[SHARE] ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ ม.ศิลปากร ปี1 เทอม1
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับ วันนี้พี่จะมาแชร์ประสบการณ์การเรียนภาษาญี่ปุ่น ตอนปี 1 เทอม 1 ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร อยากให้น้อง ปี 1 และบุคคลที่สนใจได้อ่านดูนะครับ
อยากเรียนเอกภาษาญี่ปุ่นจังเลยทำไงอะ ?
หลังจากสอบเข้าได้แล้ว ในวันรับน้องก็ได้เจอเพื่อนๆ หลายคน พูดคุยกันเรื่องเอกที่อยากเรียนอะไรแบบนี้ “แกอยากเรียนเอกอะไรหรอ” “เอกญี่ปุ่นอะแก” ตอนนั้นคือแบบตกใจมาก =[_]= ถามใครต่อใครส่วนใหญ่ก็ อยากเรียนเอกญี่ปุ่น เพื่อนที่อยากเรียนเอกญี่ปุ่นนี่ก็มีแบบหลากหลายเวอร์ “ลูกครึ่งญี่ปุ่น” “สายญี่ปุ่นมาตอน ม. ปลาย” “สอบวัดระดับผ่านแล้ว” ตอนนั้นนี่แก้วน้ำในมือมันสั่นไปหมด ฮ่าๆ พี่เริ่มตั้งคำถามว่า เราจะเรียนสู้คนพวกนี้ได้ไหม ตัวพี่เองจะเรียกว่ามีพื้นภาษาญี่ปุ่นก็เรียกไม่เต็มปาก เพราะเรียนด้วยตัวเอง เพื่อสอบ Pat7.3 เพื่อยื่นแอดมิชชั่นที่นี่เท่านั้นเอง พี่เป็นเด็กวิทย์-คณิต เพราะฉะนั้น น้องที่ไม่มีพื้นก็ไม่ต้องกลัวไปนะ เพราะพี่ทำได้ น้องก็ทำได้ คำพูดคุ้นๆ มะ
หลังจากเข้าหอประชุมเพื่อฟังชี้แจงการเรียนเรื่องเอกโท เป็นชั่วโมงๆ ทำให้พี่สรุปออกมาได้สั้นๆ [สอบภาษาต่างด้าวให้ผ่าน > ทำเกรดปี 1 เทอม 2 และ ปี 2 เทอม 1 ในรายวิชาภาษาญี่ปุ่นทุกตัวให้ได้ เกรด C ขึ้นไป ] เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่า
ภาษาต่างด้าวคืออะไร
เนื่องจากคนที่อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น มีจำนวนมาก ( หมายถึง มาก จริงๆ ) แต่ทางภาค ไม่สามารถรับคนได้ทั้งหมด ทำให้ต้องมีการสอบเพื่อคัดคนเข้าเรียน ( คุณภาพมะ? ฮ่าๆ ) ตอนปีพี่มีคนอยากเรียนเยอะมากจนห้องสอบล้นไปอีกห้องนึงเป็นร้อยๆคน สำหรับน้องๆที่กลัวข้อสอบนี้ขอบอกว่า “หายห่วงได้เลย เรากับคนที่มีพื้นฐานมาก่อน ไม่มีใครได้เปรียบเสียบเปรียบใครแน่นอน” เพราะว่าเป็นภาษาสมมติ สิ่งที่เราต้องมีคือ “มีระบบความคิด การช่างสังเกต ความเร็ว” เพราะพี่ใช้แค่นี้จริงๆ
น้องๆหลายคน อาจจะเคยหาข้อมูล เกี่ยวกับการสอบภาษาต่างด้าวนี้มาแล้วแน่นอน พี่ก็เคยหาเหมือนกัน แต่เจออันที่พอเป็นแนวทางได้อยู่ 2-3 ตัวอย่าง ข้อสอบในแต่ละปีมีความคล้ายกันแต่ไม่ทั้งหมด ฉะนั้นถ้าใครเจอตัวอย่างใน internet ก็อย่าปักใจเชื่อ แค่ลองทำให้รู้เป็นแนวทางพอ เดี๋ยวมันจะไปปิดกั้นความคิดเรา
แต่มีพาทนึงที่พี่เห็นแล้วคล้ายใน internet คือ พาทแต่งประโยค กล่าวคือเค้าจะให้ประโยคเรามา ให้เราสังเกตการวาง S, V, O, Adj, Adv, เป็นต้น แล้วไปแต่งประโยคใหม่โดยใช้โครงสร้างแบบเดียวกัน หรือการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นคำนามพหูพจน์ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะเติม s,es,ies อะไรแบบนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องคิดแบบมีเหตุผล และต้องช่างสังเกต พี่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่อยากยกตัวย่างเยอะ อย่างที่บอกทำสมองให้โล่งๆ และไปสู้ในห้องสอบดีกว่านะเออ
ทำไมต้องทำเร็ว ? เรามีเวลาแค่ราวๆ 45 นาทีเท่านั้น (ถ้าจำไม่ผิด) ในการทำข้อสอบ ขอบอก ณ ตรงนี้เลยว่า สำหรับพี่เวลาน้อยมาก และหลายๆคนก็บอกเหมือนกันว่าน้อยจริง ดังนั้น ถ้าเกิดตรงไหนที่ไม่เข้าใจให้ข้ามไปทำที่เหลือก่อน เพราะข้อสอบมีเยอะ
หลังจากประกาศผู้รอดชีวิต และต้องมีคนเสียน้ำตา (นี่ก็ดรามา 555 ) แล้วทุกอย่างเหมือนจะจบ แต่ไม่ใช่แบบนั้นนี่เป็นแค่ประตูบานที่ 2 ของการเข้าเอก (บานแรกคือ addmission ) เท่านั้น เรามาดูกันว่าประตูบานต่อไปคืออะไร ( แต่ตอนแรกก็แอบคิดจะหนีไปเยอรมัน หรือฝรั่งเศส ถ้าไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน แห่ะๆ )
เก็บขา ? คืออะไร
หลายคนคงเคยได้ยินมาแล้วว่าจะเข้าเอกต้องเก็บขา เก็บขาคือ การเรียนวิชาสาขา และต้องทำเกรดในทุกตัวไม่ต่ำกว่า C (ยกเว้นตอนปี 1 เทอม 1) ในกระทู้นี้ขอกล่าวถึงแค่ภาษาญี่ปุ่นนะครับ ขาในภาษาญี่ปุ่นมี
Basic Japanese I ( ปี1เทอม1 ) สำหรับวิชานี้ ไม่เก็บเกรดเข้าเอกแต่เก็บเกรดในผลการเรียนนะจ้ะ ถึงจะไม่เก็บเกรด แต่ถ้าไม่เกรดได้โอเคเราก็ต้องคิดทบทวนแล้วว่า เราจะเรียนต่อหรือพอแค่นี้ มีหลายต่อหลายคนที่เรียนต่อแล้วพัฒนา แต่ก็มีหลายคนที่ต้อง F หรือ D ไปอันนี้ก็น่ากลัวเหมือนกัน
Basic Japanese II ( ปี1เทอม2 ) นี่สิ ! เริ่มแล้วของจริง เป็นการเก็บเกรด แต่เนื่องจากมันเป็นวิชาที่ต่อเนื่องกัน ถ้า BJ1 ไม่เข้าใจหรือพื้นฐานไม่แน่น แต่เรียน BJ2 แล้วยังทำตัวเหมือนเดิม จะเสี่ยง F,D,D+ มากบอกเลย เพราะว่า เรียนยากขึ้น และหลายๆคนก็พยายามมากขึ้น ถ้าหวังทำตัวเหมือนเดิมแล้วเกรดจะดีน้องก็ไม่ใช่ The Face ค่ะ เข้าห้องดำมาได้เลย ( ผิดรายการละเพ่ ! )
Basic Japanese III ( ปี2เทอม1 )
Japanese Listening And Speaking I ( ปี2เทอม1 )
สำหรับ วิชา Basic Japanse III / Japanese Listening And Speaking I พี่จะเรียนใน ปี พ.ศ. 2559 นี้ไว้เรียนเสร็จจะมารีวิวใหม่นะจ้ะ
เรียนยังไงถึงจะได้เกรดน่ารักฟรุ้งฟริ้ง
การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย หาอยากได้เกรดสวยๆ เราต้องเรียนให้เป็น ขั้นแรกเรามาดูคำอธิบายรายวิชาว่า จุดประสงค์ ของวิชานั้นๆ ต้องการอะไรจากเรา และต้องหมั่นสังเกตอาจารย์ ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง รายวิชา Basic Japanese I เท่านั้นนะครับ ขั้นแรกเข้าเว็บคณะ ไปหาหลักสูตรอักษรศาสตรบัณฑิต และศึกษาคำอธิบายกัน มาดูสิเค้าเขียนอะไรไว้บ้าง “ การอ่านออกเสียงและการเขียนอักษรที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่น หลักไวยากรณ์และรูปประโยคเบื้องต้น การฝึกการฟังการพูด การอ่าน และการเขียนประโยคเดี่ยว ” พอเราดูเสร็จสิ่งที่เราต้องทำก็คือ การหาวิธีการที่จะบรรลุจุดประสงค์นั่นเอง ( ไปหาเองนะ แนวทางของตัวเอง อิอิ )
วิชาไวยากรณ์ เราจะได้เรียนกับอาจารย์ 2 ท่าน สลับกันสอนบอกได้คำเดียวว่าสนุกมาก ! เวลาเรียนในห้องเรียนต้องมุ่งความสนใจไปที่อาจารย์อย่าพยายามคุยกับเพื่อน เพราะแต่ละคำที่อาจารย์พูดเหมือนเป็นรหัสลับต่างดาว ฮ่าๆ จะไปโผล่ในข้อสอบ พยายามจดตัวอย่าง ฝึกแต่งประโยคในห้องพร้อมกับทุกๆคน ทบทวนสม่ำเสมอ และถ้ามีคำถามอย่าเก็บไว้นานถามเลย ! ด้านได้ อายอด จำไว้นะ
แน่นอนว่าเรียนๆไป เกิดความเครียดแน่นอน แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะ ความเครียดอ่อนๆ จะช่วยกระตุ้นสมองเป็นแรงผลักดันด้วยนะเออ พี่เองก็เป็นหนึ่งในคนที่เครียด(จิตตก)ว่า “จะผ่านไหม” “ข้อสอบเราทำผิดไปเยอะหรือเปล่า” “เกรดจะเป็นอย่างไร” อะไรแบบนี้เข้ามาในหัวตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังสอบ Final รอเกรดออก ทรมานสุดๆไปเลยล่ะ
ข้อสอบ : งานเก็บไม่มี คะแนนส่วนใหญ่มาจากการสอบ สอบ และสอบ แบ่งคร่าวๆเลยคือ 70% เป็นคะแนนไวยากรณ์ และ 15% เป็นคะแนนการฟัง อีก 15% เป็นคะแนนการพูด สิ่งที่ต้องมี 2 สิ่งในการทำข้อสอบเลยคือ ความแม่นยำ(ความเป๊ะ) และความเร็ว เพราะข้อสอบเยอะมาก พี่ทำแบบเฉียดฉิวทุกรอบเลย แต่เนื้อหายังค่อนข้างง่าย(ถ้าจำได้) แต่ก็ยังมียากบางจุดอยู่ (คหสต.) และที่สำคัญคือ เรียนเท่าไหน ใช้เท่านั้น บางคนเรียนข้างนอกมาก่อนหรือมีพื้นมาก่อน ใช้ไวยากรณ์ยากๆ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เรียน ทำให้ต้องเสียคะแนนไป เพราะจะได้ไม่เป็นการได้เปรียบคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนนั่นเอง
ทิ้งท้าย
อย่าคิดว่าตัวเองเก่งจนประมาท และอย่าคิดว่าตัวเองกากจนยอมแพ้ เพราะพี่เห็นมาหลายคนแล้ว ที่คิดว่าตัวเองเก่งแต่ว่าประมาท ทำให้ต้องพลาดโอกาสที่ไม่น่าพลาดไป หรือคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ทั้งๆที่ เรา กับ เขา ก็เป็น คน เหมือนกัน !
ดังนั้นถ้าน้องเลือกที่จะเดินบนเส้นทางนี้แล้ว ก็อย่าประมาทนะครับ เพราะมีหลายคนที่เค้าพยายามพัฒนาอยู่ตลอด ในขณะที่เราคิดว่าเราเก่งแล้ว เป็นกำลังใจให้นะ มีอะไรสงสัยสอบถามได้นะครับ แล้วเจอกันใหม่ ใน “[SHARE] ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ ม.ศิลปากร ปี1 เทอม 2” นะครับ
... อย่าลืมนะครับ หลายคนที่เค้าอยากเรียนเอกนี้ เค้าไม่ได้มากันเล่นๆ
หลังจากเข้าหอประชุมเพื่อฟังชี้แจงการเรียนเรื่องเอกโท เป็นชั่วโมงๆ ทำให้พี่สรุปออกมาได้สั้นๆ [สอบภาษาต่างด้าวให้ผ่าน > ทำเกรดปี 1 เทอม 2 และ ปี 2 เทอม 1 ในรายวิชาภาษาญี่ปุ่นทุกตัวให้ได้ เกรด C ขึ้นไป ] เรามาดูรายละเอียดกันดีกว่า
ภาษาต่างด้าวคืออะไร
เนื่องจากคนที่อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น มีจำนวนมาก ( หมายถึง มาก จริงๆ ) แต่ทางภาค ไม่สามารถรับคนได้ทั้งหมด ทำให้ต้องมีการสอบเพื่อคัดคนเข้าเรียน ( คุณภาพมะ? ฮ่าๆ ) ตอนปีพี่มีคนอยากเรียนเยอะมากจนห้องสอบล้นไปอีกห้องนึงเป็นร้อยๆคน สำหรับน้องๆที่กลัวข้อสอบนี้ขอบอกว่า “หายห่วงได้เลย เรากับคนที่มีพื้นฐานมาก่อน ไม่มีใครได้เปรียบเสียบเปรียบใครแน่นอน” เพราะว่าเป็นภาษาสมมติ สิ่งที่เราต้องมีคือ “มีระบบความคิด การช่างสังเกต ความเร็ว” เพราะพี่ใช้แค่นี้จริงๆ
น้องๆหลายคน อาจจะเคยหาข้อมูล เกี่ยวกับการสอบภาษาต่างด้าวนี้มาแล้วแน่นอน พี่ก็เคยหาเหมือนกัน แต่เจออันที่พอเป็นแนวทางได้อยู่ 2-3 ตัวอย่าง ข้อสอบในแต่ละปีมีความคล้ายกันแต่ไม่ทั้งหมด ฉะนั้นถ้าใครเจอตัวอย่างใน internet ก็อย่าปักใจเชื่อ แค่ลองทำให้รู้เป็นแนวทางพอ เดี๋ยวมันจะไปปิดกั้นความคิดเรา
แต่มีพาทนึงที่พี่เห็นแล้วคล้ายใน internet คือ พาทแต่งประโยค กล่าวคือเค้าจะให้ประโยคเรามา ให้เราสังเกตการวาง S, V, O, Adj, Adv, เป็นต้น แล้วไปแต่งประโยคใหม่โดยใช้โครงสร้างแบบเดียวกัน หรือการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นคำนามพหูพจน์ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะเติม s,es,ies อะไรแบบนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องคิดแบบมีเหตุผล และต้องช่างสังเกต พี่ต้องขอโทษด้วยที่ไม่อยากยกตัวย่างเยอะ อย่างที่บอกทำสมองให้โล่งๆ และไปสู้ในห้องสอบดีกว่านะเออ
ทำไมต้องทำเร็ว ? เรามีเวลาแค่ราวๆ 45 นาทีเท่านั้น (ถ้าจำไม่ผิด) ในการทำข้อสอบ ขอบอก ณ ตรงนี้เลยว่า สำหรับพี่เวลาน้อยมาก และหลายๆคนก็บอกเหมือนกันว่าน้อยจริง ดังนั้น ถ้าเกิดตรงไหนที่ไม่เข้าใจให้ข้ามไปทำที่เหลือก่อน เพราะข้อสอบมีเยอะ
หลังจากประกาศผู้รอดชีวิต และต้องมีคนเสียน้ำตา (นี่ก็ดรามา 555 ) แล้วทุกอย่างเหมือนจะจบ แต่ไม่ใช่แบบนั้นนี่เป็นแค่ประตูบานที่ 2 ของการเข้าเอก (บานแรกคือ addmission ) เท่านั้น เรามาดูกันว่าประตูบานต่อไปคืออะไร ( แต่ตอนแรกก็แอบคิดจะหนีไปเยอรมัน หรือฝรั่งเศส ถ้าไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน แห่ะๆ )
เก็บขา ? คืออะไร
หลายคนคงเคยได้ยินมาแล้วว่าจะเข้าเอกต้องเก็บขา เก็บขาคือ การเรียนวิชาสาขา และต้องทำเกรดในทุกตัวไม่ต่ำกว่า C (ยกเว้นตอนปี 1 เทอม 1) ในกระทู้นี้ขอกล่าวถึงแค่ภาษาญี่ปุ่นนะครับ ขาในภาษาญี่ปุ่นมี
Basic Japanese I ( ปี1เทอม1 ) สำหรับวิชานี้ ไม่เก็บเกรดเข้าเอกแต่เก็บเกรดในผลการเรียนนะจ้ะ ถึงจะไม่เก็บเกรด แต่ถ้าไม่เกรดได้โอเคเราก็ต้องคิดทบทวนแล้วว่า เราจะเรียนต่อหรือพอแค่นี้ มีหลายต่อหลายคนที่เรียนต่อแล้วพัฒนา แต่ก็มีหลายคนที่ต้อง F หรือ D ไปอันนี้ก็น่ากลัวเหมือนกัน
Basic Japanese II ( ปี1เทอม2 ) นี่สิ ! เริ่มแล้วของจริง เป็นการเก็บเกรด แต่เนื่องจากมันเป็นวิชาที่ต่อเนื่องกัน ถ้า BJ1 ไม่เข้าใจหรือพื้นฐานไม่แน่น แต่เรียน BJ2 แล้วยังทำตัวเหมือนเดิม จะเสี่ยง F,D,D+ มากบอกเลย เพราะว่า เรียนยากขึ้น และหลายๆคนก็พยายามมากขึ้น ถ้าหวังทำตัวเหมือนเดิมแล้วเกรดจะดีน้องก็ไม่ใช่ The Face ค่ะ เข้าห้องดำมาได้เลย ( ผิดรายการละเพ่ ! )
Basic Japanese III ( ปี2เทอม1 )
Japanese Listening And Speaking I ( ปี2เทอม1 )
สำหรับ วิชา Basic Japanse III / Japanese Listening And Speaking I พี่จะเรียนใน ปี พ.ศ. 2559 นี้ไว้เรียนเสร็จจะมารีวิวใหม่นะจ้ะ
เรียนยังไงถึงจะได้เกรดน่ารักฟรุ้งฟริ้ง
การเรียนในระดับมหาวิทยาลัย หาอยากได้เกรดสวยๆ เราต้องเรียนให้เป็น ขั้นแรกเรามาดูคำอธิบายรายวิชาว่า จุดประสงค์ ของวิชานั้นๆ ต้องการอะไรจากเรา และต้องหมั่นสังเกตอาจารย์ ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง รายวิชา Basic Japanese I เท่านั้นนะครับ ขั้นแรกเข้าเว็บคณะ ไปหาหลักสูตรอักษรศาสตรบัณฑิต และศึกษาคำอธิบายกัน มาดูสิเค้าเขียนอะไรไว้บ้าง “ การอ่านออกเสียงและการเขียนอักษรที่ใช้ในภาษาญี่ปุ่น หลักไวยากรณ์และรูปประโยคเบื้องต้น การฝึกการฟังการพูด การอ่าน และการเขียนประโยคเดี่ยว ” พอเราดูเสร็จสิ่งที่เราต้องทำก็คือ การหาวิธีการที่จะบรรลุจุดประสงค์นั่นเอง ( ไปหาเองนะ แนวทางของตัวเอง อิอิ )
วิชาไวยากรณ์ เราจะได้เรียนกับอาจารย์ 2 ท่าน สลับกันสอนบอกได้คำเดียวว่าสนุกมาก ! เวลาเรียนในห้องเรียนต้องมุ่งความสนใจไปที่อาจารย์อย่าพยายามคุยกับเพื่อน เพราะแต่ละคำที่อาจารย์พูดเหมือนเป็นรหัสลับต่างดาว ฮ่าๆ จะไปโผล่ในข้อสอบ พยายามจดตัวอย่าง ฝึกแต่งประโยคในห้องพร้อมกับทุกๆคน ทบทวนสม่ำเสมอ และถ้ามีคำถามอย่าเก็บไว้นานถามเลย ! ด้านได้ อายอด จำไว้นะ
แน่นอนว่าเรียนๆไป เกิดความเครียดแน่นอน แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะ ความเครียดอ่อนๆ จะช่วยกระตุ้นสมองเป็นแรงผลักดันด้วยนะเออ พี่เองก็เป็นหนึ่งในคนที่เครียด(จิตตก)ว่า “จะผ่านไหม” “ข้อสอบเราทำผิดไปเยอะหรือเปล่า” “เกรดจะเป็นอย่างไร” อะไรแบบนี้เข้ามาในหัวตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังสอบ Final รอเกรดออก ทรมานสุดๆไปเลยล่ะ
ข้อสอบ : งานเก็บไม่มี คะแนนส่วนใหญ่มาจากการสอบ สอบ และสอบ แบ่งคร่าวๆเลยคือ 70% เป็นคะแนนไวยากรณ์ และ 15% เป็นคะแนนการฟัง อีก 15% เป็นคะแนนการพูด สิ่งที่ต้องมี 2 สิ่งในการทำข้อสอบเลยคือ ความแม่นยำ(ความเป๊ะ) และความเร็ว เพราะข้อสอบเยอะมาก พี่ทำแบบเฉียดฉิวทุกรอบเลย แต่เนื้อหายังค่อนข้างง่าย(ถ้าจำได้) แต่ก็ยังมียากบางจุดอยู่ (คหสต.) และที่สำคัญคือ เรียนเท่าไหน ใช้เท่านั้น บางคนเรียนข้างนอกมาก่อนหรือมีพื้นมาก่อน ใช้ไวยากรณ์ยากๆ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เรียน ทำให้ต้องเสียคะแนนไป เพราะจะได้ไม่เป็นการได้เปรียบคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนนั่นเอง
ทิ้งท้าย
อย่าคิดว่าตัวเองเก่งจนประมาท และอย่าคิดว่าตัวเองกากจนยอมแพ้ เพราะพี่เห็นมาหลายคนแล้ว ที่คิดว่าตัวเองเก่งแต่ว่าประมาท ทำให้ต้องพลาดโอกาสที่ไม่น่าพลาดไป หรือคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ทั้งๆที่ เรา กับ เขา ก็เป็น คน เหมือนกัน !
ดังนั้นถ้าน้องเลือกที่จะเดินบนเส้นทางนี้แล้ว ก็อย่าประมาทนะครับ เพราะมีหลายคนที่เค้าพยายามพัฒนาอยู่ตลอด ในขณะที่เราคิดว่าเราเก่งแล้ว เป็นกำลังใจให้นะ มีอะไรสงสัยสอบถามได้นะครับ แล้วเจอกันใหม่ ใน “[SHARE] ประสบการณ์เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ ม.ศิลปากร ปี1 เทอม 2” นะครับ
... อย่าลืมนะครับ หลายคนที่เค้าอยากเรียนเอกนี้ เค้าไม่ได้มากันเล่นๆ
To be continued
จากเด็กวิทย์ ที่รักภาษา xoxo
จากเด็กวิทย์ ที่รักภาษา xoxo
7 ความคิดเห็น
สู้ๆเด้อ เดี๋ยวพอสักปี2เทอม2กับปี3นี่ของจริงรออยู่ถ้าพื้นปี1เเน่นปีหลังๆก็ไม่น่ากลัว
ปล.น้องเจ้าว้ากนะจ๊ะมั้ย
ขอบคุณนะคะที่มาแชร์ประสบการณ์ อยากเข้าเหมือนกันค่ะ
ว่าแต่อักษรเอกญี่ปุ่นของศิลปากรณ์ รับตรงเด็กซิ่วจะสอบได้ไหมคะ
ขอบคุณนะคะพี่ น้องก็อยากเรียนญี่ปุ่น สายวิทย์เหมือนกัน
แต่น้องไม่มีพื้นฐานเลยอะพี่ ร้องไห้โห!!!
หนูอยากทราบการเเบ่งเวลาอ่านหนังสือของพี่จังเลยค่ะ เเบบวันไหนอ่านอะไร ตอนสอบเข้าอ่ะค่ะ
น้องก็แอบสนใจอักษรฯ ศิลปากร ภาษาญี่ปุ่นนะะ เพราะตอนนี้น้องเรียนสายญี่ปุ่น อยากจะเอาไปใช้ต่อเรื่อยๆ แต่ไม่เก่งนิ้ ..
ทำไมพี่ถึงเลือกเรียนคณะนี้คะ พี่อยากทำงานอะไร หรือเพราะว่าสนใจเลยเลือกเรียน
ทิ้งเฟสไว้ด้วยยได้ม้ะะ เผื่อน้องจะแอดไป
พี่คะ หนูติดเอฟ ทำยังไงดีคะ แม่ให้ลงเอกอื่น แล้วเอฟที่ติดอยู่จะทำไงคะ
อยากรู้ตอนปี1เทอม2 จังเลยค่ะ นี่เอฟตั้งแต่เทอมแรกเลยอยากรู้ว่าเทอม2เรียนไรบ้าง ว่าจะไปลงใหม่อ่ะค่ะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?