รำวงมาตราฐาน
ตั้งกระทู้ใหม่
        รำโทน นิยมเล่นกันในฤดูต่างๆ เฉพาะท้องถิ่นในบางจังหวัด ต่อมาได้มีผู้นำไปเล่นในท้องถิ่นอื่นๆ อย่างกว้างขวาง และมิได้เล่นแต่เฉพาะเทศกาลเท่านั้น แต่ยังนำไปเล่นในทุกโอกาสที่มีงานรื่นเริง บทร้องส่วนใหญ่มีความหมายหยอกเย้า ชมโฉม รำพันรักหนุ่มสาว และบทลาจากกัน บทร้องไม่ค่อยพิถีพิถัน ในเรื่องถ้อยคำและสัมผัสมากนัก การรำจะยึดจังหวะเป็นจังหวะยืดตีตามจังหวะหน้าทับ ''ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น โท่น'' หญิงชายที่จะร่วมสนุกก็จะมาล้อมวงปรบมือเป็นจังหวะชวนกันรำตามจังหวะโทนเป็นคู่ๆ เดินรำตามวง ต่อมาได้มีผู้คิดทำนองบทร้องประกอบจังหวะโทน เพลงรำโทนเพลงแรกคือ ''เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด''
19 ความคิดเห็น
ช่วยๆกันทำมาหากินหน่อยนะ  555  ล้อเล่นค่ะ
ขอบคุณมากๆที่ช่วยหาคำตอบให้ค่ะ หาอยู่นานเลย
น่าสนไจเนอะ
หามานานแล้ว
รำวงมาตรฐาน วิวัฒนาการมาจากการรำโทน เป็นการละเล่นพื้นเมืองของไทย ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้แต่งเนื้อร้องและมอบให้กรมศิลปากรบรรจุท่ารำไว้เป็นมาตรฐาน เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องสุภาพ ใช้คำง่าย ทำนองเพลงง่าย มุ่งให้เห็นวัฒนธรรมของชาติเป็นส่วนใหญ่ การแสดงจะใช้ผู้แสดงหญิงชายไม่น้อยกว่า ๕ คู่
ท่ารำ 
        คุณครูศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก คุณครูมัลลี คงประภัศร์ และคุณครูลมุล ยมะคุปต์ ได้ร่วมกันประดิษฐ์ท่ารำขึ้น ทั้งหมด ๑๔ แม่ท่า เป็นชื่อท่ารำที่อยู่ในรำแม่บท มีทั้งหมด ๑๐ เพลง ได้แก่ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
คำร้อง
        จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร ได้ประพันธ์ขึ้น ๔ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย
        คุณหญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้ประพันธ์คำร้องไว้ ๖ เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
ทำนอง
        อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้วชาญดนตรีไทย กรมศิลปากร ได้แต่งทำนองไว้ ๖ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลง รำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ
        ครูเอื้อ สุนทรสนาน หัวหน้าวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ แต่งทำนองไว้ ๔ เพลง คือ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
เครื่องดนตรี
        เดิมนั้น รำโทนมีเครื่องดนตรีประกอบ คือ ฉิ่ง กรับ ฉาบ และโทน เมื่อมีการพัฒนาการรำขึ้น จึงได้พัฒนาเครื่องดนตรีที่ใช้ด้วย โดยใช้วงดนตรีสากลบรรเลง
การแต่งกาย
        มิได้กำหนดเฉพาะเจาะจงว่าต้องแต่งชุดไทยอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน แต่สามารถแต่งได้หลายอย่าง เช่น แต่งชุดไทยจักรี ชุดไทยสมัย ร.๖ ชุดไทยแบบชาวบ้านคือห่มสไบ นุ่งโจงกระเบน หรือชุดไทยสมัยใดก็ได้ ขอให้เป็นแบบไทย ขอให้ดูสุภาพ งดงาม  ชายก็แต่งได้ทั้งชุดไทยแบบชาวบ้าน คือ นุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อคอพวงมาลัย แขนสั้น ผ้าคาดเอว หรือชุดไทยเสื้อพระราชทาน กางเกงขายาว ชุดราชปะแตน หรือชุดสากลใส่เสื้อสูท
เพลงของรำวงมาตรฐานมี ๑๐ เพลงดังนี้
เพลงงามแสงเดือน
เพลงดอกไม้ของชาติ
เพลงชาวไทย
เพลงหญิงไทยใจงาม
เพลงรำซิมารำ
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
เพลงคืนเดือนหงาย
เพลงยอดชายใจหาญ
เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
เพลงบูชานักรบ
รำวงมาตรฐานมีวิวัฒนาการมาจากการรำโทน ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทยในบางท้องถิ่นที่นิยมเล่นกันในฤดูเทศกาลต่างๆ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการเล่นฟ้อนรำก็คือ ฉิ่ง กรับ และโทน แต่เนื่องจากการฟ้อนรำชนิดนี้ใช้โทนตีเป็นจังหวะหลัก  จึงเรียกการฟ้อนชนิดนี้ว่า "รำโทน"
        รำโทน นิยมเล่นกันในฤดูต่างๆ เฉพาะท้องถิ่นในบางจังหวัด ต่อมาได้มีผู้นำไปเล่นในท้องถิ่นอื่นๆ อย่างกว้างขวาง และมิได้เล่นแต่เฉพาะเทศกาลเท่านั้น แต่ยังนำไปเล่นในทุกโอกาสที่มีงานรื่นเริง บทร้องส่วนใหญ่มีความหมายหยอกเย้า ชมโฉม รำพันรักหนุ่มสาว และบทลาจากกัน บทร้องไม่ค่อยพิถีพิถัน ในเรื่องถ้อยคำและสัมผัสมากนัก การรำจะยึดจังหวะเป็นจังหวะยืดตีตามจังหวะหน้าทับ ''ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น โท่น'' หญิงชายที่จะร่วมสนุกก็จะมาล้อมวงปรบมือเป็นจังหวะชวนกันรำตามจังหวะโทนเป็นคู่ๆ เดินรำตามวง ต่อมาได้มีผู้คิดทำนองบทร้องประกอบจังหวะโทน เพลงรำโทนเพลงแรกคือ ''เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด''
      ต่อมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2484-2488 ประชาชนนิยมรำโทนกันมาก ประกอบกับในช่วงสงครามนั้น เป็นระยะที่ญี่ปุ่นยกกองทัพผ่านประเทศไทยมีการโจมตีทางอากาศอยู่เสมอ จอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็ฯนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นต้องการปลอบขวัญประชาชนจากความกลัวถัยสงคราม และเห็นสมควรที่จะเชิดชูศิลปะการละเล่นพื้นบ้านแบบนี้ให้เป็นระเบียบแผนอันดีงามตามแบบนาฏศิลป์ไทย จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรพิจารณาปรับปรุงการเล่นรำโทนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2487  กรมศิลปากรจึงประพันธ์เนื้อร้องและทำนองขึ้นใหม่ 4เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ และเพลงคืนเดือนหงาย พร้อมทั้งปรับปรุงดนตรีเป็นวงปี่พาทย์ หรือวงดนตรีสากลบรรเลงประกอบ ส่วนท่ารำได้กำหนดท่าแบบมาตรฐานมีท่ารำเฉพาะเพลงแต่ละเพลง ใช้การเดินย่ำเท้า ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ประพันธ์เพิ่มอีก 6เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ โดยปรับปรุงทำนองเพลงและใช้เครื่องดนตรีเข้ามาบรรเลงประกอบการขับร้องจัดท่ารำวงให้งดงามถูกต้องตามแบบนาฏศิลป์ไทย โดยใช้ท่ารำแม่บทมากำหนดไว้เป็นแบบฉบับท่ารำวงมาตรฐาน ตลอดจนเปลี่ยนชื่อรำโทนเป็นรำวง ต่อมากรมศิลปากรได้เรียกการรำวงที่มีแบบแผนเดียวกันนี้ว่า "รำวงมาตรฐาน"
มีเป็นรูปท่ารำรึป่าวค่ะ อาจจะฟังดูเอาแต่ใจไปหน่อยแต่ช่วยหาให้หน่อยได้มั๊ยค่ะ แบบว่าต้องการด่วนมากๆๆๆๆๆเลยค่ะ ขอบคุณนะค่ะ
รำวงมาตรฐานมีวิวัฒนาการมาจากการรำโทน ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้านของไทยในบางท้องถิ่นที่นิยมเล่นกันในฤดูเทศกาลต่างๆ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการเล่นฟ้อนรำก็คือ ฉิ่ง กรับ และโทน แต่เนื่องจากการฟ้อนรำชนิดนี้ใช้โทนตีเป็นจังหวะหลัก  จึงเรียกการฟ้อนชนิดนี้ว่า "รำโทน"
        รำโทน นิยมเล่นกันในฤดูต่างๆ เฉพาะท้องถิ่นในบางจังหวัด ต่อมาได้มีผู้นำไปเล่นในท้องถิ่นอื่นๆ อย่างกว้างขวาง และมิได้เล่นแต่เฉพาะเทศกาลเท่านั้น แต่ยังนำไปเล่นในทุกโอกาสที่มีงานรื่นเริง บทร้องส่วนใหญ่มีความหมายหยอกเย้า ชมโฉม รำพันรักหนุ่มสาว และบทลาจากกัน บทร้องไม่ค่อยพิถีพิถัน ในเรื่องถ้อยคำและสัมผัสมากนัก การรำจะยึดจังหวะเป็นจังหวะยืดตีตามจังหวะหน้าทับ ''ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น ป๊ะ โท่น โท่น'' หญิงชายที่จะร่วมสนุกก็จะมาล้อมวงปรบมือเป็นจังหวะชวนกันรำตามจังหวะโทนเป็นคู่ๆ เดินรำตามวง ต่อมาได้มีผู้คิดทำนองบทร้องประกอบจังหวะโทน เพลงรำโทนเพลงแรกคือ ''เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด''
      ต่อมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2484-2488 ประชาชนนิยมรำโทนกันมาก ประกอบกับในช่วงสงครามนั้น เป็นระยะที่ญี่ปุ่นยกกองทัพผ่านประเทศไทยมีการโจมตีทางอากาศอยู่เสมอ จอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็ฯนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นต้องการปลอบขวัญประชาชนจากความกลัวถัยสงคราม และเห็นสมควรที่จะเชิดชูศิลปะการละเล่นพื้นบ้านแบบนี้ให้เป็นระเบียบแผนอันดีงามตามแบบนาฏศิลป์ไทย จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรพิจารณาปรับปรุงการเล่นรำโทนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2487  กรมศิลปากรจึงประพันธ์เนื้อร้องและทำนองขึ้นใหม่ 4เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ และเพลงคืนเดือนหงาย พร้อมทั้งปรับปรุงดนตรีเป็นวงปี่พาทย์ หรือวงดนตรีสากลบรรเลงประกอบ ส่วนท่ารำได้กำหนดท่าแบบมาตรฐานมีท่ารำเฉพาะเพลงแต่ละเพลง ใช้การเดินย่ำเท้า ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ประพันธ์เพิ่มอีก 6เพลง คือ เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ โดยปรับปรุงทำนองเพลงและใช้เครื่องดนตรีเข้ามาบรรเลงประกอบการขับร้องจัดท่ารำวงให้งดงามถูกต้องตามแบบนาฏศิลป์ไทย โดยใช้ท่ารำแม่บทมากำหนดไว้เป็นแบบฉบับท่ารำวงมาตรฐาน ตลอดจนเปลี่ยนชื่อรำโทนเป็นรำวง ต่อมากรมศิลปากรได้เรียกการรำวงที่มีแบบแผนเดียวกันนี้ว่า "รำวงมาตรฐาน"
อยากทราบวิวัฒนาการของนาฏศิลป์และการละครไทย  ค่ะ
ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด          an งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง16
ดี6เเละมีสารครับ
ดีครับ17
งง -*-
เริ่ดด3,8,18
รำแม่บทเล็ก
        แม่บทเล็ก เป็นการแสดงที่ตัดตอนมาจากบทละคร ในเรื่องรามเกียรติ์ตอนนารยณ์ปราบนนทุก  เรื่องราวมีความเป็นมา ดังนี้
        นนทุกเป็นยักษ์มีหน้าที่คอยล้างเท้าเทพบุตรนางฟ้า ณ เชิงเขาไกรลาส เพื่อขึ้นเฝ้าพระอิศวร  บรรดาเทพบุตรนางฟ้าทั้งหลายพากันข่มเหงโดยเขกศีรษะ และถอนผมจนศีรษะนนทุกล้าน นนทุกเสียใจจึงขอพรพระอิศวร ให้นิ้วของตนเป็นเพชรชี้ใครตายทั้งสิ้น และชี้บรรดาเทวดานางฟ้าที่มารังแกตนให้ถึงแก่ความตาย 
ทราบถึงพระนารายณ์และรู้ชะตาของนนทุก ว่าจะตายด้วยหลงเสน่ห์สตรี จึงแปลงองค์เป็นหญิงรูปงามไปคอยท่านนทุก นนทุกนั้นเมื่อพบหญิงสาวมีสิริโฉมโสภา จึงเข้าเกี้ยวพาราสี นางทำกลมารยาให้นนทุกรำตามตนด้วยเพลงชมตลาด
เรียกว่า รำแม่บท
        แม่บทเล็ก เป็นท่ารำมาตรฐานหรือแม่ท่า ใช้ทำนองเพลงชมตลาด มีลีลาเอื้อนช้า นุ่มนวลและอ่อนช้อยตามลักษณะของท่ารำไทยเป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งผู้ฝึกนาฎศิลป์จะต้องฝึกรำให้คล่องแคล่วชำนาญ เพื่อเป็นพื้นฐานในการรำเพลงอื่นๆ มีเนื้อเพลงและท่ารำดังนี้
คำร้อง  เพลงแม่บทเล็ก  (ใช้ทำนองเพลงชมตลาด  ซึ่งเป็นอัตราจังหวะฉิ่งพิเศษ)
(ออก  ด้วยเพลงรัวลาเดียว  ใช้ท่ารำที่ชื่อว่า สอดสร้อยมาลา)
        เทพนมปฐมพรหมสี่หน้า    สอดสร้อยมาลาเฉิดฉิน    (โบก)
    ทั้งกวางเดินดงหงส์บิน    กินรินเลียบถ้ำอำไพ    (โบก)
        (ดนตรีรับ)       
    อีกช้านางนอนภมรเคล้า    แขกเต้าผาลาเพียงไหล่    (โบก)
    เมขลาโยนแก้วแววไว    มยุเรศฟ้อนในนภาพร    (โบก)
        (ดนตรีรับ)       
    ยอดตองต้องลมพรหมนิมิต    อีกทั้งพิสมัยเรียงหมอน    (โบก)
    ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร    พระสี่กรขว้างจักรฤทธิรงค์    (โบก)
        (ดนตรีรับ)
ทำไมไม่มีท่ารำไทยค่ะ
ท่ารำไทยสวยมากเลยค่ะ7
ครูนาฏศิลป์เราโค-ตรโหดมากถ้าไม่มีงานส่งคงตายแน่ เซ็งว่ะ101
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?