ผลการส่งนิยายไปสำนักพิมพ์ สำนักพิมพ์เขาบอกมาว่า...
ตั้งกระทู้ใหม่
ส่งเรื่องที่เขียนไปให้สำนักพิมพ์ เพื่อเอาประสบการณ์ แล้วก็ได้จริงๆ เพราะเขาบอกว่าไม่ผ่านการพิจารณา
คำตอบของเขาประมาณว่า เราวางโครงเรื่องได้ดี วางตัวละครได้ซับซ้อนดี ภาษาลื่นไหลอ่านง่ายทำให้น่าติดตาม... แต่การเดินเรื่องเนิ่บและช้าเกินไปทำให้เป็นข้อด้อย...
ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เป็นคนเขียนก็ต้องฟังคนอ่าน... แต่อาจผมไม่ใช่คนเขียนเรื่องเดินเรื่องเร็วอยู่แล้ว นิยายของผมไม่เคยต่ำกว่าสามร้อยหน้าเลยสักเรื่อง... อันนี้ยอมรับคำแนะนำ แต่คงแก้ไขอะไรไม่ได้มากนัก เพราะนี่เป็นสไตร์ของผม
ก็คงต้องทำใจนั่นหละครับ... เพราะเพื่อนที่เป็นนักเขียนมีรางวัลเขาบอกว่า อาจไม่ใช่แนวของสำนักพิมพ์ แล้วให้เราลองมาอ่านดูว่าตัดทอนอะไรได้บ้าง... ฮ่าๆ พอกลับมาดูแล้ว... ตัดไม่ได้สักตอน... ตัดออกได้แค่หน้าเดียว... เพราะเนื้อเรื่องมันโยงกันไปหมด ก็เลยต้องทำใจอย่างเดียว... ลองส่งไปที่อื่นๆ อาจมีใครเขาเห็นผลงานเราเข้าตาแล้วก็เอาไปพิมพ์... ถ้าไม่ได้ก็คงเป็นอีบุ๊กหรือไม่ก็พิมพ์ขายเองซะเลย...
ยังไงเพื่อนๆลองเข้าไปอ่านดูแล้ววิจารณ์ให้ผมทราบบ้างจะเป็นพระคุณมากเลย... ไปอ่านที่บอร์ดอื่นหรือบอร์ดนี้ก็ได้ ชื่อเรื่องที่ส่งเกี่ยวกับสายน้ำครับ...
ยังไม่ท้อครับ... เพราะรู้ว่าแนวการเขียนแต่ละเรื่องของผมมันออกจะแหวกๆ เช่นเขียนนิยายตัวเอกเป็นเกย์ แต่ดันเดินเรื่องด้วยฟุตบอล และมีแก่นของเรื่องอยูที่ฟุตบอลอีกต่างหาก... ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายเลยเนอะ...
เพื่อนคนไหนได้คอมเม้นท์อะไรมาจากสำนักพิมพ์บ้างครับ มาแชร์กันบ้างนะครับ... ผมอยากจะรู้.... ขอบคุณครับ
คือหลายคนเข้าใจว่าผมนอย... แต่ไม่ก็ไม่ได้นอยเท่าไหร่หรอก เพราะผมเป็นประเภทเล่าอะไรยาวๆอยู่แล้วก็เลยเข้าใจว่ามันก็อาจทำให้สำนัก พิมพ์มองว่ามันยาวมากไป... จริงๆนิยายเรื่องนี้เกิดจากการรวมนิยายสั้นสองเรื่องเข้าด้วยกันแล้วเขียน มันก็เลยยาวมาก... ดวงใจของสายน้ำ นี่เกิดจากเรื่องที่ผมเขียนทิ้งเอาไว้นานแล้วสองเรื่อง คือ สายน้ำแห่งรัก และ ไวโอลีนร้องไห้ ตอนนี้ผมลองตัดเนื้อเรื่องไวโอลีนร้องไห้ออกไปแล้ว เหลือแต่เนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับตัวพระเอกคือจุ้ยตัวเดียว ก็ยังยาวอยู่นะ ราว 270 หน้าได้ แต่ก็นั้นหละผมก็ยังเป็นคนเขียนยาวๆอยู่ดีนั้นหล่ะนะครับ... อันนี้ผมก็ยอมรับนะ...
14 ความคิดเห็น
สามร้อยหน้า...จะว่าไปสำหรับนิยายสมัยนี้ก็เยอะไปจริงๆ อีกอย่างถ้า สนพ จะตีพิมพ์ ราคาจะต้องสูงนิดนึงแน่ แล้วทีนี้ถ้าเขาไม่แน่ใจว่าจะขายได้ เขาก็คงไม่เสี่ยง
อย่างน้อยเราว่าคุณก็ได้สิ่งที่ควรได้แล้ว คือคำวิจารณ์ในตัวงานนะ
เราเคยคิดว่ามันตัดนิยายไม่ได้นะ เเบบตัดยังไงไม่ใช่ พอมาอ่านรีไรท์ 5-6 รอบ อ่านออกเสียงทุกบรรทัด (เเทบกากเลือด) ปรากฏว่าตัดสนุกมากค่ะ 55555++
ลองรีหลายๆ รอบดูนะคะ เผื่อจะตัดได้กระชับมากกว่านี้
(เราโดน บก.เเก้จนเยินมาก 5555+)
เราเองเป็นหนึ่งที่ส่งงานไม่ผ่านเหมือนกันะคะ เเต่ก็ต้องคิด คือจะเข้าข้างว่านิยายเราไม่ใช่เเนวก็ใช่อยู่ เเต่อีกมุมหนึ่งก็ลองคิดว่าเออ..มันดีเเล้วหรือยัง มองในมุมที่ไม่เข้าข้างตัวเอง 555++ (สุดท้ายเราก็เข้าข้างตัวเองตลอดดด กร๊ากกก)
ขอให้ผ่านสนพ. นะคะ สู้ๆ ค่ะ
ปล. อย่าคิดว่าส่งผ่านสนพ. มันอยู่ที่ดวงนะคะ
คิดว่าอยู่ที่ฝีมือเเละความสามารถของเราค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
ชอบความเห็นนี้มากค่ะ ปรบมือรัวๆ ^^
ช่างเถอะครับ ถ้าวิจารณ์แบบนี้เป็นผม ผมก็ไม่แคร์
ก็มันการเดินเรื่องช้าแต่ได้แก่นสารมันสไตน์เรา
ถ้าไม่พอใจก็ไปหาของคนอื่นมาตีพิมพ์ก็แล้วกัน
ไม่แคร์
ของแบบนี้อยู่ที่ดวงครับ เขียนดีแค่ไหนถ้าไม่เข้าตากรรมการยังไงก็ไม่ผ่าน แต่ถ้าเขียนห่วยแล้วดันเข้าตากรรมการยังไงก็ผ่าน
(แต่ถ้าวิจารณ์แบบอื่นเช่น ภาษาอ่านแล้วงง บรรยายยังไม่เห็นภาพ อะไรทำนองนี้ยินดีรับพิจารณา)
อย่าไปสนใจ
เอาลงบอร์ด ถ้าเรื่องดี คนอ่านเยอะ ติดอันดับบ่อยๆ
เดี๋ยวก็มีคนเกาะเองแหละครับ
นายทุนมองแค่ เรื่องนี้ตีพิมพ์ จะได้กำไรเท่าไหร่ แค่นั้นเองครับ
ขอบคุณที่นำประสบการณ์มาบอกเล่าครับ สู้ๆครับ
อยากส่ง สนพ.เหมือนกันปลายปีนี้ คงต้องละเอียดเพิ่มขึ้นเช่นกัน
บางที สไตล์เรา ที่ว่า มันไม่ใช่ สไตล์ของสนพ.นะคะ
ในเมื่ออยากเอางานออกสู่ตลาด ต้องทำให้สไตล์ของเราเป็นที่ยอมรับ
ซึ่งถ้าไม่ได้ถูกยอมรับตั้งแต่แรกก็จบ มีบทพิสูจน์ไหมว่าสไตล์เรามันขายได้แน่ ก็พิสูจน์ให้เขาเห็นก่อนค่ะ
เวลายังมีอีกเยอะ ถึงตอนนั้นจขกท.อาจจะมองเห็นอะไรบางอย่างในนิยายตัวเองก็ได้
ยังไม่เคยมีประสบการณ์นี้แบบจริงจัง แต่ตอนเด็ก ๆ เคยส่งเรื่องที่เขียนไปตาม นิตยสารบ้าง ก็ได้การตอบกลับมาว่า ไม่ผ่าน แต่เรายังเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้จนถึงทุกวันนี้เลย เราว่าจะลองสัมผัสประสบการณ์นี้ดูอีกครั้ง แต่แอบคิดว่า คงไม่ผ่านเหมือนกัน ฮา... ถ้าจะส่ง สนพ.ที่อาจจะไม่ผ่าน เราก็ขอให้ได้คำวิจารณ์กลับมาก็พอแล้วนะ ^^
อยากให้ลองนึกถึงหนังนะ ถ้าหนังเดินเรื่องช้า ๆ เนิบ ๆ เรารู้สึกยังไง เราชอบมั้ย ส่วนตัวเราชอบการเดินเรื่องเร็ว ช้า ๆ ไม่ทันใจ แต่ถ้าช้า แล้วมีเรื่องน่าสนใจนั้นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ ลองดูนะคะ บางคนบรรยายยาวมาก ต้องบอกว่า เบื่อที่จะอ่านนะ ถ้ายาวเกินไป อยากให้ลองมองหลาย ๆ มุมดูนะ ^_^
จริงมันยาวเพราะเนื้อเรื่องเกิดจากเรื่องสองเรื่องคือ สายน้ำแห่งความรัก ไวโอลีนร้องไห้... ตอนนี้ผมลองตัดเนื้อหาไวโอลีนร้องไปแล้วแต่ก็ยังยาวอยู่ดีนะ ตอนนี้จะลองตัดเรื่องบรรยายอื่นๆ พอตัดปุ๊บเพื่อนมาอ่านจากไฟล์ในดร็อปบ๊อกซ์บอกว่า หมดกัน... นิยายแก... มันขาดเสน่ห์ ก็เก็บเอาไว้....
ถ้ามันเนิ่บช้า แต่มีเรื่องให้น่าสนใจตลอดมันไม่เป็นไรหรอก ลองคิดเป็นหนังดูสิ ถ้ามันน่าสนใจจริง ๆ ก็ทำเป็น 2 ภาคได้อยู่แล้วล่ะ ถ้าตัดออก ก็ทิ้งปมไว้สำหรับภาคต่อไปได้ ^^
เข้าใจว่าเฟลนะคะ เราก็ผ่านจุดนั้นมาแล้วเหมือนกัน ผ่านมาหลายรอบ
รอบล่าสุดแทบจะกระอักเลือด ส่งแล้วได้รับผลไม่ผ่านมาเกินนับนิ้ว เอาเป็นว่าจะต้องยกนิ้วเท้ามานับด้วย
สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ
1. ใจเย็นๆ
2. จะร้องไห้ จะงอแง จะท้อใจ จะกินแก้ทุกข์ ทำให้เสร็จ
3. ตอบคำถามตัวเองค่ะว่าจะไปต่อกับเรื่องนี้ไหม, จะปล่อยไว้เฉยๆ, จะตามหาสนพ. อื่นหรือตีพิมพ์เอง หรืออาจจะ e-book
4. หาคำตอบให้ได้ค่ะ
คำตอบแบบไหนคุณก็ไปให้สุด จริงๆ แล้วประเด็นเรื่องการยืดเรื่อง
มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ต้องระวังไม่ให้พายเรือวนในอ่าง
ตอนนี้ต้องหลุดพ้นจากสภาพที่เสียใจอย่างรุนแรงก่อนค่ะ
พอหลุดจากตรงนั้นจะมองอะไรได้กว้างขึ้นและมีสติมากขึ้น
สู้ๆ ค่ะ ไฟท์ติ้ง !
คำแนะนำเป็นประโยชน์มากครับ... ขอบคุณครับ
แต่เอสงสัยทุกคนจะเข้าใจผิดว่าผมเสียใจมาก จริงแค่นิดหน่อยเท่านั้น...
แต่ผมแค่เอามาปรึกษากันดูแล้วอยากรู้ว่าคนอื่นเจออะไรมาบ้างเฉยๆ แล้วก็แชร์ตรงส่วนที่ผมได้รับคอมเม้นท์มา...
จริงผมไม่มีอะไรต้องเสียใจ เพราะอย่างที่ว่า ผมเขียนหนังสือมาแบบนี้ติดสันดานเขียนเรื่องยาวๆ ปูพื้นตัวละครนานๆ อันนี้ผมรู้ตัวเองดี เพราะชอบคิดเผื่อไปว่าคนอ่านจะไม่เข้าใจกัน
จริงๆการตัดนี่มันจะง่ายขึ้นถ้าแต่งจบแล้วมารีไร้ท์นะครับ
ผมก็เคยคิดแบบเดียวกับ จขกท. เลยว่าจะตัดอะไรได้อีก เพราะที่เขียนไปนั่นก็สำคัญทั้งนั้น แถมเชื่อมโยงกันอีก อธิบายปมอีก ถ้าไม่เขียนไปจะพลาดสาระสำคัญแน่ๆ
แต่พอหัวโล่ง และเห็นภาพรวมดีแล้ว พอมาอ่านอีกทีปรากฎว่าเจออะไรให้หั่นเยอะมากเลยทีเดียว
ปรับสำนวน คำซ้ำ คำเฟ้อ คำผิด คำตก แก้รูปประโยคให้อ่านง่าย เพียบ....
ยอมรับเลยว่าอ่านรอบแรกตอนแต่งเสร็จ อ่านอีกหนตอนรีไร้ท์รอบสองก็ยังไม่ชัดเจน
แต่รอบนี้พอเว้นจังหวะไปแล้ว แต่งจนจำได้ว่าตอนหน้าจะเป็นอะไรแล้ว เหมือนเปิดมุมมองอีกมุมเลยจริงๆครับ ไม่นึกเลยว่าจะมีอะไรให้แก้เยอะขนาดนั้น
จริงๆนิยายเรื่องนี้เกิดจากการรวมนิยายสั้นสองเรื่องเข้าด้วยกันแล้วเขียน มันก็เลยยาวมาก... ดวงใจของสายน้ำ นี่เกิดจากเรื่องที่ผมเขียนทิ้งเอาไว้นานแล้วสองเรื่อง คือ สายน้ำแห่งรัก และ ไวโอลีนร้องไห้ ตอนนี้ผมลองตัดเนื้อเรื่องไวโอลีนร้องไห้ออกไปแล้ว เหลือแต่เนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับตัวพระเอกคือจุ้ยตัวเดียว ก็ยังยาวอยู่นะ ราว 270 หน้าได้ แต่ก็นั้นหละผมก็ยังเป็นคนเขียนยาวๆอยู่ดีนั้นหล่ะนะครับ... อันนี้ผมก็ยอมรับนะ... ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะผมดันเป็นดันเป็นวัยรุ่นปี 90 ก็เลยติดเสพนิยายยาวๆ พอเขียนก็เลยพายาวไปด้วย... จริงผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรกับสำนักพิมพ์เลยนะ... ก็ดีครับผมจะได้ทราบว่ามันยาวไปจะได้ตัดลงให้สั้น...
โยงไปโยงมาเยอะก็จริง แต่ถ้าเราตัดพล็อตเล็กๆ ออกไป เหลือแต่พล็อตใหญ่ๆ บางทีผมว่าเรื่องของคุณอาจพุ่งไปข้างหน้าเร็วก็ได้
สำนักพิมพ์เขามีสไตล์ของเขาครับ ถ้าไม่ได้ ก็คงไม่ได้
แต่ถ้านิยายคุณดัง สไตล์หรือมาตรฐานของสำนักพิมพ์ บางครั้งมันจะลดลง อิอิ
ตอนนี้เขาดูขี้เลือก ดังนั้น เราจะต้องทำตามที่เขาบอกให้ได้ ลองอ่านนิยายที่ขายดีๆ หรืออ่านนิยายที่ได้รับการตีพิมพ์ ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร อ่านเพื่อศึกษาเท่านั้น
เดี่ยวจะเข้าไปอ่านครับ
แต่ว่าผมยังไม่ได้แก้ไขอะไรสักเท่าไหร่นะครับ พอดีกำลังอยู่ในช่วงรีไรท์อยู่
เพิ่งโดนปฏิเสธมาเหมือนกันครับ คิดว่าปัญหาของผมคงเหมือนกัน คือเป็นคนชอบเล่าเรื่องแบบเนิบๆ ขนาดเรื่องแรกที่สำนักพิมพ์โอเคแล้ว(แต่ไม่ได้เขียนให้จบ) เขายังบอกมาเลย ว่าครึ่งแรกของเล่มน่าเบื่อมาก
ปัญหาแบบนี้ ผมว่าอาจจะไม่ต้องตัดอะไรทิ้ง แต่ลองเลือกที่จะตัดต่อใหม่ คืออเอาส่วนที่สนุกสลับมาไว้ช่วงต้นเพื่อดึงคนอ่าน แล้วค่อยเล่าสลับฉาก
หรืออีกวิธีที่ผมตั้งใจจะเอาไปแก้กับนิยายเรื่องล่าสุดที่โดนปฏิเสธ คือเปลี่ยนตัวเล่าเรื่อง ถ้าเรื่องที่ผ่านมุมมองตัวละครนั้นสนุกกว่า เพราะหลายเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องเล่าจากมุมมองของตัวเอกเสมอไป
ผมว่าความยาวไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือการดึงคนอ่านให้ติดตามได้ตั้งแต่ตอนแรกมากกว่า ซึ่งจุดนี้ผมก็เพิ่งได้รับคำแนะนำมา ยังไม่ได้แก้ไขกับผลงานตัวเองจริงจังเลย
โอ้ ! พี่น้องของข้า เราเจอชะตากรรมเดียวกันเลยครับ
กรณีนี้มีวิธีแก้อยู่ 2 อย่างที่พอจะทำได้
1. ตัดส่วนที่เป็นเส้นเรื่องรองออกให้กระชับขึ้น
2. สลับเส้นเรื่อง ดึงจุดที่น่าตื่นเต้นมาใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้าน้อยเคยทำมาแล้วทั้งสองอย่าง อย่างแรกง่ายสุด อย่างที่สองค่อนข้างโหด ต้องใช้สมาธิกับความจำขั้นสุดยอดเพราะเหตุการณ์ที่สลับกัน หมายถึงจุดบางจุดต้องเปลี่ยนไปด้วย
ไม่รู้สิท่าน ข้าน้อยคิดว่า 'สไตล์' ที่คนเขียนที่ดีที่ข้าน้อยพบ ไม่ใช่สิ่งซึ่งไม่ใช่เส้นเรื่องในนิยาย แต่เป็นความคิดของพวกเขาที่ใส่ลงไปในนั้นมากกว่า 'ความคิด' จึงนับว่าเป็น 'Signature' ของคนเขียนอย่างแท้จริงที่ทำให้เรื่องนั้นๆ ของเขาพลิกแพลงไปได้ร้อยแปด แต่คนอ่านก็ยังรู้ดีว่าเป็นคนเขียนคนนี้อยู่
ถ้าเมื่อไรที่คนเขียนคนหนึ่งมองว่าวิธีการเขียนของตัวเองเป็นสไตล์ เมื่อนั้นเกรงว่าคนเขียนผู้นั้นยากที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปได้ เพราะเขาคิดว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก และคงเป็นเรื่องน่าเสียดายมากทั้งที่จริงแล้ว การพลิกแพลงเส้นเรื่อง มุมมองที่จะมองผ่านถึงเส้นเรื่องหลักเส้นเรื่องรอง ล้วนมากจากความกล้าได้กล้าเสียที่จะลองเล่นกับมัน พอลองก็จะรู้ว่าเป็นยังไง และเมื่อเจอคอมเม้นต์ของคนอ่านซึ่งเป็นทางสว่างให้กับเรา แต่กลับไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันยังไงดีเพราะไม่อาจมองทะลุเส้นเรื่องที่ว่านั้นได้ จนกลายเป็นการทำใจยอมรับว่าเราคงทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นวิธีการเขียนของเรา แล้วก็หยุดอยู่กับที่
ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาว่ากล่าวท่านจขกท. พูดโดยรวมเท่านั้นเพราะข้าน้อยไม่ได้อ่านงานของท่าน ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วท่านกำลังติดกับดักกับคำว่า 'สไตล์' การเขียนจริงหรือไม่ นี่เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่งที่ท่านจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ตามแต่
แต่เอาเป็นว่า ข้าน้อยขอกล่าวถึงวิธีการทั้ง 2 วิธีคร่าวๆ ให้เป็นตัวอย่างขอรับ
ก่อนอื่น สมมุติเรื่องหนึ่งขึ้นมา เส้นเรื่องหลัก คือ เส้นเรื่องที่ทำให้ปมขัดแย้งหลักของเรื่องคลี่คลายออก และเส้นเรื่องรอง คือ เส้นเรื่องที่ปมขัดแย้งรองคลี่คลายโดยที่ปมนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปมขัดแย้งหลัก ยกตัวอย่างเช่น
เส้นเรื่องหลัก -- ตำรวจจับบอสใหญ่ของแก๊งค์ค้ายา
เส้นเรื่องรอง 1 -- ตำรวจต้องเจอกับลูกกระจ๊อกซึ่งนำไปสู่ Clue ที่จะชี้นำไปยังบอสใหญ่ (ในระหว่างนั้นอาจมีการตามสืบ วางแผนล่อซื้อจนกระทั่งรวบตัวได้)
เส้นเรื่องรอง 2 -- ตำรวจเจอกับลูกสมุนฝ่ายซ้ายของบอสใหญ่ เพื่อจะได้หา Clue ชี้นำไปที่บอสใหญ่ (ในระหว่างนั้น อาจมีการต่อสู้ ยิงกันลั่นเมือง ผู้ร้ายวิ่งขึ้นตึก ตำรวจไล่ตาม แต่ผู้ร้ายตกตึกตายทำให้ตำรวจสาวไปไม่ถึงบอสใหญ่ และในระหว่างนั้นเอง ตำรวจก็ถูก Sniper ยิง)
เส้นเรื่องรอง 3 -- ตำรวจต้องเจอกับลูกสมุนมือขวาของบอสใหญ่ เพื่อจะหา Clue นำไปหาบอสใหญ่ (ในระหว่างนั้นตำรวจต้องรักษาตัวเพราะถูกยิง จากนั้นก็สืบหา Sniper คนดังกล่าวซึ่งเป็นมือขวา หาข่าวสักพัก สุดท้ายก็สามารถล่อสมุนมือขวาคนนี้ออกมาได้ สมุนคนนี้บอกที่ตั้งของแก๊งค์)
เส้นเรื่องรองทั้ง 3 เส้นยังคงอยู่ในเส้นเรื่องหลัก นั่นคือ การกำจัดบอสใหญ่ และเจ้าเส้นเรื่องรองนี้ เป็นส่วนที่ทำให้เนื้อเรื่องตื่นเต้นน่าติดตามอีกด้วย
ทีนี้เรามาถึงวิธีการแก้ไขเรื่องนี้ในกรณีที่มีคอมเมนต์ (หรือตัวเองมองเห็นเอง) ว่ามันค่อนข้างยืดหรือดำเนินเรื่องช้า
1. ตัดเส้นเรื่องรองออก หรือทำให้มันกระชับขึ้น -- ท่านก็ลองดูสิขอรับ มีเส้นเรื่องรอง 3 เส้นให้เลือกด้านบน ใน 3 เส้นนั้น จะตัดเส้นใดเส้นหนึ่ง และเก็บเส้นใดเส้นหนึ่งก็ยังได้ เพราะไม่ว่าจะตัดเส้นไหน เส้นที่เหลือก็ยังคงพาไปหาบอสใหญ่ซึ่งเป็นเส้นเรื่องหลักได้อยู่ดี (เพียงแต่อาจจะเสียอรรถรสบางส่วนไปบ้าง อาจจะต้อง blend โทนเรื่องบ้างเพื่อไม่ให้อารมณ์คนอ่านก้าวกระโดดเกินไป)
หรือถ้าทำให้กระชับขึ้น ก็คือ เก็บเส้นเรื่องรองไว้ทั้ง 3 เส้น แต่เหตุการณ์ระหว่างนั้นก็ทำให้มันกระชับหน่อย เช่น
เส้นเรื่องรอง 1 -- ตำรวจต้องเจอกับลูกกระจ๊อกซึ่งนำไปสู่ Clue ที่จะชี้นำไปยังบอสใหญ่ (ในระหว่างนั้นอาจมีการตามสืบ วางแผนล่อซื้อจนกระทั่งรวบตัวได้)
ตรงตามสืบกับวางแผนล่อซื้อนี่แหละ ที่ท่านเลือกจะทำให้กระชับได้ ท่านอาจจะทำให้เวลาในการตามสืบลดลง อาจจะให้ตำรวจจับได้เลยโดยไม่ต้องวางแผนล่อซื้อก็ได้ เพราะตรงนี้ไม่ใช่จุดใหญ่ใจความอะไร มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เป็นต้น
2. การสลับเส้นเรื่อง -- บอกไปแล้วว่าเส้นเรื่องรองทั้ง 3 เส้นทำให้เนื้อเรื่องตื่นเต้นและเข้มข้นขึ้น ความรู้สึกของคนอ่านในกรณีที่บอกว่าเรื่องอืด เข้าเรื่องช้า ส่วนมากมาจากการใช้เวลาตรงให้ข้อมูลพื้นฐานที่มากเกินจำเป็น และเล่นกับเส้นเรื่องแต่ละเส้นมากเกินไป หรือบางเส้นเรื่องก็ไม่ค่อยสนุกก็เลยดึงคนอ่านไม่ได้
ถ้าสังเกต เส้นเรื่องรอง 1 2 และ 3 จะไต่ระดับความตื่นเต้นอยู่ การสลับเส้นเรื่องเพื่อดึงความสนใจของคนอ่าน บางที ท่านอาจจะดึงเส้นเรื่องรอง 2 มาใช้ก่อนเส้นเรื่อง 1 เพื่อทำให้คนอ่านตื่นเต้นเป็นการวางเหยื่อล่อ ทีนี้ตอนที่ตำรวจสลบเพราะถูกยิงอยู่ ค่อยกลับมาเล่าที่เส้นเรื่องรอง 1 ว่าตำรวจมาถึงจุดนี้ได้ยังไง เออ เขาตามสืบจากลูกกระจ๊อกมาก่อนนะ แล้วพอเขาฟื้นขึ้นมา เข้าสู่เส้นเรื่องรอง 3 ก็เริ่มแอ๊คชั่นกันต่อ ทำให้เนื้อเรื่องน่าสนใจขึ้นกว่าการเรียงลำดับ 1 2 และ 3 เป็นต้น
คิดว่าที่อธิบายไปน่าจะพอทำให้เข้าใจได้ในระดับหนึ่งนะ แต่ถ้ามีข้อสงสัย ข้าน้อยอธิบายตรงไหนไม่ชัดเจนก็ถามได้ขอรับ ยินดีตอบ (แต่ข้าน้อยไม่สะดวกที่จะเข้าไปอ่านให้ ปกติข้าน้อยจะรับเฉพาะฉบับ Hard Copy ที่ส่งมาให้วิจารณ์เท่านั้น หูตาฝ้าฟางแล้วขอรับ)
ส่งสำนักพิมพ์ แทบทุกที่ต้องเข้าตากรรมการ 3 อย่างง่ายๆ คือ
1. เป็นงานตลาดขายได้ หรือ ตามกระแสนิยม
2. ตรงแนวของสำนักพิมพ์
3. กลุ่มเป้าหมายชัดเจน (ช่วงอายุวัย/ เพศสภาพ /กลุ่มอาชีพ)
ส่วนที่เหลือ พล๊อต ตัวละคร ภาษา อย่างอื่นนั้นเป็นตัวเสริมแล้ว เขียนดีแค่ไหน ถ้าไม่มี 3 อย่างที่บอก ก็ไม่มีวันได้ผ่านจาก สนพ. หรอก
สู้ๆ ฮะ
จริงๆ เรื่องของคุณเกริ่นบอกได้น่าสนใจ มันมีความซับซ้อนต่อเนื่อง เราชอบมาก แค่ชื่อเรื่องก็โดนแล้ว แต่ทว่าเป็นไปในแนววาย ซึ่งเราก็ขอบ๊ายบาย 555
จริงแล้วผมเคยสงสัยนะว่าอะไรคือนิยายวาย... เพราะผมเป็นเกย์โดยเพศสภาพ ผมก็เลยเขียนเรื่องจากพื้นฐานของตัวเอง ตัวละครส่วนใหญ่ที่ออกมาก็มาจากการวางแนวทางชีวิตจากสังคมที่รู้จัก...
แต่นิยายวายมักจะมีสูตรสำเร็จพิศดารกว่านั้น... ตัวละครของผมเป็นเกย์เลยครับ ทุกคนรู้ตัวเองว่าตัวเองแตกต่าง แต่เลือกแสดงออกตามบุคลิกภาพตัวเอง รสนิยมของตัวเอง ผมเขียนแบบนี้มานานมาก
ก่อนการบูมของวาย มันก็แปลกดี... เพราะผมอ่านนิยายวายหลายเรื่องแล้วผมจะงง... อย่างจุ้ย พระเอก... เขาชอบหลิวก็จริง มีความสัมพันธ์กับออยก็มี แต่เขารักพี่ไตรที่ตายไป และก็รักอาราอิ... นี่คือตัวตนแบบหนึ่งชองเกย์ ในหลายแบบของความรักสีรุ้งของเรา
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?