Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

Fit&Firm ง่ายๆ สไตล์หนุ่ม (?) พยาบาล

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เนื้อหาภายในกระทู้นี้ผมได้เคยโพสไว้ในเว็บไซต์ Pantip มาก่อนหน้านี้เมื่อวันก่อน เลยคิดว่านำมาลงในเว็บเด็กดีแห่งนี้ด้วยคงดี เพื่อเป้นแรงบันดาลใจละแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพ ลด-ควบคุมน้ำหนัก รวมถึงการสร้างกล้ามเนื้อแบบง่ายๆ ที่เราก็สามารถทำเอวได้ง่ายๆ ที่บ้านหรือรอบบ้านของเราครับ 
อันนี้กระทู้ต้นทางที่โพสไว้ครับ >>> http://pantip.com/topic/35612303
.
.
แนะนำตัวก่อนนะครับ เจ้าของกระทู้เป็นชายไทย (?) โสด อายุ 30 ปี สูงประมาณ 174 ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเคยอยู่ในสภาพที่ผอมมาก และบวมมากมาแล้ว จนวันนี้ก็ได้กลับสู่สภาพผอมเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือสุขภาพดี และความแข็งแรงมากกว่าการผอมอย่างธรรมดา ทั้งหมดทั้งมวลใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน กับน้ำหนัก 80 ลดลงเหลือ 65 กิโลกรัม (15 กิโล) ครับ
.
โดยผมจะเล่าเรื่องตั้งแต่ต้น เพื่อให้เห็นพัฒนาการและสัจธรรมของชีวิตที่ผอมได้ก็อ้วนได้ และเมื่ออ้วนได้ก็ย่อมผอมได้ ไม่มีอะไรจีรัง
เริ่มต้นจาก...
.
ในวัยเด็กนั้นผมเป็นเด็กขี้โรค ตัวผอมบางชนิดที่ลมพัดแรง ๆ ก็เซตามแรงลม มีโรคประจำตัวคือโรคหืด หรือ Asthma เข้าโรงพยาบาลราวกับบ้านหลังที่สอง พยาบาลทุกคนจำได้หมดเพราะเข้าโรงพยาบาลบ่อย มียาโรคประจำตัวที่ต้องกินตลอด ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจครับหากต่อไปจะเห็นภาพขอบตาผมคล้ำเป็นหมีแพนด้า เหล่านั้นล้วนเป็นผลข้างเคียงจากโรคหืดที่เป็นนั่นเอง โดนอากาศเย็น ออกแรงมากเกินไป เจอฝุ่น อาการกำเริบทันที
.

อันนี้เป็นรูปถ่ายสมัยมัธยมนะครับ จะเห็นว่าผอมมาก ผอมแบบเด็กขี้โรค
ประกอบกับเป็นคนที่ไม่โอเคกับพละศึกษา ไม่ชอบออกกำลังกาย ก็เลยเป็นอย่างนี้ แต่ก็ยังภูมิใจว่าเป็นคนที่กินเท่าไรก็ไม่อ้วน LOL (คิดผิดไปจริงๆ)
.
ต่อมาได้เข้าเรียนในวิทยาลัยพยาบาลแห่งหนึ่ง ก็ยังคงผอมเหมือนเดิม น้ำหนักต่ำสุดตอนเรียนพยาบาลคือ 53 กิโลกรัม รอบเอว 27 นิ้ว แต่แล้วเราก็พบว่าน้ำหนักเราเริ่มเพิ่มขึ้นทุกปีของการเรียน อันเนื่องมาจากสภาพการเรียน การเริ่มขึ้นเวร และการรับประทานอาหารจุกจิกไม่เป็นเวลา (คือบางทีก็ต้องเข้าใจนะครับว่าทำโปรเจคบ้าง ขึ้นเวรบ่ายหรือดึกบ้าง คือมันต้องหาอะไรกินเพื่อให้มีเรื่ยวแรง หรืออยู่ได้ในสภาวะที่ต้องอดตาหลับขับตานอน บางทีต้องเขียนแผนการให้การพยาบาลผู้ป่วยส่งอาจารย์ในเช้าวันรุ่งขึ้น กว่าจะได้นอนก็ตี 1-2 แล้วต้องตื่นแต่เช้าเพื่อขึ้นไปที่ตึกรักษาผู้ป่วยให้ทันเวรเช้า ช่วงชีวิตนักศึกษาพยาบาลคืออนาถมาก)
.
อย่างไรก็ตามถือว่าหุ่นทรงก็ยังโอเคอยู่ อาจเพราะตอนนั้นยังวัยรุ่น เมตาบอลิสมยังดี มีกิจกรรมให้ทำไม่หยุดหย่อน เรียกว่า output ยังมีมากหักลบกลบหนี้กับ input ได้โอเค
.

[spoil][img]

รูปด้านบนเป็นรูปที่ไปออกพื้นที่ฝึกที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดกับเพื่อน ๆ จะเห็นว่าก็ยังผอมอยู่ (ผอมซูบแบบเดิมด้วย แต่น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะครับ)
.

ช่วงรับปริญญา ยังผอมอยู่ โอเคถ่ายรูปสวย
.

พักร้อนไปเที่ยวทะเลก็ยังดูดีอยู่นะ
.
ตอนทำงาน...
.
พอออกมาทำงานเต็มตัว ตอนนี้แหละที่น้ำหนักเริ่มดีดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังดูไม่เยอะมาก เนื่องจากงานของเราต้องมีกิจกรรมตลอดทั้งเวร เรียกว่าเดินไปเดินมาตลอด แต่ขณะเดียวกันด้วยสภาพงานของเราที่เป้นพยาบาลตึกรักษาผู้ป่วย (พยาบาลวอร์ด) ขึ้นเวรเช้า-บ่าย-ดึก เวลาเวรบ่ายและดึกเราจึงต้องมีอะไรลงท้องเสมอ โดยเฉพาะเวรดึกนี่...ต้องมีมาม่าคัพกับชาเขียวหวานฉ่ำดื่มเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง...(กินตอนตี 2 ทุกวันที่มีเวรดึก)
.
คุณนึกสภาพออกใช้ไหม จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็น 3 ปี ตลอดการทำงานเป็นพยาบาล แต่ด้วยอานิสงค์การเดินทำงานตลอดเวรมันก็ยังคุมไม่ให้ปริได้ไง (แต่ช่วงสุดท้ายก็ปรินะ ซิปกางเกงแตกทั้ง 3 ตัว XD) กระทั่งถึงวันที่ผมออกจากงานพยาบาลมาทำงานนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมที่บ้าน
.
นั่นแหละครับ...หายนะมาเยือนแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

นาถลดา - เฬฬารี 20 ก.ย. 59 เวลา 12:36 น. 1

หลังจากออกจากงานพยาบาล มานั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อเขียนงาน ตรวจต้นฉบับ บทความ โดยใช้เวลามากกว่า 10 ชั่วโมงหน้าจอคอม (ไม่ใช่แค่หน้าคอมหรอกนะครับ บางทีก็นั่งก้มหน้าอ่านข้อมูลท่ามกลางกองหนังสือ กองเอกสาร แต่ก็เป็นงานนั่งนั่นแหละ) ทีนี้วิถีชีวิตเราก็เปลี่ยนไป การออกกำลังกายในการทำงานจากเดิมที่เดินตลอดเวรก็ไม่มีแล้ว แต่มานั่งกับที่แทน ทว่าการกินก็ยังคล้ายๆ เดิม ดังนั้นสิ่งที่เห็นได้ชัดคือน้ำหนักดีดขึ้นรวดเร็วมาก จากตอนเป็นพยาบาลนั้นประมาณ 72-75 กิโลกรัม พอออกมานั่งทำงานที่บ้าน ใช้ชีวิตแบบ กิน นอน นั่งทำงาน นาน 6 ปี น้ำหนักก็ดีดไปที่ 78-80 กิโลกรัมเลย (โดยตอนนั้นต้องบอกว่าไม่ได้สนใจหรอก อ้วนก็อ้วนไปสิ LOL)

.

มาณีมีแก้ม

.

รูปนี้เจ้าหน้าที่ที่ถ่ายให้พยายามอย่างยิ่งที่จะบอกให้ผมถอยหลังไปอีกหน่อย เอาผมมาปิดแก้มนิด แต่คือมันก็ไม่ช่วยอะไร ฮ่าๆๆ แต่ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ห่วงใยสวัสดิภาพของผมมาก

.

แผ่นมาร์คหน้าก็ยังไม่สามารถเติมเต็ม (หน้าฝากคือโหงวเฮ้งดีมาก XD)

.

วันก่อนงานบุญวันสารทที่ต้องไปช่วยคุณป้าคุณน้าห่อข้าวต้มมัด เฮ้อ...ยิ่งโพสรูปยิ่งหดหู่

.

ขึ้นเวทีร่วมงานเพื่อพูดคุย ถอนหายใจอีกรอบ

.

ด้านบนเป็นรูปที่ผมต้องไปเป็นวิทยากรพูดคุยกับน้องๆ นักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในรายวิชาภาษาและวัฒนธรรมไทยครับ

.

เข้าระยะที่เรารู้สึกว่าแก้มของเรากำลังจะแตก ฮ่าๆๆๆๆ

.

.

อยากจะบอกว่าระหว่างที่น้ำหนักผมขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะเลข 80 ผมก็ไม่ได้นิ่งดูดาย พยายามลองออกกำลังกาย คุมอาหาร ตามที่เรียนมาเลย แต่สุดท้ายก็แพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า

.

แพ้อะไรล่ะ...ก็แพ้ใจตัวเองน่ะสิ

.

จนปล่อยให้มันบวมมาเรื่อยกระทั่งในที่สุด ในวันที่อายุใกล้ 30 ในอีกไม่กี่เดือน ผมก็คิดไว้แล้วว่า เอ้า เป็นไงเป็นกันขอให้อายุ 30 เป็นการเริ่มต้นใหม่ของเราเถอะ นั่นแหละครับสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นไปได้ยากก็เป็นไปได้แล้วจริงๆ

0
นาถลดา - เฬฬารี 20 ก.ย. 59 เวลา 12:39 น. 2

หลังจากตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะหุ่นดีในวัย 30 ปีให้ได้ ผมก็เริ่มจัดการชีวิตเสียใหม่ ตามที่ร่ำเรียนมา ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าชนะใจตัวเองได้ มันไม่ยากเลยครับ เพราะหลักง่ายๆ ในการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพให้ดีมีอยู่ไม่กี่อย่าง (ก็อย่างที่เรารู้และมีคลิปรวมถึงเพจมากมายให้ความรู้นั่นแล)

1. อาหาร

2. การออกกำลังกาย

.

โดยในเรื่องอาหารนั้นผมต้องจัดการปรับเปลี่ยนใหม่หมด เพราะแต่ก่อนจะเป็นคนกินจุกจิก กินตลอดเวลา ทำงานเบื่อๆ เดินไปเปิดตู้เย็นคว้าของกินตลอดๆ พอเริ่มคิดว่าจะต้องลดน้ำหนักแล้วนะ ก็จัดการปรับการกินทันที

.

แต่อ๊ะ...ผมไม่ได้อดนะครับ ยังกินครบ 3 มื้อ เพียงแต่ควบคุมปริมาณอาหารและแคลอรี่ที่เราได้รับต่อวันเท่านั้นเอง อย่างงานของผมปัจจุบันคล้ายงานออฟฟิศ ไม่ได้เดินหนักหน่วงอย่างตอนเป็นพยาบาล เราก็ตั้งไว้ว่าไม่ควรได้พลังงานเกิน 1400 กิโลแคล ผมก็จัดการกินแต่อาหารมื้อหลัก 3 มื้อ มื้อจุกจิกจะเลี่ยงไม่กิน ถ้าหิวก็เป็นผลไม้แคลอรี่ต่ำและน้ำดื่มแทนระหว่างมื้อ (พวกแคลอรี่อาหาร ผลไม้ สามารถเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตได้ครับ ง่ายมาก ปริ๊นท์ออกมาไว้ดูด้วยก็ดี)

.

.

มื้อเช้า-มื้อเที่ยง ผมกินข้าวตามปกติครับ แต่คุมให้เหลือปริมาณข้าวแป้งมื้อละ 1-2 ทัพพี หิวมากอาจเพิ่มได้ 1/2 ทัพพี (คือตรงนี้มันใช้คุมกับข้าวที่เรากินด้วย เนื่องจากผมไม่สามารถเลือกอาหารการกินได้มากนัก จะกินคลีน กินนั่นโน่นนี่มันลำบาก เพราะบางทีแม่ซื้ออะไรมาก็ต้องกินกับแม่ให้ได้ จะมาบอกแม่ว่านี่ไม่กินนะครับ นั่นไม่ได้นะครับ ก็เกรงใจแม่ ดังนั้นเราปรับที่ข้าวของเรา เหลือ 1-2 ทัพพี ตักกับเข้าไปไม่กี่ช้อนก็หมด พอหมดข้าวก็อิ่ม ถือว่าได้คุมทั้งปริมาณข้าวและกับที่รับเข้าไปครับ)

.

ส่วนในมื้อเย็นนั้นส่วนใหญ่จะพยายามงดจำพวกข้าวแป้ง เน้นกินพวกยำ ส้มตำ สลัด สุกี้ พวกที่ข้าวแป้งน้อยๆ แต่บางมื้อก็ไม่เคร่งครับ แค่เราต้องรู้ตัวเองว่าจะกินมากเกินไปไม่ได้นะ ส่วนพวกของหวาน ขนมหวาน น้ำหวานทั้งหลายก็งดครับ อยากดื่มอะไรหวานเย็นก็ต้มกินเอง จำพวกเก๊กฮวย กระเจี๊ยบ เราใส่น้ำตาลเล็กน้อยคุมความหวานเองได้ น้ำอัดลมชาเขียวก็งดไปเลยถ้าไม่จำเป็น (ซึ่งก้ไม่จำเป็นนะ)

.

หมดจากเรื่อง input หรืออาหารที่นำเข้าแล้ว ก็มาถึงเรื่องการเอาออก

.

เมื่อนำเข้าถูกควบคุมให้น้อยลง เราจะลดน้ำหนักและความอ้วนก็ต้องเอาออกให้มากขึ้น โดยกระตุ้นให้ร่างกายนำเอาพลังงานที่มีอยู่ไปใช้ด้วยการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ซึ่งผมเลือกเต้นแอโรบิคและเดินเร็ว (ไม่ชอบวิ่งครับ) การเต้นแอโรบิคแถวบ้านผมจะมีเต้นทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสฯ บริเวณอุทยานน้ำหรือบึงน้ำ (เต้นนาน 40 นาที) นอกเหนือจากวันนั้นผมจะเดินเร็วรอบบึงน้ำสักประมาณ 5 รอบ รวมแล้วก็เดินประมาณ 6 -7 กิโลเมตร แต่ถ้าวันไหนมีเหตุให้ไม่ได้เต้น ไม่ได้เดิน อย่างช่วงนี้มีฝนตก ผมจะเปิดคลิปของกรมอนามัยเต้นเองที่บ้าน รวมเวลาประมาณ 50 นาที (ในคลิปอาจจะช้าแต่เราเพิ่มจังหวะการกระแทกและเพลงได้เองครับ เพื่อเพิ่มความหนักในการออกกำลังกาย)

.

โดยการออกกำลังแบบคาร์ดิโอนี้ ช่วงแรกผมเต้นแอโรบิคหนักมาก เรียกว่าเต้นที่อุทยานน้ำ 4 วันแล้วก็เต้นเองที่บ้านอีก 3 วันเป็น 7 วัน เต้นไม่พอต้องเดินด้วยอย่างน้อย 3 รอบหรือประมาณ 4 กิโลเมตร

.

ช่วงนั้นปวดมากแขนขาและเหนื่อยมากด้วย (เพราะไม่เคยได้ออก) แต่พยายามทน และพยายามสนุกกับเพลงที่เต้น แต่พอร่างกายไม่ไหว กล้ามเนื้อปวดไปหมดในช่วงสัปดาห์ที่ 2-3 ผมก็ต้องเพลาการออกกำลังกาย ตรงนี้อยากแนะนำว่าแบ่งเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อนจะดีครับ ไม่อย่างนั้นเจ็บป่วยมาจะลำบาก (นี่เรียนมาก็แนะนำผู้ป่วยดีนะ พอคราวตัวเองมุมานะจนลืมไปหมด อารมณ์แบบพยาบาลแนะนำคนไข้ว่าพักผ่อนให้เพียงพอนะคะ กินอาหารที่มีประโยชน์แต่ตัวเองล่ะ โอ้โห ชีวิตอนาถมาก XD)

.

ผมพักอยู่วันหนึ่งจนรู้สึกดีขึ้นจึงออกกำลังต่อ และพบว่าการพักให้กล้ามเนื้อและร่างกายได้ฟื้นฟูสักวันสองวัน พอเรามาออกกำลังอีกครั้ง ร่างกายเราเฟรชมากกว่าเดิมอีก เพราะงั้นแบ่งวันพักก็ดีครับ ตอนหลังผมเลยเต้นแอโรบิก 4 วัน เดินเร็ว 7 กิโล 3 วัน (วันไหนไม่ไหวก็พักนอนกลิ้ง ฮ่าๆๆๆ) ส่วนเวทนั้นเล่นทุกวันครับ แต่วันละจิ๊บวันละจ้อย ไม่หนัก ทำเพื่อกระชับกล้ามเนื้อไม่ให้เ-่ยวย่นจากการลดน้ำหนัก และฟอร์มกล้ามเนื้อให้สวยงาม

.

จนในที่สุดน้ำหนักก็เริ่มลง

.

รูปด้านบนคือช่วง 2-3 เดือนหลังจากออกกำลังกายอย่างหนักครับ

.

ภาพนี้น่าจะประมาณเดือนที่ 3 หลังจากออกกำลังกาย พุงเริ่มยุบ

กางเกงที่ใส่ไม่ได้ก็ใส่ได้ กางเกงตัวนี้เอว 33 ครับ พี่ซื้อให้ ก่อนหน้าใส่ไม่ได้เพราะตอนนั้นอ้วนเอวเราปาไป 36-37 มั้ง

.

แม้ตอนแรกจะเหน็ดเหนื่อยกับการออกกำลังกาย คุมอาหาร จนหลุดหลายรอบ แต่พอเราพยายามออกกำลังกายด้วยความสนุกสนาน ทำให้มันเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตเรา สุดท้ายก็ติดและทำมันอย่างมีความสุขครับ จนตอนนี้ออกกำลังกายเข้าเดือนที่ 6 แล้วครับ และก็กลับคืนสภาพเดิม แบบที่น้องชายซึ่งไม่ได้กลับบ้านมานานเห็นแล้วทักว่า พี่...กลับคืนสภาพเดิมแล้ว (ทั้งที่ก่อนหน้ามันเคยเรียกผมว่ากาฟิลด์ ฮ่าๆๆๆ)

.

รูปถ่ายกับน้องชายประมาณเดือนที่ 5 ของการออกกำลังกาย นางกลับมาเยี่ยมบ้านเลยได้ไปออกกำลังกายด้วยกัน

.

กับน้องชายและเพื่อนน้องชาย หลังจากออกกำลังกายก็พากันไปกินน้ำปั่น

.

.

ที่นี้พอผมออกกำลังกายมาเรื่อยจนน้ำหนักลงเป็นที่น่าพอใจ แต่พี่ที่ออกกำลังกาด้วยกันบ่นว่าผอมไปหน่อยนะ ตอนนี้ผมก็เริ่มที่จะหันมาสร้างกล้ามเนื้อให้ชัดขึ้น เราจึงเริ่มเพลาเรื่องคาร์ดิโอลง (แต่ยังคงทำเรื่อยๆ นะ) และเน้นเรื่องเวท ส่วนอาหารก็ปรับกินเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเล็กน้อย มื้อเย็นเริ่มกินข้าว แต่จำกัดปริมาณข้าวแป้งครับ เพราะตอนนี้เราไม่ต้องการลดน้ำหนักแล้ว แต่ต้องการคงน้ำหนักแและสร้างกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตามก็ยังควบคุมไม่ให้รับมากเกินความจำเป็นครับ

0
นาถลดา - เฬฬารี 20 ก.ย. 59 เวลา 12:42 น. 3

มาถึงช่วงสุดท้ายคือเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากผมไม่ได้มีเครื่องมือในการเล่นทางนี้เป็นล่ำเป็นสัน จึงใช้เครื่องเล่นที่ตั้งไว้ในสวนสาธารณะเป็นสำคัญ แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ไปเพราะฝนตกหรือมีธุระ ที่บ้านก็สามารถทำได้ครับ ผมตั้งใจว่าอยากได้หน้าท้องแบนราบ มีซิกแพคเป็นลอนบางๆ น้อย ๆ ไม่ต้องเยอะ ดังนั้นจึงเน้นท่าบริหารส่วนกลางลำตัวและส่วนอกเป็นหลัก แขนและขาพอสมควร ประมาณ 1-2 เดือนก็เริ่มเห็นผลครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นแพลงก์ทั้งหลาย วิดพื้น ซิทอัพ แล้วก็ยกดัมเบลที่ทำจากขวดใส่น้ำเพิ่มหนักให้หนัก

.

มาแล้ว....

ภาพล่างสุดเป็นกางเกงที่เคยใส่เมื่อตอนเรียนปีหนึ่งครับเอวกางเกงน่าจะประมาณ 28-29 นิ้ว ก่อนหน้าีท่กำลังลดพยายามลองใส่หลายครั้ง แต่เกาะตะขอไม่ได้เสียที พอคราวนี้เกาะตะขอได้ โห...รู้สึกได้กลับไปเป็นเด็ก ฮ่าๆๆ

.

.

ทั้งหมดทั้งมวลหลังจากออกกำลังกายมายาวนาน ตอนนี้ก็กลับสู่ภาพเดิมครับ แต่เพิ่มเติมคือสุขภาพที่ดีและไม่ผอมแบบคนป่วยอย่างสมัยเด็กครับ

.

.

สุดท้ายนี้อยากบอกว่าการลดน้ำหนัก พัฒนาสุขภาพไม่ยากเลยครับ

1. ดูแลเรื่องอาหารการกิน ถ้ามีข้อจำกัดในการรับประทานอาหารคลีนหรืออื่นๆ ก็เน้นดูเรื่องแคลอรี่กับเลี่ยงพวกอาหารไม่ให้ประโยชน์และพลังงานสูงเกินความจำเป็นครับ กินให้เป็นมื้อ ไม่กินจุกจิก หิวระหว่างมื้อก็ดื่มน้ำ หรือกินผลไม้ให้พลังงานต่ำรองท้องได้ครับ

2. ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ กระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน (อันนี้ก็ตามสะดวกของแต่ละคนนะครับ แต่สำหรับผู้ที่อ้วนหรือมีน้ำหนักมากแนะนำให้เดินเอานะครับ อย่าวิ่งเดี๋ยวมีปัญหาข้อเข่าตามมา)

3. ออกกำลังกายแบบเวท เพื่อกระชับกล้ามเนื้อและสร้างกล้ามเนื้อ

4. (นี่เพิ่มเติมนะครับ) พักผ่อนให้เพียงพอ

5. ข้อนี้สำคัญอย่ากดดันตัวเองนะครับ ทำมันด้วยความคิดที่ว่าเราจะสนุกกับมัน ช่วง 3-4 เดือนแรกไม่จำเป็นอย่าชั่งน้ำหนัก ทำหน้าที่ในการออกกำลังกายควบคุมอาหารให้ดีที่สุดก็พอ แล้วพอผลมันแสดงออกมาทางร่างกายเราจะรู้เอง โดยจะพบว่ากล้ามเนื้อแขนขากระชับ แก้มยุบ ใส่กางเกวเอวเล็กได้ ตอนนั้นเราค่อยไปชั่งก้ได้ครับ มันจะทำให้เรามีกำลังใจเพราะไม่ได้ไปคาดหวังอะไรกับมัน แต่ทำมันเพราะความสุข เป็นการไม่กดดันตัวเองครับ เมื่อไม่กดดัน ผลจะออกมายังไงเราก็สบายใจ

.

.

ภาพสุดท้ายไปเจอวิกผมที่หายไปเลยลองหยิบมาใส่ เอ้ย...น่ารักไม่เบานะ ฮ่าๆๆๆ

.

.

และอย่างที่บอกไปในหัวกระทู้ครับ มันก็เป็นสัจธรรมของโลกเนอะ

ผอมได้ก็อ้วนได้ อ้วนได้ก็ผอมได้ แต่ไม่ว่าจะอ้วนผอม หุ่นดีหุ่นเสียอย่างไร สุดท้ายก็ต้องส่งคืนโลกครับ

เรามีหน้าที่ใช้งาน ดูแล ก็ทำหน้าที่นั้นให้ดี แต่อย่าไปยึดถือจนเอามาเป็นทุกข์เลยครับ

.

ป.ล. นี่เป็นการออกกำลังกายโดยใช้แก่นของการทำงานของร่างกายเป็นหลักปฏิบัตินะครับซึ่งไม่เข้มงวดมากเกินไป ที่คิดว่าทุกคนทำได้เหมือนเวลาที่ผมต้องออกชุมชนแล้วแนะนำประชาชนในชุมชน คือเราต้องมองหาวิธีที่ชาวบ้านทำได้นะ สะดวกกับเขา ไม่ยากเกินไป แต่ถ้าใครจะเน้นเพื่อกล้ามเนื้อสวยงาม ความฟิตเฟิร์มที่ยิ่งขึ้นไปอีก การใช้อาหารเสริม เทรนเนอร์หรืออื่นๆ ที่ในยุคนี้กำลังเป็นที่นิยมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ แต่ไม่ว่าอย่างไร...บทสรุปสุดท้ายก็คือเป้าหมายเดียวกัน

.

สุขภาพที่ดีครับ

.

ขอบคุณที่ติดตามครับ

0