Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ระบายหน่อย "ผิดหรอ ที่เป็น writer?"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เรามีอะไรอยากจะมาระบายให้ฟังหน่อย...คือว่าวันนี้เรากับคนที่บ้านทะเลาะกัน (ไม่เชิงทะเลาะหรอก...เรียกว่าโดนว่าดีกว่า) เรื่องที่เราแต่งนิยาย (เราเป็นนักเขียนมือใหม่ เราชอบแต่งแล้วลงนิยายในเว็บนี้มาก) แล้วก็เอาลงเฟสน่ะค่ะ พอดีเค้าเห็นว่าเราลงในนั้น (เค้ารู้อยู่แล้วว่าเราแต่ง) แล้วก็มีเพื่อนๆของเค้ามาถาม ว่าเราแต่งนิยายหรอ? พอกลับมา เค้าก็มาว่าเราว่า "ให้หยุดแต่งซะ" คือแบบอะไรอ่ะ? เราไปทำอะไรผิดมาหรอ? ถึงได้มาบอกว่าให้ห้ามทำในสิ่งที่เรารักแบบนี้อ่ะ? -เราก็ไม่ค่อยงง เท่าไหร่ เพราะว่าเราจะเป็นคนหลังจากที่อัพนิยายเสร็จ ก็จะลงเฟสทันที แล้วลงทีนึงเนี่ย ก็ลงเยอะมากๆ ลงเยอะจนเค้าว่ากลับมา 555 (ก็สมควรแล้วล่ะ) แต่ตกใจมากกว่า ทำไมอ่ะ เราก็แต่งอย่างงี้มาเป็นเดือนๆแล้ว ไม่เคยว่า ไม่เคยด่า พอเปิดเทอมปุ๊บ คำต่อว่าเริ่มมากันเพียบเลย โดยที่เค้าให้เหตุผลว่าอยากจะให้เราโฟกัสกับการเรียนก่อน  อย่าเพิ่งเล่น อย่าเพิ่งแต่ง ค่ะ...โอเค เราเข้าใจ จากนั้นเราก็พยายามเคลียร์งาน ทำตัวเองให้ว่าง แล้วถึงจะมาลง เท่านั้นแหละ...เค้าหาว่าเราไม่จริงจังกับการเรียนเว้ย! คือแบบ คือไรอ่ะ เรียนเราก็เรียน เล่นเราก็เล่น เราแบงเวลาออกนะเฮ้ย ว่าเวลาไหนควรทำอะไร งานเราก็ทำ การบ้านเราก็ส่งครบ ถึงเวลาเรียนก็เรียน ไม่เคยโดด ไม่เคยไปเที่ยวไหนกับเพื่อน ไม่เคยแต่งหน้าแต่งตัว ทำตามกรอบทุกอย่างที่เค้าวางไว้ให้ เพราะคิดว่ามันดีแล้ว ยังไงเค้าก็เป็นคนๆหนึ่งที่หวังดีกับเรา..ถูกไหม? แต่คือเราไม่เข้าใจ...ว่าทำไมต้องขัดขวางความฝันของเราด้วยอ่ะ...คือมันเป็นสิ่งที่เรารัก เป็นสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกว่ามีความสุข เป็นสิ่งที่เราทำแล้วเราไม่เครียดจากการเรียน มันไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เคยทำให้เค้าผิดหวังกับเรื่องการเรียนเลย อีกทั้งเค้ายังบอกว่า "นิยายของเรา ทำให้เรามีความสุข ทำให้คนอื่นมีความสุข แต่มันไม่เคยทำให้เค้ามีความสุข" หืม...เราฟังคำนี้แล้วเราแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลยว่ะ....ฟังแล้วกำลังใจมันหายไปหมดเลย...ไม่มีแรงใจจะมาอัพ ความสุขของเรามันทำให้เค้าไม่มีความสุขหรอ?...ควมสุขของเรามันทำให้เค้าผิดหวังหรอ? ความสุขของเรามันไม่เคยทำให้เค้าภูมิใจเลยหรอ? หลังจากนั้นเราก็ไม่พูดอะไรเลยค่ะ นิ่งเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไป หัวใจมันเหมือนถูกคนที่เราเคารพรักทำลายมันอ่ะ T^T คือมันเสียใจมาก เสียใจ โคตรๆ (โค-ตา-ระๆ) คือเราต้องเป็นแบบไหนอ่ะถึงจะพอใจ คือหัวเรามันมาทางนี้อ่ะ แถมใจมันรักไปแล้วด้วย...แต่เราก็เกรงใจเค้าอ่ะเนอะ ไม่กล้าพูด ก็ได้แต่นิ่งไป เพียงแต่ในใจคิดว่า..."เป็น writer แล้วมันผิดหรอ ?" เท่านี้แหละค่ะที่อยากจะระบาย เพราะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องห้าม ทั้งๆที่เราทำในเวลาที่ว่างๆอ่ะ ไม่เข้าใจจริงๆ T^T ส่วนใคร...ที่พอจะเข้าใจความคิดของผู้ใหญ่เค้า ช่วยบอกกันหน่อยนะคะ อยากรู้ว่าเพราะอะไร มันไร้สาระมากหรอกับการทำในสิ่งที่เรารักเนี่ย? ขอบคุณค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

15 ความคิดเห็น

K.W.E. 11 มิ.ย. 59 เวลา 22:00 น. 1

ก่อนอื่นนะครับ ต้องใจเย็นๆไว้ ถ้ายังไม่นิ่งพอก็อย่าเพิ่งเถียง เดี๋ยวถ้าหลุดประเด็นเมื่อไหร่ ทางฝ่ายไม่เห็นด้วยได้ถล่มแหลกแน่


จากที่อ่านๆมาทั้งกระทู้นี้ และกระทู้ปรับทุกข์จากสมาชิกคนอื่นๆก่อนหน้าเนี่ย
กรณีแต่งนิยายแล้วโดนบ่นว่าเหลวไหล จะเป็นเรื่องที่มีมาเรื่อยๆจริงๆ ซึ่งมันก็สะท้อนได้ดีเลยล่ะว่าสายตาของคนนอกกลุ่มนิยาย คนไม่อ่านนิยาย คนไม่เคยเขียนนิยาย จะไม่รู้เอาเสียเลยว่าการเขียนนิยายนั้นคืออะไร

กับกรณีแบบนี้ ถ้าเรายังเรียนรู้ขอให้จำกัดความนิยายเอาไว้ให้ชัดเลยนะครับว่า นี่คือ 'งานอดิเรก' ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านั้น


ทำไมต้องงานอดิเรก?
ก็ตอบได้เลยว่ามันคือสิ่งที่คนแทบทุกคนมักจะมีและทำในยามว่างๆ เพื่อผ่อนคลาย หรือสนุกในรูปแบบของเขา

งานอดิเรกนั้นไม่จำเป็นต้องทำแล้วเฮฮาเสมอไป ไม่จำเป็นต้องทำแล้วมีรอยยิ้มเสมอไป บางทีเห็นสีหน้าเครียดมันก็อาจเป็นการผ่อนคลายในรูปแบบหนึ่ง

อาทิเช่น เห็นคนนั่งเล่นเกมสีหน้าเครียด เห็นคนดูหนังไปร้องไห้ไป เห็นคนเตะบอลไปตะโกนเรียกบอลบ่นเพื่อนไป หากนั่นคืองานอดิเรก สีหน้าก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเขาไม่สนุกหรือผ่อนคลายแต่อย่างใด เพราะสุขใครก็สุขมัน วิธีเข้าถึงความสนุกและความฟินก็สไตล์ใครสไตล์มัน

เอาจริงๆแต่งนิยายมันยังเป็นงานอดิเรกที่เป็นประโยชน์กว่า การเดินห้าง(เสียเงิน) ไปซิ่งรถ(เสี่ยงอุบัติเหตุ) กินเหล้า (เสี่ยงทั้งสองอย่างที่ว่ามา) จริงไหมครับ

บางทีถ้าหงุดหงิดมากๆ ผมก็อาจมีถามกลับว่า แล้วงานอดิเรกคุณคืออะไรครับ?
ถ้าตอบมาว่ามีจะเทียบกันเลยว่างานอดิเรกเขากับเรามีดีมีแย่ต่างกันตรงไหน
แต่ถ้าเขาตอบว่าไม่มี ผมก็สวนเหมือนกันว่า แล้วจะมายุ่ง(เจือก)อะไรกับงานอดิเรกชาวบ้านครับ...!?

แต่งนิยายอย่าคิดว่าง่าย ถ้าแน่จริงลองแค่เรียงความสักบทที่อ่านรู้เรื่อง และมีคนอ่านเรื่อยๆดูหน่อยเป็นไง
ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าปากไวเรียกว่าเหลวไหลจะดีกว่า เพราะมันดูถูกคนทำงานอดิเรกสายนี้ครับ อารมณ์เหมือนไม่ได้รู้เลยว่าเขาสร้างผลงานกันยังไงแล้วมาชี้ว่างานง่ายไร้สาระ


เชื่อเถอะครับ เอาข้อดีมาเทียบเป็นช็อตๆล่ะก็ นิยายไม่ใช่เรื่องไร้สาระแน่ๆ
อย่างน้อยๆก็มาฝึกพิมพ์สัมผัสกันได้ว่าคนไม่เคยแต่งกับคนที่แต่งเนี่ยใครพิมพ์เร็วกว่ากัน
ฝึกอ่านจับใจความ ฝึกสรุป ฝึกใช้ภาษาให้ถูกกับสถานการณ์ได้ แล้วจะรู้ถึงความแตกต่าง

พยายามทำให้เขาเข้าใจครับว่าแต่งนิยายคือการใช้ตรรกะ ฝึกการใช้สมองทั้งศาสตร์และศิลป์
แม้บางเรื่องจะพล็อตฮาๆ หรือพล็อตน้ำเน่า แต่ถ้าแต่งไม่ดี มันก็ไม่มีคนอ่าน อ่านแล้วไม่ติด

ชี้แจงแบบใจเย็นๆครับ ถ้าไม่เข้าใจก็ให้พิสูจน์
เราโตมาแบบวิทยาศาสตร์ หรือถ้าโตมาในศาสนาพุทธ ก็มีคำพระสอนว่าพิสูจน์ให้รู้แล้วจึงเชื่อ อย่าใช้อคติ


แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเรียนและการงานน่ะนะครับ ส่วนนี้อย่าให้ขาดเลย
เท่าที่อ่านมายังดีว่า จขกท ยังดูแลได้ ซึ่งถ้าพัฒนาการด้านภาษาหรือที่เกี่ยวข้องดีขึ้นแล้ว จะเอาไปอ้างก็ยิ่งเหมาะเลย เช่น เกรดภาษาไทยดี ส่งเรียงความแล้วครูชมหรือได้รางวัล แต่งบทความแล้วคนอ่านชอบ เหล่านี้ล้วนเพิ่มเครดิตตัวเองได้ทั้งนั้น

เข้าใจอารมณ์ผู้ใหญ่นะว่าเขาไม่อยากเห็นเราหมกมุ่นหรือนั่งจ่อหน้าคอมทั้งวันไม่ทำอะไรอื่น
การบอกว่าแต่งนิยายนั้น มีโอกาสสูงที่จะถูกมองว่าผลาญเวลาไปในระดับเดียวกับเล่นเกม

วิธีแก้ต่างนั้นอธิบายอย่างใจเย็นก็ดีอยู่ แต่มันจะดีกว่าถ้ามีหลักฐานที่ชัดเจนว่าทำแล้วมันได้ประโยชน์ ไม่ว่าผลการเรียนก็ดี รางวัลก็ดี หรือถ้าตีพิมพ์ได้เงินก็ยิ่งดีเข้าไปอีก ในเงื่อนไขที่ว่าผลการเรียนไม่ตกลงไปนัก

จากประสบการณ์ตรงผมถูกมองว่าเล่นเกมมากมาแต่อดีตล่ะ ซึ่งแต่งนิยายก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
แต่หลังจากที่ทำงานหาเงินได้พอเลี้ยงตัวเองระดับหนึ่ง ทุกวันนี้ถึงจะยังเล่นเกมอยู่แต่งนิยายก็ด้วย แต่เสียงบ่นน่ะ หายเเกลี้ยงไปหมดแล้วล่ะครับ...

เพราะเขามองว่าเราไม่เสียงานเสียการเรียนนั่นเอง เวลานั่งหน้าคอมก็คือเวลาพักผ่อนจริงๆ
บางทีก็ออกมาพูดคุยกันบ้าง กินข้าวกันบ้าง เขาชวนไปเที่ยวก็ไปบ้าง ให้รู้ว่าเรายังไม่ได้เก็บตัวหรือทิ้งสังคมนะ ลองทำแบบนี้ได้แล้ว จะแต่งนิยายกี่เรื่องก็ไม่เคยถูกมองว่าแย่เลยครับ

ญาติส่วนใหญ่ที่รู้ว่าผมแต่งนิยายมักจะทำหน้าแปลกใจหรือตกใจแล้วถามกลับว่า "พูดจริงดิ?"
ซึ่งผมจะฟินมากถ้าได้ทำให้เขาตกใจกว่าเดิมเวลาตอบกลับไปว่า "แต่งมาหลายพันหน้าแล้วคร้าบ คนอ่านรวมๆก็ขั้นหลักแสนแล้วนะครับผม"

จากที่ถูกมองว่าเหลวไหลจะกลายเป็นทึ่งแทนว่าน้องฉันทำได้ถึงขนาดนั้นเชียว



มันก็อะไรประมาณนี้ล่ะครับ
สรุปว่าพยายามทำให้คนรอบข้างมองว่านี่คืองานอดิเรกให้ได้ครับ ไม่ใช่สิ่งไร้สาระหรือดึงเวลาส่วนอื่นไป

แบ่งเวลาให้ดี ช่วงเข้าสังคมก็เข้าไป ทำงานบ้านก็ทำไป ถ้ามีเวลาแต่งก็ตบมุกให้น่ารักๆหน่อยประมาณว่า "ขอเวลาไปฝึกเขียนเรียงความหน่อยนะคะ" ก็ได้

ถึงจะเป็นนิยาย แต่มันก็ต้องลำดับหน้าหลัง อธิบายให้คนอ่านเข้าใจนะเออ
หากจะบอกว่าเป็นการฝึกเขียนและพิมพ์เรียงความก็ไม่ผิดเลย ภาษาแบบนี้ดูดีขึ้นเยอะเลย

แล้วถ้าทางบ้านเขาเข้าใจว่าทำแล้วงานเราไม่เสีย แถมทำแล้วเราเก่งขึ้น เช่นอาจช่วยทางบ้านพิมพ์งาน หรืออะไรที่ใช้ทักษะด้านนี้แล้ว เสียงบ่นอาจลดลงไปได้โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาอธิบายเลยด้วยซ้ำครับ

พิสูจน์ด้วยการกระทำมันชัดเจนกว่าการอธิบายบอกกล่าวเยอะ แถมยั่งยืนด้วย คือเข้าใจแล้วจะไม่วกกลับมาบ่นด้วยเหตุผลเดิมๆอีก

เพียงแต่ว่ากว่าจะมีผลงานได้ขนาดนั้น มันก็อาจต้องใช้เวลานานยิ่งกว่า
ก็เป็นบทสอบกำลังใจ ความอดทนของผู้เขียนด้วยล่ะนะครับ แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นหรอกกระมังนะ ถ้าเราชอบในงานอดิเรกนี้จริงๆครับ

1
Reaper093 15 มิ.ย. 59 เวลา 16:15 น. 1-1

พี่กวีคนเดียวมาครบทุกประเด็นเลยฮะ 555+เยี่ยม

0
SilverPlus 11 มิ.ย. 59 เวลา 22:42 น. 2

พ่อแม่จะเป็นแบบนี้แหละครับ

ท่านอยากให้เราใช้เวลาไปกับเรื่องเรียนมากกว่า 

ซึ่งความคิดของเขา "ไม่ผิด" เลยครับ 

เพราะเรื่องเรียน จะนำมาซึ่งอนาคตที่ดี ชีวิตที่สุขสบาย เป็นความเชื่อที่ "ไม่ผิด" เช่นกัน

แต่สำหรับการเขียน มันไม่ได้รับการพิสูจณ์อย่างแน่นอน ว่าหากเราทุ่มเทให้กับการเขียน อนาคตเราจะสบาย การเขียนหนังสือมันไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ

มันมีสองทางเลือก คือ

พ่อแม่ได้เห็นคุณค่าของการแต่งนิยาย อาจจะมาจากตัวเราเอง หรือข่าวในทีวี (ยาก) จนท่านมีความคิดที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเห็นว่า การแต่งนิยายคือการใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ พอๆ กับการเรียนเลย

ทางที่สอง "แอบ" เขียนซะ เพราะถึงต่อให้เจ้าของกระทู้ชักแม่น้ำร้อยสาย หรือดึงมหาสมุทรทั้งหมดในโลกและจักรวาล ก็ไม่สามารถโน้มน้าวท่านได้ ทางหนีทางเดียวคือการแอบเขียน 

เราฝืนหรือขัดกับพ่อแม่ไม่ได้ เพราะเราต้องพึ่งพาเขา

แต่ถ้าแอบๆ ทำ แม้มันจะไม่ดี แต่ก็ดีกว่าชนกับพวกท่านตรงๆ จนความสัมพันธ์แตกร้าว

0
Anencephalous 12 มิ.ย. 59 เวลา 00:17 น. 3-1

ออกไปแล้วก็อย่าลืมไปเขียนบรรยายให้อ่านในกระทู้ตัวเองด้วยนะ รออยู่

0
𝐹etus 12 มิ.ย. 59 เวลา 07:27 น. 4
ผู้ใหญ่ก็เป็นซะแบบนี้...

ดีแล้วนะที่เจ้าของกระทู้แบ่งเวลาเป็น การแต่งนิยายนี่ดีเลย เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และทำให้เรามีความสุขกับมัน เป็นการฝึกฝนไปในตัวด้วย มันจึงไม่ผิดเลยที่เจ้าของกระทู้มีความสุขที่จะเป็นนักเขียน

ผิดตรงที่ผู้ใหญ่ทัศนคติแคบ ไม่ยอมเปิดใจต่างหาก คนหัวเก่ามักจะคิดว่าในช่วงวัยรุ่น เด็ก ๆ ควรตั้งใจเรียนหนังสือ เรียน ๆ เข้าไป บางคนไม่คิดเลยว่า การเรียนรู้อย่างอื่นก็เป็นประโยชน์ ทำหลาย ๆ อย่างนอกจากเรียนในตำรา ก็เป็นการค้นหาตัวเอง ใช้เวลาว่างเป็น

มันก็ดีกว่าเอาเวลาว่างมานั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ละว้าาา...

ก็ไม่รู้จะแนะนำการเปิดทัศนคติผู้ใหญ่ที่ไม่เปิดใจกับเรื่องแบบนี้อย่างไรดี แต่อย่างไรก็สู้ ๆ นะคะ
0
peiNing Zheng 12 มิ.ย. 59 เวลา 16:24 น. 5

เห็นหัวกระทู้ตอนแรก เข้าใจว่าคงอยากระบายมากกว่าอยากได้คำตอบจริงจัง จนกระทั่งเห็นประโยคสุดท้ายที่บอกว่าใครพอเข้าใจช่วยบอกหน่อย งั้นบอกก็ได้ขอรับ

บางทีท่านอาจจะไม่พอใจ ไม่เข้าใจ หรือไม่บางทีอาจจะเห็นว่าบางทีผู้ใหญ่คงไม่เปิดใจ เป็นผู้ปกครองที่ไม่สนใจความชอบของเรา บลา บลา บลา

ข้าน้อยขอให้ท่านลองนึกจินตนาการในสมมุติที่ข้าน้อยกำลังเล่าดูนะท่าน สมมุติว่าท่านมีจักรยานคันหนึ่ง คันใหญ่ล้อใหญ่คงทน ท่านชอบไปซื้อขนมในตลาด ทีนี้มันมีอยู่สองทางที่ไปได้ คือ

1. ทางถนนใหญ่ เรียบ แต่ต้องวิ่งกับรถยนต์ หรือแม้กระทั่งรถบรรทุก ระยะทาง 500 เมตร

2. ทางซอยเล็ก ขรุขระบ้าง แต่ไม่มีรถใหญ่วิ่ง ระยะทาง 1 กิโลเมตร

หากเป็นตัวท่านเองที่ขี่จักรยานแข็งแล้ว บางทีท่านขี้เกียจผ่านทางซอยเล็กเพราะมันพื้นไม่เรียบ ขี้เกียจไปกระเด้งกระดอน อาจจะไปทางถนนใหญ่ เพราะมันสะดวกดี เร็วดี

ท่านมีน้อง อายุ 5 ขวบ ยังคงขี่จักรยานคันเล็กที่เด็กขี่กันอยู่ วันหนึ่งน้องคนนั้นบอกท่านว่าอยากไปซื้อขนมที่ตลาด ท่านมองไปที่จักรยานคันเล็กของเขา และต้องแนะนำเส้นทางที่จะไปตลาดโดยเลือกระหว่าง 2 เส้นทางข้างบน

ท่านจะบอกเขาให้ไปเส้นทางไหน?

หากท่านไม่ได้คิดอยากฆาตกรรมเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ข้าน้อยเชื่อว่าผู้ใหญ่ส่วนมากแนะนำให้ใช้เส้นทางในซอยเล็ก มันขรุขระก็จริง แต่มันปลอดภัยกว่า ถึงช้ากว่าก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่? แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่ห่วงเขามากกว่านั้น ทางขรุขระที่ไปอาจทำให้เขาทรงตัวไม่ดี เผลอๆ ตกหกล้มกลางทางจะทำยังไง ก็เลยห้ามเขาไม่ให้ไปซื้อขนมเลยนี่แหละ ปลอดภัยแล้ว หรือถ้าจะให้ดีที่สุดเลยก็คือ อย่าเพิ่งขี่จักรยานเลย ยังเด็กอยู่ มือยังไม่แข็งเลยด้วยซ้ำ อยู่บ้านนี่แหละดีแล้ว

เด็กคนนั้นก็น้อยใจ ถามผู้ใหญ่ว่า ผิดหรือที่เขาอยากขี่รถ เขาก็แค่อยากกินขนมที่ตลาดเท่านั้นเอง

ท่านจะตอบเด็กคนนั้นว่าอย่างไรดี?

ผู้ใหญ่แต่ละคนล้วนเคยทั้งถูกห้ามไม่ให้ขี่รถจักรยาน ถูกสั่งให้ใช้เฉพาะทางในซอยเล็กไม่ให้ออกถนนใหญ่มาแล้วทั้งสิ้น ทำไมพวกเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านกำลังเป็นอยู่ แต่เวลายังไม่เหมาะสม และเรื่องบางเรื่องก็ใช่ว่าจะอธิบายให้เด็กสักคนเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังได้ วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ตัดบทโดยไม่อธิบายเหตุผล (คือ ห้ามขี่จักรยานไปเลย) และสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือ เตรียมเด็กๆ ให้แข็งแรงในวิธีการของตนเองขอรับ

อายุ 5 ขวบอาจจะยังไม่เหมาะสมให้ขี่จักรยาน แต่เมื่อ 10 ขวบ มือไม้แข็งพอ อาจจะยอมอนุญาตให้ขี่ในซอยก่อน เจอทางขรุขระมากๆ เข้า มือจะเริ่มแข็ง แล้วพอเขาอายุได้ 15 ปี ค่อยปล่อยให้ขี่ไปซื้อขนมที่ตลาดด้วยทางถนนใหญ่

ทุกอย่างมีเหตุมีผลและมีเวลาที่เหมาะสมของมันอยู่ขอรับ ระดับการอนุญาตก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่บางคน (ซึ่งเด็กๆ เรียกมันว่า 'การเปิดใจ') ว่าพวกเขาคิดว่าเด็กคนนั้น 1. ไม่ควรขี่จักรยาน หรือ 2. ขี่จักรยานได้แต่ให้ขี่เฉพาะแถวบ้าน หรือ 3. ให้ขี่จักรยานได้ รวมถึงยอมให้ไปเส้นทางขรุขระ 4. ขี่ได้และยอมให้ออกไปขี่ที่ถนนใหญ่ 

แต่ละบ้านไม่เหมือนกันขอรับ ท่านในตอนนี้ตามสายตาของผู้ใหญ่แล้ว อยู่ในลำดับขั้นไหน ท่านลองพิจารณาเองดูก็แล้วกัน ข้าน้อยก็ไม่รู้หรอก บ้านใครบ้านมันขอรับ

ทั้งหมดนี้หวังว่าจะอธิบายได้ชัดพอว่าผู้ใหญ่คิดอะไร ส่วนคำแนะนำว่าจะทำอย่างไร ก็มีคนแนะนำไปบ้างแล้ว ลองไปปรับใช้ดูละกันขอรับ

0
ไตรติมา 12 มิ.ย. 59 เวลา 20:47 น. 6

เราเองเป็นผู้ใหญ่ (อายุเยอะเฉยๆ) อยู่กับพ่อแม่
เพราะตกงาน แล้วเอาแต่แต่งนิยาย มีแต่คอมฯ นี่ล่ะเป็นเพื่อนเรา
นอกนั้นเราไม่มีอะไร ไม่มีเงินด้วย
แต่คนข้างบ้านชอบเอาของกินมาให้พ่อแม่เรา
แล้วก็ชอบว่าเราเอาแต่เล่นเกม บางคนก็พูดเล่น
บางคนก็ไม่พูด แต่เชื่อคนอื่นๆ หาว่าเราเอาแต่เล่นเกม
วันนี้เราทำอีบุ๊กออกมาขาย ไม่ค่อยได้เงิน เพราะไม่มีใครรู้จักเรา
เลยไม่มีใครมาโหลดนิยายเรา
เราไม่สนใจแล้ว ใครจะว่าเล่นเกมก็ช่าง
เราก็เถียงไปว่าทำงาน เขียนนิยายนี่แหละ
เราอยากให้กำลังเจ้าของกระทู้นะ
ถ้าวันนี้เธอยังต้องพึ่งพาอาศัยผู้ใหญ่ คงต้องทำใจวางเฉย
ค่อยพูดอธิบายไปด้วยเหตุผล
เขาจะเข้าใจหรือไม่ ก็อธิบายไปเท่าที่เราควรพูด

0
Nomapol 15 มิ.ย. 59 เวลา 14:48 น. 7

ใจเย็น ๆ ครับ ภาพสำหรับ คนอื่น ๆ ที่มองนักเขียน คือ....ไส้แห้ง  ไม่มีจะกิน และ ไม่มั่นคง

ความคิดนี้ ถูก ส่วนหนึ่ง และ ผิด ส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน

-ไส้แห้ง การจะเป็นนักเขียนชื่อดัง นั้นยากที่เดียว คือต้อง ผ่านด่านอรหันต์ ชนะตัวเอง บก คนอ่าน ซึ่งแต่ละ ด่านไม่ง่ายเลย

-ไม่มีเงิน นักเขียนเป็นอาชีพที่ ไม่มีโรงเรียนสอนการเขียน ที่เมื่อจบแล้ว จะได้งานทันที จะได้เงิน คือ 1 เขียนนิยายจบ แล้วไปเสนอ สนพ จึงต้องทำเป็นอาชีพเสริมก่อน ซึ่งเมื่อดังแล้วถึงจะลาออก มาเป็นนักเขียนเต็มตัวได้

-ไม่มั่นคง ถึงแม้เราจะดังแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไร มาการันตี เราได้ว่า จะอยู่สุขสบายได้ ถ้าเราไม่มีผลงานใหม่ ๆ โดน ๆ ออกมาสมํ่าเสมอ จึงต้องแข่งกับตัวเองเสมอ หรือ ห้ามหยุดอยู่กับที่

เลยแทบจะไม่มีพ่อแม่ที่ไหน อยากจะให้ลูกตัวเองมาเสี่ยงกับความผิดหวังเหรอครับ สู้ให้ เป็น หมอ วิศวะ ที่มีเงินเดือนสูงมั่นคงมากกว่า ดีกว่าครับ 

แต่ที่กล่าวมาก็สู้ การได้เป็นนักเขียนชื่อดังไม่ได้ครับ เพราะมันเป็นมากกว่าอาชีพ แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่มีคนติดตาม ชื่นชมเพียงไม่กี่คนหรือไม่มีเลย เป็นคนดังที่มีคนชื่นชอบเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คนนะครับ  แล้วยิ่งเรื่องรายได้ มากกว่า หมอ หรือ วิศวะเกือบทุกคนครับ มีเงินหลัก 10 ล้านสบาย ๆ 

แอบเขียนนิยายไปเลย แล้วเป็นนักเขียนชื่อดังให้ได้ครับ แล้วพิสูจน์ให้พวกท่านรู้เลยว่าคิดผิด    สู้ ๆ ครับ


0
koizora_11 15 มิ.ย. 59 เวลา 15:01 น. 8

พี่ขอแนะนำในฐานะที่พี่ผ่านมาก่อนนะ 

การที่น้องได้ลองทำในสิ่งที่ชอบน่ะเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ยิ่งเราได้ลองทำนู้นทำนี่เยอะเท่าไหร่ เราก็จะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วค้นพบตัวเองในที่สุด

ตอนพี่เป็นนักเรียนพี่ก็แต่งนิยาย แต่ก็เลิกแต่งไปเพราะคิดว่ามันไร้สาระ หรืออะไรทำนองนั้น แต่งๆหยุดๆไปเรื่อยๆจนเรียนจบ..

หลังจากที่เริ่มลองทำงานแล้ว พี่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ เราไม่ได้ชอบมัน เราไม่มีความสุขกับที่เป็นอยู่ จนตอนนี้พี่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากแต่งนิยายอย่างจริงจัง (แต่โชคดีที่ครอบครัวเข้าใจ)

คือพี่อยากบอกน้องว่าให้ทำตามที่ตัวเองชอบเถอะ คุยกับพ่อแม่ไปเลยว่าตัวเองชอบอะไรมีจุดมุ่งหมายยังไง เอาพี่ไปเป็นตัวอย่างเลยก็ได้ พี่เรียนดีมาตลอดเข้ามหาลัยคณะที่พ่อแม่ต้องการได้ แต่สุดท้ายพี่ก็ไม่มีความสุขและกลับมาแต่งนิยายอยู่ดี

งานในอนาคตของเราจะอยู่กับเราไปตลอด ถ้าเลือกผิดก็จะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตเช่นกัน พี่เชื่อว่าถ้าน้องคุยกับพ่อแม่ด้วยเหตุผล ท่านต้องเข้าใจน้องแน่ๆ

สู้ๆนะ พี่จะเป็นกำลังใจให้ :)

0
Reaper093 15 มิ.ย. 59 เวลา 16:38 น. 9

ผมเข้าใจน้องนะเพราะผมก็เคยมีปัญหาแบบเดียวกัน

เรื่องงานอดิเรกเนี่ย มันเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลอยู่แล้วครับ...ซึ่งนั่นก็ทำให้คนอื่นที่มีงานอดิเรกต่างจากเรา คิดเห็นว่างานอดิเรกของคนอื่นไร้สาระบ้าง ไม่มีประโยชน์บ้าง ซึ่งในทางกลับกันหากเป็นเรามองคนอื่น เราก็จะรู้สึกอย่างเดียวกัน...อย่างพวกที่ออกไปกินเหล้าแบบนี้ เรามองว่าไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ แต่เขาบอกว่าเป็นการหาสังคม นั่นก็อาจจะเป็นข้อดีที่เขาเห็น แต่เราไม่เห็นก็ได้

อย่างของผมเนี่ยก็จะเป็นพวกที่ชอบศึกษาอาวุธ ประวัติสงครามบ้าง ฝึกปืนผาหน้าไม้ อีดงอีดาบ ฯลฯ คนอื่นก็จะมองเป็นหัวรุนแรงบ้างล่ะ เป็นคนก้าวร้าวบ้างล่ะ แต่ใครจะมองยังไงก็เรื่องของเขา เพราะเราทำตัวประสบความสำเร็จได้...ส่วนตัวผมเรียนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งสาขาวิศวกรรมเครื่องกลตอนป.ตรีจากม.อันดับต้นๆของไทย ก่อนจบก็มีบริษัทจองตัวสามบริษัท (อันนี้ต้องขอโทษนะครับ เหมือนมาอวดอ้างยังไงก็ไม่รู้)

แต่ที่จะบอกคือ ถึงงานอดิเรกของผมจะเป็นเรื่องปืนผาหน้าไม้...ผมก็ยังประสบความสำเร็จได้และไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้สักหน่อย ในทางกลับกัน...เรายังมีความรู้เฉพาะด้านเพิ่มขึ้นอีก แถม-ที่ฝึกไปผมก็ใช้เป็นศิลปะป้องกันตัวได้อีก

ยกตัวอย่างคือ คุณปู่ผมท่านเคยเป็นอดีตทหารผ่านศึกมาก่อน วันหนึ่งท่านก็เห็นผมฝึกการใช้ปืนของผม(ปืนบีบีกันนะครับ) ท่านก็บอกว่า 'จับอย่างงั้นอย่างงี้ไม่ถูก' ผมก็เลยบอกว่า 'มันต้องทำอย่างงี้ ท่าทางอย่างนี้ เพราะมันเป็นเทคนิคที่คิดขึ้นใหม่ เพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้น' ซึ่งพอปู่มาทำตาม ท่านก็บอกว่า มันดีกว่าต่างจากของเดิมจริงๆ...

ในส่วนของพ่อแม่น้องที่มองว่าไร้สาระและอยากให้มุ่งเน้นเรียน ผมเข้าใจ พ่อแม่ทุกคนเป็นเหมือนกันเพราะอยากให้ลูกประสบความสำเร็จ และความสำเร็จพวกนั้นมันก็มาจากการเรียนจริงๆ อยากให้เข้าม.ดีๆได้ ทำเกรดสูงๆ ก่อนจบก็มีบริษัทมาจองตัว ไม่ต้องลำบากมาเป็นลูกน้องเขา ในส่วนความคิดนั้นผู้ใหญ่ไม่ผิดจริงครับ เพราะท่านหวังดีกับเรา พอเราทุกคนโตมาเป็นเหมือนกันหมด รู้สึกเหมือนกันหมด ผมเองก็ยังเป็นและยังกวดขันลูกพี่ลูกน้องทุกครั้งที่เจอหน้าว่า 'ตั้งใจเรียนล่ะ'

ในอีกส่วนหนึ่ง พ่อแม่น้องก็คงอาจจะกังวลว่าเห็นว่า น้องใช้เวลานั่งหน้าคอมฯนานไป...ผมว่าถ้าพ่อแม่น้องกังวลเรื่องนี้ก็ให้จัดเวลาตัวเองไปเลย 'ต่อวันจะใช้เวลาแต่งเท่านี้นะ' หลังจากนั้นจะไปอ่านหนังสือ มุ่งเรียน แต่ถ้าช่วงนั้นต้องเรียนหนัก ก็อัดเรียนไปให้เต็มที่แยกเวลาให้ถูกว่าอันไหนควรไม่ควร

ทุกวันนี้ผมก็ยังแต่งนิยายอยู่ แต่แต่งเมื่อมีเวลาว่าง เพราะตอนนี้กำลังเรียนป.โท+ทำงานไปด้วย ก็เลยจะมีลิมิทให้ตัวเองว่า แต่งวันละครึ่งชั่วโมงพอ ที่เหลือทำงาน อ่านหนังสือ ก็ไม่มีใครบ่นเพราะเราจัดสรรค์เวลาของตัวเองได้ แต่พอแบบเหลือหนึ่งเดือนก่อนสอบ...ผมก็ทิ้งทุกอย่างอ่านหนังสืออย่างเดียวจริงๆ จนสอบเสร็จก็ค่อยแต่งใหม่ (โดยส่วนตัวนิยายจะค่อนข้างลงช้าบางทีเลทเป็นเดือน แต่ก็บอกผู้อ่านใจกลุ่มเสมอว่าเรายังมีธุระที่สำคัญกว่า ซึ่งผู้อ่านจะเข้าใจครับ)

นั่นก็เป็นกำลังใจที่ผมจะมอบให้น้อง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาแสดงให้เห็น เราต้องพิสูจน์ให้พ่อแม่ดูว่า เรื่องเรียนเรื่องงานของเราควบคู่ไปกับงานอดิเรกได้ แต่เราก็ต้องให้ความสำคัญในเรื่องเรียนจริงๆด้วยนะครับ ไม่งั้นพลาดมาก็โดนเละเหมือนกันนะ ฝากไว้ด้วยนะครับ

0
Chacola 15 มิ.ย. 59 เวลา 18:21 น. 10

เอาใจช่วยนะคะ หัวอกเดียวกัน แต่เรา เป็นผู้ใหญ่ อยู่วัยทำงาน ก็เขียนบ้าง มีเป็นเล่มบ้าง แต่ไม่สามารถบอกคนในครอบครัวได้เลยค่ะ เค้ามองกันว่าไร้สาระซะงั้น ก็เคยฝันนะคะ เขียนนิยายเสร็จเล่มนึ่งตีพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม แล้ววิ่งไปบอกกับครอบครัวว่า "นี่ๆ หนังสือเล่มนี้หนูเขียนนะ " แต่บอกไม่ได้ค่ะ สังคมในครอบครัวไม่เปิดใจรับ ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ด้วยแล้ว อายุมากขึ้นๆ ก็อยากให้ทำงานเป็นหลักแหล่ง ไม่ใช่เปิดแต่คอม ฯ ทั้งวันทั้งคืน ^^

ปล. สู้ๆ ค่ะ สักวันเราต้องสามารถบอกกับใครๆได้เต็มปากว่า  " หนังสือเล่มนี้ หนูเป็นคนเขียนนะ " 

0
Luugtow 15 มิ.ย. 59 เวลา 18:39 น. 11

เราขอเสนอแนะนะ  เป็นนักเขียนมือใหม่เหมือนกัน  เพราะเราเคยโดนปัญหานี้เหมือนกัน  แต่ไม่ใช่พ่อแม่หรอก  เป็นบรรดาญาติโกทั้งหลายจอมเผือก  กับป้าข้างหน้าประมาณนั้น  ซึ่งเราก็ไม่เคยไปฆ่าลูกเค้าตายนะ 555  ไม่รู้ว่าทำไมชอบเผือกชีวิตคนอื่นจัง

เราเลยแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ค่ะ...
 

-  สร้างเพจเป็นของเราเอง  คือคนอ่านก็เค้าไปอ่านนิยายเราในเพจ  ติดตามเราจากเพจ  ไปประกาศไว้ในนิยายก็ได้  บอกแค่เพื่อน  เพราะหน้าเฟสจริงของเราเค้าจะได้ไม่เห็น  จอมเผือกทั้งหลายจะได้ไม่เอาไปฟ้องให้เราไม่สบายใจ

-  เราเห็นด้วยว่านิยายมันคือความสุข  เรารักที่จะทำมัน  คนอ่านก็รักที่จะอ่านผลงานของเรา  ไม่ต้องห่วงค่ะเราไม่ใช่ฆาตกร  ไม่ได้ทำผิดอะไร  ดังนั้นเราเลือกที่จะทำให้เขาเห็นว่ามันคือชีวิตและตัวตนของเรา  และนิยายยังสร้างสมาธิและเทคนิคในการจดจำเอาไปใช้ในการเรียนได้

-  เราเคยไปอบรมเกี่ยวเรื่องอาชีพมา  (เอ่อก่อนมหาลัย)  ที่วิทยากรคนนึงพูดว่า  ความฝันของคนเราไม่เหมือนกัน  เกิดมามีความฝันดีกว่าไม่มีและหาเงินเลี้ยงชีพไปวันๆ  แม้กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกความฝันของเรา  ดังนั้นสิ่งที่เราควรมีคือเชื่อมั่นในตัวเอง  เชื่อมั่นในตัวผู้อ่าน  เชื่อมั่นในสิ่งที่เรารักค่ะ

-  เราเเองเป็นคนรักการเขียนและเพิ่งรู้ตัวตนตอนที่ตัวเองใกล้จะจบมหาลัยแล้ว  มันแย่กว่าน้องๆ  อีก  แต่ในเมื่อรักที่จะทำแล้ว  และทำงานแล้วด้วยพี่ตัดสินใจลาออกค่ะ  ไม่แคร์ว่าจะมีกินหรือเปล่าด้วย  มาแต่งนิยาย  เพราะรู้สึกงานที่ทำมันเป็นอุปสรรคในการแต่งนิยายมาก  ถูกชาวบ้านมองว่าไร้สาระ  พี่ไม่แคร์ค่ะ  เพราะเค้าไม่ได้ให้เงินเราใช้  (รู้ว่ามันไม่ดีแต่บางทีก็เหลืออด)  เจออุปสรรคนานาเหมือนกัน  ก็อย่าท้อนะคะ  เป็นกำลังใจให้  

น้องมีโอกาสไปไกลกว่าพี่เยอะเลยค่ะ

0
TheDem33 15 มิ.ย. 59 เวลา 19:26 น. 12

ไม่ผิดอยู่แล้วล่ะค่ะ เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำในสิ่งที่รัก
การกระทำทั้งหลายควรล้วนแล้วอยู่ในขอบเขต
แนะนำว่าให้แต่งนิยายลงเว็บแล้วจึงแชร์ลงในเฟสดีกว่าค่ะ เท่าที่อ่านมารู้สึกว่า จขกท. จะลงเฟสด้วย  เราคิดว่าการลงในเฟสมีข้อดีและข้อเสียนะคะ ข้อดีอย่างที่รู้ๆ กันคือ การเพิ่มช่องทางรับรู้ของนักอ่าน แต่หากมองอีกมุมนึงนั้นแล้ว ก๊อปปี้ได้ง่าย หากจะรู้สึกแย่กว่านี้ก็คือการโดนก๊อปนิยายหลังจากลงเฟสแล้วล่ะค่ะ //

0
จิ้ง 15 มิ.ย. 59 เวลา 20:33 น. 13

ฟังน้องๆ เดี๋ยวนี้เขาพูดถึงการที่คนในครอบครัวคาดหวังในการเรียน พฤติกรรม คาดหวังตั้งแต่ประถม ไปถึงการเข้ามหาวิทยาลัยของเขาแล้วก็เครียดแทน จนนึกสงสัยว่าบางคนเขาได้พักผ่อนบ้างหรือเปล่าฟระ คือผู้ปกครองเขาเคยถามตัวเองไหมว่า ชีวิตคนเรามันจะมีมุมที่ที่เราจะหยุดเพื่อนผ่อนคลายตัวเอง แล้วลูกเราหลานเรา เขามีเวลาแบบนั้นบ้างหรือเปล่า 

0