Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

หลักศิลาจารึกสมัยพ่อขุนราม อาจจะเป็นของปลอม!?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ขอบคุณเฮียโน้ตมากขอรับ ที่ทำให้กระทู้นี้
523268 จากกระทู้523128 เรื่องจริง(น่าจะ)ที่บิดเบือนของประวัติศาสตร์ไทย [75]
กลับฟื้นคืนชีพมาได้อีกครั้ง

เอาล่ะ ขอเผยสาระสำคัญ ที่ทำให้เราต้องไปขอร้องให้เฮียโน้ตอุตส่าห์ไปกู้ข้อมูลในกระทู้เก่ากระทู้นั้นกลับมาเลยก็แล้วกัน

ข้อถกเถียงเกี่ยวกับศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

ก็อปชีทที่เราเรียนให้อ่านมั้ง เราเรียนทางด้านประวัติศาสตร์อยู่พอดี


ข้อถกเถียงเกี่ยวกับศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

ผู้ที่รวบรวมศิลาจารึกสุโขทัยเป็นคนแรกก็คือ พระวชิรญาณมหาเถระ (เจ้าฟ้ามงกุฎขณะผนวช) ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดฯให้มีการตรวจค้นและรวบรวมศิลาจารึกตามหัวเมืองเหนือมาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ จารึกส่วนใหญ่ George Coedes จะเป็นผู้แปลและรวมรวม

สำหรับศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (หลักที่ 1) George Coedes กล่าวว่าพระวชิรญาณมหาเถระ ทรงพบพร้อมๆกับจารึกพระมหาธรรมราชาลิไท ภาษาเขมร (หลักที่ 4) และพระแท่นมนังคศิลาบาท
แต่ในหนังสืออภินิหารย์กาลประจักษ์ ซึ่งนิพนธ์โดยสมเด็จกรมพระยาปวเรศวชิราลงกรณ์ คนร่วมสมัยที่คาดว่าน่าจะเสด็จฯไปด้วยกับพระวชิรญาณมหาเถระครั้งนั้น กลับเล่าว่า สิ่งที่ทรงพบและนำกลับมากรุงเทพฯด้วยมีเพียง 2 สิ่งเท่านั้นคือ จารึกพระมหาธรรมราชาลิไท ภาษาเขมร (หลักที่ 4) และพระแท่นมนังคศิลาบาท
และต่อมาตอนท้ายก็ว่าข้อกล่าวถึงจารึกเมื่อแรกตั้งหนังสือไทย ความสับสนของข้อความเหล่านี้จึงทำให้ไม่สามารถบอกเรื่องราวที่แท้จริงของการพบศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนี้ได้
อย่างไรก็ตามเมื่อ Coedes ผู้เป็นที่ยกย่องนับถือของชาวสยาม เชื่อมั่นว่าศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนี้ ให้มีการสลักโดยพ่อขุนรามคำแหง ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 จริงๆ
คนอื่นๆก็พร้อมที่จะเชื่อตาม

ต่อมาศิลาจารึกหลักนี้ก็ถูกทำให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางโดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มงกุฎราชกุมาร ทรงนิพนธ์หนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงในปี ค.ศ. 1908
หลังจากเสด็จประพาสเมืองเหนือซึ่งหมายถึง พิษณุโลก สุโขทัย สวรรคโลก กำแพงเพชร และอุตรดิตถ์ ในการเสด็จฯครั้งนั้น ทรงอ่านคำแปลของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นหนังสือนำชม ในหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงนี้ทรงพยายามที่จะกำหนดรูปแบบและอายุเวลาให้กับโบราณวัตถุสถานที่ทรงพบเห็น
โดยมีวิธีการกคือ จะเสด็จฯ ไปตามทิศทางที่บอกไว้ในจารึก เมื่อพบโบราณสถานใดที่คล้ายกับลักษณะที่บรรยายไว้ในจารึกก็สรุปได้ทันทีว่า โบราณวัตถุสถานนั้น สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงแน่นอน
 รูปแบบทางศิลปะก็เป็นศิลปะ ‘สมัยสุโขทัย’ ตัวอย่างเช่น ในศิลาจารึกนั้นกล่าวว่า “ที่กลางเมืองสุโขทัยมี วิหารอันใหญ่ มีพระพุทธรูปทอง มีพระ อัฏฐารศ มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพระมีวิหาอันใหญ่ มีวิหารอันราม” เมื่อเสด็จฯไปถึงกลางเมืองก็พบวัดที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดมหาธาตุ ทรงพบวิหารใหญ่ พระพุทธรูป และพระอัฏฐารศ ก็ทรงสันนิษฐานทันทีว่าวัดนี้สร้างโดยพ่อขุนรามคำแหง อย่างแน่นอน

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ทรงมั่นพระทัยว่าเป็นของเก่าแท้แน่นอนก็คือ ภาพสลักลายปูนปั้นที่ประซุ้มประตูทางด้านทิศใต้ของปรางค์ทิศซึ่งอยู่สภาพที่สมบูรณ์และมีความงามวิจิตรมาก
เนื่องจากทรงมีแนวคิดว่า ฝีมือช่างในสมัยสุโขทัยนั้นดีเยี่ยมจึงสารถสร้างงานที่มีความงามและความคงทนได้ ช่างในยุคสมัยของพระองค์นั้นฝีมือด้อยกว่านี้มาก นอกจากจะไม่งามแล้วยังไม่มีความคงทนอีกด้วย

อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงนี้ทำให้ทั้งศิลปะสุโขทัยและศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นที่สนใจศึกษากันอย่างแพร่หลาย
ผู้ที่พูดถึงศิลปะสมัยสุโขทัยต่างพูดไปในทำนองเดียวกันว่า เป็นศิลปะที่สมบูรณ์และงดงามที่สุด, เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนไทย และศิลปะเหล่านี้ก็ถูกใช้ยืนยันในความเจริญและยิ่งใหญ่ของสุโขทัย
 ทั้งยังสนับสนุนการสร้างประวัติศาสตร์และภาพลักษณ์ในกับ ‘อาณาจักรสุโขทัย’ จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ของชาติที่มีทั้งอำนาจความเจริญรุ่งเรือง และกษัตริย์ผู้ทรงธรรม ปราศจากศิลปะเหล่านี้แล้วสุโขทัยอาจกลายเป็นแค่เมืองๆหนึ่งที่มีความสำคัญในแง่เศรษฐกิจเท่านั้น

ส่วนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงก็เป็นความภาคภูมิใจของชาวไทยที่มีกษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นใช้เป็นครั้งแรก

สำหรับข้อผิดพลาดในวิธีการกำหนดอายุเวลาโบราณสถานของพระบรมโอรสาธิราชในแง่การใช้เอกสารมากำหนดอายุเวลาโดยไม่สนใจพิจารณารูปแบบทางศิลปะ
อีกทั้งยังใช้อัตวิสัยส่วนพระองค์ในการกำหนดว่างามและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ต้องเก่านั้น

จะไม่ขอกล่าวเพิ่มเติมอีกในที่นี้เนื่องจากความผิดพลาดนั้นมีความชัดเจนอยู่แล้ว
แต่ประเด็นที่จะกล่าวต่อไปก็คือเอกสารที่ทรงใช้ประกอบการพิจารณากำหนดอายุเวลานั้น มีความถูกต้องมากน้อยเพียงไร

 

นานาทัศนะของนักวิชาการเกี่ยวกับข้อถกเถียงที่ว่า ‘ใครเป็นผู้ให้สลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

 

ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 นักวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศต่างมีความเห็นแตกต่างกันไปเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าใครเป็นผู้ให้สลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ศิลาจารึกหลักนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน

ประเสริฐ ณ นคร ให้ความเห็นว่าส่วนที่ 2 น่าจะสลักขึ้นหลังจากสมัยของพ่อขุนรามคำแหง เนื่องจากมีประโยคที่ว่า ‘เมื่อชั่วพระยารามราช’ ซึ่งเป็นการพูดถึงสมัยของพ่อขุนรามที่เป็นอดีต

 มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล เชื่อว่าส่วนที่ 2 และ 3 น่าจะสลักขึ้นทีหลังสมัยพ่อขุนรามเป็นระยะเวลานานพอสมควรทีเดียวเนื่องจากลักษณะของตัวอักษรนั้นต่างจากตัวอักษรของส่วนที่ 1 อย่างมาก

ม.ร.ว. สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ กล่าวว่าน่าจะเป็นเฉพาะส่วนที่ 3เท่านั้นที่สลักขึ้นภายหลัง เพราะลักษณะการเขียนต่างกับ 2 ส่วนแรก

มจ. จันจิรายุ รัชนี เป็นอีกผู้หนึ่งที่เชื่อว่าบางส่วนของจารึกมีการสลักขึ้นภายหลัง เนื่องจากมีการกล่าวถึงพ่อขุนรามคำแหง ในลักษณะที่เป็นบุรุษที่สาม

แสง มนวิทูรเป็นคนแรกที่ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงแต่งและให้สลักจารึกหลักนี้ขึ้น

 Michael Vickery เป็นคนแรกที่เสนอข้อสงสัยในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1987 ในการประชุมนานาชาติไทยศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (The Australian National University) กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ผลงานที่เขาเสนอนั้นเสดงในเห็นว่าเขามั่นใจมากว่าศิลาจารึกนี้ถูกสลักขึ้นภายหลังสมัยพ่อขุนรามคำแหงนานมาก โดยเปรียบเทียบตัวอักษร คำศัพท์ เนื้อหา ฯลฯ กับศิลาจารึกสุโขทัยหลักอื่นๆว่ามีความแตกต่างกันมาก

พิริยะ ไกรฤกษ์ ตีพิมพ์หนังสือชื่อว่า ‘จารึกพ่อขุนรามคำแหง การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ’ ผลการศึกษาของเขาได้ผลสรุปว่า ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนั้น ไม่ได้ถูกสลักในสมัยพ่อขุนรามคำแหงเลย แม้แต่ตอนเดียว หากแต่จารึกหลักนี้เป็นวรรณกรรมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระหว่างปี ค.ศ. 1833-1855 และยังตั้งสมมติฐานว่าอาจจะเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย

เหตุผลที่ทำให้สันนิษฐานว่าศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงไม่น่าจะสลักขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง แต่น่าจะเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

1.       ขนาดของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง สูงเพียง 45 เซนติเมตร ต่างกันมากกับศิลาจารึกสุโขทัยหลักอื่นๆ ซึ่งจะมีความสูงประมาณ 200 เซนติเมตร แต่กลับมีขนาดพอๆกับศิลาจารึกสมัยต้นรัตนโกสินทร์เช่นที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

2.       ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมีเนื้อหาที่แปลกกว่าศิลาจารึกหลักอื่นๆ คือไม่มีการระบุชื่อสถานที่เลย ในขณะที่จารึกสุโขทัยหลักอื่นจะให้รายละเอียดชัดเจน เป็นต้นว่า วัดนี้ชื่ออะไรใครสร้าง สร้างอุทิศให้ใคร

3.       มีการใช้ภาษาที่ไม่สอดคล้องกับศิลาจารึกหลักอื่นๆเช่น
-         คำว่า พระรามคำแหงไม่ปรากฏในจารึกหลักอื่นๆเลย จารึกหลักที่ 2 ซึ่งจะกล่าวถึงพระนามกษัตริย์สุโขทัยก็ไม่ปรากฏพระนามรามคำแหง
-         ชื่อช้าง: ช้างขุนสามชนในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงชื่อมาสเมือง และช้างของพ่อขุนรามคำแหงชื่อ รูจาครี ในขณะที่ชื่อช้างในจารึกหลักที่ 2 คือ อีแดงพะเลิง จะเห็นว่าภาษาที่ใช้นั้นอยู่คนละโลกทัศน์ แต่กลับมาพ้องกับชื่อ มิ่งเมือง ช้างของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย และชื่อช้างในพระราชนิพนธ์เรื่อช้างเผือกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ คีรีเมฆ เทพคีรี และจันทรคีรี
-         คำว่าพนมดอกไม้ไม่ปรากฏในจารึกหลักอื่นๆเลย พบเฉพาะที่ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงและในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น
-         คำว่าพระพุทธศาสนา ก็ปรากฏเฉพาะในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงและในพระราชสาส์น ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ในจารึกหลักอื่นจะมีแต่คำว่า พระศาสนา ศาสนาพระพุทธ และศาสนาพระเจ้า
-         คำว่าตระพังโพยศรีก็เช่นกัน พบเฉพาะที่ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงและในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉนับบริติชมิวเซียม ซึ่ง John Hay ได้ไปจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
4.     ลักษณะการเขียนที่เอาพยัญชนะ สระและวรรณยุกต์ไว้ในบรรทัดเดียวกันไม่พบในภาษาไทยที่ไหนอีกเลย นอกจากตัวอักษรอริยกะ
ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระประสงค์จะให้ใช้

5.       ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงกล่าวถึง ตรีบูร (กำแพงเมือง3 ชั้น) ซึ่งมีความยาว 3400 วา(เท่ากับประมาณ 6800 เมตร) เมื่อกรมศิลปากรเข้าไปทำการขุดค้น ก็พบแนวกำแพงเมือง 3 ชั้น และมีรายงานว่า ชั้นในสุดเท่านั้นที่สร้างในสมัยสุโขทัย ส่วนชั้นกลางและชั้นนอกสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างสมัยสมเด็จพระนเรศวร นอกจากนี้ผลการวัดความยาวของแนวกำแพงปรากฏดังนี้ ชั้นใน 6100 เมตร ชั้นกลาง 6510 เมตร และชั้นนอกสุด 6800 เมตร จึงเป็นที่น่าสนใจว่าหากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงสลักขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงจริง ทำไมจึงมีการพูดถึงกำแพง 3 ชั้นและเหตุใดจึงวัดความยาวของแนวกำแพงได้ประมาณ 6800 เมตร ซึ่งเท่ากับความยาวของกำแพงชั้นนอกสุด ที่ยังไม่ได้สร้างในสมัยสุโขทัย

6.       ความผิดพลาดในเรื่องศักราช
- พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นคนแรกที่พูดถึงศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ในพระราชสาส์นถึง John Bowring ว่ากำลังจัดส่งสำเนาของจารึกหลักนี้ไปให้ ซึ่งเป็น อักษรไทยที่เก่าที่สุด สลักขึ้นในปี ค.ศ. 1284 แต่ในพระราชหัตถเลขาอีกฉบับหนึ่งเขียนว่าหนังสือสยาม ซึ่งประดิษฐ์ในเมืองเหนือของสยาม ในปีค.ศ. 1282  ซึ่งมีความต่างกันอยู่ 2 ปี
- ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงตอนหนึ่งมีข้อความว่า ‘1207 ศักราชปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออก’ แต่แท้จริงแล้วมหาศักราช 1207 คือปีระกา ส่วน 1209 จึงจะเป็นปีกุน จะเห็นความพลาดเรื่องศักราชไป 2 ปีเช่นกัน พ่อขุนรามคำแหง จะไม่ทรงทราบเชียวหรือว่าปีที่พระองค์ให้ขุดพระธาตุออกมานั้นเป็นศักราชอะไร หรือเป็นปีนักษัตรอะไร
- สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ บอกวิธีเปลี่ยน มหาศักราชในจารึกให้เป็นพุทธศักราชว่าให้บวกด้วย 621 แต่ภายหลังสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ก็มาแก้ให้บวกด้วย 623 จึงจะถูกต้องลงตัวกับปีนักษัตร ถือเป็นความคลาดเคลื่อนไป 2 ปีอีก

5.       จะเป็นความบังเอิญเกินไปหรือไม่ที่พ่อขุนคำแห่งขึ้นครองราชย์สมบัติในปี พ.ศ. 1851  ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์สมบัติในปี ค.ศ. 1851

 

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้พิริยะค่อนข้างมั่นใจว่าศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าเป็นพระราโชบายในการปรับปรุงประเทศ เนื่องจากพระมหากษัตริย์นั้นไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงประเพณีใดๆหากไม่มีการอ้างว่ามีกษัตริย์องค์อื่นทำมาก่อนแล้ว เช่น
-         ทรงคิดจะให้ใช้ตัวอักษรอริยกะ ก็เพราะต้องการให้ใช้ภาษาไทยกับเครื่องพิมพ์ดีดได้ เพราะเครื่องพิมพ์ดีดที่เข้ามาแรกเริ่มทำเพื่อใช้กับภาษาตะวันตกซึ่งเขียนสระและพยัญชนะไว้บนบรรทัดเดียวกัน
-         ทรงต้องการให้ประชาชนสามารถถวายฎีกากับพระองค์โดยตรง จึงทรงตั้งกลองเภรีวินิจฉัยไว้ โดยอ้างการที่พ่อขุนรามคำแหงแขวนกระดิ่งไว้ ให้ประชาชนที่เดือดร้อนมาสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ได้
-         ต้องการงดภาษีปากเรือให้แก่ชาวอังกฤษเพราะเกรงสงคราม จึงทรงอ้างว่า พ่อขุนราม ‘บ่เอาจกอบนายไพร่’
-         ต้องการให้ประชาชนเข้าเฝ้า และมองพระพักตร์พระมหากษัตริย์ได้ ก็ทรงอ้างถึงพ่อขุนรามคำแหงที่อนุญาตให้ประชาชนไปดูกษัตริย์เผาเทียนเล่นไฟได้  เป็นต้น

            การปรับปรุงประเทศครั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้มหาอำนาจตะวันตกเห็นว่าเราเป็นชาติที่เจริญแล้วไม่ใช่ชาติป่าเถื่อน หากเป็นเช่นข้อสันนิษฐานของพิริยะแล้ว จะเห็นว่าความพยายามของพระองค์นั้นประสบความสำเร็จใหญ่หลวงในการปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของประเทศจักรวรรดินิยมใดๆ John Bowring มีจดหมายไปยังกรุงลอนดอนว่า สยามเป็นประเทศที่เป็นอารยะแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอามาเป็นอาณานิคม แต่ในขณะที่ความพยายามนี้สามารถปกป้องประเทศได้สำเร็จ แต่ก็ได้ก่อให้เกิดภาพลวงตาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ ‘ชาติไทย’และ ‘ประวัติศาสตร์ศิลปะสุโขทัย’ อันจะทำให้ถูกลบเลือนไปได้อย่างยากยิ่ง


จบแล้วววว ยาวเหมือนกันแฮะ จะเชื่อหรือไม่ แล้วแต่วิจารณญาณค่ะ

4 หน้านี้ คือชีทที่ใช้เรียน และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงตอนสอบค่ะ
 
 

Name : Monoceros < My.iD > [ IP : 61.91.166.145 ]
Email / Msn:
วันที่: 7 มีนาคม 2549 / 21:24

เน้นนะขอรับ มันเป็น ชีทที่คุณ Monoceros ใช้เรียน และสอบจริงๆ
(เราก็เคยได้ยินมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าใครเรียนประวัติศาสตร์ไทยระดับมหาลัย ก็น่าจะรู้เหมือนกันนะ)
ดังนั้นจะไปว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก กุขึ้นมาไม่ได้นะขอรับ

PS.  บางคนอาจคิดว่าการยอมรับว่าตนเองผิดนั้นคือสิ่งที่น่าอาย แต่จริงๆแล้วการยอมรับว่าตนเองผิดนั้น เป็นความกล้าหาญที่สุดเท่าที่มวลมนุษยชาติจะทำได้ต่างหาก

แสดงความคิดเห็น

>

28 ความคิดเห็น

Swordman-Iris / Romnalin 1 ส.ค. 49 เวลา 08:07 น. 1

เราก็เคยได้ยินนะตอนสมัยเรียนที่รามคำแหงนั่นละ ( เราเรียนประวัติศาสตร์ ) แต่ก็ได้ยินมาจากอาจารย์ที่อื่นอีกทีที่มาติว


PS.   รักโด๋ยจัง ห่านโหมดทำงาน = งานท่วมหัวเอาตัวแทบไม่รอด...
0
#Petora.beaU# 1 ส.ค. 49 เวลา 11:45 น. 3

อื้อ

เคยได้อ่านมาว่า...

มีบางคนให้ความเห็นว่า ทำขึ้นมาภายหลัง

เพื่อเป็นหลักฐานให้ไทยรอดพ้นจากการล่าอาณานิคมจากต่างชาติ

พอมีคนมาอ้างว่าเป็นของปลอม ก็ไม่ได้รับการยอมรับมากนัก

ซึ่งสหประชาชาติเองก็เป็นพวกเสียหน้าไม่ได้อยู่แล้ว

เพราะองค์กรใหญ่ขนาดนี้ใครจะไปยอมรับว่าตัวเองโดนหลอก

เห็นได้จากกรณีที่ไม่ยอมรับหลักฐานเกี่ยวกับศาสนาคริสต์

ที่ขุดพบในทะเลสาบเดดซี(เราเองก็ไม่อยากให้ยอมรับหรอกอันนี้)

และอีกมากมายจำไม่ได้

ประมาณนั้นอ่ะ

ถ้าผิดพลาดก็ขอโทษด้วย


PS.  อ่าน.....อ่าน........อ่าน..........และอ่าน
0
KennyHass 1 ส.ค. 49 เวลา 11:59 น. 4

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ประวัติศาสตร์ไม่ควรศึกษาแค่ด้านเดียว"


PS.  รักนะไอ้หน้าโง่...
0
^*^Unnamed=ข่อยบ่มีชื่อดอก^*^ 1 ส.ค. 49 เวลา 12:12 น. 5


ความคิดเห็นที่ 4 />
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ประวัติศาสตร์ไม่ควรศึกษาแค่ด้านเดียว"
PS.  รักนะ X หน้าโง่...
Name : KennyHass < My.iD > />[ IP : 203.170.161.248 ]
Email / Msn:
วันที่: 1 สิงหาคม 2549 / 11:59


สอนให้รู้ว่า เราไม่ควรเชื่อตามที่ได้ยินมาเฉยๆมากกว่าค่ะ
PS.  แหนม // กฏมีไว้แหก แต่แหนมมีไว้ป่วน
0
Sb_BelL 1 ส.ค. 49 เวลา 13:03 น. 6

ทำไมไม่เคยได้ยินล่ะ = =a


PS.  • BELL• ^O^รักคุณแม่ แคร์คุณพ่อ^O^ คุณพ่อแกน คุณแม่ลัน เรามาลัลล้าด้วยกันเถอะนะคะ พ่อน่ารัก แม่น่าจุ๊บ >///<
0
Nunny_803 1 ส.ค. 49 เวลา 16:23 น. 7

หุ หุ ประวัติศาสตร์ไทยยังมีอะไรที่ลึกล้ำมากมายนัก
เช่นเรื่อง  พระศรีสุริโยทัย  พระเจ้าตากสิน
ถ้าคนที่เรียนประวัติศาสตร์ไทยโดยตรงคงทราบ
เพราะแค่เรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าตากสินก็ถกกันยาวแล้วล่ะค่ะ
เราเรียนประวัติศาสตร์อยุธยา  ธนบุรี  เป็นเทอมเลยล่ะ
แยกรัตนโกสินทร์ไปอีกเทอมอีกต่างหาก

รหัสลับดาวินชีชิดซ้ายเลยล่ะค่ะ


PS.  สู่มิติใหม่กับเทคโนโลยีชวนพิศวง ตื่นเต้นมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเวทมนตร์ : CLEMENCY
0
Ryuiji 1 ส.ค. 49 เวลา 16:37 น. 8

ประวัติศาสตร์ก้อคือประวัติศาสตร์ เราทำได้แค่ศึกษาและหาข้อเท็จจริงเท่านั้น
ซึ่งในบางครั้งข้อมูลที่เราได้มาก็ใช่ว่าจะจริงเสมอไป ประวัติศาสตร์อาจถูกทำให้บิดเบือนไปจากความเป็นจริงได้


PS.  อ่านทำไม ไอ้โง่
0
ปัจเจก 1 ส.ค. 49 เวลา 18:13 น. 9
ด้านที่ 1 ของศิลาจาฤกปลอม

พ่อกูเป็นสัตว์ประเสริฐเลิศแล้ว ชื่อว่าอเมริหงส์ แม่กูชื่อ เอกอังกฤษแรงฤทธิเดช
พี่กูชื่อ ฝรั่งเศส และ เยอรมัน กูชื่อไทยแลนส์ขุนหลวงไดโนเสาร์ ตูพี่น้องครอกเดียวห้า
ตัวผู้สาม งามตัวหญิงสอง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือ พี่เผือผู้อ้ายสั่งเสียพรากเมียจะหม้าย
ตายจาก พี่เผือหิวมากอยากงับอิสระเสรีเอกราช แต่มฤตยูจู่พิฆาต ด้วยมหิทธิฤทธิ์มาก
ลากไปเป็นทาสขี้ข้าอนาจาร ถูกเหยียบย่ำหน้าดุจทาสใต้อำนาจ นรกมิติใหม่ ชี่อนิวเคลียร์
ประลัยกัลป์ สั่นสะเทือนวิญญาณจนเสียสติ คลั่งไคล้เป็นอาณานิคมฯอมโรคเรื้อนขี้ครอก
 X ถ่อยง่อยง่วง จนเป็นอภิผลพวง อาณานิคมหลายชั้นมหึมา หลากหลายขั้นตอน
ซับซ้อนทับทวีคูณ ปิ้มปูนจะสูญชาติ เป็นทาสอนัตตาเสียศูนย์ เมื่อกูใหญ่ขึ้นสิบเก้าข้าวฝน
จนฝูงจิ๊กโก๋เรียกพี่ กะหลีกะหลอ สอพลอ ขยมจะอมเป็นเขย เสวยรส เบญจขันธ์
ขณะนั้นวิปริตวิปลาส บังอาจชื่อซ้ำพี่กู พญาหมาชื่อว่าฝรั่งเศสฤทธิเดช
สยดสยองพองขน ยกฝูงไพร่พล ฝรั่ง มังคุด ทุดเกือบสิบหมื่น ขมขื่นทุกไทยแลนส์
จะต้องงมหาแร่ดีบุก และวุลแฟรม เป็นส่วยให้ริปู จู่แฟรม แฟรมมา
กองพลทหารเง่าก็เห่าหอน โห่สามลา ยกพลมาบุกอาณานิคมไทยแลนส์
"แดนแสนเมืองลักยิ้มทิ่มหัวใจเมืองแสน" แดนต่อแดน สุดขอบฟ้าแห่งปัญญา
ทึบทึมงึมงำ สลดหดหู่ อยู่แต่ผู้เดียวดาย พญาหมาฝรั่งเศส ยกพลมหึมามาหาพ่อกู
พ่อกูต่อสู้ เพื่อกู้อิสระเสรีเอกราช อเนจอนาถ ทางด่านขุนทดฯไม่ปดเลย  X รู้ไหม
อ้ายไทยแลนส์  X แสนจะเง่า หนาววิญญาณ วิจัยวิจารณ์ขายวิญญาณเสียเถอะเทอญฯ

อังคาร กัลยาณพงศ์
อาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ 2546 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 11 ปีมะแม




เห็นเกี่ยวกับเรื่องศิลาจารึก เลยเอามาให้อ่านเล่นๆกันน่ะครับ
PS.  โดยการเปลี่ยนแปลงทัศนคติด้านในของจิต มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงด้านนอกของชีวิตของพวกเขา
0
whitehamster the dentist 1 ส.ค. 49 เวลา 19:36 น. 10

งะ!!

ศิลาจารึกของท่านปัจเจก เห็นภาพชัดมากเลยครับ T T ว่าแต่คำที่โดนเซนเซอร์มันคือคำว่าอะไรน่ะ...


PS.  [หมอฟัน] พีเอสใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ง่ะครับท่านๆ
0
**++..กาลครั้งหนึ่ง..++** 1 ส.ค. 49 เวลา 20:51 น. 11

= = มะเห็นรู้เลย  แต่บางทีประวัติศาสตร์มันก็ย่อมผิดกันได้เมื่อมีข้อมูลจากการศึกษามากขึ้น


PS.  &#9835; It may take only a minute to like someone, only an hour to have a crush on someone and only a day to love someone but it will take a lifetime to forget someone. &#9835;
0
o นู๋นัท o 1 ส.ค. 49 เวลา 22:25 น. 12

พึ่งเรียนเรื่องศิลาจารึกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง-*-

ทำไมอาจารย์ไม่เห็นบอกล่ะ??


PS.  ถ้าแกเป็นโคลนฉันจะไม่ยอมเป็นควาย...เพราะฉันกลัวว่าแกจะกลายเป็นโคลนดูดแล้วดูดฉันให้จมโคลนตาย!!!
0
Wadoiji 1 ส.ค. 49 เวลา 22:49 น. 13

รหัสลับศิลาจารึก... = ="

อืม..... แต่ในประวัติศาสตร์ของมัธยม ประถม มันก็ยังปลูกฝังให้เด็กเชื่อตามนั้นอยู่สินะ...


PS.   รักห่านจัง มีความสุขจริงๆให้ดิ้นตาย... สก. สข. ประชาธิปัตย์สู้ๆ!!! ประชาธิปัตย์สู้ๆ!!!
0
#Petora.beaU# 3 ส.ค. 49 เวลา 13:12 น. 14

ตามที่คุณโด๋ยบอกแหละครับ

เด็กๆก็จะถูกปลูกฝังในสิ่งที่(ผู้ใหญ่คิดว่า)ดีงาม

ใครจะไปบอกล่ะครับว่า "เด็กๆคะ ศิลาจารึกที่เก่าแก่ของไทยเป็นของปลอมนะคะ เอาไว้หลอกคนโง่ค่ะ"

แบบนี้ก็ฆ่าตัวตายดีๆนี่แหละครับ


PS.  อ่าน.....อ่าน........อ่าน..........และอ่าน
0
Ladies MafiA* 10 ส.ค. 49 เวลา 11:27 น. 15
มันอาจเป็นกุศโลบายของบรรพบุรุษ สมัยรัตนโกสินทร์

ที่ทำขึ้นเพื่อที่จะป้องกันการรุกรานจากต่างชาติ ที่ เอะอะอะไร ก็จะเอาเมืองอื่น เป็นเมืองขึ้น ของตัวเองหมด

ให้รู้ว่า ชาติไทย ไมได้ปล้นแย่งใครมา

รันโกสิทร์ไม่สิ้นคนเก่ง คนดี .. ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด ก็เป็นไปเพื่อชาติ บ้านเมืองแน่ๆ


PS.  [[ฉันเป็นผู้หญิงที่แสนจะ...เอาแต่ใจ ^0^]]
0
Junno 11 ส.ค. 49 เวลา 18:38 น. 16

เข้าใจยากจัง

ลึกลับซับซ้อนแบบนี้
จะมีใครรู้ความจริงมั้ย ?

เราน่าจะมีทามแมทชีนเนอะ
จะได้ไปดูอดีต 55

ขำๆ ค่ะ >O<


PS.  || ,, แอบคิดถึงเทอทุกวัน ทั้งที่อยู่ข้างเทอ ,, แอบเห็นทุกทีที่เทอคอยมองเค้า ,, อยากพูดว่ารักซักคำ ก้คงจะแสนเบา เทอเห็นเราเป็นแค่ 'เด็กวุ่นวาย' ,, ||
0
sH!rO!MekO Ao!soRa (&gt;_-)*~ 11 ส.ค. 49 เวลา 23:09 น. 17

ค่ะ เหมือนความคิดเห็นที่ 3 ค่ะ เพราะเรียนมาก็รู้มาแบบนั้นค่ะ


PS.  >>>ไม่มีคำพูดใดที่ฉันอยากได้ยินจากปากเธอ เธอไม่จำเป็นต้องเอ่ยเอื้อนอะไรเลย เธอไม่จำเป็นต้องมองเห็นฉันอยู่ในสายตา ฉันขอมองเธอเพียงไกลๆก็พอ
0
ประตูแดง 12 ส.ค. 49 เวลา 13:50 น. 18

จะอย่างไรก็ตามที่ทำไปเพราะว่าต้องการให้ประเทศไทย

มีเอกราชจนถึงทุกวันนี้

รักประเทศไทยจากใจแท้จริง

0
snowy_cat 13 ส.ค. 49 เวลา 15:21 น. 19

เห็นด้วยกับความเห็นที่ 3 งับป๋ม เคยได้ยินมาอย่างนั้นเหมือนกัน

แล้วรู้สึกว่าจะมีเรื่องอื่นๆอีกด้วย ที่สร้างขึ้นให้เหมือนกับว่า ณ ที่นั้นๆ มีอะไรสักอย่างที่สำคัญ หรือ...(นึกไม่ออก) เพื่อให้พ้นจากอะไรสักอย่าง (งงไหมคะ ^^" นึกไม่ออกง่า)


PS.  ยัยวี่ ลูกครึ่งแมวกับกระต่าย=w=V/งานเยอะจริงๆ - -* อ๊าก!/โหมด:ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์/หลงเด็ก กร๊ากๆ
0
อาร์เทมิสเทวีแห่งดวงจันทร์ 13 ส.ค. 49 เวลา 21:40 น. 20

น่าคิดมาก... แต่ไม่อยากให้เป็นจริงเลย ... ยังไงก็ต้องคอยดูกันต่อไป.. เราคิดว่ายังไงปริศนาทุกอย่างก็ต้องมีคำตอบอยู่แล้ว...  มันขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะรู้คำตอบของปริศนานั้นเมื่อไร ขอเพียงแต่อย่าสายเกินไป...

0