Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ศาสตร์และศิลป์สู่การเป็น "ดารา" เศษเสี้ยววิชาสู่การเป็น "นักแสดง"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ศาสตร์และศิลป์สู่การเป็น "ดารา"


อารัมภบทก่อน "เขียน"


ศาสตร์และศิลป์สู่การเป็น “ดารา” เศษเสี้ยววิชาสู่การเป็น “นักแสดง” นี้ อยากให้คุณผู้อ่านทุกท่านโฟกัสไปที่คำว่า "ศาสตร์" กับคำว่า "ศิลป์" ก่อน
ศาสตร์ คือความรู้ คือทฤษฎี คือการจดจำ
ศิลป์ คือความสามารถ คือภาคปฏิบัติ คือความเข้าใจ
“ศาสตร์และศิลป์” รวมกันหมายถึง ผู้ที่มีความเคารพรัก เทิดทูน บูชา ตั้งมั่น และศรัทธา ในองค์ความรู้ที่ว่านั้นเป็นอย่างดี

ศาสตร์และศิลป์สู่การเป็น “ดารา” มองผ่านๆเหมือนผู้เขียนเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงเป็นอย่างมาก ถึงมากที่สุด และหาตัวจับได้ยาก คุณผู้อ่านอาจจะมโนกันเอาเองว่าคุณผู้เขียนคงจะผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคนานาชนิด กว่าจะยืนหยัดชีวิต “อยู่ในวงการบันเทิง” มาได้จนถึงทุกวันนี้

แต่เปล่าเลย!
ผู้เขียนกลับไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับคำว่า "ดารา" เลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามกลับเป็นคนบ้านนอกคอกนา เป็นลูกชาวนา ที่อาศัยถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่ในสังคมชนบท สังคมเกษตรกรรม ชายคาประเทศ หาได้มีโอกาสเดินเฉียดกรายประตู และก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงแต่อย่างใด ไม่!!!

เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้...นักอ่านและนักเรียนนักศึกษาหลายๆท่านก็คงจะคิดว่า "แล้วกูจะอ่านมันต่อดีไหมเนี่ย!" แน่เลยใช่ไหมล่ะ

ไม่เป็นไร คุณมีสิทธิ์ที่จะคิดอย่างนั้นได้ แต่อย่าลืมว่า ชาวนาส่วนใหญ่ก็ชอบดูละคร โดยเฉพาะละครน้ำเน่า ประเภทยุงชุม ชอบมากๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณกำลังคิดอยากเป็นดารา ลองฟังลูกชาวนาเอาไว้บ้างก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ก็ไม่แน่หรอกว่า ผมอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยผลักดันให้คนอย่างคุณ ทำฝันของคุณจนประสบความสำเร็จ ได้เป็นดาราสมความมุ่งมาดปรารถนาในอนาคต

แต่ยังไม่จบ!
ส่วนเนื้อหาในประโยคที่สอง ที่ว่า "เศษเสี้ยววิชา สู่การเป็นนักแสดง"
อยากให้คุณผู้อ่านซูมมันเข้าไปที่คำว่า "เศษเสี้ยว"
ซูมเข้าไปอีก มันยังไม่ชัดเท่าไหร่!
โอเค... “เศษเสี้ยว” คำๆนี้แหละ แปลว่าเล็กน้อย เป็นส่วนหนึ่ง ยังไม่สมบูรณ์

เพราะฉะนั้น "เศษเสี้ยววิชาสู่การเป็นนักแสดง" จึงเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมอยากจะนำมาบอกเล่าเก้าสิบให้กับคุณผู้อ่านเท่านั้น ส่วนความจริงทั้งหมดจะเป็นเช่นไร คุณคงต้องไปหาข้อมูลกันเอาเอง
อันที่จริง ผมตั้งใจจะใช้ชื่อตรงนี้ว่า "108 วิชาสู่การเป็นนักแสดง" แต่คิดไปคิดมาแล้วไม่ดีกว่า แค่หัวข้อข้างบนก็นับว่าผมกำเริบเสิบสานไปกันใหญ่แล้ว ยังมา 108 วิชาเข้าไปอีก มีหวังผู้เขียนคงถูกผู้คนในแวดวงบันเทิง ถีบตกม้าตายตั้งแต่ยังไม่ได้จุติลงมาดูโลก

เพราะอะไรน่ะเหรอ?
เพราะแม้แต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และเป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ยังทรงเปรียบเปรยพระธรรม ที่ทรงรู้แจ้งเห็นแจ้งด้วยพระองค์เองนั้น ผ่านการรวบรวมและเรียบเรียงออกมาเป็นพระไตรปิฎก แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ด้วยรูปเล่มที่หนาเตอะ เนื้อหาที่เนืองแน่น ปกที่แข็ง จำนวนเล่มที่มาก ถึงมากที่สุด
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงถ่อมพระองค์ ว่าองค์ความรู้ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ เศษใบไม้เล็กๆที่อยู่ในกำมือของพระองค์เท่านั้น หาใช่ใบไม้ทั้งหมดที่มีอยู่ ในป่าใหญ่ อันเกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริง...แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งที่ยังมีกิเลสอยู่ อย่างผมล่ะ แถมยังเป็นคนบ้านนอกคอกนา ยังไม่เคยได้เป็นดารากับเขาเลยสักที ทำอะไรก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักอย่าง อยากมีอยากได้ อยากสุขสบาย หากใช้คำว่า "108 วิชา" คงจะเป็นการข้ามหน้าข้ามตาผู้หมดกิเลส และอาจจะทำให้คนอย่างผมมีบาปติดตัวไปเสียเปล่าๆ
เพราะฉะนั้นคำว่า 108 วิชา
สลัดมันทิ้งไปได้เลย!

แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งก็ใฝ่ฝันอย่างยิ่งว่า อยากจะเห็นสังคมไทยมีความสงบสุข มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ใน “ธรรม” ดังนั้น...นี่จึงเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผู้เขียนนึกอยากเขียนหนังสือแล้วนี้ขึ้นมา ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมประเทศชาติ มีความสุขและความสำเร็จมากยิ่งขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณผู้อ่านทุกท่าน คงจะไม่รังเกียจงานเขียนของผมนะ

อ่านบทความเพิ่มเติม ได้ที่นี่ครับ
https://thestupidarticles.blogspot.com/2016/07/blog-post_24.html

แสดงความคิดเห็น

>