Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

จากเด็กเรียนไม่เก่ง จนมาเป็นสถาปนิกที่อเมริกา...เล่าชีวิตเริ่มทำงาน จนถึงวันที่ถูกเลิกจ้าง

ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีน้องน้องและเพื่อนๆชาวเด็กดีอีกครั้งค่ะ พี่จอม กลับมาเล่าต่อภาค 2 เรื่องการเดินทางตามหาฝันของพี่ค่ะ จากตอนที่ 1 ที่หลายคนคงเคยอ่านกันแล้วที่ "จากเด็กเรียนไม่เก่ง บ้านไม่รวย จนมาเป็นสถาปนิกที่อเมริกา (ไม่ง่ายเลย...)”






จากที่เล่ามาตอนที่แล้วว่าต้องพยายามหลายปี ตั้งแต่เรียนสถาปัตย์ได้ห่วยเหลือเกิน ทั้งที่ใจรัก เลยพยายามไปดิ้นรนหาที่ฝึกงานตั้งแต่ปี 2 รับงานเพิ่ม ฝึกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เราพัฒนาและหลุดพ้นจากความห่วยให้ได้ จนสุดท้ายสมัครงาน และได้งานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งที่เคยโดนที่นั้นปฏิเสธมาก่อนหน้านี้แล้ว กว่าจะผ่านสเตป ขั้นตอนเหล่านั้นมาได้ ไม่มีทางลัดอะไรทั้งนั้น นอกจากทำทุกอย่างที่ทำได้อย่างช้าๆ เรื่อยๆ ไม่หยุด และไม่รอคนมาช่วย ที่ว่าเหนื่อยมาหลายปี พอสุดท้าย เราก็มาถึงที่นี่สักที ... ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่ได้มาประเทศสหรัฐอเมริกา การได้เดินทางมาต่างประเทศ สำหรับพี่ไม่ใช่เรื่องปกติ เป็นเรื่องยากมากสำหรับพี่เอง ใครอ่านตอนที่ 1 คงพอรู้ว่าทำไม ..“จน”ไง โอเค๊?!  เข้าใจตรงกันนะ  


การเดินทางครั้งใหม่ ที่รอคอยมาแสนนาน มันเริ่มแล้ววววว 

มาถึงอเมริกาวันแรก บินมาเลยที่ Salt Lake City, รัฐยูทาห์ พี่ได้งานที่นี่ บริษัทชื่อ Design Workshop ตำแหน่งแรกที่ได้คือ Landscape Architecture Intern(ภูมิสถาปนิก) แต่พอมาถึงได้เดือนเดียวเค้าก็ทำเรื่องเปลี่ยนใหม่ เพื่อปรับให้เป็น Project Landscape Architect(คนดูแลโปรเจคท์ภูมิสถาปัตย์) ที่ในออฟฟิศ เค้าเรียกว่า PLA 



พอมาเริ่มงานที่ทำงาน พบว่า นี่แหละ...ที่ที่เราพร้อมจะลงแรง ลงพลัง ทำงานเต็มที่ อยากทุ่มเทให้กับงานนี้หมดตัวหมดใจเลย เพราะทั้งตัวงานที่ได้มันสนุก เจ้านายและเพื่อนร่วมงานดี ระบบมีเรื่องให้เรียนรู้เยอะไปหมด ทุกอย่างใหม่ และมีอะไรให้เราเรียนอย่างที่ไม่เคยเรียนมาก่อน พี่โชคดี..ที่ได้ทำงานกับเจ้านายที่ดี เจ้านายพี่ชื่อ เทอรอล(Terrall) เค้าเป็นนักออกแบบที่เก่งมากๆ แบบ1ใน100คน หรืออาจจะมากกว่า และเป็นคนดี ใจดี สุภาพ และให้โอกาส 

อาทิตย์ที่เริ่มทำงาน นอกจากปฐมนิเทศที่ต้องทำหนักๆ เค้าให้พี่เริ่มทำการออกแบบสวนในหมู่บ้านชื่อ Daybreak เลย เค้าก็อธิบาย เล่าถึงโครงการว่ามันคืออะไร และ พาไปดูไซต์ที่เริ่มก่อสร้างไปแล้ว และส่วนที่เราทำเป็นส่วนต่อมาที่จะสร้างต่อไป เหยยยย มาถึงก็ไว้ใจชั้นเลยเหรอ โอ้ยย เต็มที่สิ..รออะไร.. เราจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!!! คือ…พี่มีอะไร พี่ใส่หมด  ตอนนั้นได้พัฒนาแบบร่วมกับเจ้านาย และได้เดินทางไปประชุมกับเจ้านาย ได้เจอลูกค้า แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เค้าก็ให้เราเสริมได้ 





การทำงานตามปกติที่เขียนไว้ในระบบ คือ อาทิตย์ละ 40 ชั่วโมง วันละ 8 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงๆสายนี้ ไม่ต้องหวังมากว่าจะเป็น 40 ได้จริง ไม่ใช่แค่งานเยอะ งานเร่ง แต่เพราะสุดท้ายเราก็อยากทำงานออกมาให้ดี ให้เราภูมิใจ แต่บางทีเวลามันไม่ได้มีเยอะ แบบว่ามีเวลา 3 วันแต่ต้องทำให้ออกมาดี มันไม่มีทางเลือกนอกจากเราต้องทุ่มให้มันเกิน 8 ชั่วโมงที่เค้าให้ไว้ เพื่อให้ผลออกมาดี เพราะถ้าไม่ดี เราก็จะเสียใจเอง ไปนอนก็ใช่จะนอนหลับ กลับบ้านไปนอนสบายแต่ไม่ได้ผลงานอะไรดีดีไว้ให้จดจำ นอนน้อยลงสักนิดแล้วมีความสุขใจกว่าพี่เลือกแบบนั้น

กว่าจะมาได้ถึงนี้ลำบากและเหนื่อยขนาดไหน เราต้องทำทุกวันให้มันคุ้มค่า ให้แน่ใจว่าเราไม่ได้พลาดโอกาสอะไรที่วันนี้ทำได้ ต้องเต็มที่ และพัฒนาตัวเองทุกวัน วันละนิดก็ยังดี ที่ว่าทำงานหนัก ทำยาวจริง ขนาดเจ้านายไล่กลับบ้านก็ไม่กลับ พี่ไปย้อนเชิงตลกอีกว่า “คุณมาไล่เรา ทำไมคุณไม่กลับล่ะ คุณก็เหมือนกัน!!” :) คือ เราไม่ทำ เค้าก็ทำป่ะ แล้วคือ เจ้านายลงมือทำเอง ทุ่มเต็มที่เหมือนกัน แล้วเราจะปล่อยให้นายทำคนเดียวได้ไงวะ เค้าไม่ได้เอาเปรียบเราเลยนะ เค้าไล่เรายังไม่ไปเลย เพราะเจ้านายที่ทำงานหนัก เค้าก็สุขภาพไม่ดี แต่ก็ยังทำงานหนัก เค้าก็กลัวคนอื่นจะเป็นเหมือนเค้าน่ะแหละ 



พี่เคยพกถุงนอนไว้ใต้โต๊ะ แล้วปูนอนข้างโต๊ะทำงานตอนตีสาม ตื่น 6 โมงมาทำงานต่อ ก็ทำมาแล้ว แต่ตอนทำไม่กล้าเล่าให้คนอื่นฟังมาก เพราะกลัวเค้ารู้สึกผิด ที่ทำให้เราต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพราะจริงๆเราเลือกเอง ไม่ได้เกี่ยวกับเค้า พอคนมาบอกว่า โอ ยูน่าสงสารจัง เราก็รำคาญอีก น่าสงสารไรวะ ก็เราอยากทำเอง .... พี่คิดว่า… ทำอะไรก็ได้ที่เราจะไม่มานั่งเสียใจทีหลังว่า...เสียดายที่ไม่ได้ทำมัน เพราะต่อให้ทำพลาด ก็ดีกว่าไม่เคยได้ทำแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรดีดีใหม่ๆเกิดขึ้น !





พี่รู้ว่าพี่ชอบออกแบบมาก เวลาที่เริ่มทำ มันจะใจเต้นแรง มันตื่นเต้น เพราะมันไม่รุ้ว่าเราจะไปจบที่ไหน  แบบสุดท้ายจะหน้าตาเป็นยังไง เราจะสร้างมันยังไง แต่…กระบวนการที่เราไม่รู้และพยายามสร้างงานออกแบบดีดีออกมานี่แหละ... โคตรตื่นเต้น พี่ว่า นี่แหละ .. Passion มันคือความสุขในการได้ทำสิ่งๆนั้น อยากทำมาก นอนดึกก็ไม่ว่า แต่ไม่เคยรู้หรอกว่า การได้มาทำงานกับคนที่เค้ามี Passion พุ่งทะลุเพดานและมีพรสวรรค์แบบท่วมท้น มันเหมือนเคมีตรงกัน ทำให้ทุกส่วนของการทำงาน มันสนุกและเหมือนจะมีอะไรใหม่ๆให้เรารอลุ้นตลอดเวลา ไม่ใช่แค่จากเรา แต่จากเจ้านายและเพื่อนร่วมงานด้วย


งานแรกที่อเมริกานี้ เป็นเหมือนเค้าจ่ายตังให้เรามาเรียนพร้อมกับสร้างสรรค์งานดีดีไปด้วย มันเลยเหมือนเป็นการเรียนรู้ที่มีความสุข และตื่นขึ้นมาทุกวัน อยากไปทำงาน อยากเจอเพื่อนร่วมงาน อยากทำงานกับคนกลุ่มนี้ อยากสร้างงานดีๆใหม่ๆ

มาเล่าเรื่องงานบ้าง งานที่ได้ทำจากตอนอยู่ที่นี่ก็มีงานเป็นออกแบบสวน และทำพวกกราฟฟิคให้ทั้งโครงการใหม่หมด ทั้งในสวนที่พี่ไม่ได้ร่วมออกแบบเอง เมื่อเดือนที่ผ่านมายังเพิ่งไปบรรยายเรื่องงานนี้อยู่ในงานประชุม CELA   
ลองดูเพิ่มได้ http://landscapeperformance.org/case-study-briefs/daybreak-community




นอกจากนั้นยังมีงานที่ร่วมกับสถาปนิกในนิวยอรกที่ชื่อ Ennead Architects โครงการนี้คือ Natural History Museum of Utah หรือพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาของรัฐอูาห์ ที่เป็นงานที่ภูมิสถาปัตยกรรม และ สถาปัตยกรรม  และพื้นดิน เหมือนเป็นส่วนนึงของกันและกัน และสะท้อนความเป็นยูทาห์ได้อย่างลึกซึ้ง (หลังจากอยู่รัฐนี้นาน 3 ปี คือ….มันใช่อ่ะ..)






ชีวิตไม่ได้มีแค่งาน….. นอกจากงานเป็นยังไง ?

เพื่อน
เพื่อนร่วมงานดีกับพี่มากมาก มีคนหลากหลายอายุและไม่ได้เป็นปัญหาเลย เค้าดีกับเรา และก็ชวนเราทำกิจกรรมนอกเวลาด้วย แม้ว่าจะไม่ได้เยอะแยะ เหมือนสมัยอยู่บ้านเราที่เจอเพื่อนหลังเลิกเรียน เลิกงาน เสาร์อาทิตย์ เป็นระบบปกติ สรุปว่า มาอเมริกา ได้เพื่อนสนิทที่สนิทสุดสุด ที่เค้าพาเราไปเที่ยวไปเดินทาง ไปซื้อของ(เพราะเราไม่มีรถ) ไปเปิดหูเปิดตา พาไปเดินเขา ทั้งหมดนั่น...เป็นเพื่อนจากที่ทำงานหมดเลย ทำให้การไปที่ทำงานยิ่งเป็นเรื่องสนุกไปอีก
การใช้ชีวิต
นอกจากหลงรักในงานที่ทำอย่างหัวปักหัวปำ ยังไปหลงรักการใช้ชีวิต ของการอยู่เมืองนี้ กิจกรรมเอาท์ดอร์ตลอด 4 ฤดู และค้นพบว่า คนที่เกลียด และห่วยในกีฬา (เดี๋ยวจะหาว่าโม้ อวดเลยว่าห่วยมาก เกรดเวลาเรียนพลศึกษาตอนมัธยม ไม่เคยเกิน 2 ฮ่ะ) มาหลงรัก การเล่น Snowboard เข้าอย่างเต็มเปา เลยพยายามฝึกให้ได้ เลยได้ค้นพบสิ่งใหม่ที่ตัวเองชอบ และไม่คิดว่ามนุษย์เมืองร้อนอย่างเราจะมาชอบสิ่งนี้ได้ 





ความไม่ง่ายในชีวิต ก็มีเยอะ เพราะมาต้องทำอะไรเองทุกอย่าง แต่ว่าก็รู้อยู่แล้วว่ามาเอง อยู่เอง ไม่มีคนช่วย “อยากมาก็อย่าบ่น” ก็ต้องทำให้ได้ เพราะถือเป็น “เงื่อนไข” พี่ไม่ขับรถ แปลว่าจะไปไหนมาไหนก็ต้องนั่งรถเมล์ หิ้วของเองหมด ส่วนแทกซี่ไม่เรียกเพราะแพง อยากไปไหนต้องไปเอง อยากได้อะไรก็ต้องทำเอง ไม่มีคนช่วย ทำให้เราได้สกิลในการ “จัดการชีวิต” ตัวเองเพิ่มมา

นี่คือ ช่วง 2 ปีแรก ที่ ถือว่า เป็นการเริ่มต้นวิชาชีพภูมิสถาปัตย์ที่สวยงามและจุดไฟได้อย่างท่วมท้น ลุกโชน ไม่ใช่แค่เพราะตัวเรา แต่เพราะสิ่งแวดล้อมที่มี ทำให้ทุกวันที่ทำงาน รอคอยที่จะเรียนรู้งานใหม่ๆ อยากได้งานเยอะขึ้น เพราะแปลว่าเค้าเชื่อใจเรา อยากเก่งกว่านี้ และชอบไลฟ์สไตล์ใหม่ที่ค้นพบเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเอง ได้พัฒนาตัวเอง และได้ใช้ชีวิตเอาท์ดอร์




สองปีแรกในอเมริกาเป็นการเปิดตัวที่ต้องยอมรับว่า ดีจริงๆ แต่ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยนะ แต่อยากเหนื่อย อยากอดนอน อยากทำงานดีดี อยากเก่ง ไม่ได้มี Goal ใหม่ แต่กำลังทำมันทุกวันให้ดี ออกแบบสิ่งดีดี ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เหมือนคนหิว และมีอาหารอร่อยอยู่ตรงหน้า กินเท่าไหร่ก็ไม่พอ 2-3 ปีแรกนั้น เลยใช้ไปกับการทุ่มเท ฝึกตนฝึกวิชา พัฒนาตัว อย่างไม่กลัวเหนื่อย ถ้าเป็นไปได้ ยังอยากอยู่ตรงนี้ไปอีกนานๆ อยากพาแม่มาเที่ยว อยากให้แม่มาอยู่ที่นี่ด้วยกัน คือ..มันใช่่

แต่ความสุขอยู่กับเราไม่นาน เข้ามา แล้วก็ออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว อยู่ดีดี...จากฟ้าสว่างก็พายุเข้า!!!! แบบที่เราไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจมาก่อน
นั่นคือ อเมริกาเศรษฐกิจไม่ดี มีการเชิญพนักงานออกเยอะมาก หลายบริษัท และรวมถึงพี่ด้วย....

แล้วจะทำยังไงต่อไป ชีวิตมันคลุมเครือ....ว่าต่อไปจะยังไง จะเดินตามฝันต่อไปไหม จะวาดฝันใหม่ยังไงดี? ไว้มาเล่าให้ฟังต่อจ้า...

สุดท้าย: มีน้องๆ ถามมาเยอะเกี่ยวกับถ้าไร้ความคิดสร้างสรรค์...แล้วคนอย่างฉัน..เป็น"สถาปนิก"ได้ไหม? อ่านอันนี้เลยค่ะ https://dreamaction.co/architect-and-creativity/

วิธีออกแบบ Portfolio ของเราให้ออกมาเจ๋ง และ สวย ต้องทำยังไง มีวิธีเล่าเรื่องยังไง อ่านอันนี้เลยค่ะ
https://dreamaction.co/portfolio-design-strategy/

สุดท้ายจริง ๆ ขอฝาก blog ของพี่ไว้ด้วยนะคะ https://dreamaction.co/ สำหรับใครอยากไปอ่านบทความอื่น ๆของพี่ ส่วนใครมีคำถามอะไร commentทิ้งไว้ หรือว่า อยากจะติดต่อพี่เป็นการส่วนตัวก็ อีเมลมาได้ที่ jom@dreamaction.co นะคะ

แสดงความคิดเห็น

>

5 ความคิดเห็น

พวงอนงค์ 10 เม.ย. 59 เวลา 21:27 น. 2

อ่านล่ะมีพลังขึ้นมากค่ะ แบบจะทำทุกวันนี้ไห้ดีสุดๆเหนื่อยก็ไม่เป็นไร แค่ทำไห้ตัวเองไม่เสียใจ จะทำไห้ดีที่สุดเลยค่ะ

1
Apinya B. 10 เม.ย. 59 เวลา 22:35 น. 3

อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมากเลยค่ะ หนูก็อยากเป็นภูมิสถาปนิกเหมือนกัน ^^

1
jGal 18 เม.ย. 59 เวลา 03:08 น. 3-1

เยี่ยมไปเลยยยย มาเป็น ภูมิสถาปนิกด้วยกันนนน สู้ๆนะคะรักเลย

0