Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รู้สึกไม่อยากแต่งนิยายแล้วค่ะ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ออกตัวก่อนว่าเราไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพอะไรนะคะ เราเป็นเพียง[u]คนที่อยากเขียน[/u] ไม่กล้าเรียกตัวเองถึงขั้นนักเขียน เราชอบงานเขียนมากเลยค่ะ ชอบเขียนมาตั้งแต่ป.4 ถ้านับตามเวลาก็สิบกว่าปีแล้ว

แต่เรามีปัญหาด้านการสื่อสาร เราเป็นโรคซึมเศร้า จากเด็กที่เคยเป็นตัวแทนพรีเซ้น ตัวแทนประกวดเรียงความ ตัวแทนพูดของโรงเรียน ตอนนี้เรายืนต่อหน้าคนเยอะๆแล้วขาสั่นปากสั่น ไม่สามารถเรียบเรียงประโยคได้ หรือแม้แต่ประโยคพูดในชีวิตประจำวันก็มักจะวกวน จับประเด็นไม่ได้ อ่านตีความภาษาไทยไม่ออก (ตอนสอบโอเน็ตเรายังแปลคำว่า ทักทาย ไม่ออกเลยค่ะ)

ปัญหาอีกข้อคือเรามีอาการที่คิดว่าทุกคนจ้องจะเกลียดเรา เหมือนเราอยู่ตัวคนเดียว เลยชอบปิดกั้นตัวเองไม่รู้จักใคร กลัวการรู้จักคนอื่นเพราะเรากลัวการสูญเสีย ดังนั้นเราจะไม่เคยคุยกับคนอ่านด้วยเลย(สังเกตนักเขียนท่านอื่นๆจะชอบพูดคุยกับคนอ่านเช็คฟีดแบคหลังไมค์ แต่เราไม่ทำค่ะ)

เราขาดความมั่นใจที่จะแต่งนิยาย แต่อยากทำเพราะว่าชอบ ทุกครั้งที่เปิดหน้าเวิร์ดมา เราชอบพูดกับตัวเองว่า "ไม่อ่ะ ฉันทำไม่ได้หรอก" แล้วก็กดปิดไป เป็นแบบนี้ซ้ำๆ นิยายที่เราตัดสินใจแต่งตอนนี้ก็ครบ1ปีแล้วเพิ่งอัพได้2ตอน ฟค.(หมายถึงคนกดfav.)ก็มาบอกเราตลอดว่ารอนะคะ มาต่อนะ

นิยายเราไม่ได้ถึงขั้นพลุแตก มันอยู่ในจุดที่เรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่เข้าใจว่าพวกเขาชอบสิ่งที่เราเขียนจริงหรอ? ขนาดเราย้อนกลับไปอ่านเรายังรู้สึกเลยว่า "มันสนุกหรอ?" แต่คนอ่านก็จะพูดซ้ำๆกับเราว่ามันสนุกนะรีบมาต่อนะ คือเราไม่แน่ใจไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง ไม่คิดว่าจะมีคนมาอ่านด้วยซ้ำค่ะ

เรากลัวว่าสิ่งที่เราเขียนออกมาจะไม่ดี ยอมรับว่าเรากดดันมาก เราต้องเช็คทุกประโยค อ่านซ้ำๆให้มันรื่น เราอยากให้งานออกมาดีที่สุด เราเครียดกับมันมาก เราเหนื่อย แล้วเราก็กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า [b]"ถ้าชอบทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้"[/b]

คนอ่านเราไม่ค่อยเยอะ ยอดเม้นเฉลี่ยตอนละร้อยกว่า ยอดอ่านตอนละพันกว่า เราคิดว่าน่าจะกดซ้ำๆกันเข้ามามากกว่า(เพราะนานๆอัพที) พอเข้าใจความกดดันเราไหมคะ ทุกครั้งที่เราอัพเราจะกลัวมาก มันจะออกมาดีไหม มันจะสนุกสมที่ทำให้เขารอหรือเปล่า จะไม่โดนด่าใช่ไหม จะไม่มีคนเกลียดเราใช่ไหม

เศร้าจัง

แสดงความคิดเห็น

>

20 ความคิดเห็น

คุณซานต้า 28 เม.ย. 59 เวลา 22:01 น. 1

เราว่าเรื่องที่เธอแต่งต้องสนุกแน่ๆเลย
ไม่ได้มาอวยอะไรนะ..
แต่ดูจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้น การที่มีคนเข้ามาคอมเมนค์และยอดดูเยอะขนาดนั้น
มันเป็นไปได้หรอที่จะมีคนมากดซ้ำๆจนเป็นพันคน (?)

เราไม่รู้ว่านิยายของเธอคือเรื่องไหนหรอกนะ
ถ้าไม่สบายใจ ไม่อยากเขียน ก็ไม่ต้องฝืนตัวเอง
แต่เราอยากจะยืนยันอีกครั้งนะคะว่า " นิยายของเธอสนุกแน่นอน "

ดีแล้วค่ะที่รู้ตัวเองว่าเป็นโรคซึมเศร้า คิดแง่ลบ ต่อต้านตัวเอง
แต่เราอยากให้เธอลองพยายาม
อย่าตามใจตัวเองเวลาจิตใจตัวเองกำลังลงไปสู่จุดที่ซึมเศร้า
มันอาจจะทำยาก แต่ก็สู้ๆนะ
นิยายนี้ก็นิยายของเรา อย่าไปกดดันตัวเองจนเกินไป
แค่เราแต่งแล้วมีความสุขมันก็โอเคแล้ว ไม่ต้องกังวลมากหรอก :)

1
เพื่อนร่วมทุกข์ 28 เม.ย. 59 เวลา 22:19 น. 2

คุณกำลังโดนความคิดหลอกอย่างหนักเลยครับ
ทั้งนี้เพราะความคิดนั้นมีพลังมากกล่าวคือ
๑. มันทำให้คุณรู้สึกจริงๆ เลยว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นถูกแล้ว
๒. มันทำให้คุณรู้สึกว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นจำเป็นต้องคิด ไม่คิดไม่ได้
มันขังให้คุณอยู่ในนั้นโดยทำให้คุณไม่อยากออกมา
มันจะมีความคิดมากมายมาจู่โจมคุณอย่างรวดเร็วโดยที่คุณตั้งรับไม่ทัน
ซึ่งเป็นที่มาของความระแวง และความย้ำคิดย้ำทำ

วิธีแก้ก็คืออย่าคิดถึงมันและคิดอย่างอื่นแทน
ซึ่งคุณจะทำได้ยากมาก
เพราะมันเป็นจุดอ่อนของคุณ
คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของคุณ

การทำสมาธินั้นเป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่ช่วยได้ครับ
แต่ต้องมีคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แนะนำ
อย่าทำเองเป็นอันขาด
เพราะจะทำให้เสียสติได้

คุณต้องหาคนช่วยให้คุณรู้ทันความคิดและหลุดออกมาจากการถูกความคิดหลอกให้ได้ครับ

1
จขกท 28 เม.ย. 59 เวลา 23:27 น. 2-1

ขอบคุณนะคะ ได้แง่คิดเยอะมากๆ จะลองพยายามดูค่ะ T^T

0
เพื่อนร่วมทุกข์ 28 เม.ย. 59 เวลา 22:19 น. 3

คุณกำลังโดนความคิดหลอกอย่างหนักเลยครับ
ทั้งนี้เพราะความคิดนั้นมีพลังมากกล่าวคือ
๑. มันทำให้คุณรู้สึกจริงๆ เลยว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นถูกแล้ว
๒. มันทำให้คุณรู้สึกว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นจำเป็นต้องคิด ไม่คิดไม่ได้
มันขังให้คุณอยู่ในนั้นโดยทำให้คุณไม่อยากออกมา
มันจะมีความคิดมากมายมาจู่โจมคุณอย่างรวดเร็วโดยที่คุณตั้งรับไม่ทัน
ซึ่งเป็นที่มาของความระแวง และความย้ำคิดย้ำทำ

วิธีแก้ก็คืออย่าคิดถึงมันและคิดอย่างอื่นแทน
ซึ่งคุณจะทำได้ยากมาก
เพราะมันเป็นจุดอ่อนของคุณ
คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของคุณ

การทำสมาธินั้นเป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่ช่วยได้ครับ
แต่ต้องมีคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แนะนำ
อย่าทำเองเป็นอันขาด
เพราะจะทำให้เสียสติได้

คุณต้องหาคนช่วยให้คุณรู้ทันความคิดและหลุดออกมาจากการถูกความคิดหลอกให้ได้ครับ

0
เพื่อนร่วมทุกข์ 28 เม.ย. 59 เวลา 22:19 น. 4

คุณกำลังโดนความคิดหลอกอย่างหนักเลยครับ
ทั้งนี้เพราะความคิดนั้นมีพลังมากกล่าวคือ
๑. มันทำให้คุณรู้สึกจริงๆ เลยว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นถูกแล้ว
๒. มันทำให้คุณรู้สึกว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นจำเป็นต้องคิด ไม่คิดไม่ได้
มันขังให้คุณอยู่ในนั้นโดยทำให้คุณไม่อยากออกมา
มันจะมีความคิดมากมายมาจู่โจมคุณอย่างรวดเร็วโดยที่คุณตั้งรับไม่ทัน
ซึ่งเป็นที่มาของความระแวง และความย้ำคิดย้ำทำ

วิธีแก้ก็คืออย่าคิดถึงมันและคิดอย่างอื่นแทน
ซึ่งคุณจะทำได้ยากมาก
เพราะมันเป็นจุดอ่อนของคุณ
คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของคุณ

การทำสมาธินั้นเป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่ช่วยได้ครับ
แต่ต้องมีคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แนะนำ
อย่าทำเองเป็นอันขาด
เพราะจะทำให้เสียสติได้

คุณต้องหาคนช่วยให้คุณรู้ทันความคิดและหลุดออกมาจากการถูกความคิดหลอกให้ได้ครับ

0
เพื่อนร่วมทุกข์ 28 เม.ย. 59 เวลา 22:20 น. 5

คุณกำลังโดนความคิดหลอกอย่างหนักเลยครับ
ทั้งนี้เพราะความคิดนั้นมีพลังมากกล่าวคือ
๑. มันทำให้คุณรู้สึกจริงๆ เลยว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นถูกแล้ว
๒. มันทำให้คุณรู้สึกว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นจำเป็นต้องคิด ไม่คิดไม่ได้
มันขังให้คุณอยู่ในนั้นโดยทำให้คุณไม่อยากออกมา
มันจะมีความคิดมากมายมาจู่โจมคุณอย่างรวดเร็วโดยที่คุณตั้งรับไม่ทัน
ซึ่งเป็นที่มาของความระแวง และความย้ำคิดย้ำทำ

วิธีแก้ก็คืออย่าคิดถึงมันและคิดอย่างอื่นแทน
ซึ่งคุณจะทำได้ยากมาก
เพราะมันเป็นจุดอ่อนของคุณ
คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของคุณ

การทำสมาธินั้นเป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่ช่วยได้ครับ
แต่ต้องมีคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แนะนำ
อย่าทำเองเป็นอันขาด
เพราะจะทำให้เสียสติได้

คุณต้องหาคนช่วยให้คุณรู้ทันความคิดและหลุดออกมาจากการถูกความคิดหลอกให้ได้ครับ

0
เพื่อนร่วมทุกข์ 28 เม.ย. 59 เวลา 22:20 น. 6

คุณกำลังโดนความคิดหลอกอย่างหนักเลยครับ
ทั้งนี้เพราะความคิดนั้นมีพลังมากกล่าวคือ
๑. มันทำให้คุณรู้สึกจริงๆ เลยว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นถูกแล้ว
๒. มันทำให้คุณรู้สึกว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นจำเป็นต้องคิด ไม่คิดไม่ได้
มันขังให้คุณอยู่ในนั้นโดยทำให้คุณไม่อยากออกมา
มันจะมีความคิดมากมายมาจู่โจมคุณอย่างรวดเร็วโดยที่คุณตั้งรับไม่ทัน
ซึ่งเป็นที่มาของความระแวง และความย้ำคิดย้ำทำ

วิธีแก้ก็คืออย่าคิดถึงมันและคิดอย่างอื่นแทน
ซึ่งคุณจะทำได้ยากมาก
เพราะมันเป็นจุดอ่อนของคุณ
คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของคุณ

การทำสมาธินั้นเป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่ช่วยได้ครับ
แต่ต้องมีคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แนะนำ
อย่าทำเองเป็นอันขาด
เพราะจะทำให้เสียสติได้

คุณต้องหาคนช่วยให้คุณรู้ทันความคิดและหลุดออกมาจากการถูกความคิดหลอกให้ได้ครับ

0
เพื่อนร่วมทุกข์ 28 เม.ย. 59 เวลา 22:20 น. 7

คุณกำลังโดนความคิดหลอกอย่างหนักเลยครับ
ทั้งนี้เพราะความคิดนั้นมีพลังมากกล่าวคือ
๑. มันทำให้คุณรู้สึกจริงๆ เลยว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นถูกแล้ว
๒. มันทำให้คุณรู้สึกว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นจำเป็นต้องคิด ไม่คิดไม่ได้
มันขังให้คุณอยู่ในนั้นโดยทำให้คุณไม่อยากออกมา
มันจะมีความคิดมากมายมาจู่โจมคุณอย่างรวดเร็วโดยที่คุณตั้งรับไม่ทัน
ซึ่งเป็นที่มาของความระแวง และความย้ำคิดย้ำทำ

วิธีแก้ก็คืออย่าคิดถึงมันและคิดอย่างอื่นแทน
ซึ่งคุณจะทำได้ยากมาก
เพราะมันเป็นจุดอ่อนของคุณ
คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขจุดอ่อนของคุณ

การทำสมาธินั้นเป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่ช่วยได้ครับ
แต่ต้องมีคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แนะนำ
อย่าทำเองเป็นอันขาด
เพราะจะทำให้เสียสติได้

คุณต้องหาคนช่วยให้คุณรู้ทันความคิดและหลุดออกมาจากการถูกความคิดหลอกให้ได้ครับ

0
PunnJD 28 เม.ย. 59 เวลา 22:52 น. 8

อย่าทิ้งไว้นานกว่านี้เลย รีบพบจิตแพทย์เถอะ ที่ รพ.ราชวิถีมีจิตแพทย์เก่งเรื่องซึมเศร้าอยู่นะ

1
จขกท 28 เม.ย. 59 เวลา 23:20 น. 8-1

เราเข้ารักษาและออกมาได้สักพักแล้วค่ะ ไปหาหมอก็ยังไม่ดีขึ้นเลยT_T

0
วิลวี่⊙ω⊙ 28 เม.ย. 59 เวลา 23:16 น. 9

โรคซึมเศร้า บางทีแค่กำลังใจเพียวๆไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆค่ะ
ขนาดเรามีคนอ่าน มีคนยอมรับก็ยังรู้สึกแบบจขกท. แต่เรามีสิ่งยึดเหนี่ยวหลายอย่างอยู่ //จะเรียกว่าอีโก้ก็ได้ 5555
แนะนำจริงจัง ว่าให้ไปหาจิตแพทย์ค่ะ จะดีขึ้นแน่ๆ เพราะปัญหาตอนนี้เกิดจากโรค ไม่ได้เกิดจากตัวจขกท.หรือคนรอบข้างทั้งหมด มันเป็นอาการป่วยที่ไม่สามารถสร้างกำลังใจให้กับตัวเองได้ บอกว่าอย่าคิดแบบนั้นแบบนี้ทำได้ยากจริงๆ

//ถ้าเป็นไปได้อยากให้จขกท.มีสิ่งที่ยึดมั่นบางอย่าง เช่นนิยายฉัน ฉันต้องเขียนให้จบ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มีคนรอบข้าง อย่างน้อยครอบครัวที่เราจะต้องให้ความสำคัญ //คนรอบข้างสำคัญนะ ท้อแท้แค่ไหนก็อยากให้มีจุดยืนเอาไว้ค่ะ แล้วจะผ่านไปได้เอง

1
จขกท 28 เม.ย. 59 เวลา 23:24 น. 9-1

คนอื่นไม่ค่อยรู้ว่าเราเป็นน่ะค่ะ เราอายที่จะบอก บางทีเราพูดกับเขาตรงๆว่าเราอ่อนไหวกับคำด่าของเขา เขาก็จะมองเราเป็นตัวตลก เราเลยไม่อยากพูดถึงโรคไม่อยากโดนหัวเราะ ส่วนเรื่องไปหาหมอ เราเข้ารักษาและออกมาเรียบร้อยแล้ว หมอแนะนำว่าสาเหตุเกิดจากปัญหาส่วนตัว ยากับการบำบัดช่วยได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เราเป็นประเภทอยู่คนเดียวมาเกือบทั้งชีวิต เลยไม่มีคนรอบข้างที่เป็นกำลังใจได้ ทุกวันนี้ก็พยายามไม่คิดมากอยู่ค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ

0
pompenkai 29 เม.ย. 59 เวลา 01:23 น. 10

กดดัน
รับตัวเองไม่ได้
 ต้องแก้ที่โลกแห่งความจริงครับ

แก้ในโลกโซเชียล แก้ไม่ได้ครับ 
โลกโซเชียล ถ้าหลงแล้ว มักหาทางออกไม่เจอ
บางคนถึงขั้นที่ว่า แยกไม่ออกว่า อะไรจริง อะไรเท็จ จนชีวิตพัง

0
เพื่อนร่วมทุกข์ 29 เม.ย. 59 เวลา 04:40 น. 12

จาก facebook
"ความคิดและพฤติกรรมบำบัด ( cognitive-behavioral therapy )"

สืบเนื่องจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์แอรอน ที เบ็ค (Aaron Temkin Beck) ผู้คิดค้นกระบวนการบำบัดผู้ป่วยซึมเศร้า ด้วยวิธี "ความคิดและพฤติกรรมบำบัด" ( cognitive-behavioral therapy ) เป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี พศ. 2554 หลายท่านจึงอยากทราบรายละเอียดของการบำบัดดังกล่าว จึงนำมาเสนอไว้ในที่นี้ค่ะ

หลักการของการบำบัด คือ การมองว่าพฤติกรรมและอารมณ์ เป็นผลจากลักษณะความคิด ซึ่งแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดการตีความรับรู้สิ่งเหล่านั้นต่างกันไป ปฏิกิริยาความคิดที่คลาดเคลื่อน (cognitive error) จะทำให้การใช้เหตุผลผิดไป และทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีตามมา

ตัวอย่างความคิดในแง่ลบที่พบได้บ่อยๆ เช่น
-เวลาเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง ก็คิดว่าต่อไปจะเกิดแต่เหตุการณ์ไม่ดีขึ้นอีก
-คิดโทษว่าตัวเองเป็นสาเหตุของเรื่องร้าย
-มองโลกเป็น 2 ขั้วเท่านั้น คือ ไม่ดีก็เลว
-มองแต่ปัญหาเล็กๆ ทำให้เรื่องทั้งเรื่องแย่ไปหมด
-สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นมักมีคุณค่าน้อย
-คาดหวังว่าคนอื่นต้องใช้กฎเกณฑ์เดียวกับตนเอง (หรือคาดหวังว่าเราควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้จนเกินไป)
-ด่วนสรุปจากเหตุการณ์เดียว

การรักษาดังกล่าว ใช้ได้ตั้งแต่ปัญหาในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า ซึ่งแต่ละโรคจะมีรูปแบบความคิดที่แตกต่างกันออกไป เช่น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า จะมีความคิดในแง่ลบต่อตนเอง ต่อประสบการณ์ที่ผ่านมา และต่ออนาคต ส่วนในโรคแพนิค จะแปลผลอาการทางกายที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินความเป็นจริง เป็นต้น

โดยกระบวนการรักษาจะใช้การเกิดอารมณ์ด้านลบเป็นจุดเริ่มต้น และมองย้อนไปเพื่อหาความคิดอัตโนมัติในแง่ลบที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจะได้ทำการตรวจสอบว่าความคิดอัตโนมัติในแง่ลบนั้นเป็นจริงหรือไม่ มีทางเป็นอย่างอื่นได้อีกหรือไม่ และยังมีการใช้เทคนิคพฤติกรรมบำบัด มาใช้ร่วมด้วย เช่น จัดตารางกิจกรรมเพื่อละเวลาที่หมกมุ่นกับความคิดที่ทำให้รู้สึกแย่

ที่มา : จิตเวชศาสตร์รามาธิบดี

(จิตเวช รามา ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ค่ะ...
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
อาคาร 3 ชั้น 7 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
โทรศัพท์ 02-201-1478 , 02-201-1275
โทรสาร 02-354-7299)


cognitive-behavioral therapy เป็นวิธีแก้ไขที่ดีมากวิธีหนึ่งครับ คุณลองศึกษาและหาคนที่มีความรู้ในด้านนี้แนะนำสิครับ

0
เซอร์ซิน 29 เม.ย. 59 เวลา 10:23 น. 14

เราเคยอ่านเรื่องโรคซึมเศร้านะ เราว่าเราก็เข้าข่ายเหมือนกัน แต่ไม่ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นเลย เราคิดว่าอย่างแรกคือต้องค่อยๆ รักษามัน เจ้าของกระทู้ลองทำอะไรที่ชอบดูสิคะ ลองพยายามเข้าหาคนอื่นดู เขาอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดก็ได้ 
จากที่อ่านมาเห็นว่าเข้าพบจิตแพทย์แล้วแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น อันนี้เราว่าอยู่ที่ตัวเธอนะ ถ้าเจ้าของกระทู้ไม่คิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ทำในสิ่งที่มีความสุขและสนุกไปกับมัน พยายามพูดคุยกับคนรอบข้าง เราว่าอาการมันอาจจะที่คิดก็ได้นะ 

ยังไงก็ สู้ๆ นะคะ

 

0
no one know 29 เม.ย. 59 เวลา 11:05 น. 15
ก่อนอื่นเรื่องที่บอกว่าชอบแยกออกมาอยู่ตัวคนเดียว  โดนคนอื่นรังเกียจ  นี่วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นและคิดแบบนี้ครับ  คือเป็นช่วงรอยต่อที่พ้นจากวัยเด็กขึ้นมา  ความคิดความอ่านบางอย่างเปลี่ยนไป  เลยเป็นแรงผลักดันให้มองโลกเปลี่ยนไปด้วย...

ส่วนเรื่องที่ไม่มั่นใจในเรื่องที่ตัวเองเขียน  ผมก็เป็นครับ  คือผมเขียนแนวตลกไร้สาระบ้าบอ  ทุกครั้งที่จะกดอัพ  ก็ลังเลอยู่ว่าอัพไปแล้วคนอ่านจะว่ายังไง? มันจะตลกมั้ย? มุกจะแป้กหรือเปล่า?  ยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณภาพมันดรอปลงเรื่อย ๆ  คิดมากก็ทุกข์มากครับ...

แนะนำให้เป็นตัวของตัวเองครับ  ผมบอกได้เลย  ไม่มีทางที่ทุกคนบนโลกจะสนุกกับนิยายของคุณ  แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องรังเกียจ  เพราะฉะนั้นเขียนไปเถอะครับ  อัดความเป็นตัวของตัวเองลงไปเยอะ ๆ จนกว่าจะมั่นใจว่า "นี่ล่ะนิยายที่ตรูเขียนได้คนเดียวเท่านั้น!" 

ทุกครั้งที่ผมไม่มั่นใจ  ผมจะย้อนกลับไปอ่านตอนแรกสุดครับ  เพราะนั่นคือรากฐานที่ทำให้นิยายผมเป็นนิยายอย่างที่เป็นในทุกวันนี้  ถ้าไม่ลืมความรู้สึกในตอนนั้น  ยังไงก็เขียนได้ดีแน่ ๆ ครับ... (ฮา)
0
MuI2asaki [紫] 29 เม.ย. 59 เวลา 12:39 น. 16

ถึงจะบอกว่าไม่ให้คิดมาก...
แต่มันเป็นอาการปกติของคนเป็นโรคซึมเศร้า
สิ่งต่างๆ ที่เคยชอบ จะกลายเป็นไม่ชอบ และรู้สึกเบื่อไปเอง
เราเคยเป็นแบบ จขกท นะคะ แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้ยาช่วย

ทุกวันนี้ เราก็ยังเจอเรื่องแย่ซ้ำๆ ในเรื่องเดิม
แถมยังต้องแต่งนิยาย ที่แทงใจ ตัวเองมากที่สุด
ต้องเขียนในสิ่งที่กลายเป็น 'ความกลัว' สำหรับเรา

มันเป็นเรื่องยาก แต่ก็ใช่ว่าทำไม่ได้
ถ้าใจบอกว่า 'ไม่ได้' มันก็จะไม่มีวันลุกขึ้นมาได้
ถ้าใจยังน้ำว่าเป็น 'โรคซึมเศร้า' เราจะยิ่งจมดิ่ง

ทุกครั้งที่เราอัพ เราจะไม่สนใจยอดวิวหรือเม้นท์ แต่เราจะกลับมาแต่งต่อ
พยายามทำให้คนอ่านมีความสุข ในตอนต่อไป
:)

0
Death With Love 29 เม.ย. 59 เวลา 13:13 น. 17

เป็นอาการจิตตกอย่างหนึ่ง ผมก็เคยเป็นครับแต่กรณีของผมไม่ร้ายแรง
แค่ต้องหาใครสักคนคุย เล่าความในใจระบายออกมา
เปลี่ยนบรรยากาศมองเรื่องอื่นบ้าง อย่าจมอยู่แต่ในความคิดตัวเอง

กรณีในแต่ละคนแตกต่างกันไป หากอาการหนัก ลองปรับทุกวิถีทางแล้วยังไม่ไหว
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญครับ พบหมอไม่ใช่เรื่องน่าอาย ปล่อยไว้เรื้อรังจะยิ่งแย่ครับ

0
churer 29 เม.ย. 59 เวลา 16:04 น. 18
ทำไมไม่คิดซะว่า เรากำลังบันทึกไดอารี่อยู่ละค่ะ แบบว่าไม่ต้องสนใจยอดวิวหรือคนม้นหรือว่าคนมาเฟบอะค่ะ ไม่ต้องกังวลว่าคนอ่านจะชอบอ่านไหม เขียนให้ตัวเองสนุกมากที่สุดก็พอค่ะ;)  ส่วนตัวเราคิดว่า จขกท กำลังกลัวว่าผลงานของตนไม่ดีพอ แต่เราก้เข้าใจค่ะว่าจขกท ป่วยจะไม่ให้คิดมากก็ไม่ได้ เเต่ยังไงก็ยังมีคนชื่นชอบเเละติดตามผลงานของจขกทอยู่นะคะ ยังไงก็สู้ๆนะคะ  เป็นกำลังใจให้ 


0
Star Flower 29 เม.ย. 59 เวลา 16:30 น. 19

สังเกตุจิตใจตัวเองให้ดีว่า เมื่อไรถึงจะถึงจุดซึมเศร้าให้ยอมรับแล้วถอยออกมา (สารภาพว่าเคยเป็นและมีอาการแบบนี้ แต่ปัจจุบันดีขึ้นมาก)

อยู่นิ่งๆ สงบจิตใจสักครู่ความคิดจะค่อยๆ หายไป ยิ้มให้กับตัวเองสักหน่อย พูดดีๆ กับตัวเองบ้าง ดีใจแม้เรื่องเล็กๆ น้อยในชีวิต จะพบว่าโลกมันสวยงามมาก (ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความโหดร้ายของสังคมก็ตาม)

ค่อยๆ ให้ตัวเองรู้สึกดีกับชีวิตนะคะ แล้วอย่ากดดันตัวเองมากล่ะ แล้วที่เราเป็นแบบนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณหรือของใครเลย อ้อแล้วอีกอย่าง เรายังไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับเราเลยฉะนั้นอย่าพึ่งคิดไปเองนะ

ฟ้าสีครามใสสวยเสมอ สู้ๆ นะคะ ^^ 

0
พลทวนไร้พันธะ 29 เม.ย. 59 เวลา 21:42 น. 20

นักเขียนคือผู้แต่งนิยาย ...แต่นักเขียนไม่ใช่ตัวนิยาย
นักเขียนเปรียบเหมือนบุพการีผู้ให้กำเนิด แต่นักเขียนเองก็มีชีวิตของตัวเองเช่นกัน
การทุ่มเทเพื่อผลงานนั้นเป็นเรื่องดี แต่ก็ควรให้ความสำคัญกับชีวิตจริงอย่างเท่าเทียมกันด้วย
จุดสำคัญคือความสมดุลครับ Balance.

งานเขียนคือสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากจิตวิญญาณผู้เขียน
หากตัวผู้เขียนสุขภาพกายและสุขภาพจิตไม่ดี ย่อมเป็นการยากที่จะสร้างผลงานออกมาอย่างมีพลัง
ตัวเราคือจุดกำเนิดของนิยายครับ หากน้ำสกปรกตั้งแต่ต้นน้ำแล้วปลายน้ำจะน่ามองได้อย่างไร

ดังนั้น ถ้าอยากให้นิยายออกมาดี อันดับแรกพยายามทำชีวิตตัวเองให้ดีก่อนครับ
รักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต ความสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้างให้ดี มันจะส่งผลต่อผลงานเองครับ

สมดุลครับ ทุกอย่างอยู่ที่คำนี้คำเดียว สมดุล.

0