คุณเชื่อหรือไม่มีคนระลึกชาติได้
นี่ไม่ใช้บ้านของหนู
สองสามปีภายหลังจากลูกชายชื่อ มูนเซอร์ ลืมตาขึ้นดูโลกในปี 1960, คามัล ซาลิม ไฮดาร์ คนขับรถประจำทางชาวเลบานีสกับเอ็ดมาผู้ภรรยาก็ต้องประสบปัญหา เมื่อเด็กชายยืนบันให้เรียกแกว่า "จามิล" แม้จะเข้าใจ แต่สองสามีภรรยาก็ยังพอใจจะเรียกแกด้วยชื่อที่พวกตนตั้งให้ แม้ว่าบางครั้ง เด็กชายจะปฏิเสธไม่ยอมขานรับก็ตาม ในที่สุดเด็กชายวัยสามขวบก็ยุติข้อเรียกร้องดังกล่าว แต่สร้างปัญหาขึ้นใหม่
"ที่นี่ไม่ใช่บ้านของหนู" มูนเซอร์กล่าวกับพ่อแม่ ฆหนูมาจากอีกฟากหนึ่ง" ขณะพูด เด็กชายก็ชี้มือไปทางบริเวณภูเขา ที่อยู่เลยไกลออกไปจากโซอิฟาเต และขอให้พ่อแม่พาเขากลับไปที่บ้านเก่า ซึ่งเขายืนยันว่าเป็นบ้านที่แท้จริงของตนเอง เขาเฝ้าแต่รบเร้าอยู่เช่นนั้น และไม่ยอมกินอาหารถึงสามวันเพราะทั้งพ่อและแม่ปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำขอร้อง
เมื่อมาถึงตอนนี้ จามิลได้กล่าวให้พ่อกับแม่ของเขาฟังอย่างละเอียดว่าเชาเคยเป็นใคร จากไหนมาก่อน เชาบอกว่าตัวเองนั้นชื่อจามิล ซูกิ มีบ้านอยู่ในเมืองเอเลย์ เชาได้เปิดผยว่าตนเองเสียชีวิตในหารสู้รบและเล่าสาเหตุที่ทำให้ตนเองอายุสั้นนั้น เป็นเพราะถูกยิงกระสุนเจากเข้าตรงท้องน้อยพอดี ทั้งเขายังบอกกับผู้เป็นแม่ด้วยว่า เวลาที่เขาผันนั้น ผู้หญิงที่อยู่ในผันไม่ใช่แม่คนนี้ แต่เป็นแม่ ซูกิ ของเขา
สามีภรรยาไฮดาร์นั้นเป็นชาวดรุส เป็นศาสนิกชนผู้ยอมรับในเรื่องของการกลับชาติมาเกิด แต่พวกเขามีความมั่นใจว่า ความทรงจำของลูกชายน่าจะเป็นเพราะความสับสนมากกว่า แม้จะไม่ได้สมาคมกับอีกผ่ายหนึ่งโดยตรง แต่คามัลปละเอ็ดมา โฮดาร์ก็รู้จักครอบครัวซูกิอย่างดี และเชื่อว่าพวกเขาอยู่ในเมืองเดียวกับตนนั่นเองคือเมืองโซอืฟาเต ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเบรุตประมาณ 6 ไมล์ (10 กม.) อยู่ตรงฟากจะวันออกของสนามบินนานาชาติเบตุตตรงเชิงเขาใหญ่ ด้วยเหจุผลนี้ทำให้สองสามีภรรยาไม่ต้องการทำตามความประสงค์ของมูลเซอร์
อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของพวกเขาเกี่ยวกับความทรงจำแห่งอดีตชาติชองลูกชายต้องเปลี่ยนไป เมื่อมูลเซอร์มีโอกาสไปเยี่ยมน้าสาวในกรุเบรุต ผู้นำเรื่องที่เด็กชายกล่าวอ้างไปเล่าให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเช่าอพาร์ตเมนต์ของตนอยู่ ผู้หซิงคนนี้เป็นญาติของจามิล ซูกิ ดังนั้นหล่อนตึงเอารูปถ่ายใบหนึ่งมาให้เด็กชายดู
"บอกมาสิว่าสองคนนั้นเป็นใคร" ผู้หญิงคนนั้นถาม
"รูปแม่กับตัวหนู" มูนเซอร์ตอบ
รูปถ่ายนี้เป็นรูปถ่ายของจามิล ซูกิและวาดัด มารดาของเขา เมื่อผลปรากฏออกมาเช่นนี้ มูนเซอร์ก็เริ่มไปเยี่ยมเยียนครอบครัวซูกิที่เอเลย์ เมืองเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างเบรุตกับดามัสกัส ห่างจากบ้านเกิดของเขาประมาณ 9 ไมล์ (15กม.) และครอบครัวซูกิก็ยังมาเยี่ยมเยียนเขาที่เมืองโซอิฟาเตด้วย ซึ่งในระหว่างการพบกันในโอกาสต่างๆเหล่านี้ เขาได้กล่าวถึงผู้คนอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าเขาในฐานะของมูนเซอร์แล้ว จะไม่เคยมีโอกาสรู้จักเลย
จามิลซูกินั้น ในวัยหนุ่มมีความสนใจในเรื่องของการเมืองแย่างมาก และไมด้เข้าร่วมกับองค์การที่มีชื่อว่า พาร์ติ พอพพูลิแยร์ไซเรียน (พีพีเอส) ซึ่งทำงานเป็นกองกำลังร่วมระหว่างเลบานอนกับซีเรีย เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในฤดูร้อนของปี 1958 จามิลได้ให้การสนับสนุนประธานาธิบดีชามูน แลัแม้ว่าการเข้ามาแทรกแซงของเรือรบสหรัฐทำให้การสู้รบยุติลงก็จริง แต่ไม่เร็วภึงขนาดจะช่วยปกป้องชีวิตของจามิล ซูกิไว้ได้ เขาเสียชีวิตใจสนามรบเมื่อวันที่ 4 กรกฏาคม 1958
มูนเซอร์ ไฮดาร์ สามารถจดจำน้องชายและน้องสาวมารดาของจามินได้อย่างถูกต้อง เขาได้บอกกับครอบครัวว่าพวกเขาได้ย้ายบ้านนับตั้งแต่เขานั้นตายลง ทั้งยังระบุถึงบ้านที่พวกเขาเคยอยู่อาศัย เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ด และจำตู้เสื้อผ้าที่เคยเก็บเสื้อผ้าของจามิล ซูกิได้
ในแจ๊กเกตตัวหนึ่งของจามิล เขาพบปากกา3ด้าม และยืนยันว่าปากกาด้ามหนึ่งหายไปซึ่งก็ถูกต้องเพราะน้องสาวของจามิลชื่ออิบทาย ซาเม ได้เอาปากกาด้ามนั้นติดตัวไปเวเนซูเอล่าด้วยและเขายังบอกได้อย่างถูกต้องอีกด้วยว่ากุญแตสามดอกที่พบในกระเป๋าใส่เงินนั้น ดอกหนึ่งสำหรับไขกระเป๋าเดินทางของจามิล
ขณะที่พูดราวกับว่าตนเองเป็นจามินนั้น มูนเซอร์ยังจำได้ถึงตอนที่นาจิ๊ป พี่ชายของเขาที่เดินทางไปอยู่สหรัฐอเมริกาและเขาได้ไปส่งที่ท่าเรือและกล่าวคำอำลาต่อพี่ชาย ทั้งเขายังได้ยอกกับมารดาของจามิลว่า เขาได้เขียนจดหมายถึงนางฉบับหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน และถามนางว่านางได้รับจดหมายฉบับนั้นหรือไม่ ซึ่งนางก็ได้บอกความจริงว่าได้รับ
มูลเซอร์ยังจำได้อีกว่า ตอนที่จามิลตายนั้นเขามีเงินอยู่ 31 ปอนด์ เลบานีสในกระเป๋าเสื้อ ซึ่งสาดัด ซูกิก็ยืนยันว่าเป็นจำนวนที่ถูกต้อง และนางเป็นคนเอาออกมาจากกระเป๋าเสื้อบุตรชายที่เสียชีวิตเอง ตอนที่เสื้อผ้าถูกส่งกลับคืนมาให้แก่ครอบครัว มูนเซอร์ยังรู้อีกด้วยว่า ครั้งหนึ่งจามิลเคยไปจับน้องชายชื่อกาสซานผูกไว้กับเตียงเกือบ 2 ชม. เพื่อดัดนิสัย
ที่จริงแล้วเรื่องราวเกี่ยวกับจามิลนั้นยังมีมากกว่านี้ เป็นการที่จำบุคคลคนอื่นได้เหมือนๆเดิมเลยขอไม่เล่าน๊ะ เรื่องอย่างนี้ เคยเกิดขึ้นกับคุณหรือคนรอบข้างของคุณหรือเปล่าหล่ะ???
10 ความคิดเห็น
ครับ ไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ
เมืองไทยเราก้อมี
ดาราที่ชื่อ อาไรสักอย่างอะ
จำไม่ค่อยได้ 55+
(ย้ำเรื่องจิงเด้อ พวก)
PS. ภาษากาย ลาลาลา ที่เดิม ปากดี รักแท้ดูแลไม่ได้ หวังดีเสมอ กำแพง วางไว้ อย่ามาทำหน้าตาดี Letter โปเตโต้
เค้าเชื่อนะเรื่องแบบนี้อะ
แปลกดีๆ
แปลกดี
PS. gU [SU] จุดหมาย...ถ้าไปถูกที่ ไกลเเค่ไหนก็ไปถึง ThaITanIUm
การรู้อนาคตก็เป็นทุกข์ รู้อดีตก็เป็นทุกข์
งืมๆ อืมๆ (รับรู้ๆ)
PS. ~~~~~~All I ask for is to have you with me today ~~~~~And that tomorrow we would still be the same. Our good old feeling that we used to share will never fade away. ~~~~~~~~~~This should be enough.
อืม เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่งแฮะ
PS. ข้าพเจ้าเชื่อว่า การมีความฝันที่ดีงาม ถือเป็นหน้าที่หนึ่งของมนุษย์ เพราะฉะนั้น...การที่เราทุกคนมาอยู่รวมกันที่นี่ อาจจะเป็นชะตากรรม ที่กำหนดให้เราทุกคนคือหนึ่งในผู้ร่วมพัฒนาเส้นทางแห่งวรรณกรรมก็ได้...
ทุกคนสามารถระลึกชาติได้ทั้งนั้น
แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบุญบารมีของคนๆนั้น
เคยเวลา เวลาที่เราไปไหน หรือทำอะไรสักอย่าง
แล้วมันรู้สึกคุ้นๆ มาเคยทำหรือไปมาแล้ว
และหลักฐานอีกอย่างนั่นคือ
ตอนที่เรานอนหลับ จิตของเราทุกคนได้ล่องลอยไปในที่ต่างๆ
เมื่อรู้สึกตัว บางคนมีเรื่องความฝันมาเมาท์ให้เพื่อนฟัง
แต่อีกคนกลับไม่ได้ฝัน...บอกว่าหลับเฉยๆ
อันที่จิงแล้วคนที่จำความฝันของตนเองได้นั่นคือคนที่บุญมาก
ก็เหทือนกับการที่เราระลึกชาติได้นั่นแหละ
แต่เพียงแค่การฝันเป็นเพียง เศษเสี้ยวของจิตสำนึกเมื่อเปรียบเทียบกับระลึกชาติ
ยังไงก็ให้ทุกคนใช้วิจารณญาณ ไตร่ตรองหลังการอ่านด้วยนะครับ8
............................
...........................
...........................
...........................
..........................
อยากจะเชื่ออ่ะนะ...
ผมก็อีกคนที่ระลึกชาติได้แต่ไม่ไปตามหาอดีตชาติเพราะมันคงไม่น่าจะดี
http://a-gonk.thai-forum.net/  <<< ติดตามเรื่องราว ระลึกชาติ เจาะกรรมในอดีตชาติให้คนอื่นได้
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?