Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

บทความ \" รักชาติ \" หรือ \" คลั่งชาติ \"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
แด่ \" พี่น้องร่วมโลกทุกท่าน ไม่ว่าจะชาติไหนก็ตาม \"

ทุกวันนี้เราต่างก็รู้กันดี ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในสังคม ทั้งเรื่องเพลงชาติ เรื่องไฟใต้ เรื่องบันเทิง สื่อต่างๆ ฯลฯ ปลุกกระแสบางอย่างให้เกิดขึ้นในสังคมนี้ บ้านเมืองนี้

กระแส \" รักชาติ \" เกิดขึ้นไปทั่วทุกหัวระแหง ทุกกระแสในสังคมถูกจับตามอง แต่สิ่งที่ผมในฐานะ \" ผู้เฝ้ามอง \" อยากจะเตือนทุกท่านให้ตั้งสติสักนิด

พวกท่านรักชาติได้ \" ถูกต้อง \" แล้วหรือ?

นักวิชาการหลายท่านจากต่างประเทศได้ให้คำจำกัดความของคำว่ารักชาติ กับอีกคำหนึ่งที่มีความหมายรุนแรง และไปในทางไม่ดีคือ \" คลั่งชาติ \" สองคำนี้มีความแตกต่างกันไม่มากนัก แต่ก็ยังแตกต่างกันดังนี้

\" ความรักชาติ \" คือการที่คนในชาตินั้นๆ รู้จักสร้างผลประโยชน์เพื่อชาติ ใช้สติปัญญา รู้จักนำข้อดีของชาติของรัฐอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ และรู้ข้อด้อยนิสัยของชาติตน เพื่อทำการแก้ไข อันจะนำมาซึ่งความเจริญของบ้านเมืองสืบไป

แต่

\" ความคลั่งชาติ \" คือการที่คนในชาตินั้นดูถูกชนชาติอื่นๆ ในด้านต่างๆ คิดว่าชาติของตนนั้นดีที่สุด ประเสริฐที่สุด ไม่รู้จักมอง และวิเคราะห์ถึงจุดดี - จุดด้อยของชาติต่างๆ เพื่อนำมาปรับใช้กับตน

หากดูแต่เพียงผิวเผิน เราจะพบว่าคำ 2 คำนี้แทบจะไม่ต่างกัน เพราะมีความภูมิใจในชาติรัฐของตนเป็นที่ตั้ง แต่แตกต่างกันที่ว่าระดับไหนมีความ \" หยิ่งยะโส \" มากกว่ากัน

จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราจะพบว่าลักษณะของชาติที่หยิ่งยะโส ในลักษณะคลั่งชาติมิเคยมีชาติใดไม่ล่มสลาย หรือมีเหตุการณ์ให้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

ชนชาติจีนนั้นในอดีตเชื่อว่าตนเป็นศูนย์กลางของโลก มักคิดว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ( มีเรื่องเล่าว่าชาติใดที่ให้บรรณาการกับราชสำนักจีนในอดีต ฮ่องเต้จะคิดว่ายอมเป็นประเทศราชของจีน ) ทำให้ไม่ยอมรับอารยธรรมอื่นๆ จนพ่ายแพ้ต่อพวกฝรั่ง แต่โชคยังดีเมื่อเหล่าปัญญาชนก่อการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1911 ได้สำเร็จ และเริ่มพัฒนาจีนจนทุกวันนี้ แม้จะเป็นคอมมิวนิสต์ไปตั้งแต่ยุค 194x เป็นต้นมา แต่ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าตั้งแต่จีนเปิดประเทศ ก็เป็นดุจมังกรที่กำลังตื่นจากการจำศีล เศรษฐกิจกำลังขยายตัวต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นในปัจจุบัน

ญี่ปุ่นก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่เคยผ่านยุคคลั่งชาติ เหยียดหยามชนชาติอื่นจนถูกระเบิดปรมาณูถล่มมาแล้ว แต่หลังจากนั้น ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่ไม่ปิดประเทศ เขามองต่างชาติ รับส่วนดีมาพัฒนา เพียงแค่ 20 กว่าปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เหล่าลูกพระอาทิตย์ก็กลับมาสาดแสงขึ้นอีกครั้งในเวทีเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ในระดับแถวหน้าของโลก เป็นรองแค่เพียงสหรัฐฯ ประเทศเดียวเท่านั้น

ขณะที่บางประเทศ ไม่เคยผ่านเหตุการณ์ \" คลั่งชาติ \" มาก่อน แต่ก็สามารถพัฒนาประเทศขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และไทยในสมัย ร.5

สหรัฐอเมริกามีอายุประเทศเพียง 400 กว่าปีเท่านั้น แต่เหตุที่เขาสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว สาเหตุที่สำคัญคือการที่เขามีคนจากหลายเชื้อชาติมารวมกัน และรู้จักดึงความสามารถในทรัพยากรบุคคลออกมาได้อย่างเต็มที่ แม้ในระยะแรกจะมีการกีดกันคนผิวดำก็ตาม ( ตรงนี้ขอให้ไปดูระบบการศึกษาของทั้งในสหรัฐ และหลายๆ ประเทศในยุโรป เขาเน้นรู้จริงเฉพาะด้าน ไม่ใช่รู้ทุกด้าน แต่รู้นิดๆ หน่อยๆ แบบบางประเทศ )

ขณะที่ประเทศไทยยุค ร.5 เป็นยุคแห่งการปฏิรูปขนานใหญ่ เกิดระบบประปา โทรศัพท์ โทรเลข คมนาคมทางรถไฟ เกิดการวางผังเมืองแบบใหม่ และรวมถึงการเลิกทาส โดยเราทำตามแนวทางของตะวันตก ทั้งนี้ก็เพื่อปิดช่องโหว่ที่พวกล่าอาณานิคมในสมัยนั้นชอบอ้างว่า \" ไอมาทำให้พวกยูเจริญ พวกยูยังล้าหลังยู \" อะไรประมาณนั้น ทำให้ประเทศไทยรอดจากการเป็นอาณานิคมมาได้

มีจุดที่น่าสังเกตประการหนึ่ง ประเทศไหนที่มีการ \" คลั่งชาติ \" มักจะมีลักษณะของลัทธิ \" Follow the Leader \" ( ลัทธิตามผู้นำ ) ปรากฏอยู่เสมอ เช่นกรณีของญี่ปุ่น ( จำชื่อผู้นำไม่ได้ ขออภัย ) หรือเยอรมัน ( อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ) หรือประเทศไทย ( สมัยจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ) สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการปลุกระดมผู้คนให้เชื่อมั่นในผู้นำ และเชื่อมั่นว่าการตามผู้นำจะนำมาซึ่งความเจริญ

ลักษณะของลัทธิเชื่อผู้นำนี้ยังมีอีกลักษณะหนึ่ง คืออาจจะไม่คลั่งชาติ แต่คลั่งศาสนาแทนก็ได้ เช่นที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของสงครามระหว่าง 2 ศาสนาใหญ่ของโลกรบกันเป็นร้อยๆ ปี

ตรงนี้อยากจะให้ระวังกันไว้นิด เพราะคำว่า \" อำนาจ \" มักเปลี่ยนจิตใจคนได้เสมอ จากเดิมที่หวังทำเพื่อประชาชน พอได้อำนาจก็กลับกลายเป็นหลงใหลมัน จนลืมจุดมุ่งหมายเดิม

แล้วอย่าลืมว่านักการเมืองนั้นมีปรัชญาหลักที่เป็นนิยามของอาชีพนี้ว่า \" เพื่อคะแนนในสมัยหน้า \" ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ผู้มีอำนาจจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ ดังคำกล่าวของใครบางคนว่า

\" นักการเมืองคิดเพียงการเลือกตั้งสมัยหน้า แต่รัฐบุรุษหวังเพื่อประโยชน์ของรัฐในระยะยาว \"

หันกลับมามองในสังคมปัจจุบัน เราจะสามารถแบ่งประเภทของพวกรักชาติรัฐของตนได้เป็น 3 ประเภท

- ประเภทแรกที่หลับหูหลับตา ดูถูกชนชาติอื่นไปหมด คิดว่าชาติตัวเองดีที่สุดในโลก ปิดกั้นตัวเอง ไม่รับสิ่งดีๆ จากต่างชาติมาประยุกต์ใช้กับตน

- ประเภทที่สองที่ปากบอกว่ารักชาติ แต่การกระทำนั้นเปล่าเลย พวกเขายังคงบริโภคอย่างฟุ้งเฟ้อ อวดร่ำอวดรวย รับแต่ค่านิยมแย่ๆ จากต่างประเทศ แต่ไม่รับค่านิยมดีๆ มาคานกัน เช่นพวกชอบ FreeSex แต่ไม่รู้จักใช้ถุงยางป้องกัน หรือพวกอยากได้โน่นได้นี่ แต่เอาแต่ขอพ่อแม่ ไม่รู้จักทำงานเอง

- ประเภทที่สามคือพวกที่เห็นว่าอะไรดี อะไรไม่ดี พยายามแก้ไข จนนำมาซึ่งความเจริญในที่สุด

เราจะพบว่า ประเภท 1 และ 2 มีจำนวนเยอะพอๆ กันถึง 80% ในประเทศไทย ขณะที่ประเภทที่ 3 ไม่ค่อยมีนัก

บางคนอาจจะชอบประชดว่ารักชาติก็ปิดไฟสิ! เล่นคอมทำไม? ดูหนังฝรั่งทำไม?

เล่นคอมเพื่ออะไรครับ ถ้าเล่นแต่เกมก็แย่ แต่ถ้ารู้จักหาข้อมูล รู้จักแสดงความคิดเห็น ถาม - ตอบอย่างมีเหตุผล อันนี้ถือว่าเสพเทคโนโลยีแล้วเกิดประโยชน์

ดูหนังต่างประเทศเพื่ออะไรครับ ถ้าดูแค่ดาราหล่อๆ สวยๆ ก็แค่นั้น แต่ถ้าดู แล้วรู้จักหาสาระ รู้จักวิเคราะห์ว่าผู้สร้างหนังต้องการจะสื่ออะไร อันนี้จึงเกิดประโยชน์

ตรงนี้คือจุดสำคัญ จากข้อมูลที่ผมเคยคุยกับลูกพี่ผมที่ทำร้านเน็ต แกบอกว่าประเทศฟิลิปปินส์เคยมาทำวิจัยในประเทศไทย พบว่า 80% ของเด็กไทย ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อ Games & Chat ( อยากจะบวกพวกดักควาย & ป่วนกระทู้ป่วนบอร์ดไปด้วย ) มีเพียง 20% ที่ใช้เพื่อหาข้อมูล และสนทนาอะไรที่เป็นสาระ

นับว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง ขณะที่พวกรักชาติแบบหลับหูหลับตาก็เยอะ พวกรักชาติแต่ปากก็เยอะ แล้วประเทศของพวกคุณจะเจริญได้อย่างไร

เปิดโอกาสให้บรรดาคนฉลาดแต่นิสัยเลวทั้งหลาย ทั้งชาติเดียวกันและต่างชาติเข้ามาหาผลประโยชน์ได้อย่างสบาย เพราะประชาชนนั้นถ้าไม่ขาดความรู้ ก็ไม่สนใจการเมือง สังคมรอบตัว นอกเสียจากละครน้ำเน่า Chat เกมออนไลน์ และการพนันฟุตบอล

ประเทศของคุณก็ยังต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานครับ รวมถึงผม \" หวาดหวั่น \" ว่าบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า หากประชาชนไม่ใส่ใจการเมือง และสังคมให้มากขึ้น

ขอฝากคำคมจากหนังไว้เป็นการปิดท้ายครับ

\" ไม่สำคัญว่าเราจะไปทางไหน แต่สำคัญที่เราต้องไม่ลืมว่าเราเป็นใคร \"

จาก The Last Samurai

TonyMao_NK51 ( ชาวยุทธ์อกหัก )

Mail To : tonymao_nk51@hotmail.com

ปล.ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนชาติไหนครับ ผมเป็นคนของโลกนี้ครับ มนุษย์ทั้งโลกก็คือมนุษย์เหมือนกัน มีทางเลือกที่จะดี - เลวได้เหมือนกันครับ

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น

เสรีไทย 2005 31 พ.ค. 48 เวลา 22:44 น. 1

คนไทยน่าจะคิดได้แบบนี้ ทั้ง หกสิบล้านคนเลยนะ!! ประเทศจะได้พัฒนาอย่างแท้จริงทัดเทียมและดำรงอยู่ได้บนโลกนี้

0