ประวัติสาสตร์โลก"ไททานิค"
เรือโดยสาร "ไททานิค" จัดเป็นเรือโดยสารที่หรูหราประเภทเรือสำราญขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น ออกแบบ สร้างประกอบโดยอู่ต่อเรือของบริษัท Harland and Wolff ประเทศ North Ireland ปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ค.ศ.๑๙๑๑ มีระวางขับน้ำ ๔๖,๓๒๘ ตัน มีเครื่องจักรไอน้ำที่มีกำลังแรงถึง ๔๖.๐๐๐ แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุดในการเดินทางได้ถึง ๒๔ น็อต โดยมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสูงถึง ๗.๕ ล้านเหรียญสหรัฐฯ การ เดินทางเที่ยวนี้เป็นการเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์ข้ามมหาสมุทแอตแลนติกจากเมืองเซาท์แธมตัน ประเทศอังกฤษไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยเริ่มถอนสมอออกเดินทางเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ค.ศ.๑๙๑๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. มีผู้โดยสารและพนักงานประจำเรือทั้งสิ้นประมาณ ๒,๒๑๗ คน
ความใหญ่โตมโหฬารมีรูปลักษณะแข็งแกร่งทนทานมหาศาลนี้ ทำให้บริษัทเจ้าของเรือมีความภาคภูมิใจมากถึงกับขนานนามเรือลำนี้ว่า "Unsinkable Ship หรือ เรือที่ไม่มีวันจม" และชื่อของเรือ "ไททานิค" นั้นก็ได้นำมาจากคำว่า "Titan" ซึ่งเป็นชื่อของอสูรเทพที่ทรงพลัง บุตรของเทพเจ้า Uranus และ Gaia ตามเทพนิยายกรีกโบราณ
ในระหว่างการเดินทางนับตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายนฯ เป็นต้นมา เรือ "ไททานิค" ได้รับสัญญาณวิทยุเตือนภัยให้ระวังเรื่องภูเขาและกลุ่มก้อนน้ำแข็งที่ปรากฏลอยอยู่เกลื่อนกลาด ทั่วไปในเส้นทางการเดินทางจากเรือลำอื่นๆ มาโดยตลอด เมื่อคืนวันที่ ๑๔ เมษายนฯ เวลา ๒๒.๓๐ น.พนักงานวิทยุประจำเรือ "คาลิฟอร์เนียน" ซึ่งกำลังติดอยู่ในกลุ่มก้อนน้ำแข็งห่างจากเรือ "ไททานิค" ประมาณ ๑๙ ไมล์ทางเหนือ ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยให้แก่เรืออื่นๆ ซึ่งกำลังเดินทางอยู่ในเส้นทางที่ใกล้เคียงให้ระมัดระวังภัยพิบัติที่อาจจะเกิดจากการชนภูเขาน้ำแข็งภายในบริเวณนี้ได้ ขณะที่ กำลังเรียกขานเรือ "ไททานิค" เพื่อแจ้งให้ระมัดระวังเหตุภัยพิบัตินี้เช่นกัน ก็ได้รับสัญญาณตอบกลับมาในลักษณะที่ไม่ค่อยสุภาพว่า "...ให้หยุดเตือนเสียที เพราะสัญญาณเข้าไปรบกวนการทำงาน(ของเขา)กับ Cape Race..." พนักงานวิทยุประจำเรือ "คาลิฟอร์เนียน" จึงเลิกทำการติดต่อ และปิดเครื่องวิทยุเมื่อเวลา ๒๓.๓๐ น.
เมื่อเวลาประมาณ ๒๓.๔๐ น. ด้วยความเร็ว ๒๒ น็อตครึ่ง เรือ "ไททานิค" ได้พุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งซึ่งมีความสูงพ้นระดับน้ำ ๕๕-๖๐ ฟิต ที่ Longitude 50o 14' W Lattitude 41o 27' N ทำให้ตัวเรือแตกน้ำทะเลไหลท่วมท้นเข้ามาในตัวเรือมีระดับสูงกว่ากระดูกงู ๑๔ ฟิต ภายใน ๑๐ นาที แล้วไหลทะลักเข้าไปสู่ห้องต่างๆ อย่างรวดเร็วเป็นเหตุให้เรือเริ่มอับปาง พนักงานวิทยุประจำเรือฯ ได้ส่งสัญญาณวิทยุแจ้งเหตุร้ายขอความช่วยเหลือไปยังเรือและสถานีฝั่งในอาณาบริเวณ เรือหลายลำที่ได้รับสัญญาณวิทยุขอความช่วยเหลือจากเรือ "ไททานิค" จึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่เกิดเหตุโดยเร็ว
เมื่อได้นำเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้มาศึกษาวิเคราะห์ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ ดวงดาวในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของคราสที่ใช้ในการพยากรณ์ดวงเมือง หรือ Mundane Astrology โดยการคำนวณ และพล็อตลงในแผนที่หาเส้นทางโคจรของดาวพระเคราะห์ผ่านส่วนต่างๆของโลกในวันที่เกิดคราสแล้ว น่าเชื่อว่า คราสที่มีอิทธิพลส่งผลเป็นทุกข์โทษให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ คือ สุริยคราสเต็มดวงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๔ (ค.ศ.๑๙๑๑) เวลา ๒๒.๒๗ น.(เวลา Greenwich)
ในแผนที่ประกอบบทความนี้ จะเห็นได้ว่า ณ จุดพิกัดซึ่งเรือ "ไททานิค" ประสบอุบัติเหตุชนภูเขาน้ำแข็งจนอับปางคือ Longitude 50o 14' W Lattitude 41o 27' N ได้มีดาว พระเคราะห์ต่างๆ โคจรผ่านคือ ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ นอกจากนี้ ยังมีดาวพุธโคจรผ่าน และมีแนวเงาดำของคราส หรือ ราหู พาดผ่านในเส้นทางที่ไม่ห่างไกลนัก เมื่อพิจารณาตามความหมายของแต่ละพระเคราะห์แล้ว ดาวอาทิตย์มีความหมายเกี่ยวกับอัคคีภัย ดาวจันทร์ มีความหมายเกี่ยวกับน้ำ การเดินทางทางน้ำ การผสมผสานความหมายของดาวอาทิตย์กับดาวจันทร์จึงหมายถึงไอน้ำด้วย ดาวพฤหัสบดีมีความหมายเกี่ยวกับเศรษฐี ความฟุ่มเฟือยหรูหรา ดาวเสาร์มีความหมายเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม ความมืด ความหนาวเย็น น้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็ง ความทุกข์ทรมาน ความหวาดกลัว ดาวพุธมีความหมายเกี่ยวกับกลุ่มชนที่ร่วม กิจกรรมเดียวกัน ร่วมเคราะห์กรรมด้วยกัน และราหูมีความหมายเกี่ยวกับลมพายุ เมื่อได้ผูกเป็นดวงชะตาตามหลักวิชาแล้ว ดาวพระเคราะห์เหล่านี้ รวมทั้งราหู ยกเว้นดาวพฤหัสบดีจะเกาะกลุ่มรวมตัวกันอยู่ในเรือนที่ ๑๒ ซึ่งเป็นภพวินาศ มีความหมายเกี่ยวกับการสูญเสีย การถูกจองจำกักกัน ส่วนดาวพฤหัสบดีได้สถิตอยู่ในเรือนที่ ๖ ซึ่งเป็นภพเกี่ยวกับกิจการเดินเรือ ประชาชนที่มีส่วนร่วมในการสูญเสีย ทำมุมเล็งประมาณ ๑๘๐ องศากับกลุ่มดาวดังกล่าว ดังนั้น เมื่อนำเอาความหมายของดาวพระเคราะห์รวมทั้งราหู และเรือนหรือภพที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาผสมผสานเข้าด้วยกันแล้วจึงเป็นคำตอบ และสามารถสร้างจินตนาการให้เห็นภาพที่ชัดเจนของเหตุการณ์เรือเดินทะเลซึ่งมีลักษณะเป็นเรือสำราญขนาดใหญ่ มีผู้โดยสารเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐี ผู้มีชื่อเสียงเกียรติยศ (ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในเรือนที่ ๖) ได้ประสบภัยพิบัติชนภูเขาน้ำแข็งในคืนที่หนาวเย็นและมืด (ดาวเสาร์) น้ำทะเลที่ไหลทะลักเข้าไปในเรือ ได้ท่วมท้นเข้าไปในห้องเครื่องจนทำให้หม้อน้ำขนาดใหญ่ในเรือ และเตาเชื้อเพลิงซึ่งเป็นพลังสำคัญที่ใช้ในการ ขับเคลื่อนของเรือจำนวนมากเกิดระเบิด พ่นไอน้ำร้อนออกครอบคลุมไปทั่ว (ดาวอาทิตย์และดาวจันทร์) ท่ามกลางเสียงกรีดร้องร่ำไห้โหยหาขอความช่วยเหลือด้วยความหวาดกลัวภยันตราย (ดาวเสาร์) ของผู้โดยสารที่ต้องประสบเคราะห์กรรมร่วม (ดาวพุธ) จำนวนไม่น้อยไม่สามารถหนีรอดออกมาได้ เพราะถูกกักกันติดอยู่บนเรือ จนในที่สุดต้องถูกไอน้ำลวก และจมน้ำสูญเสียชีวิต (เรือนที่ ๑๒)
ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ในวันที่เกิดสุริยคราสครั้งนี้ และในวันที่เกิดเหตุ ดาวพฤหัสบดีกำลังโคจรถอยหลัง ซึ่งตามหลักวิชาดาราศาสตร์แล้วหมายความว่า ดาวพฤหัสบดีกำลังโคจรเข้ามาใกล้โลกมาก จึงเป็นการเพิ่มอิทธิพลของคราสครั้งนี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้น ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านบทความของผมเรื่อง "ก่อนจะสิ้นพิษคราส" คงจะจำได้ถึงบทบาทของดาวพฤหัสบดีที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศไทยซึ่งได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของสุริยคราสเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ในช่วงเวลาที่ยังอยู่ในพิษคราส ดาวพฤหัสบดีนี้ได้โคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุดเช่นกัน
ถึงแม้ว่า สุริยคราสครั้งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๔ (ค.ศ.๑๙๑๑) ก่อนหน้าวันเกิดเหตุคือ วันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๕ (ค.ศ.๑๙๑๒) ประมาณ ๑ ปี ก็ตาม แต่ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ไทย และฮินดูได้ระบุไว้ว่า สุริยคราสจะส่งอิทธิพลแสดงผลให้เห็นเป็นทุกข์โทษ หรือเป็นคุณได้ภายในเวลานานประมาณ ๑ ปี ถ้าเป็นจันทรคราสจะส่งอิทธิพลให้เห็นภายในเวลานานประมาณ ๓ เดือน ดังนั้น ในกรณีนี้ พิษของคราสจึงจะยังมีโอกาสแสดงผลให้เห็นได้ไปจนถึงปลายเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๕๕ (ค.ศ.๑๙๑๒) เป็นอย่างเร็ว
เป็นที่น่าสังเกตประการหนึ่ง ในวันที่เกิดสุริยคราสครั้งนี้ ปรากฏว่า มีดาวพระเคราะห์จับกลุ่มรวมกันอยู่ในราศีเมษรวม ๔ ดวง คือ ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวพุธ และดาวเสาร์ ทั้งราศีเมษนี้ยังถูกเส้นทางของราหูพาดผ่านด้วย นอกจากนี้ กลุ่มดาวพระเคราะห์เหล่านี้ยังถูกดาวพฤหัสบดีที่สถิตอยู่ราศึตุลย์ทำมุมเล็งประมาณ ๑๘๐ องศา ซึ่งตามวิชาโหราศาสตร์ถือว่า ให้ผลเช่นเดียวกับการสถิตอยู่ในราศึเดียวกัน ทั้งดาวพฤหัสบดียังได้โคจรเข้ามาใกล้โลกมากด้วย ปรากฏการณ์ที่ดาวพระเคราะห์หลายดวงโคจรมาร่วมกลุ่มอยู่ในราศีเดียวกันในลักษณะนี้ มีอยู่เป็นประจำ ในปี ค.ศ.๒๐๐๐ ก็จะมีปรากฏการณ์ในลักษณะนี้เช่นกัน จนทำให้เกิดความหวาดวิตกกันว่า โลกจะแตกเพราะอิทธิพลแรงดึงดูดของดาวพระเคราะห์ที่มาจับกลุ่มอยู่ในราศีเดียวกันในลักษณะนี้ ผมได้ตรวจสอบดูจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์เหล่านี้ในท้องฟ้าโดยละเอียดแล้ว ปรากฏว่า มีดาวบางดวงมิได้อยู่ในระนาบ (Plane) เดียวกัน ทั้งยังมีระยะห่างระหว่างกันมากทีเดียว จึงเชื่อว่า โลกของเราจะประสบความวิกฤติกันถึงขนาดนั้นตามที่เล่าลือกัน หากโลกจะแตกจริงก็น่าจะเกิดขึ้นในปีที่เรือ "ไททานิค" อับปางมากกว่า
โลก และระบบสุริยจักรวาลของเรานี้มีโอกาสที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้เหมือนกันตามทฤษฎีปรมาณูขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คงจะอีกเป็นหลายพันล้านปีข้างหน้า ตายแล้วเกิดใหม่อีกไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยชาติ โลกก็ยังไม่แตกดอกครับ
87 ความคิดเห็น
อืมๆๆ อ่านไปตอนแรกๆก็สนุกดีหรอกนะ แต่ไปๆมาๆทำไมมันไปเกี่ยวอะไรกับความเชื่อด้วยอ่ะ งงเลย
ตอนเเรกดีดีเเต่ตอนหลังเป็นดวงดาว มันเกี่ยวอะไรกับดวงดาวง่ะเรือไททานิคมันเกี่ยวไรกับดวงดาวง่ะบ้ า
อ่ะเปล่า ว ะ   
สุดยอดมากเลยค่ะ
น่าเชื่อถือดีนะค่ะ แม้ ไรจะตรงปานนั้น
จิงๆนะมีดาวโหราสาดมาเกี่ยวข้องกัลด้วย
น่าสนใจดี
มันเกี่ยวอะไรกับโหราศาสตร์เนี่ย
ทำไมจะไม่เกี่ยวกับโหราศาสตร์อ่ะ  เพราะว่าในนั้นมันบอกว่า ได้มีดาว พระเคราะห์ต่างๆ โคจรผ่านคือ ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ นอกจากนี้ ยังมีดาวพุธโคจรผ่าน และมีแนวเงาดำของคราส หรือ ราหู พาดผ่านในเส้นทางที่ไม่ห่างไกลนัก เมื่อพิจารณาตามความหมายของแต่ละพระเคราะห์แล้ว ดาวอาทิตย์มีความหมายเกี่ยวกับอัคคีภัย ดาวจันทร์ มีความหมายเกี่ยวกับน้ำ การเดินทางทางน้ำ การผสมผสานความหมายของดาวอาทิตย์กับดาวจันทร์จึงหมายถึงไอน้ำด้วย ดาวพฤหัสบดีมีความหมายเกี่ยวกับเศรษฐี ความฟุ่มเฟือยหรูหรา ดาวเสาร์มีความหมายเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม ความมืด ความหนาวเย็น น้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็ง ความทุกข์ทรมาน ความหวาดกลัว ดาวพุธมีความหมายเกี่ยวกับกลุ่มชนที่ร่วม กิจกรรมเดียวกัน ร่วมเคราะห์กรรมด้วยกัน และราหูมีความหมายเกี่ยวกับลมพายุ เมื่อได้ผูกเป็นดวงชะตาตามหลักวิชาแล้ว ดาวพระเคราะห์เหล่านี้ รวมทั้งราหู ยกเว้นดาวพฤหัสบดีจะเกาะกลุ่มรวมตัวกันอยู่ในเรือนที่ ๑๒ ซึ่งเป็นภพวินาศ มีความหมายเกี่ยวกับการสูญเสีย การถูกจองจำกักกัน ส่วนดาวพฤหัสบดีได้สถิตอยู่ในเรือนที่ ๖ ซึ่งเป็นภพเกี่ยวกับกิจการเดินเรือ ประชาชนที่มีส่วนร่วมในการสูญเสีย ทำมุมเล็งประมาณ ๑๘๐ องศากับกลุ่มดาวดังกล่าว ดังนั้น เมื่อนำเอาความหมายของดาวพระเคราะห์รวมทั้งราหู และเรือนหรือภพที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาผสมผสานเข้าด้วยกันแล้วจึงเป็นคำตอบ และสามารถสร้างจินตนาการให้เห็นภาพที่ชัดเจนของเหตุการณ์เรือเดินทะเลซึ่งมีลักษณะเป็นเรือสำราญขนาดใหญ่ มีผู้โดยสารเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐี ผู้มีชื่อเสียงเกียรติยศ (ดาวพฤหัสบดีสถิตอยู่ในเรือนที่ ๖) ได้ประสบภัยพิบัติชนภูเขาน้ำแข็งในคืนที่หนาวเย็นและมืด (ดาวเสาร์) น้ำทะเลที่ไหลทะลักเข้าไปในเรือ ได้ท่วมท้นเข้าไปในห้องเครื่องจนทำให้หม้อน้ำขนาดใหญ่ในเรือ และเตาเชื้อเพลิงซึ่งเป็นพลังสำคัญที่ใช้ในการ ขับเคลื่อนของเรือจำนวนมากเกิดระเบิด พ่นไอน้ำร้อนออกครอบคลุมไปทั่ว (ดาวอาทิตย์และดาวจันทร์) ท่ามกลางเสียงกรีดร้องร่ำไห้โหยหาขอความช่วยเหลือด้วยความหวาดกลัวภยันตราย (ดาวเสาร์) ของผู้โดยสารที่ต้องประสบเคราะห์กรรมร่วม (ดาวพุธ) จำนวนไม่น้อยไม่สามารถหนีรอดออกมาได้ เพราะถูกกักกันติดอยู่บนเรือ จนในที่สุดต้องถูกไอน้ำลวก และจมน้ำสูญเสียชีวิต (เรือนที่ ๑๒)  แล้วคำทำนายของโหราศาสตร์มันตรงกับวันที่เกิดเหตุอ่ะ
ความจริงเเล้ว เเจ็ค กับ โรส ไม่มีจริง เป็นตัวประกอบหนังเอามาเฉยๆๆ นะครับ เรือ Titanic บันทุกคน ได้ 2250 คน
พอ Titanic ออกข่าวว่าเรือได้จมลง  บนเรือ มี 2250 ราย รอดชีวติ เพียง 704 ราย เสียชีวิต 1513 ราย
Titanic  เกิดเรื่องตอน ปี 1912 มีคนไปค้นพบเจอตอน ปี 1987 เเล้วเอามาทำเป็นหนังปี 1997 หรือเทียบ กับปีไทยก็คือ2540 นั้นเองนะครับ
ประวัติศาสตร์ โลกจริงๆนะครับ
การต่อเรือ
      เรือไททานิคลงน้ำเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2454  การต่อเรือในตอนต้นศตวรรษที่ 20 นั้น ใช้วิธีประกอบด้วยหมุดย้ำ (ริเว็ท) ที่ทำด้วยเหล็กรอท  เพื่อยึดแผ่นเหล็กเข้ากับกรอบเหล็กเหนียว ตัวกรอบเหล็กถูกยึดเข้าด้วยกันด้วยหมุดเหล็กรอทเช่นเดียวกัน  มีการเจาะรูที่ตำแหน่งที่เหมาะสมในกรอบเหล็กและแผ่นเหล็กเพื่อใส่หมุด  หมุดแต่ละตัวถูกอบให้ร้อนแล้วจึงสอดเข้าไปในรูที่เป็นคู่กัน  และถูกบีบอัดด้วยไฮโดรลิกให้เต็มรู และทำให้บานออกเป็นหัวหมุด  ใช้หมุดทั้งหมดสามล้านตัว
เรือไททานิคที่อยู่ระหว่างต่อที่อู่ต่อเรือของบริษัทฮาร์แลนด์ แอนด์โวลฟ์ประเทศไอร์แลนด์
    วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2455  เรือไทนานิคแล่นออกจากเมืองเบลฟาสต์ไปยังเมืองเซาแธมป์ตัน  เพื่อฟาสต์ไปยังเมืองเซาแธมป์ตัน  เพื่อลองเครื่องในทะเลไอริช  หลังจากอยู่ในทะเลสองวัน  เรือพร้อมลูกเรือและเจ้าหน้าที่ประจำการก็มาถึงเมืองเซาแธมป์ตัสและจอดโยงไว้ที่ท่าเทียบเรือโอซันด็อค เมื่อวันที่ 4 เมษายน  หลายวันต่อมามีการเตรียมเสบียงอาหารและเตรียมการสำหรับการเดินทางครั้งแรก
ของ รศ. ไพลิน  ฤกษ์จิรสวัสดิ์  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เช้าวันที่ 10 เมษายน  พ.ศ. 2455  ผู้โดยสารและลูกเรือที่เหลือก็มาถึงท่าเรือโอซันด็อคเพื่อลงเรือเที่ยวแรกก่อนเที่ยงเล็กน้อยเรือก็ถูกปลดเชือกโยงและเกือบชนกับเรือโดยสารชื่อนิวยอร์กที่จอดเทียบท่าอยู่ (น้ำที่ซัดเมื่อเรือใหญ่แล่นผ่าน)  ก่อนที่จะแล่นไปยังน่านน้ำของเซาแธมป์ตันเข้าไปในโซเลนท์  แล้วแล่นต่อไปยังช่องแคบอังกฤษ  เย็นวันที่ 10 เมษายน  เรือจอดเป็นครั้งแรกที่เมืองแชร์บูร์กประเทศฝรั่งเศส  และจอดเป็นครั้งที่สองในตอนเช้าของวันถัดมาที่เมืองควีนส์ทาวน์ (ปัจจุบันคือเมืองโคบบ์)  ของไอร์แลนด์  เพื่อรับผู้โดยสารและพัสดุไปรษณีย์เพิ่มเติม  แล้วจึงมุ่งหัวไปทางทิศตะวันตกบนเกรทเซอร์เคิลรูทเพื่อไปยังเรือทุ่นชื่อแนนทัคเก็ตที่อยู่ไปทางทิศใต้เป็นระยะทาง  68 กิโลเมตร  ของเกาะแนนทัคเก็ตนอกฝั่งของรัฐแมสซาซูเซตส์ของสหรัฐฯ  โดยทิ้งฝั่งทะเลไอรัชไว้เบื้องหลังตอนย่ำค่ำของวันที่ 11 เมษายน
ไททานิคจม
        การศึกษาเบื้องต้นเสนอว่าเรือไททานิคจมเพราะกระแทกกับภูเขาน้ำแข็ง  ทำให้เกิดแผลลึกยาว 100 เมตรที่ต่อเนื่องกันในตัวเรือ  แต่การศึกษาในภายหลังแย้งว่า  แผลที่ยาว 100 เมตรนั้นไม่ต่อเนื่องกัน  หลังเรือจมเอ็ดเวิร์ด  ไวล์ดิ้ง  วิศวกรผู้ออกแบบของบริษัทฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟ  ได้ประมาณอัตราการท่วมของน้ำจากรายงานของผู้โดยสารที่รอดชีวิตว่าการชนภูเขาน้ำแข็งทำให้เกิดช่องโหว่ซึ่งมีบริเวณกว้าง 1.115  ตารางเมตร  ที่เพียงพอที่จะให้เรือจม  แฮคเก็ตต์ และเบดฟอร์ดได้คำนวณด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์  จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตกลุ่มเดียวกัน  โดยแบ่งความเสียหายของ 6 ห้องแรกออกเป็นส่วน ๆ แยกกัน  ได้ตัวเลขของพื้นที่ที่เสียหายทั้งหมด  1.171  ตารางเมตร  ซึ่งมากกว่าที่ประมาณการไว้โดยไวล์ดิ้งเล็กน้อย
      ตอนเกิดอุบัติเหตุผู้รอดชีวิตมีความเห็นไม่ตรงกัน  บางคนว่าเรือแตกออกเป็นสองเสี่ยงขณะจม  บางคนว่าเรือจมทั้งลำ  วันที่ 1 กันยายน  2528  รอเบิร์ด  บัลลาร์ดพบเรือไททานิคบนพื้นมหาสมุทรที่ความลึก 3,700 เมตร  เรือแตกหักเป็นสองท่อนใหญ่  อยู่ห่างกันประมาณ 600 เมตร  ระหว่างกันเป็นลานเศษที่พังทับถม  ทั้งเศษเหล็กจากตัวเรือที่แตกหักและแผ่นเหล็กลำเรือ  หมุดย้ำที่กระเด็นหลุดออกมา  ชุดมีดโต๊ะและเครื่องถ้วยชามกระเบื้องจากห้องอาหาร  เฟอร์นิเจอร์จากห้องพักผู้โดยสารและจากดาดฟ้า  รวมทั้งเศษอื่น ๆ ด้วย
หากดวงดาวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทำไมไม่พิสูจน์ล่ะครับถ้ากัปตันฟังคำเตือนของเรือดังกล่าวแล้วจะเกิดเหตุการณ์นี้ป่าวลองเอาไปคิดเล่นๆดูดิครับ
เรายังไม่เคยดูเลย อยากดูเหมือนกันเลยจะมาถามชาว IT ทุกคนว่า หนังเรื่อง ไททานิค สนุกหรือป่าว
เราจะได้ไป เช่ามาดู น่ะคะ ช่วยตอบหน่อยค่ะ1
thank you มากคะ
พอดีเลย
อาจานให้ทำงาน103
โรสกะแจ็คมีจริงไม่ใช่เหรอ
เห็นได้ยินเค้าบอกว่าอย่างนั้นนะ
หนังโคตรซึ้งเลยอ่า
TT
เพลงก้อเพราะจับใจ
อิอิ
ชอบจังเยย10
อ่านแล้วเกี่ยวกับไททานิคก็ดีอะนะสนุกดี
น่าหลงไหลเกี่ยวกับประวัติไททานิคจังเลยครับผม1
ตกลงแล้วมีแจ็คกะโรสจิงหรือป่าว
แล้วเอามาทำเป็นหนังได้ไง งงอ่ะ
แต่เป็นเรื่องที่ชอบมากเลยนะสนุกสุดซึ้ง
เพลงก้อเพราะด้วย10
ไม่เห็นเกี่ยวกับโหราศาสตร์เลยเพราะว่าเรือไม่มีโซน่าตังหาก110
แรกๆก็ดีน่ะ...........อ่านแล้วชวนติดตามให้อ่านไปเรื่อยๆ พอพักหลังอา.............รายว่ะ ไปเกี่ยวกับดวงดาวเชยเลย จะอ่านเรื่องไททานิคน่ะค่ะไม่ใช่เรื่องดงเรื่องดาวอะไร.......................เซ็งง้าว
คัยเท่ยังมิ๊ดั่ยดูหนังเรื่องนี้อยากไห้ดูกัลมากๆเรยเพาะว่าหนังเรื่องนี้สุดยอดนัยปะวัดสาดเรยก็ว่าด้าย
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?