้ยวของเธอแม้แต่น้อย เพราะเธอดื้อดึงโดยเฉพาะสิ่งที่เธอไม่รู้ เธอจะค้นจนกว่าเธอจะรู้ ซึ่งเด็กไทยมีแต่พวกขี้เกียจทั้งนั้น เมื่อเทียบกับเธอ

อันนี้ผิดกฎไหมครับ หรือสามารถเขียนแรงกว่านี้ได้

แสดงความคิดเห็น

>

12 ความคิดเห็น

vanaya 14 ก.พ. 59 เวลา 21:01 น. 1

ส่วนตัวเราว่า ปกตินักเขียนก็เขียนนิยายเสียดสีสังคม สะท้อนสังคมอยู่แล้วนะคะ อย่างเรื่อง 1984 เป็นต้น
และส่วนตัวเราก็เขียนนิยายเสียดสีสังคมเช่นกัน ลงได้นะเราว่าหากไม่ได้ระบุ ชื่อบุคคล สถานที่ ที่มีอยู่จริงเพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องได้ 
ปล.แต่เราโดนเว็บแจ้งแบนไปครั้งหนึ่งนะคะ เพราะนิยายเราเกี่ยวกับกบฏพอดี แต่ลงต่อได้นะคะ 
ปล. 2 ที่ จขกท ยกตัวอย่างมาเรื่องปกติธรรมดานะคะ ไม่ร้ายแรงขนาดเขียนไม่ได้ค่ะ ^^

3
Natchanon32 14 ก.พ. 59 เวลา 21:08 น. 1-1

ขอบคุณครับ เพราะตอนต่อๆไปจะเขียนแรงกว่านี้ครับ ในมุมมองของนางเอก โดยเฉพาะความเน่าเหม็นของการศึกษาไทยครับ

0
vanaya 14 ก.พ. 59 เวลา 21:22 น. 1-3

@ จขกท
เกลาให้เนียนๆ หน่อยก็สวยค่ะ พยายามเข้านะคะ
@ แก้วน้ำสีฟ้า
ดีแล้วค่ะ คนเขียนเทพจริง

0
Archetype 15 ก.พ. 59 เวลา 08:49 น. 3

ผมว่าเสียดสีน่ะปกติ
แต่เท่าที่อ่านเหมือนด่ามากกว่า คหสต แบบไม่รู้อะไรมาก่อนนะฮะ
ไม่รู้เข้าใจถูกมั้ย แต่มันน่าจะเป็นการให้คนอ่านเห็นเอง มากกว่าสรุปให้ตรงๆแบบนี้
ถึงตัดช่วงที่คอยเน้นพวกการศึกษาไทย ผมว่าก็รู้สึกถึงได้ดีแล้วอะ
อนึ่ง ครูคนนี้สอนเด็กมาทั่วไทยแล้วหรือครับ ถึงได้ยกหางตัวเอกจี้ปานนี้
พอดีผมไม่ได้ อ่านตั้งแต่ต้น ว่าปูทางให้อยู่ในยุคไหน ดีสโทเปียทางการศึกษารึเปล่า?
แต่แทนที่จะได้เสียดสี ไม่รู้ทำไมอ่านแล้วหมั่นใส้ครู กับ จี้แทนซะแล้ว
เสียดสี แต่ไม่เห็นต้องอวย โต้งๆเลยฮะ 

3
Natchanon32 15 ก.พ. 59 เวลา 09:27 น. 3-1

อยู่ประมาณปี 52 ครับ (ยุค O-net A-net เริ่มใหม่ๆ)
จริงๆผมปูไว้ตั้งแต่ตอนที่ 1 ไว้แล้วว่า จี้จังเป็นลูกสาวของศาสตราจารย์ คุณแม่เป็นศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ คุณพ่อเป็นศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ แน่นอนลูกออกมาก็หัวดีโดยปกติอยู่แล้ว แถมยังเป็นคนขยันขันแข็งแบบคนญี่ปุ่นยุคเก่า ตอนที่ 4 ที่ผมเขียนคำหนึ่งก็คือ "เพราะเธอดื้อดึงโดยเฉพาะสิ่งที่เธอไม่รู้ เธอจะค้นจนกว่าเธอจะรู้ " สิ่งนี้แหละครับที่จี้จังเหนือว่าเด็กไทยคนอื่นมากๆ เพราะเด็กไทยไม่มีความอยากรู้อยากเห็น และไม่รู้จักค้นเพิ่มไปมากกว่าในตำรา แต่สิ่งนี้จะเป็นปมปัญหาที่เธอจะอยู่กับเพื่อนในห้องได้ลำบาก และอยู่ในโรงเรียนได้ลำบากด้วย เพราะความขยันเกินเหตุแบบญี่ปุ่นยุคเก่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมสื่อออกมาโดยผ่านประสบการณ์เป็นครูมาหลายปี

ส่วนโอนิจัง (พระเอก) เป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยโตเกียวมาก่อนที่จะเป็นครูถึงเกือบ 2 ปี (ช่วงที่เจอนางเอก คือจี้จัง ตอนเด็ก) ถ้าเรามองโลกความเป็นจริง ครูส่วนใหญ่ไม่ว่าที่ไหนในโลกองค์ความรู้ยังไงก็ไม่มีทางสู้นักวิจัยจริงๆได้อยู่แล้ว แถมเป็นนักวิจัยในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของโลกต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้นที่หัวหน้าหมวดพูดจึงถูกต้องที่ว่า "คนนี้อาจจะเก่งครูอันดับ 1 ของประเทศ" มัน Make sense เพราะครูวิชาสังคมศึกษาส่วนใหญ่มีแต่พวกไม่ได้ความมาสอนทั้งนั้น (ผมกล้าพูดอย่างนี้ เพราะผมสอนวิชาสังคมศึกษา ครูที่ผมทำงานด้วยส่วนใหญ่ ความรู้ไม่ถึงที่จะสอนทั้งนั้น แถมไม่ค้นคว้าเพิ่มอีก)

โดยสรุป มัน Make sense ตามคาแรกเตอร์ครับ เพราะนิยายเรื่องนี้ ผมเขียนปัญหาที่ครู และ นักเรียน ที่เก่งมากๆ ต้องเจอในการศึกษาไทยที่โสโครก นางเอก กับ พระเอก ต้องเก่ง เพราะไม่งั้นจะสะท้อนอย่างๆง

0
Archetype 15 ก.พ. 59 เวลา 09:58 น. 3-2

เข้าใจครับ แต่ปูพื้นมาแบบนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า
ต้องมีประโยคคอยสรุป ว่าการศึกษาไทยมันห่วย กำกับตลอด
มันเหมือนชี้นำเกินไปอะครับ
แค่แสดงให้เห็นด้วยพฤติกรรมผู้ปกครอง หรือพฤติกรรมเพื่อนๆ ก็น่าสนใจพออยู่แล้ว
คนอ่านจะเห็นเองว่า โอ... มันจริงอย่างว่า

ผมเองใช่จะประสบการณ์สูง แค่บอกไปตามที่รู้สึกนะครับ
ไม่ต้องเชื่อก็ได้ ถือว่าแลกเปลี่ยนกัน

อนึ่ง แอบไปแสกนตอนแรกมาแล้ว อืม...
ผมติดใจเรื่องหนึ่งครับ มีตอนไหนมั้ยที่บอกว่า พระเอกสอนดี
นอกจากบอกว่าพระเอกเก่งเชี่ยวชาญเฉพาะทางแล้ว
เพราะเท่าที่เห็นมา คนเก่งๆบางคน สอนห่วยเยอะมากครับ
ถ้าท่านแสดงให้เห็นว่าพระเอกสอนดี น่าสนใจ แถมกระตือรือล้น เทคนิกดี
แต่เด็กแม่งก็ยังไม่สน คนอ่านจะเห็นความน่ารังเกียจของวงการไปเองโดยไม่ต้องสรุปเลย
(เริ่มจากเสกลเล็กๆก่อนก็ได้ครับ คนอ่านน่าจะเชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์ตัวเองได้
และจะเห็นภาพใหญ่ขึ้นๆ)
อนึ่ง ให้อาจารย์มาชม การศึกษาญี่ปุ่นโต้งๆ
ต่อให้คนญี่ปุ่นมาอ่าน ผมว่ามีกระอักกระอ่วนบ้าง
แต่นี่ให้คนไทยอ่านยิ่งแปลกไปใหญ่
ท่านให้พฤติกรรมของตัวเอกมาแย้งกับเด็กไทย ก็สนุกแล้วมั้งครับ

ทำไมผมถึงขัดใจเรื่องสรุปกันโต้งๆ เพราะว่า มันทำให้เกิดคำถามในใจคับ
คือ ท่านยังไม่ได้แสดงให้เห็น แต่สรุปแบบตีขลุม มันทำให้ผมไม่เชื่อเท่าไหร่
(หรือจะบอกว่าใช้พลังของ ผู้แต่งบรรยาย ก็รู้สึกแปลกๆ ในกรณีนี้)
(ผมรู้สึกว่า การเสียดสีที่ดี คนอ่านจะรู้สึกเหมือนโดน แอบตบหน้า จากมือที่มองไม่เห็น
แต่อันนี้ เหมือนโดนตบหน้าแบบโต้งๆ เหมือนหาเรื่องกันอะครับ 555 ความแรงมันลด)

ปล.อาจเกินเลยหัวข้อไปหน่อย ขออภัยฮะ
ปปล. ไม่ได้ว่าจะทำตัวเอกเก่งเทพ หรือคิดและพูดจาขวางโลกไม่ได้นะครับ
แต่อะไรที่มีแต่ข้อดี คนอ่าน(ผมว่าทั่วโลก) ไม่อยากรับหรอกครับ
มันดีเกินไป เหมือนมีคนมาชวนไปลงทุน แล้วบอก การันตีกำไรสองเท่า ไม่ขาดทุนแน่
รู้สึกมันต้องมีอะไรหมกเม็ดแน่ๆ แล้วสุดท้าย ก็พาลไม่เชื่อคับ
การศึกษาญี่ปุ่น ตัวเอก นางเอก ก็เป็นเช่นนั้น

0
no one know 15 ก.พ. 59 เวลา 09:14 น. 4
แค่นี้ถือว่าธรรมดามากครับ  ไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก...

ผมก็เขียนแนวเสียดสี แซวนู่นนี่นั่นมากมายก็ไม่เคยเจอปัญหาอะไรนะครับ

0
Death With Love 15 ก.พ. 59 เวลา 12:17 น. 5

ไม่รู้สึกถึงการเสียดสี เหมือนด่าเฉยๆ มากกว่า
แสดงแค่ความไม่พอใจของตัวละครแบบไม่มีเหตุผลรองรับ

เสียดสี ต้องมีประเด็น ตัวอย่าง การเปรียบเทียบ รวมทั้งอาจรวมทั้งแนวทางการแก้ไข
จะเริ่มด้วยการตีแผ่เรื่องราวก่อนก็ได้ เพื่อปูพื้นให้นักอ่านเข้าใจเรื่องที่เป็นประเด็น

แต่จากในบทที่อ่านเหมือนการระบายผ่านปากของตัวละคร
มีแต่คำว่าห่วยและห่วยๆ แต่กลับไม่สามารถสื่อสารได้ว่าทำไมถึงห่วย อะไรเป็นสาเหตุที่ตัวละครต้องย้ำ

เคยมีประเด็นถกกันเรื่องเสียดสีและสะท้อนสังคม
มักจะมีคำถามง่ายๆ
1 ผู้เขียนมีความสามารถพอในการอธิบายเรื่อง กลั่นกรองและตกผลึก โดยไม่อคติได้หรือไม่
2 ผู้เขียนต้องการอะไรจากการเสียดสี? แค่ระบายหรือต้องการเสนอแนวทางออกจากปัญหา

3
Natchanon32 15 ก.พ. 59 เวลา 12:47 น. 5-1

การศึกษามันห่วยก็เป็นเรื่องจริงนี่นา ขอชี้แจงทีละตอน
ตอนที่ 1 ที่พระเอกบ่นออกมาว่า “เฮ้อ คะแนนสอบนี่ห่วยแตกเหมือนเดิมนะนี่ -เด็กพวกนี้ ฉันนี่อยากจะย้ายไปโรงเรียนบดินทร์เดชา ซะจริงๆ” ความหมายก็คือ คะแนนสอบนักเรียนมันแย่จริงๆผมก็เขียนเหตุผลรองรับไว้คือ
"ผมบอกเจ้าพวกนี้ไปตั้ง“ท่านหัวหน้าหมวดครับ ผมสอนประวัติศาสตร์โลกนะครับ ข้อสอบที่ผมออกหลายครั้งแล้วว่าให้หัดอ่านจากแหล่งอื่นๆบ้าง เด็กพวกนี้มันไม่เคยฟัง แล้วพวกมันเรียนมหาวิทยาลัย พวกมันได้โดนไทร์แน่ๆ” มันเป็นลักษณะนิสัยแย่ๆของนักเรียนไทยที่ไม่เคยค้นออกไปนอกตำราเรียน
อันนี้ก็เป็นแนวคิดของการศึกษาไทย
“การศึกษาญี่ปุ่นนี่ดีจริงๆนะ เด็กเรียนอยู่ใกล้บ้าน บ้านเราสิ บางคนอยู่ห่างเป็นร้อยโล ไม่รู้ว่าผู้ปกครองจะส่งลูกมาลำบากบนท้องถนนทำไม แถวเวลาเราจะให้เกรดแย่ๆ ผู้ปกครองมันก็ด่าเราเช้าเย็น” หัวหน้าหมวดสาธยายเรื่องที่รู้ๆกันอยู่ในวงการ" คือผมอธิบายเรื่องการศึกษาญี่ปุ่นว่า เด็กไม่ต้องเดินทางมาเรียนไกลๆ อย่างที่นักเรียนไทยเป็น เพราะ รัฐบาลกำหนดให้หมดว่า ป.1 ต้องเรียนโรงเรียนนี้ ม.1 ต้องเรียนโรงเรียนนี้ ไม่ต้องไปสอบแข่งขันแบบในเมืองไทย และในเมืองไทย ผมนี่เวลาให้เด็กเกรด 1 ผมยังโดนผู้ปกครองด่าหูชาเลย ทั้งๆที่สมัยก่อน ผู้ปกครองควรว่ากล่าวลูกตัวเอง ว่าเรียนห่วยเอง
ตอน 4 นี่ก็เป็นเรื่องจริงในการศึกษาไทยครับ ที่ผู้ปกครองไม่ยอมรับเกรดที่ลูกตัวเองได้ (ผมเคยพูดในฝ่ายวิชาการมาแล้วว่า เด็กที่โรงเรียนถึง 2 ใน 3 ไม่ควรขึ้นมาเรียน ม.4 ซะด้วยซ้ำ เพราะมีความรู้ไม่พอที่จะขึ้น ม.4 เช่น ยังอ่านออกเขียนได้ต่ำกว่ามาตรฐาน คือบางคน เขียนอัตนัยไม่เป็น ไม่รู้จักค้นคว้าแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม และทำรายงานก็ยังลอกทางเน็ตอยู่ ซึ่งครูบางคนหยวนๆ แต่ผมไม่ใช่) และ ตอนต่อๆไป ผมจะแสดงเรื่องความต่างกันมากๆ ของจี้จัง กับ นักเรียนในห้อง 1/7 ที่เป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอว่า วิธีการทำงานแบบคนไทย กับ คนญี่ปุ่นหัวเก่า แบบจี้จัง สุดท้ายแล้วมันจะมีปัญหาอะไรบ้าง เพราะผมเสียดสีการศึกษาไทย และ นิสัยแบบไทยๆที่ใช้ไม่ได้ในระดับสากล

0
Death With Love 15 ก.พ. 59 เวลา 13:13 น. 5-2

ถาม 100 คน 80 คนก็ต้องบอว่าห่วยครับ แต่จะชี้ให้เห็นถึงความแย่ของระบบได้อย่างไร
จากที่ผมอ่าน ตัวละครก็บอกแต่มันน้อยและฟันธงในมุมมองเดียว
มันไม่เหมือนมองภาพรวมของปัญหาทั้งหมด
ตัวละครแสดงออกแต่การดูแคลน ไม่แสวงแนวทางแก้ไข

คำถาม ครูอยู่ในขบวนการความห่วยด้วยหรือไม่
ตัวละครที่เป็นครู นอกจากด่าแล้วทำอะไรได้ หรือผู้เขียนต้องการสรุปว่าไม่มีทางแก้ไข

ผมไม่ทราบว่าครูอัดอั้นอะไรมา แต่มาถึงก็สาดแต่ความเสื่อมทราม ไม่ได้นำพาแง่คิดหรือข้อคิดอะไร ไม่ต่างจากใช้อคติส่วนบุคคล
ปัญหามันต้องค่อยๆ อธิบายให้นักอ่านรับรู้ การซัดด้วยประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอมา มันคือการชี้นำ

ไม่ได้มีผู้ปกครองทุกคนที่รับเกรดลูกตัวเองไม่ได้ มันเป็นแค่ส่วนน้อย จริงไหมครับ
เด็กระดับความรู้ต่ำกว่ามาตรฐาน แปลว่าเด็กผิดหรือใครผิด? ใครที่สามารถช่วยแก้ไข

ผมใช้วิจารณญาณแบบผู้อ่านธรรมดาที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง(ทั้งๆ ก็พอมีข้อมมูล แต่จะทำเป็นไม่รู้ เพราะเวลาอ่านนิยาย ใครๆ ก็อยากอ่านการนำเสนอของผู้เขียน)
ซึ่งอ่านแล้วก็แนะนำไปตามสมควร
มีอย่างน้อยสองคนที่รู้สึกเหมือนด่ามากกว่าเสียดสี

ก็คล้ายเดิมครับ การอ่านให้มากจะช่วยเขียนได้ลื่นไหล และแยบยลกว่านี้
อยู่ที่ศึกษาเพิ่มเติมหรือเปล่า
ผมคิดและก็เคยเจอมาเช่นเดียวกับท่านคห.3-2 เรียนเก่งจบสูง ไม่ได้หมายความเป็นครูที่ดี
ครูที่ดี คือคนที่สอนคนเป็น เรียนรู้และพัฒนาได้ทั้งลูกศิษย์และตัวเอง

0
Natchanon32 15 ก.พ. 59 เวลา 13:38 น. 5-3

ผมว่า ผมจะพย่ายามเขียนให้รอบด้านมากขึ้นครับ (แต่ยังไม่ได้แสดงออกในมุมของครูห่วยๆเช่นกัน ที่ผมจะแสดงในตอนต่อๆไป)
มุมมองของโอนิจัง จะเป็นมุมมองของคนที่เรียนต่อต่างประเทศมาแล้วกลับมาเมืองไทยครับ (โอนิจังไปเป็นนักวิจัยอยู่ที่ญี่ปุ่น 19 เดือน ก่อนมาเป็นครู) ดังนั้นมุมมองของคนประเภทนี้ จะดูแคลนการศึกษาไทยครับว่า ใช้ไม่ได้ และดูแตกต่างจากที่เขาไปอยู่เหลือเกิน
และที่ผมไม่เสนอทางแก้ไขเพราะ ถ้าอ่านตอนที่ 4 จะพบว่า โอนิจังเพิ่งจะสอนมาแค่ 1 ปี ถ้าเรามองโลกความจริง คนที่สอนมา 1 ปี ไม่มีทางที่จะเสนอแนวทางแก้ไขได้แน่ๆครับ (จริงๆแล้ว โอนิจังเป็นคนที่อีโก้สูงด้วย และข้อสอบที่เขาออก อยู่ในประเภท เลือดเย็นด้วย)
มุมมองของจี้จัง จะเป็นนักเรียนญี่ปุ่นที่ถูกสอนแบบมีกฎเกณฑ์ ระเบียบ อย่างเคร่งครัด และยิ่งศาสตราจารย์โมริคะวะ เลี้ยงดูเธอมาแบบ "คนญี่ปุ่นยุคเก่า" เธอจะมองนักเรียนไทยแบบพวก "ไม่ได้เรื่อง" ครับ เพราะเป็นวิธีการมองแบบคนญี่ปุ่นยุคโชวะ
มุมมองของ HK ก็จะมองการศึกษาไทยเป็น "ธุรกิจที่ตักตวงทำเงินได้" ดูอย่างตอนที่ 3 ที่เธอมีข้อสอบเก่า ของการสอบเข้าทุกโรงเรียนในประเทศนี้ โดยเธอได้มาจากการใช้เงินซื้อข้อสอบมา ซึ่ง HK มองการศึกษาเป็นเรื่องธุรกิจ (เดี๋ยวมีตอนต่อๆไป ที่เธอจะขายข้อสอบอย่างอื่นด้วย)

ผมพยายามชี้มุมมองว่า ตัวละครแต่ละตัวมองการศึกษาไทย อย่างไรด้วย ซึ่งผมจะพยายามแสดงให้มากขึ้นครับ เพราะตรงนี้แหละ คือปมความขัดแย้งจริงๆของเรื่องนี้

0
Maritian 15 ก.พ. 59 เวลา 18:03 น. 6

เท่าที่อ่านเราว่ามันไม่ "เสียด" ไม่ "สี" ค่ะ
เหมือนเอามีดมาแทงกันตรงๆ มากกว่า

ประเด็นอื่นคอมเม้นต์บนๆ แนะนำไปแล้ว แต่เพิ่มเติมคือ เราคิดว่าอาจารย์ไม่มีความเป็นมืออาชีพค่ะ (พูดกับผู้ปกครองด้วยถ้อยคำที่ไม่ทางการ จริงๆ ถ้าจะเหน็บจะแขวะ เอาภาษาดีๆ คล้ายหลอกด่าอิมแพคแรงกว่าเยอะ และเลือกที่รักมักที่ชังอย่างชัดเจน อวยลูกศิษย์ของตัวมากเกินไป ดู bias มาก) และการเหมารวมเด็กไทยทั้งประเทศว่าสู้จี้จังไม่ได้แม้แต่คนเดียว เป็นประโยคที่ลอยและเห็นได้ชัดว่าเว่อเกินไปอย่างมาก ทำให้อิมแพคหรือความหนักแน่นของผู้พูด แทบจะส่งผลอะไรต่อคนอ่านไม่ได้เลยค่ะ รวมถึง บทสนทนาที่ยังไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้อ่านไปรู้สึกเหมือนอ่านตลกชวนหัวที่ตัวละครแบนๆ ซะงั้น

เราเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อนะคะ แต่ขอแนะนำให้เรียบเรียงให้แยบยลกว่านี้ค่ะ
สู้ๆ นะคะ

3
Natchanon32 15 ก.พ. 59 เวลา 19:41 น. 6-1

จะพยายามครับ
ผมใช้คำพูดแบบนี้ ที่พูดลงในตอนที่ 4 ตอนผมเป็นครูครับ เพราะผมเอานิสัยของผมถ่ายทอดลงไปตัวพระเอกครับ คือเป็นพวกเลือดเย็น คือข้อสอบโหด อยู่นอกตำราเรียน และวิธีการสอน เดี๋ยวผมจะเขียนลงไปในตอนต่อๆไปครับ ว่า วิธีการสอนของโอนิจังแตกต่างจากครูระดับมัธยมค่อนข้างมาก คือตัวพระเอก ไม่เหมาะกับการสอนระดับมัธยมปลาย แต่จะเหมาะกับการสอนระดับมหาวิทยาลัยปี 3 หรือ 4 มากกว่า (จริงๆตัวผมเองเกลียดการเจรจากับเด็กหรือผู้ปกครองเรื่องเกรดครับ เพราะสำหรับผม เกรดที่ผมให้ถือเป็นสิ้นสุด ห้ามเจรจา ห้ามขอร้อง)
ผมไม่ได้เขียนตัวละครแบบเวอร์มากครับ เพราะตัวละครอย่างจี้จัง ก็เอานิสัยมาจากตัวจริงนั่นแหละ ที่ผมบอกว่า "เพราะเจ้าหล่อนเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง แบบที่เด็กไทยที่ขยันที่สุดไม่ได้เศษเสี้ยวของเธอแม้แต่น้อย เพราะเธอดื้อดึงโดยเฉพาะสิ่งที่เธอไม่รู้ เธอจะค้นจนกว่าเธอจะรู้" เพราะนิสัยของเด็กไทยก็รู้กันอยู่คือ ไม่รู้จักการค้นคว้านอกตำรา ซึ่งตัวนางเอกจะต่างกันมาก เพราะผมถ่ายทอดนิสัยของคุณน้องมาจริงๆ คือ คุณเธอมีนิสัยดื้อดึง เวลาเธอทำการบ้านไม่ได้ หรือ อ่านตำราไม่เข้าใจ เธอจะพยายามค้นเพิ่มอย่างมาก หลายครั้งหลายครา คุณเธอทำการบ้านหลายชั่วโมง ในวิชาภาษาไทยครับ เพราะเธอไม่มีพื้นฐานวิชาภาษาไทยเลยสักนิดเดียว ซึ่งผมไม่เชื่อว่าเด็กไทยจะมีความพยายามแบบนั้นครับ

0
peiNing Zheng 15 ก.พ. 59 เวลา 23:40 น. 6-2

ท่านขอรับ ไม่ได้อะไรนะ แต่ขอแย้งสักนิดเถอะ

ท่านเคยมีประสบการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมที่ไม่รู้จัก ต้องอยู่กับภาษาที่เกิดมาในโลกนี้ไม่เคยรู้แม้กระทั่งตัวอักษรของภาษานี้ไหมขอรับ ซึ่งข้าน้อยเชื่อว่าท่านไม่เคย หาไม่ท่านจะไม่พูดแบบนี้ออกมาขอรับ

หากท่านไม่มีพื้นฐานของภาษาที่ท่านต้องเผชิญ สิ่งที่แม้แต่คนที่ขี้เกียจที่สุดในโลกยังต้องทำก็คือต้องเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองไม่รู้ให้มากที่สุด สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องของความขยัน แต่เป็นเรื่องของความอยู่รอดขอรับ

ข้าน้อยสามารถใช้เวลาทั้งวันในอ่านไวยากรณ์ของภาษาหนึ่งที่ไม่มีภาษาที่ตัวเองคุ้นเคยกำกับ ข้าน้อยต้องหัดแกะ phonetic ที่ไม่มีใครเคยสอนในพจนานุกรมเล่มหนาๆ ที่แทบเปื่อยคามือของข้าน้อย ในแต่ละคืน ข้าน้อยต้องเปิดพจนานุกรมไล่แปลนิทานไปทีละตัวๆ ทั้งที่ข้าน้อยไม่รู้ศัพท์ในหนังสือนั้นแม้แต่คำเดียว

ถ้าเมื่อไรที่ทำการบ้านไม่ได้ ท่านคิดว่าตนเองควรรู้สึกอย่างไร ต่อให้เพื่อนในห้องไม่ล้อ ครูประจำชั้นไม่ว่าเพราะเข้าใจ แต่ท่านยอมรับได้หรือขอรับ ไม่พยายามก็ต้องพยายาม ไม่ขยันก็ต้องขยัน ไม่อดทนก็ต้องอดทน ไม่อยากร้องไห้แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง

ข้าน้อยเสียใจนะขอรับ เพราะมันแปลว่าท่านไม่เคยประสบกับเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียวแล้วท่านมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินว่าเด็กไทยไม่มีความพยายาม นี่ไม่ใช่เรื่องของความพยายามขอรับ สัญชาตญาณการปรับตัวและเอาตัวรอดของมนุษย์ล้วนๆ

0
Natchanon32 16 ก.พ. 59 เวลา 00:13 น. 6-3

อ่าครับ ที่ผมสื่อก็คือ นิสัยของนางเอกนั่นแหละ คือ Perfectlism
เด็กไทยส่วนใหญ่จะชิวๆ สบายๆ ครับ อย่างที่ท่านยกขึ้นมามันแค่ระดับเอาตัวรอดครับ แต่นางเอกที่ผมเขียนมันไม่ได้คิดแค่นั้น มันมีคำว่า "ทิฐิ" เข้ามาด้วยครับ
คือจี้จังไม่ได้คิดแค่ว่า จะสื่อสารกับใครได้อย่างไร หรือทำการบ้านแค่ "พอส่งอาจารย์ได้" เท่านั้น เธอมันจะคิดเรื่อง ต้อง"ดีที่สุด" ด้วย เพราะเธอรู้สึกถึงคำว่า "ลูกสาวของศาสตราจารย์" ที่แปะหัวเธอตั้งแต่เกิดอยู่ด้วยครับ ทำให้เธอรู้สึกว่า การบ้านหรือข้อสอบเธอจะไม่ "สุกเอาเผากิน" เธอต้องทำให้ Perfect อย่างเดียวเท่านั้น ตั้งแต่ตอน 5 ผมจะพยายามอธิบายเรื่องนี้ผ่านทางการทำข้อสอบสอบเข้าด้วยครับ ว่า เด็กที่ทิฐิสูงอย่างจี้จัง มีความต่างจากเด็กไทยที่ไม่ได้คำนึงมากนักถึงคำว่า Perfect อย่างไร คือเธอไม่ได้คิดแค่เอาตัวรอดในสังคมอย่างเดียวน่ะสิครับ เธอคิดอย่างอื่นด้วย

0
White Frangipani 15 ก.พ. 59 เวลา 19:57 น. 7

สวัสดี ทุกคนค่ะ

มากระทู้นี้แล้วทำให้อยากฟังเพลงในดวงใจอีกแว๊วววววววววววววว ดิฉันนะคะ นักเรียนหัดเขียนในบอร์ดนี้ค่ะ อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกระลึกได้ว่าดิฉันนั้นเองโชคดีมว๊ากกกก ที่เกิดมาก็พบเจอคุณครูที่ดีมว๊ากกกกกกกกกกกกก ความที่เป็นบุญกุศลของดิฉันเองหรือว่าเหตุบังเอิญไม่รู้ได้นะคะ ดิฉันรักคุณครูมากๆค่ะ รักครูน๊าาาาาาาาาา

แม้จะมีอยู่ครั้งนะคะบังเอิญพบเจอครูโรคจิตในครั้งหนึ่ง ทั้งที่ครูบอกว่ารักเรามาก แต่ครูก็โหดร้ายเลือดเย็น ครูใจร้ายกับเรามากๆ เคยแอบร้องไห้มากๆหลายวัน หลายคืนด้วย ไปวัดแผ่เมตตาให้ครูอยู่หลายๆวัน ทำทุกอย่างเพื่อครูค่ะ เพาะรักครูและเหตนี้ก็เคยพบเจอเช่นกัน

ชีวิตนี้หากไม่สิ้นก็เจอสิ่งที่แตกต่างได้จริงสินะ รู้ว่าคุณครูคนนั้นนะมีจิตใจที่ดีนะและรักศิษย์ แต่ครูคงมีกรรมที่เกิดมามีความโหดร้ายและสับสนเจือปนอยู่ วิธีประศิตประสาทวิชานั้นรุนแรงหนักหนาสาหัสเหลือเกิน เพราะรักศิษย์รู้นะคะ เข้าใจแบบนั้นด้วย เคยประสบการณ์เช่นกันค่ะ

กระทู้นี้นะคะทำให้ดิฉัน เด็กนักเรียนหัดเขียน ผู้ที่ปรกติรักครูมากทุกๆคน(รักครูทุกคนเช่นคุณพ่อคุณแม่คนที่สองเลยค่ะ เจอเมื่อไรนะคะโอบกอดท่านแน่นเลย รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากๆด้วย รักครูค่ะ) แม้ว่าครูจะเป็นโรคจิตหน่อยๆ (มั้ง บางคนนะคะ) แต่ยังรักครูค่ะ

ขออภัยทุกๆคนค่ะ เหตุการณ์ในกระทู้พาไปมีอารมณ์ระลึกถึงครูค่ะฮื้ออออออออออออ รักคุณครูน๊าค๊า  ฮื้อออออออออออออ

กระทู้นี้เรานะอินจริงๆสินะเรา...ทำให้เกิดและเห็นเป็นเช่นเม้นต์ที่ฟูมฟายนี้ค่ะ ขออภัยทุกๆคนด้วยนะคะ
เสียใจเสียใจเสียใจเสียใจเสียใจเสียใจเสียใจเสียใจเสียใจ

รักคุณครูค่ะรักเลยเพลงนี้แด่...คุณครูทุกๆท่านค่ะ



0
peiNing Zheng 15 ก.พ. 59 เวลา 23:28 น. 8

ฮือฮึ นานๆ ทีจะได้เจอกระทู้ถามเกี่ยวกับเรื่องเสียดสีในนิยาย เอาเป็นว่า ก่อนจะพูดถึงงานที่ท่านยกมา ขอพูดถึงหลักการคร่าวๆ ของการเสียดสีก่อนแล้วกันขอรับ (ข้าน้อยไม่รู้ว่า "เสียดสี" ในความหมายภาษาไทยมีนัยยะแบบไหนบ้าง แต่ข้าน้อยขอใช้คำว่า "เสียดสี" เป็นคำแปลของ "Irony" ที่อยู่ในฐานะศัพท์เทคนิคก็แล้วกันนะขอรับ)

Irony เป็นเทคนิคที่เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่เห็นหรือปรากฏ กับ ความเป็นจริง แบ่งออกเป็น 3 อย่าง

1. Verbal Irony (เสียดสีด้วยคำพูด) --> อันนี้ตรงตัว บทสนทนาอะไรก็ตามที่กล่าวโดยเสียดสี ประชดประชัน

เช่น หนังสือบรรยายถึงรถเก่าบุโรทั่ง แต่ตัวละครเห็น กลับพูดว่า “รถเจ๋งนี่” ซึ่งเป็นคำพูดที่ขัดกับสภาพจริงของรถ

2. Dramatic Irony (เสียดสีระหว่างสิ่งที่คนอ่านรู้กับตัวละครรู้) --> คือ การปูเนื้อเรื่องไว้เพื่อจูงคนอ่านไปทิศทางหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับปรากฏผลเป็นอีกแบบหนึ่ง (จะคู่กับ Surprise หรือไม่ก็พวกหักมุม)

เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับแจ้งว่าสามีตายเพราะรถไฟที่เขาโดยสารเกิดอุบัติเหตุ เธอรีบหลบเข้าห้องร้องไห้จนญาติเป็นห่วง แต่แท้จริงแล้ว เธอร้องไห้เพราะยินดีเหลือเกินกับอิสระที่ได้รับหลังสามีตาย แต่ผ่านไปไม่กี่นาที ญาติก็มาเคาะประตูขอร้องให้ออกมา แล้วเธอพบว่าสามีกลับมาแล้ว เขาไม่ได้ขึ้นรถไฟขบวนนั้น ผู้หญิงคนนั้นช็อคจนหัวใจวายตาย

คนอ่านรู้ว่าเธอช็อคเพราะสิ้นหวังกับอิสรภาพที่ได้มาแค่ชั่วโมงเดียว แต่ตัวละครกลับคิดว่าเธอตายเพราะดีใจจนช็อค

(เป็นเรื่องสั้น “The Story of an Hour” ของ Kate Chopin เป็นตัวอย่างคลาสสิคที่ข้าน้อยชอบใช้)

3. Irony of Situation (เสียดสีกับสถานการณ์ที่ควรจะเป็นกับสิ่งที่มันเป็น)

เช่น ตอนที่เรือ Titanic กำลังล่ม ผู้คนหนีตายกันจ้าละหวั่นอยู่บนเรือ แต่กลับมีวงดนตรีคลาสสิคยังคงบรรเลงเพลงที่งดงามเพื่อขับกล่อมผู้โดยสารท่ามกลางความตระหนกและสับสนของสถานการณ์ในขณะนั้น



ทีนี้กลับมาดู Quote ที่ท่านหยิบยกมา เริ่มแรก สิ่งที่ควรจะเข้าเค้าที่สุดเห็นจะเป็น Irony ประเภทแรก แต่เมื่ออ่านหลักการของมันดีๆ แล้ว ตัวอย่างที่ท่านยกมามันไม่ใช่ Irony ขอรับ มันไม่ได้เป็นคำพูดที่ขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ปรากฏกับคำพูด เพราะสิ่งที่ปรากฏมันเห็นชัดเจนอยู่แล้ว และคำพูดนั้น ก็คือคำตำหนิที่ถูกยัดเข้าปากตัวละครเพื่อต่อว่าระบบการศึกษาโต้งๆ ขอรับ

ถ้าหากท่านถามว่าเสียดสีหนักๆ ได้หรือไม่ คำว่าหนักหมายถึงอะไรข้าน้อยไม่แน่ใจ อาจเป็นเรื่องประเด็นที่เสียดสี หรือความชัดแจ้งของการเสียดสี แต่ไม่ว่าแบบไหน ข้าน้อยมองว่ามันโอเค Irony มันเป็นเทคนิคที่ทำให้สิ่งที่ปรากฏนั้นเด่นชัดขึ้น เท่าๆ กับที่ทำให้คนอ่านรู้สึกแสบๆ คันๆ เล่น

แต่ในเมื่อสิ่งที่ท่านหยิบยกมาไม่ใช่ Irony แต่เป็นการตำหนิโดยชัดแจ้ง ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าการต่อว่าหนักๆ แบบนี้ ควรไปไกลได้มากน้อยแค่ไหนขอรับ แต่ถ้าเมื่อไรที่ท่านไปไกลเกินขอบเขต คนอ่านก็ออกมาท้วงอย่างเช่นความเห็นหลายๆ ท่านข้างบนที่ออกจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไร

จบการตอบคำถาม ต่อมา ข้าน้อยขอแสดงความคิดของ Quote ที่ท่านจขกท. หยิบยกมาบ้างขอรับ

ก่อนอื่น แค่ Quote เดียว ข้าน้อยเห็นคนเขียนกระโดดลงมาในนิยายเต็มๆ และยัดความคิดความอ่านใส่ปากตัวละครชนิดที่เรียกว่าเด่นชัดจนแสบลูกตา ซึ่งบอกตามตรงว่า ส่วนตัวแล้ว ข้าน้อยไม่ชอบงานเขียนที่คนเขียนกระโดดลงมาเล่นในฉากเองสักเท่าไร แต่เป็นเรื่องปกติที่คนเขียนมือใหม่ทำกันโดยไม่รู้ตัว ข้าน้อยเองก็เขียนแบบนั้นเหมือนกันในตอนแรก ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด และจากนั้นก็ได้เรียนรู้ไปว่าเมื่อไรที่คนเขียนกระโดดเข้าฉาก เมื่อนั้นมันจะไม่เป็นธรรมชาติ อ่านสะดุดขอรับ นี่คือ ประเด็นที่หนึ่ง

ประเด็นที่สอง ไม่มีคนอ่านคนไหนที่ชอบอ่านงานเขียนที่ความคิดของคนเล่ามีนิสัยไม่น่าโสภาขอรับ คนเล่าในที่นี้ หมายถึงเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นผ่านสายตาของใคร ถ้าผ่านสายตาของพระเอกผู้มีอีโก้สูง แล้วต้องมานั่งอ่านความคิดเที่ไม่น่ารักไม่น่าเข้าใกล้ ข้าน้อยจะปิดงานเขียนประเภทนี้ขอรับ

ประเด็นที่สาม อันนี้อาจจะพุ่งไปที่ประเด็นของ Quote นี้โดยตรง เราต่างคนต่างประสบการณ์กัน แต่จากประสบการณ์ของข้าน้อยเอง ในช่วงชีวิตม.ปลาย ข้าน้อยมองว่าเด็กไทยบางคนที่เรียนเฉพาะในตำราเพื่อให้สอบผ่านไปได้ ไม่ได้สนใจจริงจัง แต่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน เป็นช่วงที่ได้ใช้เวลากับชีวิตสมวัยอย่างที่ควรจะเป็น

ในช่วงชีวิตที่เข้ามหาวิทยาลัย เพื่อนที่ใช้ชีวิตสนุกสนานที่ว่าต้องอ่านหนังสือเอาเป็นเอาตายเพราะว่าเรียนหนัก อ่านไม่ทัน ต้องอ่านหนังสือบนรถเมล์เพราะเสียดายเวลา แล้วที่อ่านนี่ไม่ใช่แค่เพื่อสอบเหมือนเมื่อตอนม.ปลายอีกแล้ว แต่อ่านเพื่อเตรียมบทเรียนก่อนและหลังจะได้ไป discuss ในห้อง คณะที่ข้าน้อยเรียน แค่อ่านหนังสือได้จบ เอาตัวไม่รอดหรอกขอรับ ต้องมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ

จนกระทั่งเข้าสู่ชีวิตการทำงาน เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องระบบการศึกษาห่วยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักเรียนไทยเหมือนเป็นหนูทดลองอยู่ตลอดเวลา ให้ครูโฟกัสผิดจุด (ข้าน้อยอยู่ในรุ่นควายเซนเตอร์และปะทะกับอาจารย์จนถึงผอ.โรงเรียนมาแล้วเหมือนกัน) แต่ข้าน้อยมองว่าเรื่องวัฒนธรรมที่ฝังรากลงไปในแต่ละประเทศต่างหากที่ทำให้ความคิดของเด็กๆ ในแต่ละประเทศใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน และเมื่อไรที่เข้ามาเกี่ยวกับวัฒนธรรม เมื่อนั้นบอกไม่ได้หรอกขอรับว่าของใครดีกว่าใคร และสิ่งที่อยู่ในบทสนทนาของอาจารย์กำลัง discriminate ดีๆ นี่เองขอรับ

วัฒนธรรมที่ฝังรากอยู่ในความคิดเห็นของคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่ดี บางเรื่องเป็นเรื่องที่คนไทยขาด และคงจะดีที่เรารับสิ่งที่ดีจากชาวญี่ปุ่นมา แต่การรับมา ก็ไม่จำเป็นต้องตำหนิรากเหง้าของตนเองว่ามันแย่ เพราะสำหรับข้าน้อย คนไทยอาจดูเป็นคนไร้ระเบียบ ดูเรื่อยๆ ไม่สนใจ ไม่จริงจัง ไม่อดทนพยายาม แต่หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของคนไทยก็คือ ความมีน้ำใจ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้น น้ำใจของคนไทยที่คิดจะช่วยเหลือมีพร้อม ขอเพียงแค่บอก ก็พร้อมจะยื่นน้ำใจ น้ำแรง น้ำเงินเข้าช่วย ข้าน้อยเชื่อว่าเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านมาคงบอกอะไรได้ชัดเจนอยู่เหมือนกัน

บทสนทนาที่ท่านจขกท.ยกมานี้ ไม่เหลือเนื้อที่ให้กับคนคิดต่างแม้แต่น้อย

หากต้องการจะเสียดสี หรือประชดประชัน หรือต่อว่าอะไร ก่อนอื่น คนเขียนควรมองหาเส้นตรงกลางให้ได้ของประเด็นที่ตนเองต้องการจะนำเสนอว่าอยู่ตรงไหน ถ้าคนเขียนเลือกข้างเรียบร้อย ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะนำเสนองานเขียนก้าวข้ามจุดตรงกลางนั้นไปฟากหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรก้าวไปจนสุดโต่งจนไม่มีที่ว่างให้กับเสียงคนอ่านที่อาจจะขัดแย้งกับคนเขียน มันไม่เหมือนคนเขียนไม่เปิดรับความคิดต่างที่อาจเกิดขึ้น

ถ้าสังเกตการโต้วาที จะมีกรรมการอยู่ตรงกลาง ฝั่งหนึ่งคือฝ่ายเสนอ ฝั่งหนึ่งคือฝ่ายค้าน แต่จะมีประโยชน์อะไรที่ฝ่ายเสนออยู่บนเวที แล้วฝ่ายค้านอยู่นอกห้องจัดงาน แบบนั้นไม่ต้องจัดก็ได้ขอรับ ในเมื่อไม่มีที่ยืนให้ฝ่ายค้าน คิดว่าพวกเขาจะทำยังไง ง่ายที่สุดก็เพียงเดินจากไป แล้วไปหาอะไรอย่างอื่นทำปล่อยให้ฝ่ายเสนอพูดไปคนเดียวเถอะ

ในบทสนทนาทั้งหมด ข้าน้อยมองว่าสิ่งที่ดูจะเป็นจุดที่ข้าน้อยโอเคที่สุด ก็คือ คำพูดของหัวหน้าหมวดขอรับ มันดูเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและสะท้อนสังคม แต่บทสนทนาทั้งของผู้ปกครอง และ คนเป็นอาจารย์ ข้าน้อยมองว่าต่างฝ่ายต่างโลกแคบไปนิด ข้าน้อยไม่คิดจะฟังตัวละครสองตัวนี้ขอรับ

ที่กล่าวมายืดยาว ไม่ใช่จะทำให้เสียกำลังใจ ข้าน้อยแบ่งประเด็นชัดเจนแล้วว่า Irony เป็นยังไง และความคิดเห็นส่วนตัวของข้าน้อยที่มีต่อประเด็นนี้ เป็นอย่างไร

ในแง่ของการเขียน ข้าน้อยก็อยากให้ท่านเขียนในสิ่งที่ต้องการ มันคือจุดประสงค์การเขียนเรื่องนี้ของท่าน เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะเขียนมันลงไปในงานเขียน แต่แน่นอนว่าคนอ่านย่อมมีสิทธิ์เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในเรื่องความคิดเห็นและการนำเสนอของคนเขียน ต่างฝ่ายต่างใช้สิทธิ์ของตน ทีนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนเขียนเองว่าจะเขียนไปต่อในรูปแบบไหน ท่านอาจจะตัดตอนนี้ทิ้งไปเมื่อเห็นว่าคนไม่เห็นด้วยเยอะ หรือไม่ก็ยังคงใส่เข้ามาในเรื่องเพราะนี่คือ ความคิดเห็นของท่านที่อยากตะโกนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจว่าท่านไม่เห็นด้วยต่อเรื่องการศึกษาในไทยมากเพียงไร เพราะมันคือประสบการณ์ที่ท่านประสบมาด้วยตนเอง

เป็นกำลังใจให้ขอรับ
3
Natchanon32 15 ก.พ. 59 เวลา 23:58 น. 8-1

ขอบพระคุณครับ
อันนี้เป็นมุมมองของผมเอง เพราะการที่ผมเป็นครูที่ไม่เหมือนกับครูปกติ เพราะผมเป็นครูที่เน้น discussion หรือการ debate เพื่อให้เกิดความรู้มากกว่า การสอน ผมจึงเอาความคิดหลายประการเข้าไปในแนวคิดของ โอนิจังด้วย เพราะผมเองเคยไปอยู่ญี่ปุ่นมาก่อนหลายปี ระหว่างที่รอบรรจุเป็นครูผู้ช่วย ผมจึงเห็นความแตกต่างของการศึกษาไทย กับ ญี่ปุ่น ตั้งแต่รากฐาน เช่น ในญี่ปุ่น รัฐบาลเป็นผู้กำหนดโรงเรียนให้เด็กทุกคน ซึ่งคนไทย พ่อแม่เป็นผู้กำหนด ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาตั้งแต่รากฐานครับ ผมจึงชิงชังการศึกษาไทยหลายประการ พอผมมีโอกาส บางครั้งก็เขียนวิจารณ์ตรงๆใน Pantip บ้าง รวมไปถึงการใส่ไว้ในนิยายเรื่องนี้ด้วย ในเรื่องนี้ ผมเอาชีวิตจริงมาเล่นเป็นนิยาย คือชีวิตของน้องสาวของผมเองที่เป็นคนญี่ปุ่น และต้องมาเรียนโรงเรียนมัธยมในไทย ปมเรื่องจริงๆที่ผม ต้องการเสียดสีคือ
1. การศึกษาไทยที่ใช้ไม่ได้ เช่น ครูที่ไม่ได้คุณภาพ ผู้ปกครองที่โอ๋แต่ลูกตัวเอง และ นักเรียนที่อยู่แต่ในกะลา ซึ่งผมจะพยายามเอาแนวคิดที่ต่างกัน เช่นประเด็นของผู้ปกครอง ผมก็จะเอาแนวคิดของผู้ปกครองที่โอ๋ลูก กับ ศาสตราจารย์โมริคะวะที่ไม่โอ๋จี้จังเลย และฝึกจี้จังกับฮินะจังหนักมากให้เป็น "กุลสตรีในยุคโชวะ" ซึ่งแนวคิด 2 แนวนี้ มันคือสุดโต่ง 2 ฝั่ง
2. วัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น กับ ไทย ที่มีข้อแตกต่างกันมากๆ โดยจะสะท้อนที่ความขัดแย้งระหว่างจี้จังกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน (ผมจะเริ่มเขียนปมนี้ตั้งแต่ตอนที่ 7 ไปจนจบ) รวมไปถึงวิธีการมองโลกของคนญี่ปุ่นโดยผ่านทางจี้จัง กับ ศาสตราจารย์โมริคะวะ ว่าคนญี่ปุ่นมองคนไทยแบบไหน รวมถึงภาพสะท้อนที่คนญี่ปุ่นมองฮาฟุแบบจี้จังอย่างไรด้วย ตรงนี้ก็เป็นปมครับ เพราะจี้จังจะพบความยากลำบากในการปรับตัวเช่น การทำงานแบบคนไทย ทำจี้จังไม่พอใจมากๆหลายครั้ง (จริงๆก็ตั้งแต่ตอนที่ 4 แล้ว ที่จี้จังว่า HK ว่า ทำไมมาอยู่ที่โรงเรียน H ทำไมไม่อยู่ที่ห้องสมุดนิรันดร)

อันนี้เป็นสิ่งที่ผมจะทำครับ

0
peiNing Zheng 16 ก.พ. 59 เวลา 06:00 น. 8-2

ข้าน้อยมองว่าเป็นประเด็นที่ดีในการนำเสนอขอรับ ทีนี้ปัญหาขึ้นอยู่กับวิธีการนำเสนอนี่แหละว่าจะทำยังไงให้คนอ่านเปิดใจรับได้

ทีนี้บทสนทนาที่ยกมาค่อนข้างเด่นชัด และ straight forward เกินไป มันไม่ใช่วิถีของ fiction เท่าที่ควรแต่เหมือนกับการโยนคำตำหนิใส่หน้าตรงๆ โดยการเปรียบเทียบเด็กไทยแบบเหมารวม ซึ่งจริงเท็จอย่างไรเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความรู้สึกของคนอ่านซึ่งก็เป็นหรือเคยเป็นเด็กไทยคนหนึ่งย่อมไม่ชอบใจแน่ๆ และเมื่อไรที่ทำให้คนอ่านต่อต้าน พวกเขาพร้อมจะปิดหนังสือไม่อ่านต่อ เนื้อเรื่องในตอนท้ายที่ท่านคิดไว้ดีแล้ว จะกลายเป็นสารที่ส่งไปไม่ถึงพวกเขาแทนขอรับ

มีวิธีการนำเสนออย่างอื่นที่ทำได้เพียงแค่พลิกอะไรนิดหน่อย หากท่านต้องการใช้ Irony มันอาจจะใช้ในรูปแบบนี้ได้ เช่น

สมมุติท่านสร้างเหตุการณ์ไว้ก่อนเช่น ตอนตรวจข้อสอบให้นร.คนหนึ่ง เขาอาจจะบ่นลอยๆเกี่ยวกับคำตอบในข้อสอบ (ท่านอาจยกประสบการณ์ตนเองในเรื่องคำตอบเห่ยๆ มาสักอย่างหนึ่ง เอาแบบจี๊ดสุดเท่าที่เคยเจอก็ได้) จากนั้นก็อาจเป็นนร.คนนั้นที่หาเรื่องจี้จังที่ขยันและพยายาม (คือทิ้งช่วงไปเลยนะท่าน อาจเป็น 1 หรือ 2 ตอน)

จากนั้นตอนเกรดออกค่อยให้คุณแม่ท่านนั้นพูดไปว่าลูกฉันออกจะเก่ง เขาแค่พลาดบางจุดไปเท่านั้นเองทำไมให้เกรดต่ำแบบนี้ บลา บลา บลา โดยที่คุณครูไม่ได้โต้กลับเลย เพียงแต่ปรายตามองกองกระดาษคำตอบบนโต๊ะ แล้วก็ใส่คำตอบจี๊ดนั่นย้ำอีกรอบหนึ่ง

แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วถึงเรื่องผู้ปกครองโอ๋ลูกโดยไม่จำเป็นต้องยกคำตำหนิใส่ปากตัวละคร ให้เหตุการณ์สะท้อนตัวมันเองก็พอขอรับ ที่เหลือเป็นที่ว่างให้กับคนอ่านเก็บไปคิดเอง

หรือถ้าไม่เป็นรูปธรรมพอ ก็อาจจะโต้ตอบผู้ปกครองเรื่องครูไม่มีคุณภาพสอนลูกได้เกรดเท่านี้ประมาณว่า

เด็กทำได้ 30 คะแนนเต็มร้อย (เอาเลขร้อยละกันนะ ชัดดี) แต่มีคนทำได้ 100 เต็ม ถ้าคุณอยากให้ผมแก้ให้เป็นเกรด 2 (มันต้องเท่าไรอ่ะ สมมุติว่าเป็น 50 นะ) แปลว่าผมต้องขึ้นให้เด็กคนนี้ 20 คะแนน และเพื่อความยุติธรรม ผมต้องขึ้นให้นร.ทุกคน 20 คะแนน แล้วผมจะทำยังไงกับเด็กที่ได้ 100 เต็ม? ถ้าคุณบอกเด็กคนนั้นได้ 100 อยู่แล้วไม่เห็นต้องเพิ่มอีก เมื่อเขาไม่ได้เพิ่ม เพื่อความยุติธรรม เด็กคนนี้ก็ไม่ควรได้เพิ่มเหมือนกัน ผมทำดีที่สุดแล้ว

(แค่ตัวอย่างเฉยๆ เพราะข้าน้อยไม่รู้บุคลิกของเขาว่าเหมาะกับการโต้ตอบแบบนี้หรือไม่)

แล้วอาจตบท้ายด้วยความเห็นของอาจารย์หัวหน้าด้วยอีกเล็กน้อยหลังจากที่ผู้ปกครองคนนั้นกลับไป แล้วเขาอาจหยิบกระดาษคำตอบเต็มร้อยที่เป็นชื่อของจี้จังขึ้นมาให้อาจารย์ดูแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะกันก็พอ

เท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านี่คือความพยายามของจี้จังโดยไม่ต้องออกปากเลยสักคำว่าเด็กไทยบางคนสู้จี้จังไม่ได้

ทั้งหมดนี้เป็นแค่การแสดงให้คนอ่านเห็น และเหตุการณ์ทั้งหมดชี้นำไปในทางความคิดของคนเขียนเรียบร้อยว่าจี้จังขยันกว่าเด็กไทยบางคนขอรับ

นี่คือวิธีการ "เหลือ" เนื้อที่ให้คนอ่านได้คิดต่อโดยที่คนเขียนแค่ชี้นำ แต่ไม่ได้ปิดปากมัดมือชกคนอ่านขอรับ แรงต่อต้านจากคนอ่านจะลดลง

ถ้าเนื้อหาแบบนี้ ท่านอาจจะต้องลองหางานเขียนเสียดสีสังคมมาอ่านให้มากขึ้นขอรับ (ส่วนมากหนังสือพวกนี้มักอยู่ในรูปของเรื่องสั้น)

"แสดง" ให้คนอ่านเห็นโดยไม่ต้อง "บอก" ให้คนอ่านรู้ เป็นหนึ่งในเทคนิคของ fiction ขอรับ

0
White Frangipani 16 ก.พ. 59 เวลา 06:20 น. 8-3

สวัสดค่ะ คุณpeiNing Zheng

พอ พอ เถิดค่ะ คุณคงเหนื่อยมากแล้วมั้งคะกับกระทู้นี้ มาถึงเม้นต์นี้ของคุณดูคล้ายคุณจะช่วยเจ้าของกระทู้เขียนนิยายของเขาเลยนะคะนี่

ที่บอกแบบนี้นะคะเพราะดิฉันเป็นห่วงคุณนะคะ จริงๆจากที่อ่านมาทั้งหมดดูคุณจะสับสนค่ะ สาเหตุเพราะดิฉันอาจจะเห็นอาการของเจ้าของกระทู้ต่างจากคุณค่ะ ดิฉันเห็นว่าเขามีจุดยืนค่ะ เขามีจุดยืนเขารู้ว่าเขาทำอะไรดิฉันเห็นแบบนั้นค่ะ คุณอย่าห่วงเขาเลยนะ

การแนะนำเป็นกำลังใจต่อเพื่อนร่วมบอร์ดปรกติธรรมดาก็เป็นกำลังใจที่ดีมากมายแล้วค่ะ เรื่องงานเขียนให้เขาทำเองดีกว่าค่ะ

ดูเขาจะนุ่มนิ่มนะคะ หรือเขาคือไม้ไฝ่ที่ยอมเอนเพื่อลู่ลมเพื่อความอยู่รอดแต่เขาคนนี้จะไม่มีวันล้มหรือหักโค่นตัวตนของเองเพื่อใครๆอย่างแน่นอนค่ะ ดิฉันรู้สึกได้แบบนั้นนะ จากที่เห็นๆจากทุกเม้นต์ที่เขาเม้นต์มา และดูเขาไม่ใช่คนโง่ด้วยนะคะดิฉันเห็นแบบนั้นค่ะ ขออภัยที่เราอาจจะเห็นต่างกันค่ะ เพราะฉนั้นอย่าห่วงงานเขียนของเขาเลยค่ะ เขาคงเขียนเองได้อย่างแน่นอน เกรงว่าคุณจะเหนื่อยเพลียค่ะ

ดิฉันคอยคำตอบคุณอยู่ข้างล่างนะคะ ดิฉันอยากเรียนรู้การพูด สื่อ ภาษาไทยให้ถูกต้องค่ะ ดิฉันคอยคุณอยู่นะคะ

เยี่ยม

0
White Frangipani 16 ก.พ. 59 เวลา 00:15 น. 9

สวัสดีค่ะ คหที่8

ดิฉันอ่านๆคำบอกเล่าของคุณมาถึงตรงนี้นะคะดิฉันรู้สึกตัวเย็นๆแข็งทื่อเลยค่ะ คือรวมๆแล้วดิฉันมีอาการช็อคกับคำวิจารณ์ที่คุณมีต่อเจ้าของกระทู้ค่ะ ดิฉันรู้สึกว่าคุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคะนี่ หรือว่าดิฉันเองที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์นะ

คือตรงนี้ของคุณนะคะ...

หากต้องการจะเสียดสี หรือประชดประชัน หรือต่อว่าอะไร ก่อนอื่น คนเขียนควรมองหาเส้นตรงกลางให้ได้ของประเด็นที่ตนเองต้องการจะนำเสนอว่าอยู่ ตรงไหน ถ้าคนเขียนเลือกข้างเรียบร้อย ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะนำเสนองานเขียนก้าวข้ามจุดตรงกลางนั้นไปฟากหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรก้าวไปจนสุดโต่งจนไม่มีที่ว่างให้กับเสียงคนอ่านที่อาจจะขัดแย้ง กับคนเขียน มันไม่เหมือนคนเขียนไม่เปิดรับความคิดต่างที่อาจเกิดขึ้น

คือดิฉันอ่านคำบอกเล่าของคุณแล้วดิฉันต้องสลัดหัวหลายๆครั้งค่ะ คืองง งง มากนะคะ คือดิฉันได้เห็นว่าคุณได้ยกเจ้าของกระทู้มาวิจารณ์นะคะตอนนี้  คืออยากจะบอกตรงๆคือคุณลืมที่จะแยกแยะอะไรไปหรือเปล่าคะนี่  ในหัวข้อของประเด็นของเขานะคะ ดิฉันเห็นว่านั้นเป็นคำถามธรรมดาของนักเขียนต่อเพื่อนๆในบอร์ดค่ะ

เพราะแท้จริงกระทู้นี้เจ้าของกระทู้ ลงมาเพื่อถามเพียงแค่นิดเดียวเกี่ยวกับงานเขียนของเขาเท่านั้นเองค่ะ คุณลืมความที่เป็นจริงหรือเปล่าคะตรงนี้ คือในกระทู้เขาถามถูกต้องแล้วค่ะ

ไม่เชื่อคุณลองตั้งสติดีๆกลับขึ้นไปเพ่งอ่านประเด็นของเขาดูใหม่นะคะ ขอความกรุณาด้วยค่ะ เพราะดิฉันค่ะที่อาจจะเห็นอะไรที่แย่หรือแปลกว่าบุคคลอื่นๆในกระทู้

เขาเพียงถามเรื่องงานเขียนของเขาคือเพียงแค่นี้นะคะ...

ของผมพอ rewrite การผจญภัยของจี้จังใหม่ ผมอยากลองเขียนเสียดสีการศึกษาไทยลงในนิยายด้วย เช่นประมาณนี้

อันนี้ผิดกฎไหมครับ หรือสามารถเขียนแรงกว่านี้ได้"
...ดิฉันจะไม่ยกเนื้อหาของนิยายของเขามานะคะ เพราะนั้นเป็นนิยายของเขาค่ะ นิยายจะเขียนอย่างไรก็ได้นะคะ

ดิฉันมีงงนิดหน่อย เกิดอะไรขึ้นกันคะนี่ ดิฉันหรือเปล่าที่เห็นอะไรที่ซ้อนๆอยู่ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่แปลกมากในที่นี้ค่ะ สิ่งที่ดิฉันเห็นนะ ดิฉันเห็นว่าคุณเล่นงานเขาค่ะ (หากคุณไม่ตั้งใจขออภัยด้วยค่ะ)  หรือพยายามบอกว่าเขาเองซึ่งเป็นตัวละคร และคุณพูดราวกับว่า ตัวละครที่เป็นซึ่งเขานั้นออกมาจากหนังสือ มาเดินเล่นในบอร์ด

และกระทำสิ่งที่ไม่สมควรอะไรแบบนี้เลยนะคะนี่ คืออวยนักเรียนของตนมากไป เพราะแม้ว่าเขาจะอวยมากไปในนิยายนั้น และหากหนังสือเรื่องนี้เกิดได้ตีพิมพ์หรือจะถูกนำไปสร้างเป็นหนังหรือละครนะคะ เราคนอ่านคนดูจะตัดสินหรือจะเห็นเองค่ะ

เพราะอ่านๆจากที่เขาอธิบายมาทั้งหมดจากทุกความเห็นรู้สึกว่าเขาจะรู้ตัวตนของเขาอยู่นะคะเขารู้ว่าว่าเขาทำอะไรอยู่ค่ะ และเขาสามารถอธิบาย-แยกแยะ ได้ชัดเจนด้วย ว่าเขาวางพล็อตนิยายมาอย่างไร...และซึ่งเป็นเช่นที่เห็นนี้ คุณไม่เห็นหรือคะ เขาสามารถบอกได้ด้วยว่า ปัจจัยแห่งเหตุมาจากไหนและจะไปสู่เหตุใด และเกิดเป็นเหตุเช่นไรได้อย่างชัดเจนด้วย

ดูเขาจะมีสติด้วยนะคะ เขารู้ว่าเขาคือครู และกำลังเขียนนิยายอยู่ค่ะ ก็เท่านั้นเอง ตามที่ดิฉันเข้าใจนะคะ

นั้นแท้จริงเรื่องที่เขาต้องการเสียดสีสังคมเป็นเพียงนิยายของเขานะคะนั้น เป็นเพียงงานเขียนของเขาค่ะ (ดิฉันเพียงเป็นห่วงคุณเท่านั้นค่ะคหที่8)

เพราะนับถือคุณเช่นกันจึงอยากให้คุณอธิบายมุมมองของคุณให้ชัดเจนค่ะ ดิฉันเป็นเพียงนักเรียนหัดเขียนและฝึกที่จะพยายามแยกแยะให้ได้ด้วยว่า อะไรคือนิยาย? อะไรคือผลงานเขียน? อะไรคือความจริง?ค่ะ  ขอความกรุณาอธิบายด้วยนะคะ เพื่อการเรียนรู้ที่ถูกต้องที่จะได้เป็นประสบการณ์ที่จะเป็นนักเขียนที่ดีที่ดิฉันฝันมาตลอดชีวิตเช่นกันค่ะ  อยากเรียนรู้การสื่อที่ชัดเจนค่ะ

รอคำตอบนะคะ ด้วยความนับถือ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


12
peiNing Zheng 16 ก.พ. 59 เวลา 05:08 น. 9-1

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นและความเป็นห่วงขอรับ ข้าน้อยแบ่งประเด็นชัดเจนแล้วขอรับ

1. อธิบาย Irony ว่าคืออะไร

2. ตอบคำถามท่านจขกท.

3. แสดงความคิดเห็นส่วนตัวต่อประเด็นที่ท่านจขกท. หยิบยกมาและวิธีการนำเสนอ

ส่วนที่ท่านยกข้อความของข้าน้อยมาคือส่วนที่ 3 ขอรับ

0
White Frangipani 16 ก.พ. 59 เวลา 05:38 น. 9-2

สวัสดีค่ะ

"3. แสดงความคิดเห็นส่วนตัวต่อประเด็นที่ท่านจขกท. หยิบยกมาและวิธีการนำเสนอ

ส่วนที่ท่านยกข้อความของข้าน้อยมาคือส่วนที่ 3 ขอรับ"


ในส่วนที่ 3 ของคุณนะคะ

คือนี่นะคะ...
"3. Irony of Situation (เสียดสีกับสถานการณ์ที่ควรจะเป็นกับสิ่งที่มันเป็น)"

นั้นแสดงว่าคุณเสียดสีเจ้าของกระทู้ และวิธีเขียนของเขา และรวมนิยาย...พล็อต...เทคนิค...รูปแบบการวางบทตัวละคร...เนื้อหา...สาระ หรือรวมๆคือทั้งหมดที่เป็นเขาและผลงานของเขานะคะในประเด็นของกระทู้ทั้งหมดของเขานี้ หากดิฉันเข้าใจจากข้อความทั้งหมดบนคหที่8ของคุณ

แบบนั้นไช่ไหมคะที่คุณต้องการจะสื่อ หรือว่าคุณตั้งใจให้เห็นผิดไปจากนี้คะ?

คอยอยู่ค่ะ


เยี่ยม

0
peiNing Zheng 16 ก.พ. 59 เวลา 06:17 น. 9-3

? ไม่ใช่ขอรับ

แต่ขออนุญาตไม่อธิบายไปมากกว่านี้ ข้าน้อยเคยกล่าวไปแล้วครั้งหนึ่งว่าบางครั้งที่มีเหตุให้ข้าน้อย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านในกระทู้อยู่บ้าง แต่ว่าแต่ละครั้งเหมือนเรายืนอยู่คนละฟาก ความคิดเห็นไปคนละทิศละทาง ท่านไม่เข้าใจข้าน้อย ส่วนข้าน้อยก็ไม่เข้าใจท่าน แล้วทุกอย่างพร้อมจะเกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายมากเลย

เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจที่อาจเกิดขึ้น ข้าน้อยขอไม่ discuss ต่อ ขออภัยด้วยขอรับ

0
White Frangipani 16 ก.พ. 59 เวลา 06:44 น. 9-4

เอ้า...คุณมารอที่นี้แล้ว ดิฉันได้ขึ้นไปทักคุณข้างบนค่ะ คุณแว็บขึ้นไปดูนะคะ

"แต่ขออนุญาตไม่อธิบายไปมากกว่านี้"...ทำไมคะ เป็นเพราะอะไรหรือนี่ดิฉันเป็นนักเรียนหัดเขียนแท้ๆ ต้องการความรู้ค่ะ คุณปฎิเสธนี้เพราะอะไรกัน เสียใจนะคะนี่

ดิฉันให้โอกาสคุณเป็นผู้มีโอกาสสั่งสอน แนะนำ เพื่อการเรียนรู้ทำไมเพราะอะไรคุณจึงไม่กระทำคะ

"ข้าน้อยเคยกล่าวไปแล้วครั้งหนึ่งว่าบางครั้งที่มีเหตุให้ข้าน้อย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านในกระทู้อยู่บ้าง แต่ว่าแต่ละครั้งเหมือนเรายืนอยู่คนละฟาก"...สำหรับดิฉันในบอร์ดแห่งนี้ไม่เคยมีฟาก ไม่มีขอบเขต ไม่มีความอคติเป็นส่วนตน ไม่มีความอิจฉา เหลือใจดิฉันไม่เคยมีค่ะ ไม่มีความทุกข์ทรมานที่เห็นเพื่อนๆมีความสุข มีความคิดสร้างสรรค์และแตกต่าง มีความดี มีความพยายาม มีความสำเร็จ

จะมีเพียงความรู้สึกดีๆ ความสนุกสนาน ความเป็นมิตรภาพ คุณไม่เห็นดิฉันจริงๆหรือค่ะ ไม่เห็นจริงๆ หรือว่าที่คุณเห็นนั้นเป็นอย่างอื่นในสายตาคุณ

"ความคิดเห็นไปคนละทิศละทาง ท่านไม่เข้าใจข้าน้อย"...ดิฉันเห็นคุณค่ะ แม้จะไม่เข้าใจคุณแต่ดิฉันก็เห็นคุณ เห็นคุณสับสนในบางครั้งดิฉันเห็นเป็นอย่างดี และความที่เป็นคุณดิฉันก็ให้เกียรติเคารพคุณเช่นที่เป็นคุณดิฉันไม่เคยต้องการอะไรไปมากกว่านี้ อยากให้คุณรู้ค่ะ

"ส่วนข้าน้อยก็ไม่เข้าใจท่าน"...เป็นเรื่องจริงค่ะในบางครั้งไม่ง่ายที่จะเข้าใจใครๆได้ ซึ่งในบางครั้งดิฉันก็รู้สึกอย่างนั้นกับหลายๆคนรอบๆตัว นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาหรือธรรมาชาติที่เราทุกคนต้องจำนนและฝึกที่จะอยู่ด้วยกันด้วยสันติวิธีและให้เกียรติ เปิดใจยอมรับซึ่งกันและกันนะคะ

"แล้วทุกอย่างพร้อมจะเกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายมากเลย"...ใช่ค่ะการที่คุณเม้นต์มาในคหที่8ดิฉันไม่เข้าใจคุณค่ะ เพราะดิฉันก็มีตา อ่านภาษาไทยตีความออกเช่นกันค่ะ

"เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจที่อาจเกิดขึ้น ข้าน้อยขอไม่ discuss ต่อ ขออภัยด้วยขอรับ"...นี้เป็นตัวอย่างให้เด็กได้เป็นอย่างดี หรือไม่คะ ว่า เรา ผู้ใหญ่แล้วคุยกันไม่ได้ ไม่เข้าใจ คุยกันไม่ลงตัว ยุติไม่ได้ ทุกอย่างค้างคาเพราะเหตุผลส่วนตัว เจริญ เจริญเถอะค่ะ

ที่เห็นนี้เป็นตัวอย่างได้ไหมคะ แบบนี้คุณโทษใครคะ คนที่เขาริเริ่มจะลงมือทำอะไรใหม่ๆกันไว้เลย ขวางไว้ เกรงกลัวความเปลี่ยนแปลง แต่ที่คุณยึดให้อยู่กับที่ ไม่พัฒนา ไม่ก้าวหน้าคุณกล้ากระทำ เห็นๆอยู่นี้ไงคะ

โอเค...ค่ะ เพื่อความสบายใจของคุณ คุณหันหลังออกจากกระทู้นี้ไปทิ้งให้เม้นต์ของดิฉันลอยอยู่นี้หล่ะ...

ขออภัยหากเห็นว่าดิฉันจะมีอารมณ์ มีอารมณ์จริงค่ะ ดิฉันเกิดมามีศิลป์ ขออภัยอีกครั้งค่ะ ขอให้คุณโชคดี หวังว่าเราจะพบกันอีกในกระทู้ต่อๆไปด้วยค่ะ

รักเลย

0
Archetype 16 ก.พ. 59 เวลา 13:39 น. 9-5

peiNing Zheng ผมเห็นใจคุณ 555
ขอเจือกหน่อยนะ คุณลีลาวดี อ่านคอมเมนท์ peiNing Zheng ให้ดี
ส่วนที่สาม อยู่ตรงไหน ไม่ใช่ข้อที่สาม หาตรงนี้ให้เจอ แล้วค่อยคุยกันใหม่
ไม่แปลกที่เขาจะไม่เสวนาด้วย คุณอ่านคอมเมนท์เขาไม่แตกเอง
ถ้าคุณเจอส่วนที่สามแล้ว คุณจะเข้าใจว่า เป็นความเห็นส่วนตัว
นอกเหนือประเด็นที่เจ้าของกระทู้ถาม ซึ่งคุณpeiNing Zheng ก็ออกตัวไว้แล้ว
จบ

0
White Frangipani 16 ก.พ. 59 เวลา 16:46 น. 9-6

สวัสดีค่ะ คหที่9-5 จริงแล้วดิฉันคอยคุณอยู่ หลังจากดิฉันอ่านเม้นต์ข้างบนของคุณเม้นต์สุดท้ายนะคะ ดิฉันรู้สึกว่าคุณที่หล่ะ ที่กล้ามาก กล้าแบบไม่เกรงกลัวที่จะพาใครเข้าป่าเข้ารก วิธีเขียน วิธีสื่อของคุณ คุณไม่เกรงกลัวที่จะให้ใครๆเห็นว่าคุณล้าหลัง คับแคบ ตื้นเขิน ไม่พอคุณไม่รู้ตัวด้วยว่าคุณทำร้ายจิตใจใครเขาไปบ้าง


"ขอเจือกหน่อยนะ"...นี้ก็เช่นกัน อย่าเจือกบ่อยๆได้ไหมคะ การเจือกเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่เด็กๆ คุณรู้เรื่องนี้หรือเปล่า การเจือกนะคะมาวันนี้อาการแบบนี้หากเกิดขึ้นกับเด็กไทย หากเขาต้องออกต่างประเทศนำอาการดังกล่าวนี้ติดตัวไปด้วย ชาวโลกเขาจะหัวเราะเอานะคะ หรือจะถูกจับไปเล่นละครลิงค่ะคุณ สงสารเด็กๆค่ะ นี้นะคะเป็นอาการล้าหลัง อย่างยิ่งยวดนะคะอาการที่เป็นเช่นที่คุณเป็นอยู่นี้ เลิกๆเถอะค่ะ บอกจริงหวังดีนะ

แนะนำหน่อยก็แล้วกันค่ะ คือหากคุณจะพูดคุยกับใครนะคะ ยืดอกขึ้นมาควบคุมระบบลมหายใจที่ปลายจมูกสัมผัสให้ได้ และเตรียมพร้อมสาระ(น่ารู้) หรือประเด็นที่ผู้คนเขาคุยกันอยู่ให้พร้อมด้วยในขณะเดียวกันนั้นคือคุณต้องมีสติรู้ว่าคุณต้องคุยอะไร หรือพูดอะไรออกมา คุณจะเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนคุณจะสามารถพูดคุยเรื่องที่ชาวโลกเขาคุยกันอยู่ก่อนแล้วได้อย่างสนุกสนาน ต้องแบบนี้ค่ะในโลกของสากลในวันนี้ เล่นละครลิงไม่ได้ค่ะ ไม่ได้นะคะ

อ่อ...การที่คุณจะขออนุญาติเข้าร่วมก็ใช้คำพูดที่เหมาะสมด้วยค่ะ เช่นกล่าวหรือเกริ่นขึ้นมาในช่วงขณะที่เหมาะสมที่คุณจะทำได้ด้วยประโยคที่น่ารับฟัง ให้ตรงประเด็นที่เป็นหัวข้อด้วยค่ะ ต้องไม่มีการเจือกตลอดเวลานะคะ การเจือกมาปีนี้ปี 2559อล่วนี่ เราต้องฝึก (คุณนะคะ) และเด็กๆสอนให้เขาทิ้งอาการเจือกที่ล้าหลังและป่าเถื่อนและดูไม่ได้ ไม่สวยงามนี้ไปค่ะ

"ส่วนที่สาม อยู่ตรงไหน ไม่ใช่ข้อที่สาม หาตรงนี้ให้เจอ แล้วค่อยคุยกันใหม่
ไม่แปลกที่เขาจะไม่เสวนาด้วย"...ที่คุณบอกมานี้ เป็นอาการของคนที่มีโรคจิตเภท คุณรู้ตัวไหมคะ คือเที่ยวบอกใครๆต่อใครว่า... คนไหนมีค่าควรเสวนาด้วยหรือไม่อย่างไร นี้คืออาการของโรคจิตชนิดหนึ่งค่ะ คุณไปค้นอ่านเองนะคะ

"คุณอ่านคอมเมนท์เขาไม่แตกเอง
ถ้าคุณเจอส่วนที่สามแล้ว"...เอากับคุณสิ คุณเข้าไปนั่งในสมองของดิฉันเลยนะคะนี่ คิด รู้ เกรงให้เกียรติผู้อื่นเป็นหรือไม่คะคุณ คุณต้องสงบๆบ้างนะคะ คุณที่หล่ะที่จะยึด รั้งให้ทุกอย่างยํ่าแย่ และคุณไม่รู้สึกผิดที่จะกระทำเช่นนั้นด้วย เห็นๆนี่ค่ะ คุณรู้ได้อย่างไรว่าดิฉันรู้สึกอย่างไร รู้จักเกรงและให้เกียรติบ้างสิคะคุณ

"คุณจะเข้าใจว่า เป็นความเห็นส่วนตัว
นอกเหนือประเด็นที่เจ้าของกระทู้ถาม ซึ่งคุณpeiNing Zheng ก็ออกตัวไว้แล้ว
จบ"...แท้จริงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรอกนะคะคุณ ที่นี่เป็นบอร์ดสาธารณะ เป็นที่พบปะ ขีดเขียนสนุกสนานร่วมกัน และแน่นอนหากจะทำได้เราๆก็น่าที่จะใส่ใจดูแลทำให้ดูดี เป็นตัวอย่างแก่เด็กๆ เช่นการเขียน การสื่อ การพูด การส่งมอบต่อกัน ทุกอย่างนั้นสามารถเห็นๆได้ผ่านๆตา ผ่านความรู้สึก

ดิฉันเห็นว่า คุณ และคหที่8 เกินไป สติสตังนะหาไม่ได้ อาการความมีนํ้าใจไม่มี อาการการให้เกียรติ เกรง ไม่มี อยากจะพูดอะไรพ่นออกมา เอาความสะใจเป็นที่ตั้งทั้งที่เห็นๆมีหลักฐานอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ยอม ไม่วาง เมื่อถูกไล่เบี้ยก็หิ้วกระโถนนํ้าหมากสบัดก้นหนี ไม่พอทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ผู้ที่สนทนาด้วยนั้นยํ่าแย่ ทั้งที่ตนแย่ ไม่ยอมพัฒนา ไม่พยายามที่จะยอมรับความจริง ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง วิธีคิด วิธีพูด วิธีสื่อ ทั้งหมดนี้ดิฉันรู้สึกต่อทั้งคุณและความเห็นที่8ค่ะ แย่ค่ะ หดหู่ สงสารคุณ สงสารสังคมบอกจริง

ดิฉันเห็นเม้นต์ หลายๆคำของคุณข้างบนที่มันชี้กลับไปบอกได้ว่าตัวคุณเองนั้นยืนอยู่จุดไหนและคุณก็พยายามลากคนอื่นๆลงไปด้วยกับคุณ แย่มากค่ะ จริงแล้วหากจะคิดถึงความสงบส่วนตนดิฉันก็ไม่จำเป็นที่จะสนทานกับคนที่สามารถพิมพ์อะไรได้เช่นคุณหรอกนะ คือเรามีเคมีคนละตัวคุยไปก็ไร้สาระ แท้จริงเราคุยกันไม่ได้ดิฉันเห็นได้จากวิธีและคำที่คุณใช้สื่อน่ะนะ คือเราต่างกันค่ะ แต่ดิฉันก็พยายามค่ะ

คำว่า "ไม่เสวนาด้วย"... อ่านแล้วหัวเราะ สมเพชคุณด้วยค่ะ คำนี้เป็นคำพูดของเด็กๆอมมือเขาใช้กันเมื่อเด็กทะเลาะกันงอแงขี้มูกโป่งค่ะ เอ๊ะ...แต่เด็กๆยุคใหม่ไฮเทคนี้เขาฉะะฉาน เก่งคล่องแคล้วทุกๆด้านตั้งแต่หัดเดินแล้วค่ะ ยังมีโอกาสเห็นๆด้วยค่ะ เด็กไทยนี่หล่ะยังเดินไม่ได้ด้วยซํ้าไปนั่งเล่นไอโฟนใช้นิ้วจิ้มๆเลื่อนๆหาเพลงในเน็ต นั่งโยกๆตามเสียงเพลง เก่งตั้งแต่เกิดเนอะเด็กยุคนี้ คุณเคยมีโอกาสเห็นหรือมองเหตุการณ์รอบๆตัวคุณบ้างไหมคะคุณ ว่าโลกวันนี้ไปถึงไหนแล้ว

เพราะฉนั้นคุณนะคะอัพเกรดการเขียน การใช้คำ การสื่อให้ทันยุคทันสมัยหน่อยก็ดีนะคะ คุณนี่มีบุญนะคะ เกิดมามีโอกาสได้อยู่ในยุคนี้ เห็น รู้ อะไรๆดีๆ ตักตวงเถิดนะคะคุณ เพื่อตัวคุณค่ะ ยกระดับคุณขึ้นมาให้ทันโลกเขาค่ะ หวังดีนะคะ

แต่ดิฉันก็กลับเข้ามาคุยกับคุณ และอยากจะบอกว่าพยายามเปิดโลกทัศใหม่ๆให้ความรู้สึกต่อตัวคุณเองบ้างจะดีค่ะ เพื่อตัวคุณเองและทุกๆคนรอบๆตัวคุณด้วยค่ะ

โอเคนะคะ ดิฉันพิมพ์มาด้วยใจที่มีสติตอบรับคุณ คุยกับคุณนอกเหนือจากประเด็นของเจ้าของกระทู้ด้วย สาเหตุเพราะต้องคุยไปตามนํ้าคือต้องตอบรับคุณที่คุณยกมาค่ะ นี้ไม่ออกทะเลหรือไม่เข้าป่านะคะ คุณตั้งใจอ่านด้วยหล่ะ ตั้งใจอ่านน่ะทำเป็นไหมคะ มีอะไรที่จะตอบกลับมาไหม ตอบมาก็ได้ หรือไม่ก็ตามใจคุณ


ว๊าว

0
Archetype 16 ก.พ. 59 เวลา 18:15 น. 9-7

ถ้าคุณอ่านให้ดีๆ อย่างที่พยายามสอนผม
จะไม่มีการน้ำท่วมทุ่งอย่างที่คุณพิมพ์ครับ
ผมบอกเขาไม่คุยด้วย เพราะคุณยังหาสิ่งที่เขาสื่่อไม่เจอ
ถ้าคุณเจอแล้วแย้งไป มันก็จบ ไม่ได้ตีค่าอะไรคุณอย่างที่มโน

อืมม จะว่าไป พิมพ์ไม่กี่บรรทัด ก็รู้ใส้รู้พุงผมหมดขนาดนี้ น่าทึ่งครับน่าทึ่ง
เอาเป็นว่า ผมถอยอย่างเด็กงอแงขี้มูกโป่งดีกว่า
เพิ่งรู้ตัว ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหนครับ ...555

0
White Frangipani 16 ก.พ. 59 เวลา 18:29 น. 9-8

สวัสดีค่ะ^_______________^

ดีใจที่คุณกล้าสู้หน้า ขอแสดงความยินดีกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคุณนี้ด้วยค่ะ ด้วยความจริงใจ

"ถ้าคุณอ่านให้ดีๆ อย่างที่พยายามสอนผม
จะไม่มีการน้ำท่วมทุ่งอย่างที่คุณพิมพ์ครับ"...ดิฉันต้องสละพลังงานอันมามีค่ามาส่งสื่อให้คุณนี้ไง คุณต้องขอบคุณสิคะคุณ ขอบคุณ เกรง ให้เกียตริเป็นไหมคะ คำว่านํ้าท้วมทุ่งคุณใช้มานานแสนนานนี้ ทิ้งไปค่ะ ทิ้งไป คำคำนี้เป็นอาการที่คุณเองที่อึดอัดยํ่าแย่ คุณพ่นคำนี้ออกมาเพื่อทำร้ายพลังของคู่สนทนาด้วยการใช้ประโยคที่บอกถึงความยํ้าแย่ ซึ่งแท้จริงจากอาการของคุณเองค่ะ ทิ้งไปค่ะ ทิ้งไปนะคะ

นานมาแล้ว เลิกค่ะ เกิดใหม่เสียทีซิดิฉันหวังดีนะคะ ให้โอกากาสต่อตัวคุณเองบ้างสิคะ ลุกขึ้นมา ยืนขึ้นมาเดินต่อไปค่ะ


"อนึ่ง พิมพ์ไม่กี่บรรทัด ก็รู้ใส้รู้พุงผมหมดขนาดนี้ น่าทึ่งครับ 555 "...จริงหรอคะ5555 ดิฉันนะคะ... จะเก่งอะไรขนาดน้านนนนนนนนนนนนนนนนนน ไม่หรอกม้างงงงทั้งดิฉันและคุณอยู่ที่นี้ด้วยกันมานานแล้ว (หรือเปล่า หรือดิฉันนะจำคนผิด ต้องขออภัยด้วยนะคะ555) นานมากด้วยค่ะ หรือว่าดิฉันฝันไป ดิฉันพอจะรู้จักคุณได้ดีพอสมควรค่ะ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเลยให้ตายสิ

อย่าโกรธอย่าโมโหเลยนะค๊า ไป ไปอาบนํ้าเย็นๆก่อน คุณได้สดใสขึ้นค่ะ ทำใจดีๆแล้วมาคุยกันใหม่ก็ได้นะคะ หวังดีนะคะ เอาใจเพื่อนในบอร์ดจริงค่ะดิฉันเป็นคนมีนํ้าใจ เดี๋ยวนั่งรอ อาบนานๆก็ได้นะคะนํ้าเย็นน่ะ คุณได้รู้สึกดีขึ้นไง

หรือจะต่อเลย ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวเป็นปรกติของคุณนี้ก็โอเคค่ะ

หรือว่าไม่...ก็โอเคนะคะ ^___^ว๊าว

0
White Frangipani 16 ก.พ. 59 เวลา 18:32 น. 9-9

แก้ทำไมเม้นต์นะ เห็นหรือเปล่า ทำให้ทุกอย่างผิดหมด สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เป็นแบบนี้สิ เห็นความยํ่าแย่ของคุณหรือยังคะ นี่เป็นตัวอย่างอีกความยํ่าแย่ของคุณได้เป็นอย่างดี เบื่อออออออออออออออออออออออออออ
โกรธแล้วนะ

0
Natchanon32 16 ก.พ. 59 เวลา 18:32 น. 9-10

อย่าทะเลาะกันเลยครับ ผมไม่ได้อยากให้ใครมาเปิดดราม่าในเรื่องที่บางครั้งมัน Nonsense ไปหน่อยนะครับ ผมฟังทุกคนเสมอครับ แต่การะเลาะกันมันไม่งามกับห้องนักเขียนครับ เพราะทุกท่าน ณ ที่นี่ล้วนมีความเห็นต่างกัน เรามาคุยกันดีๆได้ไหมครับ

0
peiNing Zheng 16 ก.พ. 59 เวลา 18:39 น. 9-11

ท่าน Archetype -- ขอบคุณสำหรับความเห็นใจขอรับ ความเห็นของข้าน้อยทำให้กระทู้นี้ร้อนแรงโดยที่ข้าน้อยไม่ตั้งใจ แล้วกลายเป็นว่ารบกวนเพื่อนร่วมบอร์ดหลายไปด้วย ขออภัยอย่างยิ่ง

ท่าน White Frangipani -- ข้าน้อยขอน้อมรับในทุกเรื่องที่ท่านกล่าวขอรับ ข้าน้อยทราบดีว่าตัวเองเป็นคน conservative และเมื่อถูกไล่เลียงกลับไม่ยอมเผชิญหน้า ข้าน้อยขออภัยอย่างยิ่งขอรับ

0
White Frangipani 16 ก.พ. 59 เวลา 18:52 น. 9-12

สวัสดีค่ะ เจ้าของกระทู้

ก่อนอื่นต้องขออภัยค่ะ ที่ดูจะดุเดือด แต่แม้ดิฉันจะต้องพิมพ์ตรงๆแบบโต้งๆ ก็อยากที่จะให้เขาเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันรู้สึกจากเม้นต์ต่างๆของเขาค่ะ และต้องการตอบรับ และก็พิมพ์ในลักษณะเดียวกันกับเขาทุกคนด้วยค่ะ คงต้องค่ะเข้าใจแบบนั้น หากไม่คุยกันไม่รู้เรื่อง (แต่อาจจะยังแรงไม่พอด้วยค่ะ เพราะดูเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนะ)

ดิฉันก็เด็กนักเรียนหัดเขียนเช่นกัน มีความจำเป็นมากๆที่ต้องไหลตามนํ้า เมื่อเข้ามาเมืองตาหลิ่วคงต้องหัดหลิ่วตาตามค่ะ ทั้งที่รู้ว่าอาการที่เห็นๆนี้เริ่มจะพาตัวเองเข้าป่าเข้ารกกับเขารู้อยู่แต่คงต้องตามๆไปค่ะ จะเอาลูกเสือคงต้องเข้าถํ้าเสือค่ะมีทางเดียวนะคะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาส

การที่จะเรียนรู้การเขียนต้องกล้าที่จะฝึกการปล่อยการหัดเขียนให้เป็นอิสระอย่างใจต้องการค่ะ แต่กระนั้นความเป็นมิตรยังคงอยู่นะคะ ยังอยู่ค่ะ

ที่เห็นๆนี้เป็นธรรมดามาช้านาน เป็นวัฒนธรรมแห่งบอร์ดนี้ค่ะ ดิฉันโตที่นี่ (เห็น รู้ อยู่ สิงที่นี่มานานพอสมควรค่ะ)และอยากบอกคุณว่ามาวันนี้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ เมื่อก่อนๆนะคะดิฉันนั่งอ่านใต้โต๊ะ ร้องครางไปด้วยอ่านไปด้วยเลยค่ะจริงนะคะ สงสารนะแต่ไม่อยากเข้าร่วมสนทนาเพราะความรักตัวกลัวตายในวันนั้น มาวันนี้ดิฉันโตแล้วขอดิฉันได้คุยเรื่องเขียน เรื่องสื่ออย่างเปิกอกเปิดใจหน่อยเถิดนะคะ

ดิฉันไม่มีอคติหรือความเกลียดชังต่อทุกท่านในกระทู้แต่ประการใดค่ะเจ้าของกระทู้ เพียงแต่เราอาจจะแตกต่างความคิดเห็นเท่านั้นค่ะ

ดิฉันเพียงอยากถือโอกาสฝึกมือร่ายการสื่อและส่งผ่านด้วยเท่านั้นในโอกาสนี้ จริงนะคะ ขออภัยและขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงที่คุณเปิดโอกาสให้เกิดเป็นกระทู้นี้ค่ะ ทุกอย่างเป็นสาระ เป็นความรู้เป็นแบบอย่างได้จริงนะคะ ดิฉันพยายามเก็บๆไปด้วยคนค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

นี่ไม่เรียกว่าทะเลาะกัน ไม่เรียกว่าดราม่าค่ะ ยังไม่ถึงขั้นนั้นนะคะ

คุณสบายใจได้นะคะ

เป็นกำลังใจให้งานเขียนของคุณค่ะ ^____^
สู้สู้

0
peiNing Zheng 16 ก.พ. 59 เวลา 18:32 น. 10-2

ความจริงขอรับ ข้าน้อยพิมพ์จากมือถือ พื้นที่จำกัดเลยดูผิดช่องขอรับ

0
Natchanon32 16 ก.พ. 59 เวลา 18:33 น. 10-3

ช่างเถอะครับ บางครั้งเราก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ผมเองก็ผิดพลาดเช่นกัน (ที่ตั้งกระทู้นี้) เห้อ

0
Natchanon32 16 ก.พ. 59 เวลา 18:29 น. 11

ผมขอโทษทีที่ตั้งคำถามที่กลายเป็นประเด็นดราม่าได้ถึงขนาดนี้ครับ ผมขอขอบคุณท่านไป่หนิงมากครับที่ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้เกี่ยวกับบางอย่างครับ ขอเโทษทีที่ไม่สามารถมาห้ามทัพพวกท่านได้ เพราะผมไปสอนเพิ่งกลับมา แต่กระนั้น ขอขอบคุณทุกท่านที่วิจารณ์ครับ เพราะผมเองยังด้อยนักในวงการนี้ครับ

1
Archetype 16 ก.พ. 59 เวลา 18:41 น. 11-1

อย่าซีเรียสไปท่าน
ดราม่าไม่ได้เกิดเพราะท่านแต่อย่างใด
แค่บังเอิญมาเกิดกะกระทู้ท่านเท่านั้น
ผมอ่านแล้ว( ยกเว้นบาง คห. )
พลอยได้ความรู้ไปด้วยมากมาย
เยี่ยม

0
peiNing Zheng 16 ก.พ. 59 เวลา 18:44 น. 12

ขออนุญาตใช้พื้นที่ความเห็นเพิ่มอีกสักหน่อยขอรับ

ดูเหมือนความเห็นของข้าน้อยจะทำให้กระทู้นี้ร้อนแรงโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ข้าน้อยไม่มีข้อแก้ตัวอันใดกับสิ่งที่ตนเองได้เขียนไป นอกจากคำขออภัยต่อท่านจขกท. ต่อท่านเพื่อนร่วมบอร์ดทั้งหลายที่ข้าน้อยอาาจทำให้ไม่สบายใจขอรับ

ตอนแรกกล่าวคำขออภัยในความเห็นย่อย แต่คิดไปคิดมา ในเมื่อขออภัยต่อทุกท่าน ก็ควรเขียนในช่องแสดงความคิดเห็นใหญ่ไปเลยดีกว่า

(โค้ง)

0