Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อวสานราชวงศ์โรมานอฟ ( รหัสลับรัสปูติน )

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
มาเริ่มกันเลยดีกว่า

รัสปูตินรู้ตัวอยู่เสมอว่าได้มีผู้ที่คิดจะลอบฆ่าเขา เนื่องจากวันหนึ่ง

เขาได้เล่าให้ผู้ที่อยู่ร่วมอพาร์ตเมนต์เดียวกันว่า

เขาได้เห็นพระโลหิตของเชื้อพระวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าแดงฉานอยู่ในแม่น้ำเนวา

และในการเฝ้านิโคลัสที่ 2 เป็นครั้งสุดท้าย รัสปูตินก็ไม่ได้ถวายพระพรอย่างเคย

ตอนจะกลับเขากราบทูลว่า

ครั้งนี้ใต้ฝ่าพระบาทเป็นฝ่ายพระราชทานพรให้ข้าพระพุทธเจ้า

ชิมาโนวิช เลขานุการส่วนที่รัสปูตินไว้ใจมาก

ได้เป็นผู้แสดงจดหมายส่วนตัวของรัสปูตินตอนที่เขียนไว้ในปลายเดือนธนวาคม 1916

ก่อนหน้าที่รัสปูตินจะถูกฆ่า ดังนี้

ข้าได้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา และได้เก็บไว้ ณ กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ข้ามีความรู้สึกว่าชีวิตของข้านั้นคงจะไม่ยืนยาวจนไปถึงวันที่ 1 มกราคม เป็นแน่

ดังนั้นข้าจึงอยากจะเขียนจดหมายฉบับนี้ไว้แก่ประชาชนชาวรุสเซีย แด่พระเจ้าพ่อ พระเจ้าแม่

พระเจ้าลูกทุกพระองค์ ตลอดจนแก่แผ่นดินรุสเวีย

เพื่อที่เขาทั้งหลายจะได้เข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหลายว่าถ้าข้าถูกประหารชีวิตโดยบุคคลที่เป็นสามัญชน

เช่นพี่น้องชาวชนบทของข้าแล้วละก้อ พระเจ้าซาร์แห่งกรุงรุสเซีย

ก็ไม่ต้องมีสิ่งใดต้องวิตกกังวลแต่ประการใด

พระองค์จะทรงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าชีวิตของชาติตลอดพระชนม์ชีพ

และพระราชวงศ์ก็จะยั่งยืนนับเป็นร้อยเป็นพันปี

แต่หากว่าข้าได้ถูก บรรดาบุคคลที่อยู่ในฐานันดรแห่งราชวงศ์หรือบรรดาบุคคล

ชั้นขุนนางทำการฆาตกรรมข้า และพวกนี้ทำให้โลหิตของข้านองพื้นเมื่อไร

พวกนี้จะได้รับการเลือดตกยางออกเป็นเวลาถึง 25 ปี

ถึงจะสามารถล้างโลหิตที่เปื้อนเกอะกังนั้นได้

และพวกขุนนางเหล่านี้จะกระ X กระสนออกจากแผ่นดินรุสเซียไปตลอดกาล

พระเจ้าซาร์แห่งรุสเซียจงโปรดรับทราบไว้ด้วยว่า

เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ได้ยินเสียงระฆังแจ้งเหตุว่าข้าได้เสียชีวิต

โดยพระญาติสนิทของพระองค์เป็นคนลงมือเอง บรรดาสมาชิกในครอบครัวตลอดจนพระญาติสนิท

จะต้องประสบความหายนะภายในเวลา 2 ปี

ทุกๆพระองค์ในราชวงศ์จะถูกลอบปลงพระชนม์ชีพโดยชาวรุสเซีย....

ข้าเองจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน ข้าจะไม่มีโอกาสอยู่กับพวกมนุษย์แล้ว

จงสวดมนต์ จงสวดมนต์ จงเข้มแข็งเถิดพระองค์

และทรงพยายามสวดอ้อนวอนให้พระราชวงศ์ของพระองค์ด้วยเถิด

ผู้ร่วมงานในการฆ่ารัสปูติน

เจ้าชายยูซซูปอฟทรงหาผู้ร่วมงานในการวางแผนฆ่ารัสปูตินได้ 5 คน เช่น

ปูริชเกวิช ผู้ที่มีอายุมากที่สุดผู้ นายทหารลาโซเวร์ต นายแพทย์ทหาร

และแกรนด์ ดยุค ดมิทริ พัฟโลวิช พระโอรสชองพระเจ้าอาองค์เล็ก

ของนิโคลลัสที่ 2 คือ แกรนด์ ดยุคปอล

เนื่องจากรัสปูตินเป็นคนที่ชอบใจอิสตรีผู้สูงศักดิ์เป็นคนที่บ้าตัณหาราคะ

ชอบใจภรรยาผู้อื่นแล้ว จึงทำให้พวกร่วมในขบวนการไม่ลำบาก

ในการวางแผนเท่าไหร่นัก รัสปูตินเคยมีความหลงใหลในเจ้าหญิงอิรินา

ชายาของยูซซูปอฟเป็นเวลามานานแล้ว เจ้าชายยูซซูปอฟได้บอกแก่รัสปูตินว่า

เจ้าหญิงทรงเชิญให้เข้าเฝ้าที่วังมอยกา รัสปูตินจึงไม่รอที่จะตอบรับคำเชิญ

จากแผนการของยูซซูปอฟนั้นมีว่าเจ้าชายจะเป็นผู้ที่ไปรับรัสปูตินมายังรถซึ่ง

มีดอกเตอร์ลาโซเวร์ตปลอมเป็นคนขับรถมายังห้องใต้ดิน

ซึ่งได้จัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี ห้องใต้ดินเป็นห้องเพดานต่ำ

ผนังเป็นหินเป็นสีน้ำตาลพื้นปูด้วยหินแกรนิต มีเก้าอี้ไม้โอ๊กสลัก

นายแพทย์ลาโซเวร์ตได้จัดการผสมสารหนูซึ่งเขานำมาบดละเอียดลงใน

ชั้นของขนมเค้กและผสมลงในสุราชื่อมะไดรา

ประสิทธิภาพของสารหนูพวกนี้สามารถจะปลิดชีวิตของคนหลายคนได้ในทันที

รัสปูตินหยิบขนมเค้กเข้าปากไปถึง 2 ชิ้น แต่ไม่ได้ปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น

หลักจากนั้นเขาก็ยังดื่มสุราซึ่งมียาพิเช่นเดียวกันอีกถึง 2 แก้ว

เวลาผ่านไปถึง 2 ชั่วโมง รัสปูตินก็ยังมีอาการปกต

ิแถมยังขอให้เจ้าชายยูซซูปอฟร้องเพลงและเล่นกีตาร์ให้ฟัง

ฝ่ายนายแพทย์ลาโซเวร์ตซึ่งเฝ้าดูอย่างตื่นเต้นเป็นลมไป แล้วพักหนึ่ง

ส่วนแกรนด์ ดยุค ดมิทรินั้น ทรงบอกพรรคพวกให้ล้มเลิกแผนการ

แต่ปูริชเกวิชไม่ยอมล้มเลิก เจ้าชายยูซซูปอฟจึงตัดสินพระทัยยิงรัสปูตินจากด้านหลัง

รัสปูตินล้มฟุบไป นายแพทย์ลาโซเวร์ตจับข้อมือรัสปูตินคลำชีพจรแล้วบอกแก่พรรคพวกว่า

รัสปูตินตายแล้ว ทัยใดรัสปูตินก็บิดตัว ใบหน้ากระตุก ตาซ้ายลืมโพลง

แล้วก็ลืมตาขวา กรอกลูกตาเขียวปัดทั้ง 2 ข้างไปมา น้ำลายฟูมปาก

ปราดเข้ามาบีบคอยูซซูปอฟแล้วก็วิ่งหนีอย่างรวดเร็วตรงไปยังประตูวัง

ยูซซูปอฟจึงทำการยิงออกไปอีก 3 นัด ถูกที่ไหล่ของรัสปูติน นัดที่ 4

ถูกที่ศิรษะของเขา ยูซซูปอฟตรงเข้าไปเตะที่ขมับของรัสปูตินอย่างสุดแรงเกิด

ทำให้รัสปูตินล้มฟุบไปกับหิมะ เขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่ที่ทำได้ก็เพียงแยกเขี้ยวแค่นั้น

หลังจากศพของเขาซึ่งถูกพันธนาการอย่างแน่นหนาได้ถูกนำไปยังทะเลสาบเนวาซึ่งเป็นน้ำแข็ง

อีกสามวันต่อมามีผู้พบศพของเขาปรากฏว่าจมน้ำตายทั้งๆภายในปอดเต็มไปด้วยยาพิและกระสุนปืน

เชือกที่รัดมือทั้งสองของเขาอย่างแน่นหนานั้นหลุดออกได้อย่างน่าอัศจรรย์

อย่างน้อยประวัติศาสตร์ก็ให้เรารู้ว่า รัสปูตินว่ายน้ำไม่เป็น

ตอนแรกๆ นิโคลัสที่ 2 พระมเหสีและพระเจ้าลูกทั้ง 5 พระองค์ทรงถูกคุมขัง

ณ พระราชวังซาร์สโก เซโล รัฐบาลเฉพาะกาลได้ปฏิบัติต่อพระราชวงศ

์อย่างไม่เคร่งครัดนัก เพียงแต่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าเฝ้าโดยเด็ดขาด

โดยเฉพาะเคอเรนสกี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถึงกับเสนอรัฐบาล

ให้ยกเลิกกฎหมายการประหารชีวิตเสีย

โดยเขาคิดว่าจะเป็นการมิให้มีผู้เรียกร้องให้ทำการปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ได้

พวกโซเวียตแห่งมณฑลยูราลต้องการที่จะปลงพระชนม์นิโคลัสที่ 2

พร้อมทั้งมเหสีและพระเจ้าลูกทั้ง 5 พระองค์ เพราะเกรงว่าทางรัฐบาลกลาง

จะส่งพระราชวงศ์ไปให้เยอรมนี

วันที่ 12 กรกฎาคม 1918

กอลอชเชคิน ผู้แทนของโซเวียตแห่งยูรัลได้กลับจากมอสดก

ขาได้นำมติของคณะกรรมการต่างๆ ที่มอสโกมาแจ้งแผ้ควบคุมพระเจ้าซาร์ทั้งราชวงศ์ว่า

ทางพรรคโซเวียตแห่งยูรัลจะจัดการกับพระเจ้าซาร์อย่างไรก็แล้วแต่จะเห็นสมควร

และเมื่อพวกโซเวียตแห่งยูรัลได้รับข่าวว่ากองทัพเชคได้ยกผ่านเขตใต้เมืองเยกาเตอรินเบอร์กแล้ว

และเมืองเยกาเตอรินเบิร์ก คงจะแตกภายใน 3 วัน

พวกโซเวียตแห่งยูรัลเลยตัดสินใจที่จะปลงประชนม์ทุกพระองค์โดยเร็วที่สุด

วันที่ 13 กรกฏาคม 1918

พอยูรอฟสกี้ได้รับคำสั่งจากสแวร์ดลอฟ ผู้วางแผนในการปลงพระชนม์

เขากับกอลอชเชคินก็พากันออกไปหาสถานที่ที่จะทำลายพระศพได้ ทั้ง 2

คนไปพบเหมืองร้างแห่งหนึ่งห่างจากเมืองเยกาเตอรินเบิร์กไปประมาณ 14 ไมล์

ใกล้กับหมู่บ้านคอฟท์ยากี้ เหมืองนี้อยู่ติดกับสนสี่ต้น ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า

สนสี่พี่น้อง ส่วนพรคพวกที่เหลือก็จัดหาน้ำมัน 150 แกลลอน กรดกำมะถัน 400 ปอนด์

วันสิ้นพระชนม์ 16 กรกฏาคม 1918

ยูรอฟสกี้สั่งให้เด็กคนครัวออกไปจากที่คุมขัง เวลา 16.00 นิโคลัสที่ 2 พร้อมกับ

แกรนด์ ดัชชเสทั้ง 4 พระองค์เสด็จลงไปทรงเดินเล่นในสวน เวลา 19.00

ยูรอฟสกี้ก็เรียกพวกเชก้าเข้าไปในห้องทำงาน แบะสั่งให้ไปเก็บปืนรีวอลเวอร์จากทหารยามทุกคน

ซึ่งมี 12 กระบอกมาตั้งเรียงไว้บนโต๊ะ และว่า

คืนนี้เราจะยิงนักโทษทุกคนให้บอกยามข้างนอกว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนก็ไม่ต้องตกใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความลับ ทุกพระองค์ไม่ทรงล่วงรู้เหตุการณ์ใดๆเลย

เวลา 22.30 ทุกพระองค์เข้าที่บรรทม ครั้นเที่ยงคืน

ยูรอฟสกี้ได้ขึ้นไปปลุกและทูลให้ทุกพระองค์ฉลองพระองค์แล้วให้รีบไปข้างล่าง

เขาพูดเพียงว่า พวกเชคและกองทัพขาวกำลังเคลื่อนมาใกล้ทุกพระองค์ต่างรีบแต่งองค์

นิโคลัสที่ 2 ทรงประคองซาเรวัชลงมาก่อน ซาเรวิชทรงง่วงมากและทรงกอด

พระศอพระราชบิดาไว้แน่น ส่วนองค์อื่นๆก็ทรงรีบเสด็จตามลงมา

แกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซียทรงอุ้มสุนัขพันธุ์สเปเนียล ชื่อเจ้าจิมมี่

ยูรอฟสกี้สั่งให้ทุกพระองค์ทรงรออยู่ในห้อง จนกว่ารถยนต์จะมารับ ในนั้นมี

นายแพทย์บ๊อตกิ้น ทรุปป์ มหาดเล็กรับใช้ คาริโตนอฟ พ่อครัวและนางเดมิโดวา

นางเดมิโดวากอดหมอนไว้แน่น

เนื่องจากหมอนใบนั้นมีเครื่องเพชรส่วนพระองค์ซุกซ่อนอยู่

ชั่วครู่หนึ่งที่ในห้องนั้นสงบ ก็มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น

ยูรอฟสกี้นำหน้าและมีทหารหลายคนเปิดประตูพรวดเข้ามา ทุกคนมีอาวุธครบมือ ยูรอฟสกี้พูดว่า

ญาติของท่านได้พยายามลักพาท่าน แต่ไม่สำเร็จ เราจึงต้องประหารท่านเสีย

นิโคลัสที่ 2 กำลังประคองพระราชโอรส ทำท่าจะลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะทรงปกป้อง

กันพระราชโอรสและพระมเหสี พอรับสั่งคำว่า อะไร...

ยูรอฟสกี้ก็ยกปืนขึ้นเล็งที่พพระเศียรและลั่นไก นิโคลัสที่ 2

ทรงถูกพระแสงปืนสิ้นพระชนม์ทันที แกรนด์ดัชเชส โอลก้า ทาเทียน่า และมารี

ซึ่งมายืนเบื้องหลังพระราชมารดา ก็ถูกปืนสิ้นพระชนม์ไล่เลี่ยกัน ส่วนนายแพทย์บ๊อตคิน

พ่อครัว และทรุปป์ ล้มลงขาดใข นางเดมิโดวา นางสนองพระโอษฐ์ถูกยิง

แต่ไม่ฉกรรจ์ ได้วิ่งหนีไปรอบๆห้อง เชก้าเลยกลับออกไปจากห้องเพื่อหยิบปืนยาวมาไล่ยิง

นางวิ่งวุ่นเหมือนสัตว์ที่ติดอยู่ในกรง ใช้หมอนป้องปิดปากกระบอกปืน

ในที่สุดก็สิ้นแรงล้มลง พระเชก้าได้ใช้ดาบปลายปืนทิ่มแทงกว่า 30 ครั้ง

จนนางขาดใจตาย สุนัขจิมมี่ถูกตีด้วยพานท้ายปืนตาย ส่วนพรรยากาศภายในห้องตอนนี้

มีแต่ควัน โลหิตจากร่างพระศพไหลนองพื้นห้อง

มีเสียงครางเบาๆจากซาเรวิขที่ทอดพระวรกายบนพื้นห้อง

ทรงเอื้มพระหัตถ์ไปยึดชายฉลองพระองค์พระราชบิดาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

พวกเชก้าคนหนึ่งได้ตรงเข้าไปเตะที่พระเศียรด้วยเกือกบู๊ตแล้วยูรอฟสกี้

ี้ก็เข้าไปใช้ปืนจ่อยิงที่พระกรรมสองนัดขณะนั้นแกรนด์ดัเชสอนัสตาเซีย

ซึ่งเพียวแต่ตกพระทัยสลบไป ทรงฟื้นคืนพระสติขึ้นมา ทรงส่งเสียงพะสุรกรี๊ด

พวกเชก้าที่เป็นเพชรฆาตทั้งหมดก็ได้ระดมยิงและทิ่มแทงด้วยปลายปืน

เพียงครู่เดียว แกรนด์ดัชเชสองค์เล็กสิ้นพระชนม์

พระอาจารย์ปิแอร์ จิลลิยาร์ด ได้เขียนบรรยายว่า

พวกเชก้าได้นำพระศพและศพทั้งหมดไปที่เหมืองร้างที่อยู่ติดกับสนสี่ต้นที่ได้เตรียมไว้แล้ว

และพวกเชกาได้ใช้น้ำมันเบนซินกับกรดกำมะถันราดแล้วจุดไฟเผาจนศพไหม้เป็นจุณ

เสร็จแล้วเอากระดูกมารวมกันหมด

ต่อมาเมื่อกองทัพของนายพลเรือโคลชาตไดเเข้ยึดเมืองเยกาเตอรินเบิร์กได้ในเดือน

มกราคม 1919 เขาได้สั่งให้คณะผู้ติดตามที่รู้เรื่องเหมืองร้างค้นหาซากศพ

คณะเหล่านี้ประกอบด้วยตัวพระอาจารย์ปิแอร์เอง

ได้พบว่าบรรดากองกระดูกที่ไหม้ไฟนั้นยังมีเครื่องประดับบางชิ้นของ

พระนางอเล็กซานดราและพระราชธิดาอยู่ด้วย และยังพบเข็มขัดคาดเอวของทั้งนิโคลัสที่ 2

และพระราชโอรสด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานปรากฎว่าทุกๆพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างแน่นอนแล้วก็ตามที

ชั่วเวลาอีกประมาณ 10 ปีต่อมาได้มีสตรีนางหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้อ้างว่านางคือ

อนัสตาเซีย วันที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้น อนาสตาเซียทรงถูกยิง

แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงเพียงแต่สลบไป

และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนายทหารหนุ่มพี่น้องตระกูลไชคอฟสกี้

ที่พาหนีเล็ดลอดออกนอกประเทศไปที่ประเทศโรมาเนีย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต

( เกี่ยวกับถนนรังสิตของเรารึเปล่าไม่รู้ น่าคิดแหะ ^^ ) ได้ทรงวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ว่า

สตรีที่อ้างว่าชื่ออนาสตาเซียและเป็นธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าซาร์นั้นเดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตอยู่

(ค.ศ.1958 ) เรื่องที่นางอ้างจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีผู้สนใจกันมาก

มีผู้สืบไปสืบมาเขียนลงหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ บางเรื่องก็ว่าไม่จริง

จนกระทั่งมีผู้นำเรื่องไปทำละคร ทำหนังดูกันเกือบทั้งโลก แต่ก็ยังไม่มีใครมทราบแน่ว่า

จริงหรือไม่อยู่นั่นเอง จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทม์ของอเมริกาประจำวันที่

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ลงข่าวว่านักมานุษวิทยาที่มีชื่อเสียงของเยอรมันรวม 4 คน

ได้พิสูจน์รูปร่างหู จมูก และโหนกแก้ม จากรูปภาพของอนัสตาเวียรูปเก่าๆแล้ว

ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสอนัสตาเซียตัวจริงไม่มีสิทธิในกฏหมายที่

จะรับเงิน 20 ล้านรูเบิลส์ ( ประมาณ 645,000,000 บาท )

ซึ่งพระเจ้าซาร์ทรงฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศอังกฤษ


อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมที่ http://masterkey.exteen.com

พระอาจารย์ปิแอร์ จิลลิยาร์ด ได้เขียนบรรยายว่า

พวกเชก้าได้นำพระศพและศพทั้งหมดไปที่เหมืองร้างที่อยู่ติดกับสนสี่ต้นที่ได้เตรียมไว้แล้ว

และพวกเชกาได้ใช้น้ำมันเบนซินกับกรดกำมะถันราดแล้วจุดไฟเผาจนศพไหม้เป็นจุณ

เสร็จแล้วเอากระดูกมารวมกันหมด

ต่อมาเมื่อกองทัพของนายพลเรือโคลชาตไดเเข้ยึดเมืองเยกาเตอรินเบิร์กได้ในเดือน

มกราคม 1919 เขาได้สั่งให้คณะผู้ติดตามที่รู้เรื่องเหมืองร้างค้นหาซากศพ

คณะเหล่านี้ประกอบด้วยตัวพระอาจารย์ปิแอร์เอง

ได้พบว่าบรรดากองกระดูกที่ไหม้ไฟนั้นยังมีเครื่องประดับบางชิ้นของ

พระนางอเล็กซานดราและพระราชธิดาอยู่ด้วย และยังพบเข็มขัดคาดเอวของทั้งนิโคลัสที่ 2

และพระราชโอรสด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานปรากฎว่าทุกๆพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างแน่นอนแล้วก็ตามที

ชั่วเวลาอีกประมาณ 10 ปีต่อมาได้มีสตรีนางหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้อ้างว่านางคือ

อนัสตาเซีย วันที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้น อนาสตาเซียทรงถูกยิง

แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงเพียงแต่สลบไป

และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนายทหารหนุ่มพี่น้องตระกูลไชคอฟสกี้

ที่พาหนีเล็ดลอดออกนอกประเทศไปที่ประเทศโรมาเนีย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต

( เกี่ยวกับถนนรังสิตของเรารึเปล่าไม่รู้ น่าคิดแหะ ^^ ) ได้ทรงวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ว่า

สตรีที่อ้างว่าชื่ออนาสตาเซียและเป็นธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าซาร์นั้นเดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตอยู่

(ค.ศ.1958 ) เรื่องที่นางอ้างจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีผู้สนใจกันมาก

มีผู้สืบไปสืบมาเขียนลงหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ บางเรื่องก็ว่าไม่จริง

จนกระทั่งมีผู้นำเรื่องไปทำละคร ทำหนังดูกันเกือบทั้งโลก แต่ก็ยังไม่มีใครมทราบแน่ว่า

จริงหรือไม่อยู่นั่นเอง จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทม์ของอเมริกาประจำวันที่

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ลงข่าวว่านักมานุษวิทยาที่มีชื่อเสียงของเยอรมันรวม 4 คน

ได้พิสูจน์รูปร่างหู จมูก และโหนกแก้ม จากรูปภาพของอนัสตาเวียรูปเก่าๆแล้ว

ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสอนัสตาเซียตัวจริงไม่มีสิทธิในกฏหมายที่

จะรับเงิน 20 ล้านรูเบิลส์ ( ประมาณ 645,000,000 บาท )

ซึ่งพระเจ้าซาร์ทรงฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศอังกฤษ


อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมที่ http://masterkey.exteen.com

ตอนแรกๆ นิโคลัสที่ 2 พระมเหสีและพระเจ้าลูกทั้ง 5 พระองค์ทรงถูกคุมขัง

ณ พระราชวังซาร์สโก เซโล รัฐบาลเฉพาะกาลได้ปฏิบัติต่อพระราชวงศ

์อย่างไม่เคร่งครัดนัก เพียงแต่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าเฝ้าโดยเด็ดขาด

โดยเฉพาะเคอเรนสกี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถึงกับเสนอรัฐบาล

ให้ยกเลิกกฎหมายการประหารชีวิตเสีย

โดยเขาคิดว่าจะเป็นการมิให้มีผู้เรียกร้องให้ทำการปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ได้

พวกโซเวียตแห่งมณฑลยูราลต้องการที่จะปลงพระชนม์นิโคลัสที่ 2

พร้อมทั้งมเหสีและพระเจ้าลูกทั้ง 5 พระองค์ เพราะเกรงว่าทางรัฐบาลกลาง

จะส่งพระราชวงศ์ไปให้เยอรมนี

วันที่ 12 กรกฎาคม 1918

กอลอชเชคิน ผู้แทนของโซเวียตแห่งยูรัลได้กลับจากมอสดก

ขาได้นำมติของคณะกรรมการต่างๆ ที่มอสโกมาแจ้งแผ้ควบคุมพระเจ้าซาร์ทั้งราชวงศ์ว่า

ทางพรรคโซเวียตแห่งยูรัลจะจัดการกับพระเจ้าซาร์อย่างไรก็แล้วแต่จะเห็นสมควร

และเมื่อพวกโซเวียตแห่งยูรัลได้รับข่าวว่ากองทัพเชคได้ยกผ่านเขตใต้เมืองเยกาเตอรินเบอร์กแล้ว

และเมืองเยกาเตอรินเบิร์ก คงจะแตกภายใน 3 วัน

พวกโซเวียตแห่งยูรัลเลยตัดสินใจที่จะปลงประชนม์ทุกพระองค์โดยเร็วที่สุด

วันที่ 13 กรกฏาคม 1918

พอยูรอฟสกี้ได้รับคำสั่งจากสแวร์ดลอฟ ผู้วางแผนในการปลงพระชนม์

เขากับกอลอชเชคินก็พากันออกไปหาสถานที่ที่จะทำลายพระศพได้ ทั้ง 2

คนไปพบเหมืองร้างแห่งหนึ่งห่างจากเมืองเยกาเตอรินเบิร์กไปประมาณ 14 ไมล์

ใกล้กับหมู่บ้านคอฟท์ยากี้ เหมืองนี้อยู่ติดกับสนสี่ต้น ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า

สนสี่พี่น้อง ส่วนพรคพวกที่เหลือก็จัดหาน้ำมัน 150 แกลลอน กรดกำมะถัน 400 ปอนด์

วันสิ้นพระชนม์ 16 กรกฏาคม 1918

ยูรอฟสกี้สั่งให้เด็กคนครัวออกไปจากที่คุมขัง เวลา 16.00 นิโคลัสที่ 2 พร้อมกับ

แกรนด์ ดัชชเสทั้ง 4 พระองค์เสด็จลงไปทรงเดินเล่นในสวน เวลา 19.00

ยูรอฟสกี้ก็เรียกพวกเชก้าเข้าไปในห้องทำงาน แบะสั่งให้ไปเก็บปืนรีวอลเวอร์จากทหารยามทุกคน

ซึ่งมี 12 กระบอกมาตั้งเรียงไว้บนโต๊ะ และว่า

คืนนี้เราจะยิงนักโทษทุกคนให้บอกยามข้างนอกว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนก็ไม่ต้องตกใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความลับ ทุกพระองค์ไม่ทรงล่วงรู้เหตุการณ์ใดๆเลย

เวลา 22.30 ทุกพระองค์เข้าที่บรรทม ครั้นเที่ยงคืน

ยูรอฟสกี้ได้ขึ้นไปปลุกและทูลให้ทุกพระองค์ฉลองพระองค์แล้วให้รีบไปข้างล่าง

เขาพูดเพียงว่า พวกเชคและกองทัพขาวกำลังเคลื่อนมาใกล้ทุกพระองค์ต่างรีบแต่งองค์

นิโคลัสที่ 2 ทรงประคองซาเรวัชลงมาก่อน ซาเรวิชทรงง่วงมากและทรงกอด

พระศอพระราชบิดาไว้แน่น ส่วนองค์อื่นๆก็ทรงรีบเสด็จตามลงมา

แกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซียทรงอุ้มสุนัขพันธุ์สเปเนียล ชื่อเจ้าจิมมี่

ยูรอฟสกี้สั่งให้ทุกพระองค์ทรงรออยู่ในห้อง จนกว่ารถยนต์จะมารับ ในนั้นมี

นายแพทย์บ๊อตกิ้น ทรุปป์ มหาดเล็กรับใช้ คาริโตนอฟ พ่อครัวและนางเดมิโดวา

นางเดมิโดวากอดหมอนไว้แน่น

เนื่องจากหมอนใบนั้นมีเครื่องเพชรส่วนพระองค์ซุกซ่อนอยู่

ชั่วครู่หนึ่งที่ในห้องนั้นสงบ ก็มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น

ยูรอฟสกี้นำหน้าและมีทหารหลายคนเปิดประตูพรวดเข้ามา ทุกคนมีอาวุธครบมือ ยูรอฟสกี้พูดว่า

ญาติของท่านได้พยายามลักพาท่าน แต่ไม่สำเร็จ เราจึงต้องประหารท่านเสีย

นิโคลัสที่ 2 กำลังประคองพระราชโอรส ทำท่าจะลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะทรงปกป้อง

กันพระราชโอรสและพระมเหสี พอรับสั่งคำว่า อะไร...

ยูรอฟสกี้ก็ยกปืนขึ้นเล็งที่พพระเศียรและลั่นไก นิโคลัสที่ 2

ทรงถูกพระแสงปืนสิ้นพระชนม์ทันที แกรนด์ดัชเชส โอลก้า ทาเทียน่า และมารี

ซึ่งมายืนเบื้องหลังพระราชมารดา ก็ถูกปืนสิ้นพระชนม์ไล่เลี่ยกัน ส่วนนายแพทย์บ๊อตคิน

พ่อครัว และทรุปป์ ล้มลงขาดใข นางเดมิโดวา นางสนองพระโอษฐ์ถูกยิง

แต่ไม่ฉกรรจ์ ได้วิ่งหนีไปรอบๆห้อง เชก้าเลยกลับออกไปจากห้องเพื่อหยิบปืนยาวมาไล่ยิง

นางวิ่งวุ่นเหมือนสัตว์ที่ติดอยู่ในกรง ใช้หมอนป้องปิดปากกระบอกปืน

ในที่สุดก็สิ้นแรงล้มลง พระเชก้าได้ใช้ดาบปลายปืนทิ่มแทงกว่า 30 ครั้ง

จนนางขาดใจตาย สุนัขจิมมี่ถูกตีด้วยพานท้ายปืนตาย ส่วนพรรยากาศภายในห้องตอนนี้

มีแต่ควัน โลหิตจากร่างพระศพไหลนองพื้นห้อง

มีเสียงครางเบาๆจากซาเรวิขที่ทอดพระวรกายบนพื้นห้อง

ทรงเอื้มพระหัตถ์ไปยึดชายฉลองพระองค์พระราชบิดาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

พวกเชก้าคนหนึ่งได้ตรงเข้าไปเตะที่พระเศียรด้วยเกือกบู๊ตแล้วยูรอฟสกี้

ี้ก็เข้าไปใช้ปืนจ่อยิงที่พระกรรมสองนัดขณะนั้นแกรนด์ดัเชสอนัสตาเซีย

ซึ่งเพียวแต่ตกพระทัยสลบไป ทรงฟื้นคืนพระสติขึ้นมา ทรงส่งเสียงพะสุรกรี๊ด

พวกเชก้าที่เป็นเพชรฆาตทั้งหมดก็ได้ระดมยิงและทิ่มแทงด้วยปลายปืน

เพียงครู่เดียว แกรนด์ดัชเชสองค์เล็กสิ้นพระชนม์

พระอาจารย์ปิแอร์ จิลลิยาร์ด ได้เขียนบรรยายว่า

พวกเชก้าได้นำพระศพและศพทั้งหมดไปที่เหมืองร้างที่อยู่ติดกับสนสี่ต้นที่ได้เตรียมไว้แล้ว

และพวกเชกาได้ใช้น้ำมันเบนซินกับกรดกำมะถันราดแล้วจุดไฟเผาจนศพไหม้เป็นจุณ

เสร็จแล้วเอากระดูกมารวมกันหมด

ต่อมาเมื่อกองทัพของนายพลเรือโคลชาตไดเเข้ยึดเมืองเยกาเตอรินเบิร์กได้ในเดือน

มกราคม 1919 เขาได้สั่งให้คณะผู้ติดตามที่รู้เรื่องเหมืองร้างค้นหาซากศพ

คณะเหล่านี้ประกอบด้วยตัวพระอาจารย์ปิแอร์เอง

ได้พบว่าบรรดากองกระดูกที่ไหม้ไฟนั้นยังมีเครื่องประดับบางชิ้นของ

พระนางอเล็กซานดราและพระราชธิดาอยู่ด้วย และยังพบเข็มขัดคาดเอวของทั้งนิโคลัสที่ 2

และพระราชโอรสด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานปรากฎว่าทุกๆพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างแน่นอนแล้วก็ตามที

ชั่วเวลาอีกประมาณ 10 ปีต่อมาได้มีสตรีนางหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้อ้างว่านางคือ

อนัสตาเซีย วันที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้น อนาสตาเซียทรงถูกยิง

แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงเพียงแต่สลบไป

และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนายทหารหนุ่มพี่น้องตระกูลไชคอฟสกี้

ที่พาหนีเล็ดลอดออกนอกประเทศไปที่ประเทศโรมาเนีย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต

( เกี่ยวกับถนนรังสิตของเรารึเปล่าไม่รู้ น่าคิดแหะ ^^ ) ได้ทรงวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ว่า

สตรีที่อ้างว่าชื่ออนาสตาเซียและเป็นธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าซาร์นั้นเดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตอยู่

(ค.ศ.1958 ) เรื่องที่นางอ้างจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีผู้สนใจกันมาก

มีผู้สืบไปสืบมาเขียนลงหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ บางเรื่องก็ว่าไม่จริง

จนกระทั่งมีผู้นำเรื่องไปทำละคร ทำหนังดูกันเกือบทั้งโลก แต่ก็ยังไม่มีใครมทราบแน่ว่า

จริงหรือไม่อยู่นั่นเอง จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทม์ของอเมริกาประจำวันที่

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ลงข่าวว่านักมานุษวิทยาที่มีชื่อเสียงของเยอรมันรวม 4 คน

ได้พิสูจน์รูปร่างหู จมูก และโหนกแก้ม จากรูปภาพของอนัสตาเวียรูปเก่าๆแล้ว

ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสอนัสตาเซียตัวจริงไม่มีสิทธิในกฏหมายที่

จะรับเงิน 20 ล้านรูเบิลส์ ( ประมาณ 645,000,000 บาท )

ซึ่งพระเจ้าซาร์ทรงฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศอังกฤษ


อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมที่ http://masterkey.exteen.com

พระอาจารย์ปิแอร์ จิลลิยาร์ด ได้เขียนบรรยายว่า

พวกเชก้าได้นำพระศพและศพทั้งหมดไปที่เหมืองร้างที่อยู่ติดกับสนสี่ต้นที่ได้เตรียมไว้แล้ว

และพวกเชกาได้ใช้น้ำมันเบนซินกับกรดกำมะถันราดแล้วจุดไฟเผาจนศพไหม้เป็นจุณ

เสร็จแล้วเอากระดูกมารวมกันหมด

ต่อมาเมื่อกองทัพของนายพลเรือโคลชาตไดเเข้ยึดเมืองเยกาเตอรินเบิร์กได้ในเดือน

มกราคม 1919 เขาได้สั่งให้คณะผู้ติดตามที่รู้เรื่องเหมืองร้างค้นหาซากศพ

คณะเหล่านี้ประกอบด้วยตัวพระอาจารย์ปิแอร์เอง

ได้พบว่าบรรดากองกระดูกที่ไหม้ไฟนั้นยังมีเครื่องประดับบางชิ้นของ

พระนางอเล็กซานดราและพระราชธิดาอยู่ด้วย และยังพบเข็มขัดคาดเอวของทั้งนิโคลัสที่ 2

และพระราชโอรสด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานปรากฎว่าทุกๆพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างแน่นอนแล้วก็ตามที

ชั่วเวลาอีกประมาณ 10 ปีต่อมาได้มีสตรีนางหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้อ้างว่านางคือ

อนัสตาเซีย วันที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้น อนาสตาเซียทรงถูกยิง

แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงเพียงแต่สลบไป

และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนายทหารหนุ่มพี่น้องตระกูลไชคอฟสกี้

ที่พาหนีเล็ดลอดออกนอกประเทศไปที่ประเทศโรมาเนีย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต

( เกี่ยวกับถนนรังสิตของเรารึเปล่าไม่รู้ น่าคิดแหะ ^^ ) ได้ทรงวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ว่า

สตรีที่อ้างว่าชื่ออนาสตาเซียและเป็นธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าซาร์นั้นเดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตอยู่

(ค.ศ.1958 ) เรื่องที่นางอ้างจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีผู้สนใจกันมาก

มีผู้สืบไปสืบมาเขียนลงหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ บางเรื่องก็ว่าไม่จริง

จนกระทั่งมีผู้นำเรื่องไปทำละคร ทำหนังดูกันเกือบทั้งโลก แต่ก็ยังไม่มีใครมทราบแน่ว่า

จริงหรือไม่อยู่นั่นเอง จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทม์ของอเมริกาประจำวันที่

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ลงข่าวว่านักมานุษวิทยาที่มีชื่อเสียงของเยอรมันรวม 4 คน

ได้พิสูจน์รูปร่างหู จมูก และโหนกแก้ม จากรูปภาพของอนัสตาเวียรูปเก่าๆแล้ว

ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสอนัสตาเซียตัวจริงไม่มีสิทธิในกฏหมายที่

จะรับเงิน 20 ล้านรูเบิลส์ ( ประมาณ 645,000,000 บาท )

ซึ่งพระเจ้าซาร์ทรงฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศอังกฤษ


อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมที่ http://masterkey.exteen.com

ผู้ร่วมงานในการฆ่ารัสปูติน

เจ้าชายยูซซูปอฟทรงหาผู้ร่วมงานในการวางแผนฆ่ารัสปูตินได้ 5 คน เช่น

ปูริชเกวิช ผู้ที่มีอายุมากที่สุดผู้ นายทหารลาโซเวร์ต นายแพทย์ทหาร

และแกรนด์ ดยุค ดมิทริ พัฟโลวิช พระโอรสชองพระเจ้าอาองค์เล็ก

ของนิโคลลัสที่ 2 คือ แกรนด์ ดยุคปอล

เนื่องจากรัสปูตินเป็นคนที่ชอบใจอิสตรีผู้สูงศักดิ์เป็นคนที่บ้าตัณหาราคะ

ชอบใจภรรยาผู้อื่นแล้ว จึงทำให้พวกร่วมในขบวนการไม่ลำบาก

ในการวางแผนเท่าไหร่นัก รัสปูตินเคยมีความหลงใหลในเจ้าหญิงอิรินา

ชายาของยูซซูปอฟเป็นเวลามานานแล้ว เจ้าชายยูซซูปอฟได้บอกแก่รัสปูตินว่า

เจ้าหญิงทรงเชิญให้เข้าเฝ้าที่วังมอยกา รัสปูตินจึงไม่รอที่จะตอบรับคำเชิญ

จากแผนการของยูซซูปอฟนั้นมีว่าเจ้าชายจะเป็นผู้ที่ไปรับรัสปูตินมายังรถซึ่ง

มีดอกเตอร์ลาโซเวร์ตปลอมเป็นคนขับรถมายังห้องใต้ดิน

ซึ่งได้จัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี ห้องใต้ดินเป็นห้องเพดานต่ำ

ผนังเป็นหินเป็นสีน้ำตาลพื้นปูด้วยหินแกรนิต มีเก้าอี้ไม้โอ๊กสลัก

นายแพทย์ลาโซเวร์ตได้จัดการผสมสารหนูซึ่งเขานำมาบดละเอียดลงใน

ชั้นของขนมเค้กและผสมลงในสุราชื่อมะไดรา

ประสิทธิภาพของสารหนูพวกนี้สามารถจะปลิดชีวิตของคนหลายคนได้ในทันที

รัสปูตินหยิบขนมเค้กเข้าปากไปถึง 2 ชิ้น แต่ไม่ได้ปฏิกิริยาใดๆทั้งสิ้น

หลักจากนั้นเขาก็ยังดื่มสุราซึ่งมียาพิเช่นเดียวกันอีกถึง 2 แก้ว

เวลาผ่านไปถึง 2 ชั่วโมง รัสปูตินก็ยังมีอาการปกต

ิแถมยังขอให้เจ้าชายยูซซูปอฟร้องเพลงและเล่นกีตาร์ให้ฟัง

ฝ่ายนายแพทย์ลาโซเวร์ตซึ่งเฝ้าดูอย่างตื่นเต้นเป็นลมไป แล้วพักหนึ่ง

ส่วนแกรนด์ ดยุค ดมิทรินั้น ทรงบอกพรรคพวกให้ล้มเลิกแผนการ

แต่ปูริชเกวิชไม่ยอมล้มเลิก เจ้าชายยูซซูปอฟจึงตัดสินพระทัยยิงรัสปูตินจากด้านหลัง

รัสปูตินล้มฟุบไป นายแพทย์ลาโซเวร์ตจับข้อมือรัสปูตินคลำชีพจรแล้วบอกแก่พรรคพวกว่า

รัสปูตินตายแล้ว ทัยใดรัสปูตินก็บิดตัว ใบหน้ากระตุก ตาซ้ายลืมโพลง

แล้วก็ลืมตาขวา กรอกลูกตาเขียวปัดทั้ง 2 ข้างไปมา น้ำลายฟูมปาก

ปราดเข้ามาบีบคอยูซซูปอฟแล้วก็วิ่งหนีอย่างรวดเร็วตรงไปยังประตูวัง

ยูซซูปอฟจึงทำการยิงออกไปอีก 3 นัด ถูกที่ไหล่ของรัสปูติน นัดที่ 4

ถูกที่ศิรษะของเขา ยูซซูปอฟตรงเข้าไปเตะที่ขมับของรัสปูตินอย่างสุดแรงเกิด

ทำให้รัสปูตินล้มฟุบไปกับหิมะ เขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่ที่ทำได้ก็เพียงแยกเขี้ยวแค่นั้น

หลังจากศพของเขาซึ่งถูกพันธนาการอย่างแน่นหนาได้ถูกนำไปยังทะเลสาบเนวาซึ่งเป็นน้ำแข็ง

อีกสามวันต่อมามีผู้พบศพของเขาปรากฏว่าจมน้ำตายทั้งๆภายในปอดเต็มไปด้วยยาพิและกระสุนปืน

เชือกที่รัดมือทั้งสองของเขาอย่างแน่นหนานั้นหลุดออกได้อย่างน่าอัศจรรย์

อย่างน้อยประวัติศาสตร์ก็ให้เรารู้ว่า รัสปูตินว่ายน้ำไม่เป็น

ตอนแรกๆ นิโคลัสที่ 2 พระมเหสีและพระเจ้าลูกทั้ง 5 พระองค์ทรงถูกคุมขัง

ณ พระราชวังซาร์สโก เซโล รัฐบาลเฉพาะกาลได้ปฏิบัติต่อพระราชวงศ

์อย่างไม่เคร่งครัดนัก เพียงแต่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าเฝ้าโดยเด็ดขาด

โดยเฉพาะเคอเรนสกี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถึงกับเสนอรัฐบาล

ให้ยกเลิกกฎหมายการประหารชีวิตเสีย

โดยเขาคิดว่าจะเป็นการมิให้มีผู้เรียกร้องให้ทำการปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ได้

พวกโซเวียตแห่งมณฑลยูราลต้องการที่จะปลงพระชนม์นิโคลัสที่ 2

พร้อมทั้งมเหสีและพระเจ้าลูกทั้ง 5 พระองค์ เพราะเกรงว่าทางรัฐบาลกลาง

จะส่งพระราชวงศ์ไปให้เยอรมนี

วันที่ 12 กรกฎาคม 1918

กอลอชเชคิน ผู้แทนของโซเวียตแห่งยูรัลได้กลับจากมอสดก

ขาได้นำมติของคณะกรรมการต่างๆ ที่มอสโกมาแจ้งแผ้ควบคุมพระเจ้าซาร์ทั้งราชวงศ์ว่า

ทางพรรคโซเวียตแห่งยูรัลจะจัดการกับพระเจ้าซาร์อย่างไรก็แล้วแต่จะเห็นสมควร

และเมื่อพวกโซเวียตแห่งยูรัลได้รับข่าวว่ากองทัพเชคได้ยกผ่านเขตใต้เมืองเยกาเตอรินเบอร์กแล้ว

และเมืองเยกาเตอรินเบิร์ก คงจะแตกภายใน 3 วัน

พวกโซเวียตแห่งยูรัลเลยตัดสินใจที่จะปลงประชนม์ทุกพระองค์โดยเร็วที่สุด

วันที่ 13 กรกฏาคม 1918

พอยูรอฟสกี้ได้รับคำสั่งจากสแวร์ดลอฟ ผู้วางแผนในการปลงพระชนม์

เขากับกอลอชเชคินก็พากันออกไปหาสถานที่ที่จะทำลายพระศพได้ ทั้ง 2

คนไปพบเหมืองร้างแห่งหนึ่งห่างจากเมืองเยกาเตอรินเบิร์กไปประมาณ 14 ไมล์

ใกล้กับหมู่บ้านคอฟท์ยากี้ เหมืองนี้อยู่ติดกับสนสี่ต้น ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า

สนสี่พี่น้อง ส่วนพรคพวกที่เหลือก็จัดหาน้ำมัน 150 แกลลอน กรดกำมะถัน 400 ปอนด์

วันสิ้นพระชนม์ 16 กรกฏาคม 1918

ยูรอฟสกี้สั่งให้เด็กคนครัวออกไปจากที่คุมขัง เวลา 16.00 นิโคลัสที่ 2 พร้อมกับ

แกรนด์ ดัชชเสทั้ง 4 พระองค์เสด็จลงไปทรงเดินเล่นในสวน เวลา 19.00

ยูรอฟสกี้ก็เรียกพวกเชก้าเข้าไปในห้องทำงาน แบะสั่งให้ไปเก็บปืนรีวอลเวอร์จากทหารยามทุกคน

ซึ่งมี 12 กระบอกมาตั้งเรียงไว้บนโต๊ะ และว่า

คืนนี้เราจะยิงนักโทษทุกคนให้บอกยามข้างนอกว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนก็ไม่ต้องตกใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความลับ ทุกพระองค์ไม่ทรงล่วงรู้เหตุการณ์ใดๆเลย

เวลา 22.30 ทุกพระองค์เข้าที่บรรทม ครั้นเที่ยงคืน

ยูรอฟสกี้ได้ขึ้นไปปลุกและทูลให้ทุกพระองค์ฉลองพระองค์แล้วให้รีบไปข้างล่าง

เขาพูดเพียงว่า พวกเชคและกองทัพขาวกำลังเคลื่อนมาใกล้ทุกพระองค์ต่างรีบแต่งองค์

นิโคลัสที่ 2 ทรงประคองซาเรวัชลงมาก่อน ซาเรวิชทรงง่วงมากและทรงกอด

พระศอพระราชบิดาไว้แน่น ส่วนองค์อื่นๆก็ทรงรีบเสด็จตามลงมา

แกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซียทรงอุ้มสุนัขพันธุ์สเปเนียล ชื่อเจ้าจิมมี่

ยูรอฟสกี้สั่งให้ทุกพระองค์ทรงรออยู่ในห้อง จนกว่ารถยนต์จะมารับ ในนั้นมี

นายแพทย์บ๊อตกิ้น ทรุปป์ มหาดเล็กรับใช้ คาริโตนอฟ พ่อครัวและนางเดมิโดวา

นางเดมิโดวากอดหมอนไว้แน่น

เนื่องจากหมอนใบนั้นมีเครื่องเพชรส่วนพระองค์ซุกซ่อนอยู่

ชั่วครู่หนึ่งที่ในห้องนั้นสงบ ก็มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น

ยูรอฟสกี้นำหน้าและมีทหารหลายคนเปิดประตูพรวดเข้ามา ทุกคนมีอาวุธครบมือ ยูรอฟสกี้พูดว่า

ญาติของท่านได้พยายามลักพาท่าน แต่ไม่สำเร็จ เราจึงต้องประหารท่านเสีย

นิโคลัสที่ 2 กำลังประคองพระราชโอรส ทำท่าจะลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะทรงปกป้อง

กันพระราชโอรสและพระมเหสี พอรับสั่งคำว่า อะไร...

ยูรอฟสกี้ก็ยกปืนขึ้นเล็งที่พพระเศียรและลั่นไก นิโคลัสที่ 2

ทรงถูกพระแสงปืนสิ้นพระชนม์ทันที แกรนด์ดัชเชส โอลก้า ทาเทียน่า และมารี

ซึ่งมายืนเบื้องหลังพระราชมารดา ก็ถูกปืนสิ้นพระชนม์ไล่เลี่ยกัน ส่วนนายแพทย์บ๊อตคิน

พ่อครัว และทรุปป์ ล้มลงขาดใข นางเดมิโดวา นางสนองพระโอษฐ์ถูกยิง

แต่ไม่ฉกรรจ์ ได้วิ่งหนีไปรอบๆห้อง เชก้าเลยกลับออกไปจากห้องเพื่อหยิบปืนยาวมาไล่ยิง

นางวิ่งวุ่นเหมือนสัตว์ที่ติดอยู่ในกรง ใช้หมอนป้องปิดปากกระบอกปืน

ในที่สุดก็สิ้นแรงล้มลง พระเชก้าได้ใช้ดาบปลายปืนทิ่มแทงกว่า 30 ครั้ง

จนนางขาดใจตาย สุนัขจิมมี่ถูกตีด้วยพานท้ายปืนตาย ส่วนพรรยากาศภายในห้องตอนนี้

มีแต่ควัน โลหิตจากร่างพระศพไหลนองพื้นห้อง

มีเสียงครางเบาๆจากซาเรวิขที่ทอดพระวรกายบนพื้นห้อง

ทรงเอื้มพระหัตถ์ไปยึดชายฉลองพระองค์พระราชบิดาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

พวกเชก้าคนหนึ่งได้ตรงเข้าไปเตะที่พระเศียรด้วยเกือกบู๊ตแล้วยูรอฟสกี้

ี้ก็เข้าไปใช้ปืนจ่อยิงที่พระกรรมสองนัดขณะนั้นแกรนด์ดัเชสอนัสตาเซีย

ซึ่งเพียวแต่ตกพระทัยสลบไป ทรงฟื้นคืนพระสติขึ้นมา ทรงส่งเสียงพะสุรกรี๊ด

พวกเชก้าที่เป็นเพชรฆาตทั้งหมดก็ได้ระดมยิงและทิ่มแทงด้วยปลายปืน

เพียงครู่เดียว แกรนด์ดัชเชสองค์เล็กสิ้นพระชนม์

พระอาจารย์ปิแอร์ จิลลิยาร์ด ได้เขียนบรรยายว่า

พวกเชก้าได้นำพระศพและศพทั้งหมดไปที่เหมืองร้างที่อยู่ติดกับสนสี่ต้นที่ได้เตรียมไว้แล้ว

และพวกเชกาได้ใช้น้ำมันเบนซินกับกรดกำมะถันราดแล้วจุดไฟเผาจนศพไหม้เป็นจุณ

เสร็จแล้วเอากระดูกมารวมกันหมด

ต่อมาเมื่อกองทัพของนายพลเรือโคลชาตไดเเข้ยึดเมืองเยกาเตอรินเบิร์กได้ในเดือน

มกราคม 1919 เขาได้สั่งให้คณะผู้ติดตามที่รู้เรื่องเหมืองร้างค้นหาซากศพ

คณะเหล่านี้ประกอบด้วยตัวพระอาจารย์ปิแอร์เอง

ได้พบว่าบรรดากองกระดูกที่ไหม้ไฟนั้นยังมีเครื่องประดับบางชิ้นของ

พระนางอเล็กซานดราและพระราชธิดาอยู่ด้วย และยังพบเข็มขัดคาดเอวของทั้งนิโคลัสที่ 2

และพระราชโอรสด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานปรากฎว่าทุกๆพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างแน่นอนแล้วก็ตามที

ชั่วเวลาอีกประมาณ 10 ปีต่อมาได้มีสตรีนางหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้อ้างว่านางคือ

อนัสตาเซีย วันที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้น อนาสตาเซียทรงถูกยิง

แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงเพียงแต่สลบไป

และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนายทหารหนุ่มพี่น้องตระกูลไชคอฟสกี้

ที่พาหนีเล็ดลอดออกนอกประเทศไปที่ประเทศโรมาเนีย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต

( เกี่ยวกับถนนรังสิตของเรารึเปล่าไม่รู้ น่าคิดแหะ ^^ ) ได้ทรงวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ว่า

สตรีที่อ้างว่าชื่ออนาสตาเซียและเป็นธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าซาร์นั้นเดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตอยู่

(ค.ศ.1958 ) เรื่องที่นางอ้างจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีผู้สนใจกันมาก

มีผู้สืบไปสืบมาเขียนลงหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ บางเรื่องก็ว่าไม่จริง

จนกระทั่งมีผู้นำเรื่องไปทำละคร ทำหนังดูกันเกือบทั้งโลก แต่ก็ยังไม่มีใครมทราบแน่ว่า

จริงหรือไม่อยู่นั่นเอง จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทม์ของอเมริกาประจำวันที่

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ลงข่าวว่านักมานุษวิทยาที่มีชื่อเสียงของเยอรมันรวม 4 คน

ได้พิสูจน์รูปร่างหู จมูก และโหนกแก้ม จากรูปภาพของอนัสตาเวียรูปเก่าๆแล้ว

ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสอนัสตาเซียตัวจริงไม่มีสิทธิในกฏหมายที่

จะรับเงิน 20 ล้านรูเบิลส์ ( ประมาณ 645,000,000 บาท )

ซึ่งพระเจ้าซาร์ทรงฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศอังกฤษ


อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมที่ http://masterkey.exteen.com

พระอาจารย์ปิแอร์ จิลลิยาร์ด ได้เขียนบรรยายว่า

พวกเชก้าได้นำพระศพและศพทั้งหมดไปที่เหมืองร้างที่อยู่ติดกับสนสี่ต้นที่ได้เตรียมไว้แล้ว

และพวกเชกาได้ใช้น้ำมันเบนซินกับกรดกำมะถันราดแล้วจุดไฟเผาจนศพไหม้เป็นจุณ

เสร็จแล้วเอากระดูกมารวมกันหมด

ต่อมาเมื่อกองทัพของนายพลเรือโคลชาตไดเเข้ยึดเมืองเยกาเตอรินเบิร์กได้ในเดือน

มกราคม 1919 เขาได้สั่งให้คณะผู้ติดตามที่รู้เรื่องเหมืองร้างค้นหาซากศพ

คณะเหล่านี้ประกอบด้วยตัวพระอาจารย์ปิแอร์เอง

ได้พบว่าบรรดากองกระดูกที่ไหม้ไฟนั้นยังมีเครื่องประดับบางชิ้นของ

พระนางอเล็กซานดราและพระราชธิดาอยู่ด้วย และยังพบเข็มขัดคาดเอวของทั้งนิโคลัสที่ 2

และพระราชโอรสด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานปรากฎว่าทุกๆพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างแน่นอนแล้วก็ตามที

ชั่วเวลาอีกประมาณ 10 ปีต่อมาได้มีสตรีนางหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้อ้างว่านางคือ

อนัสตาเซีย วันที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้น อนาสตาเซียทรงถูกยิง

แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงเพียงแต่สลบไป

และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนายทหารหนุ่มพี่น้องตระกูลไชคอฟสกี้

ที่พาหนีเล็ดลอดออกนอกประเทศไปที่ประเทศโรมาเนีย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต

( เกี่ยวกับถนนรังสิตของเรารึเปล่าไม่รู้ น่าคิดแหะ ^^ ) ได้ทรงวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ว่า

สตรีที่อ้างว่าชื่ออนาสตาเซียและเป็นธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าซาร์นั้นเดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตอยู่

(ค.ศ.1958 ) เรื่องที่นางอ้างจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีผู้สนใจกันมาก

มีผู้สืบไปสืบมาเขียนลงหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ บางเรื่องก็ว่าไม่จริง

จนกระทั่งมีผู้นำเรื่องไปทำละคร ทำหนังดูกันเกือบทั้งโลก แต่ก็ยังไม่มีใครมทราบแน่ว่า

จริงหรือไม่อยู่นั่นเอง จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทม์ของอเมริกาประจำวันที่

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ลงข่าวว่านักมานุษวิทยาที่มีชื่อเสียงของเยอรมันรวม 4 คน

ได้พิสูจน์รูปร่างหู จมูก และโหนกแก้ม จากรูปภาพของอนัสตาเวียรูปเก่าๆแล้ว

ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสอนัสตาเซียตัวจริงไม่มีสิทธิในกฏหมายที่

จะรับเงิน 20 ล้านรูเบิลส์ ( ประมาณ 645,000,000 บาท )

ซึ่งพระเจ้าซาร์ทรงฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศอังกฤษ


อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมที่ http://masterkey.exteen.com

ตอนแรกๆ นิโคลัสที่ 2 พระมเหสีและพระเจ้าลูกทั้ง 5 พระองค์ทรงถูกคุมขัง

ณ พระราชวังซาร์สโก เซโล รัฐบาลเฉพาะกาลได้ปฏิบัติต่อพระราชวงศ

์อย่างไม่เคร่งครัดนัก เพียงแต่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าเฝ้าโดยเด็ดขาด

โดยเฉพาะเคอเรนสกี้ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมถึงกับเสนอรัฐบาล

ให้ยกเลิกกฎหมายการประหารชีวิตเสีย

โดยเขาคิดว่าจะเป็นการมิให้มีผู้เรียกร้องให้ทำการปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ได้

พวกโซเวียตแห่งมณฑลยูราลต้องการที่จะปลงพระชนม์นิโคลัสที่ 2

พร้อมทั้งมเหสีและพระเจ้าลูกทั้ง 5 พระองค์ เพราะเกรงว่าทางรัฐบาลกลาง

จะส่งพระราชวงศ์ไปให้เยอรมนี

วันที่ 12 กรกฎาคม 1918

กอลอชเชคิน ผู้แทนของโซเวียตแห่งยูรัลได้กลับจากมอสดก

ขาได้นำมติของคณะกรรมการต่างๆ ที่มอสโกมาแจ้งแผ้ควบคุมพระเจ้าซาร์ทั้งราชวงศ์ว่า

ทางพรรคโซเวียตแห่งยูรัลจะจัดการกับพระเจ้าซาร์อย่างไรก็แล้วแต่จะเห็นสมควร

และเมื่อพวกโซเวียตแห่งยูรัลได้รับข่าวว่ากองทัพเชคได้ยกผ่านเขตใต้เมืองเยกาเตอรินเบอร์กแล้ว

และเมืองเยกาเตอรินเบิร์ก คงจะแตกภายใน 3 วัน

พวกโซเวียตแห่งยูรัลเลยตัดสินใจที่จะปลงประชนม์ทุกพระองค์โดยเร็วที่สุด

วันที่ 13 กรกฏาคม 1918

พอยูรอฟสกี้ได้รับคำสั่งจากสแวร์ดลอฟ ผู้วางแผนในการปลงพระชนม์

เขากับกอลอชเชคินก็พากันออกไปหาสถานที่ที่จะทำลายพระศพได้ ทั้ง 2

คนไปพบเหมืองร้างแห่งหนึ่งห่างจากเมืองเยกาเตอรินเบิร์กไปประมาณ 14 ไมล์

ใกล้กับหมู่บ้านคอฟท์ยากี้ เหมืองนี้อยู่ติดกับสนสี่ต้น ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า

สนสี่พี่น้อง ส่วนพรคพวกที่เหลือก็จัดหาน้ำมัน 150 แกลลอน กรดกำมะถัน 400 ปอนด์

วันสิ้นพระชนม์ 16 กรกฏาคม 1918

ยูรอฟสกี้สั่งให้เด็กคนครัวออกไปจากที่คุมขัง เวลา 16.00 นิโคลัสที่ 2 พร้อมกับ

แกรนด์ ดัชชเสทั้ง 4 พระองค์เสด็จลงไปทรงเดินเล่นในสวน เวลา 19.00

ยูรอฟสกี้ก็เรียกพวกเชก้าเข้าไปในห้องทำงาน แบะสั่งให้ไปเก็บปืนรีวอลเวอร์จากทหารยามทุกคน

ซึ่งมี 12 กระบอกมาตั้งเรียงไว้บนโต๊ะ และว่า

คืนนี้เราจะยิงนักโทษทุกคนให้บอกยามข้างนอกว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนก็ไม่ต้องตกใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความลับ ทุกพระองค์ไม่ทรงล่วงรู้เหตุการณ์ใดๆเลย

เวลา 22.30 ทุกพระองค์เข้าที่บรรทม ครั้นเที่ยงคืน

ยูรอฟสกี้ได้ขึ้นไปปลุกและทูลให้ทุกพระองค์ฉลองพระองค์แล้วให้รีบไปข้างล่าง

เขาพูดเพียงว่า พวกเชคและกองทัพขาวกำลังเคลื่อนมาใกล้ทุกพระองค์ต่างรีบแต่งองค์

นิโคลัสที่ 2 ทรงประคองซาเรวัชลงมาก่อน ซาเรวิชทรงง่วงมากและทรงกอด

พระศอพระราชบิดาไว้แน่น ส่วนองค์อื่นๆก็ทรงรีบเสด็จตามลงมา

แกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซียทรงอุ้มสุนัขพันธุ์สเปเนียล ชื่อเจ้าจิมมี่

ยูรอฟสกี้สั่งให้ทุกพระองค์ทรงรออยู่ในห้อง จนกว่ารถยนต์จะมารับ ในนั้นมี

นายแพทย์บ๊อตกิ้น ทรุปป์ มหาดเล็กรับใช้ คาริโตนอฟ พ่อครัวและนางเดมิโดวา

นางเดมิโดวากอดหมอนไว้แน่น

เนื่องจากหมอนใบนั้นมีเครื่องเพชรส่วนพระองค์ซุกซ่อนอยู่

ชั่วครู่หนึ่งที่ในห้องนั้นสงบ ก็มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น

ยูรอฟสกี้นำหน้าและมีทหารหลายคนเปิดประตูพรวดเข้ามา ทุกคนมีอาวุธครบมือ ยูรอฟสกี้พูดว่า

ญาติของท่านได้พยายามลักพาท่าน แต่ไม่สำเร็จ เราจึงต้องประหารท่านเสีย

นิโคลัสที่ 2 กำลังประคองพระราชโอรส ทำท่าจะลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะทรงปกป้อง

กันพระราชโอรสและพระมเหสี พอรับสั่งคำว่า อะไร...

ยูรอฟสกี้ก็ยกปืนขึ้นเล็งที่พพระเศียรและลั่นไก นิโคลัสที่ 2

ทรงถูกพระแสงปืนสิ้นพระชนม์ทันที แกรนด์ดัชเชส โอลก้า ทาเทียน่า และมารี

ซึ่งมายืนเบื้องหลังพระราชมารดา ก็ถูกปืนสิ้นพระชนม์ไล่เลี่ยกัน ส่วนนายแพทย์บ๊อตคิน

พ่อครัว และทรุปป์ ล้มลงขาดใข นางเดมิโดวา นางสนองพระโอษฐ์ถูกยิง

แต่ไม่ฉกรรจ์ ได้วิ่งหนีไปรอบๆห้อง เชก้าเลยกลับออกไปจากห้องเพื่อหยิบปืนยาวมาไล่ยิง

นางวิ่งวุ่นเหมือนสัตว์ที่ติดอยู่ในกรง ใช้หมอนป้องปิดปากกระบอกปืน

ในที่สุดก็สิ้นแรงล้มลง พระเชก้าได้ใช้ดาบปลายปืนทิ่มแทงกว่า 30 ครั้ง

จนนางขาดใจตาย สุนัขจิมมี่ถูกตีด้วยพานท้ายปืนตาย ส่วนพรรยากาศภายในห้องตอนนี้

มีแต่ควัน โลหิตจากร่างพระศพไหลนองพื้นห้อง

มีเสียงครางเบาๆจากซาเรวิขที่ทอดพระวรกายบนพื้นห้อง

ทรงเอื้มพระหัตถ์ไปยึดชายฉลองพระองค์พระราชบิดาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

พวกเชก้าคนหนึ่งได้ตรงเข้าไปเตะที่พระเศียรด้วยเกือกบู๊ตแล้วยูรอฟสกี้

ี้ก็เข้าไปใช้ปืนจ่อยิงที่พระกรรมสองนัดขณะนั้นแกรนด์ดัเชสอนัสตาเซีย

ซึ่งเพียวแต่ตกพระทัยสลบไป ทรงฟื้นคืนพระสติขึ้นมา ทรงส่งเสียงพะสุรกรี๊ด

พวกเชก้าที่เป็นเพชรฆาตทั้งหมดก็ได้ระดมยิงและทิ่มแทงด้วยปลายปืน

เพียงครู่เดียว แกรนด์ดัชเชสองค์เล็กสิ้นพระชนม์

พระอาจารย์ปิแอร์ จิลลิยาร์ด ได้เขียนบรรยายว่า

พวกเชก้าได้นำพระศพและศพทั้งหมดไปที่เหมืองร้างที่อยู่ติดกับสนสี่ต้นที่ได้เตรียมไว้แล้ว

และพวกเชกาได้ใช้น้ำมันเบนซินกับกรดกำมะถันราดแล้วจุดไฟเผาจนศพไหม้เป็นจุณ

เสร็จแล้วเอากระดูกมารวมกันหมด

ต่อมาเมื่อกองทัพของนายพลเรือโคลชาตไดเเข้ยึดเมืองเยกาเตอรินเบิร์กได้ในเดือน

มกราคม 1919 เขาได้สั่งให้คณะผู้ติดตามที่รู้เรื่องเหมืองร้างค้นหาซากศพ

คณะเหล่านี้ประกอบด้วยตัวพระอาจารย์ปิแอร์เอง

ได้พบว่าบรรดากองกระดูกที่ไหม้ไฟนั้นยังมีเครื่องประดับบางชิ้นของ

พระนางอเล็กซานดราและพระราชธิดาอยู่ด้วย และยังพบเข็มขัดคาดเอวของทั้งนิโคลัสที่ 2

และพระราชโอรสด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานปรากฎว่าทุกๆพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างแน่นอนแล้วก็ตามที

ชั่วเวลาอีกประมาณ 10 ปีต่อมาได้มีสตรีนางหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้อ้างว่านางคือ

อนัสตาเซีย วันที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้น อนาสตาเซียทรงถูกยิง

แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงเพียงแต่สลบไป

และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนายทหารหนุ่มพี่น้องตระกูลไชคอฟสกี้

ที่พาหนีเล็ดลอดออกนอกประเทศไปที่ประเทศโรมาเนีย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต

( เกี่ยวกับถนนรังสิตของเรารึเปล่าไม่รู้ น่าคิดแหะ ^^ ) ได้ทรงวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ว่า

สตรีที่อ้างว่าชื่ออนาสตาเซียและเป็นธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าซาร์นั้นเดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตอยู่

(ค.ศ.1958 ) เรื่องที่นางอ้างจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีผู้สนใจกันมาก

มีผู้สืบไปสืบมาเขียนลงหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ บางเรื่องก็ว่าไม่จริง

จนกระทั่งมีผู้นำเรื่องไปทำละคร ทำหนังดูกันเกือบทั้งโลก แต่ก็ยังไม่มีใครมทราบแน่ว่า

จริงหรือไม่อยู่นั่นเอง จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทม์ของอเมริกาประจำวันที่

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ลงข่าวว่านักมานุษวิทยาที่มีชื่อเสียงของเยอรมันรวม 4 คน

ได้พิสูจน์รูปร่างหู จมูก และโหนกแก้ม จากรูปภาพของอนัสตาเวียรูปเก่าๆแล้ว

ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสอนัสตาเซียตัวจริงไม่มีสิทธิในกฏหมายที่

จะรับเงิน 20 ล้านรูเบิลส์ ( ประมาณ 645,000,000 บาท )

ซึ่งพระเจ้าซาร์ทรงฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศอังกฤษ


อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมที่ http://masterkey.exteen.com

พระอาจารย์ปิแอร์ จิลลิยาร์ด ได้เขียนบรรยายว่า

พวกเชก้าได้นำพระศพและศพทั้งหมดไปที่เหมืองร้างที่อยู่ติดกับสนสี่ต้นที่ได้เตรียมไว้แล้ว

และพวกเชกาได้ใช้น้ำมันเบนซินกับกรดกำมะถันราดแล้วจุดไฟเผาจนศพไหม้เป็นจุณ

เสร็จแล้วเอากระดูกมารวมกันหมด

ต่อมาเมื่อกองทัพของนายพลเรือโคลชาตไดเเข้ยึดเมืองเยกาเตอรินเบิร์กได้ในเดือน

มกราคม 1919 เขาได้สั่งให้คณะผู้ติดตามที่รู้เรื่องเหมืองร้างค้นหาซากศพ

คณะเหล่านี้ประกอบด้วยตัวพระอาจารย์ปิแอร์เอง

ได้พบว่าบรรดากองกระดูกที่ไหม้ไฟนั้นยังมีเครื่องประดับบางชิ้นของ

พระนางอเล็กซานดราและพระราชธิดาอยู่ด้วย และยังพบเข็มขัดคาดเอวของทั้งนิโคลัสที่ 2

และพระราชโอรสด้วย จึงเป็นการแน่นอนว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์

แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานปรากฎว่าทุกๆพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างแน่นอนแล้วก็ตามที

ชั่วเวลาอีกประมาณ 10 ปีต่อมาได้มีสตรีนางหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน ได้อ้างว่านางคือ

อนัสตาเซีย วันที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์นั้น อนาสตาเซียทรงถูกยิง

แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงเพียงแต่สลบไป

และรอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนายทหารหนุ่มพี่น้องตระกูลไชคอฟสกี้

ที่พาหนีเล็ดลอดออกนอกประเทศไปที่ประเทศโรมาเนีย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต

( เกี่ยวกับถนนรังสิตของเรารึเปล่าไม่รู้ น่าคิดแหะ ^^ ) ได้ทรงวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ว่า

สตรีที่อ้างว่าชื่ออนาสตาเซียและเป็นธิดาองค์สุดท้องของพระเจ้าซาร์นั้นเดี๋ยวนี้ก็มีชีวิตอยู่

(ค.ศ.1958 ) เรื่องที่นางอ้างจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็มีผู้สนใจกันมาก

มีผู้สืบไปสืบมาเขียนลงหนังสือพิมพ์อยู่เนืองๆ บางเรื่องก็ว่าไม่จริง

จนกระทั่งมีผู้นำเรื่องไปทำละคร ทำหนังดูกันเกือบทั้งโลก แต่ก็ยังไม่มีใครมทราบแน่ว่า

จริงหรือไม่อยู่นั่นเอง จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทม์ของอเมริกาประจำวันที่

11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ลงข่าวว่านักมานุษวิทยาที่มีชื่อเสียงของเยอรมันรวม 4 คน

ได้พิสูจน์รูปร่างหู จมูก และโหนกแก้ม จากรูปภาพของอนัสตาเวียรูปเก่าๆแล้ว

ได้ข้อสรุปว่าไม่ใช่แกรนด์ดัชเชสอนัสตาเซียตัวจริงไม่มีสิทธิในกฏหมายที่

จะรับเงิน 20 ล้านรูเบิลส์ ( ประมาณ 645,000,000 บาท )

ซึ่งพระเจ้าซาร์ทรงฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศอังกฤษ


อ่านเรื่องอื่นเพิ่มเติมที่ http://masterkey.exteen.com


PS.  กระโดดออกมาจาก" พันธนาการของความเคยชิน " หลบเลี่ยงจาก" กับดักทางความคิด " หลีกหนีจาก" สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง " ขจัด" ทิฐิแห่งกลมสันดาน "

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น