Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

มัทนะพาธา

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

ตำนานรักดอกกุหลาบ

เรียบเรียงโดย : สายใจ คงทน
หนังสืออ้างอิง: หนังสือเรื่อง มัทนะพาธา ตำนานดอกกุหลาบ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

      มนุษย์ดำรงอยู่ชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำและอาหาร นั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายยังยืนหยัดอยู่ได้แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือสภาพของจิตใจ มนุษย์หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณด้วยความรักอย่างเสมอมา   หากว่าขาดอารมณ์แห่งรักนี้แล้ว การดำรงอยู่ของร่างกายก็คงไร้ความหมาย

      ความรักจรรโลงสังคมมนุษย์ให้พบแต่ความผาสุกเสมอมา หากแม้ว่าความรักจักนำมาซึ่งความทุกข์แต่เชื่อได้ว่าเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดจากรักย่อมเบาบางกว่าเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดจากความเกลียดชัง

      เรารู้จักความรัก หรืออารมณ์แห่งรักกันมาเนิ่นนานตราบเท่าชีวิตของเราเอง หลายคนอาจเคยสัมผัสกับอารมณ์อันเปี่ยมด้วยความสุขล้นแห่งอำนาจของความรักมาบ้างแล้ว ดังเช่นคำกลอนที่ว่า

     " อ้าอะรุณแอร่มระเรื่อรุจิ
ประดุจมะโนภิรมระติ ณ แรกรัก
แสงอะรุณวิโรจน์นะภาประจักษ์
แฉล้มเฉลาและโศภินัก นะฉันใด
หญิงและชายณะยามระตีอุทัย
สว่างณกลางกะมลละไม ก็ฉันนั้น
แสงอุษาสะกาวพะพราวณสวรรค์
ก็เหมือนระตีวิสุทธิอัน สว่างจิต"  

       และอารมณ์แห่งรักนั่นเองที่ชักนำให้คนเราลุกขึ้นสู้อย่างเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวกับอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางรวมถึงเป็นแรงกายและแรงใจที่จะทำกิจการใดๆทั้งปวงให้สำเร็จลุล่วงลงได้ ดังเช่นคำกลอนที่ว่า

"ความรักเหมือนโรคา    บันดาลให้ตามืดมล
ไม่ยินและไม่ยล         อุปะสัคคะใดๆ
ความรักเหมือนโคถึก   กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดจากคอกไป       บยอมอยู่ ณ ที่ขัง"

       คำกลอนที่กล่าวได้อย่างลึกซึ้งกินใจและเป็นความจริงอยู่ทุกยุคทุกสมัยเหล่านั้น หลายๆ คนคุ้นหู และอาจรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเป็นคำกล่าวที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ถ้อยคำที่บรรยายถึงความรัก ดังกล่าวนั้นมาจากพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "มัทนะพาธา" ที่กล่าวถึงเรื่องความรักที่ว่าด้วยท่วงทำนองแห่งความเจ็บปวดและพลัดพราก ความไม่สมหวังในรัก เจ็บปวดทุกข์ระทม แต่ในสิ่งเหล่านี้ก็มีความรักอันสมหวังสดชื่น วรรณคดี เรื่องนี้มีคุณค่าทางวรรณคดีสูงล้ำยิ่งนักด้วยเปี่ยมไปด้วยถ้อยคำไพเราะงดงาม การดำเนินเรื่องที่ครบถ้วนทั้งรสแห่งความรัก รสแห่งความแค้น รสแห่งความเกลียด รสแห่งความทุกข์ระทม

       ในโอกาสของวันแห่งความรักที่ใกล้จะถึงนี้จึงขอนำสรุปความโดยย่อของเรื่องมัทนะพาธามานำเสนอ

       จอมเทพสุเทษณ์เป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถผู้สารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชม สุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี จิตระรถจึงนำมายาวินวิทยาธรมาเฝ้า สุเทษณ์ให้มายาวินใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนามาหา เมื่อมาแล้วนางมัทนาก็เหม่อลอยมิมีสติสมบูรณ์เพราะตกอยู่ในฤทธิ์มนตรา สุเทษณ์มิต้องการได้นางด้วยวิธีเยี่ยงนั้น จึงให้มายาวินคลายมนตร์ แต่ครั้นได้สติแล้ว นางมัทนาก็ปฏิเสธว่ามิมีจิตเสน่หาตอบด้วยมิว่าสุเทษณ์จะเกี้ยวพาและรำพันรักอย่างไร สุเทษณ์โกรธนักจึงจะสาปมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์

       มัทนาขอให้นางได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นกลิ่นหอมเพื่อให้มีประโยชน์บ้าง สุเทษณ์จึงสาปมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลายที่งามทั้งกลิ่นทั้งรูป และมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์ โดยที่ในทุกๆ 1 เดือน นางมัทนาจะหลายร่างเป็นคนได้ชั่ว 1 วัน 1 คืน ในเฉพาะวันเพ็ญของแต่ละเดือนเท่านั้น และถ้านางมีความรักเมื่อใด นางก็จะมิต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก แต่นางจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมือนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ตนจึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง

      นางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวัน บรรดาศิษย์ของฤษีนามกาละทรรศินมาพบเข้าจึงนำความไปบอกพระอาจารย์ กาละทรรศินจึงให้ขุดไปปลูกในบริเวณอาศรมของตน ในขณะที่จะทำการขุดก็มีเสียงผู้หญิงร้อง กาละทรรศินเล็งญาณดูก็รู้ว่าเป็นเทพธิดามาจุติ จึงได้เอ่ยเชิญและสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องสืบไป เมื่อนั้นการจึงสำเร็จด้วยดี

      วันเพ็ญในเดือนหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระได้เสด็จออกล่าสัตว์ในป่าหิมะวันและได้แวะมาพักที่อาศรมพระฤษี ครั้นได้เห็นนางมัทนาในโฉมของนารีผู้งดงามก็ถึงกับตะลึงและตกหลุมรัก จนถึงกับรับสั่งให้มหาดเล็กปลูกพลับพลาพักแรมไว้ใกล้อาศรมนั้นทันที

        ท้าวชัยเสนรำพันถึงความรักลึกซึ้งที่มีต่อนางมัทนา ครั้นเมื่อนางมัทนาออกมาที่ลานหน้าอาศรมก็มิเห็นผู้ใด ด้วยเพราะท้าวชัยเสนหลบไปแฝงอยู่หลังกอไม้ นางมัทนาได้พรรณาถึงความรักที่เกิดขึ้นในใจอย่างท่วมท้น ท้าวชัยเสนได้สดับฟังทุกถ้อยความจึงเผยตัวออกมาทั้งสองจึงกล่าวถึงความรู้สึกอันล้ำลึกในใจที่ตรงกันจนเข้าใจในรักที่มีต่อกัน จากค่ำคืนถึงยามรุ่งอรุณ ท้าวชัยเสนจึงทรงประกาศหมั้นและคำสัญญารัก ณ ริมฝั่งลำธารใกล้อาศรมนั้น

       เมื่อมีความรักแล้ว นางมัทนาก็ยังคงรูปเป็นนารีผู้งดงาม มิต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนา พระฤษีก็ยกให้โดยให้จัดพิธีบูชาทวยเทพและพิธีวิวาหมงคลในป่านั้นเสียก่อน

       ท้าวชัยเสนเสด็จกลับวังหลายเพลาแล้วแต่ก็มิได้เสด็จไปยังพระตำหนักข้างในด้วยว่ายังทรงประทับอยู่แต่ในอุทยาน พระนางจัณฑี มเหสีให้นางกำนัลมาสืบดูจนรู้ว่าพระสวามีนำสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสนกำลังอยู่กับนางมัทนาพอดี เมื่อพระนางจัณฑีเจรจาค่อนขอดดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้วและทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยา

       พระนางจัณฑีแค้นใจนัก ให้คนไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งมคธนครให้ยกทัพมาทำศึกกับท้าวชัยเสน จากนั้นก็คบคิดกับนางค่อมอราลีและวิทูรพราหมณ์หมอเสน่ห์ ทำอุบายกลั่นแกล้งนางมัทนาโดยส่งหนังสือไปทูลท้าวชัยเสนว่านางมัทนาป่วย ครั้นเมื่อท้าวชัยเสนรีบเสด็จกลับมาเยี่ยมนางมัทนา ก็กลับพบหมอพราหมณ์กำลังทำพิธีอยู่ใกล้ๆต้นกุหลาบ วิทูรกับนางเกศินีข้าหลวงของนางจัณฑีจึงทูลใส่ความว่านางมัทนาให้ทำเสน่ห์เพื่อให้ได้ร่วมชื่นชูสมสู่กับศุภางค์

       ท้าวชัยเสนกริ้วนัก รับสั่งให้ศุภางค์ประหารนางมัทนาแต่ศุภางค์ไม่ยอม ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารทั้งคู่

       พระนางจัณฑีได้ช่องรีบเข้ามาทูลว่าตนจะอาสาออกไปห้ามศึกพระบิดาซึ่งคงเข้าใจผิดว่านางกับท้าวชัยเสนนั้นบาดหมางกัน แต่ท้าวชัยเสนตรัสว่าทรงรู้ทันอุบายของนางที่คิดก่อศึกแล้วจะห้ามศึกเอง พระองค์จะขอออกทำศึกอีกคราแล้วตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อตาเอามาให้นางผู้ขบถต่อสวามีตนเอง

        ขณะตั้งค่ายรบอยู่ที่นอกเมือง วิทูรพรหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้าท้าวชัยเสนเพื่อสารภาพความทั้งปวงว่าพระนางจัณฑีเป็นผู้วางแผนการร้าย ซึ่งในที่สุดแล้วตนสำนึกผิดและละอายต่อบาปที่เป้นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษประหาร

         ท้าวชัยเสนทราบความจรืงแล้วคั่งแค้นจนดำริจะแทงตนเองให้ตาย แต่อำมาตย์นันทิวรรธนะเข้าห้ามไว้ทันและสารภาพว่าในคืนเกิดเหตุนั้นตนละเมิดคำสั่ง มิได้ประหารศุภางค์และนางมัทนา หากแต่ได้ปล่อยเข้าป่าไป ซึ่งนางมัทนานั้นได้โสมะทัตศิษญ์เอกของฤษีกาละทรรศินนำพากลับสู่อาศรมเดิม แต่ศุภางค์นั้นแฝงกลับเข้าไปร่วมกับกองทัพแล้วออกต่อสู้กับข้าสึกจนตัวตาย

         ท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารท้าวมคธที่ถูกจับมาเป็นเชลยไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนพระนางจัณฑีมเหสีนั้นทรงให้เนรเทศออกนอกพระนคร ด้วยทรงเห็นว่าอันนารีผู้มีใจมุ่งร้ายต่อผู้เป็นสามีก็คงต้องแพ้ภัยตนเอง มิอาจอยู่เป็นสุขได้นานแน่

         ฝ่ายนางมัทนานั้นได้ทำพิธีบูชาเทพและวอนขอร้องให้สุเทษณ์จอมเทพช่วยนางด้วย สุเทษณ์นั้นก็ยินดีจะแก้คำสาปและรับนางเป็นมเหสี แต่นางมัทนาก็ยังคงปฏิเสธและว่าอันนารีจะมีสองสามีได้อย่างไร สุเทษณ์เห็นว่านางมัทนายังคงปฏิเสธความรักของตนจึงกริ้วนักสาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป

         เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่า นางปริยัมวะทาที่ตามมาปรนนิบัติดูแลนางมัทนาด้วยก็ทูลเล่าความทั้งสิ้นให้ทรงทราบ ท้าวชัยเสนจึงร้องร่ำให้ด้วยความอาลัยรักแล้วขอให้พระฤษีช่วย โดยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาให้ยินยอมกลับเข้าไปยังเวียงวังกับตนอีกครา

          เมื่อพระฤษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสนก็รำพันถึงความหลงผิดและความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงสามารถขุดต้นกุหลาบได้สำเร็จ ท้าวชัยเสนได้นำต้นกุหลาบขึ้นวอทองเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน และขอให้ฤษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่ากุหลาบจะยังคงงดงามมิโรยราตราบจนกว่าตัวพระองค์เองจะสิ้นอายุขัย พระฤษีก็อวยพรให้ดังใจ และประสิทธิประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์ อีกทั้งยังเป็นไม้ดอกที่กลิ่นอันหอมหวานสามารถช่วยดับทุกข์ในใจคนและดลบันดาลให้จิตใจเบิกบานเป็นสุขได้ ชาย-หญิงเมื่อมีรักก็จักใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญญลักษณ์แห่งความรักแท้สืบต่อไป


PS.   เรียนรู้ที่จะรับคำวิพาภษ์เช่นเดียวกับคำชม เพราะคำวิพากษ์ก็เหมือนยาขม ใช้เป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเองได้

แสดงความคิดเห็น

>

16 ความคิดเห็น

_Gasbell_ 20 พ.ย. 50 เวลา 13:48 น. 1

จากเว็บไซท์   http://www.childthai.org/cic/love.html


PS.   เรียนรู้ที่จะรับคำวิพาภษ์เช่นเดียวกับคำชม เพราะคำวิพากษ์ก็เหมือนยาขม ใช้เป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเองได้
0
_Gasbell_ 21 พ.ย. 50 เวลา 14:29 น. 3

ไม่เป็นไรค่ะ ด้วยความยินดี มีไรให้ช่วยก็บอกได้นะ อิอิ หาได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง


PS.   เรียนรู้ที่จะรับคำวิพาภษ์เช่นเดียวกับคำชม เพราะคำวิพากษ์ก็เหมือนยาขม ใช้เป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเองได้
0