ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย คณะครุศาสตร์ , ศึกษาศาสตร์

 คนที่ 1
ภรณี ศิริวิศาลสุวรรณ (หวาน) : คณะศึกษาศาสตร์ สาขาพลศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

พี่เป้ : แนะนำตัวเองหน่อยค่ะ
พี่หวาน : สวัสดีค่ะ ภรณี ศิริวิศาลสุวรรณ ชื่อเล่นชื่อหวาน จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนศึกษานารี กรุงเทพฯ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่คณะศึกษาศาสตร์ สาขาพลศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชั้นปีที่ 5 และกำลังฝึกประสบการณ์วิชาชีพศึกษาศาสตร์ ที่โรงเรียน สาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน

พี่เป้ : ทำไมถึงสนใจเรียนในคณะศึกษาศาสตร์นี้คะ?
พี่หวาน : อาชีพครู วิชาชีพครู เป็นงานที่มีเกียรติและเป็นงานที่สร้างคนให้กับสังคม ครูคือบุคคลที่มีหน้าที่หรือมีอาชีพในการสอนนักเรียน ทั้งวิชาความรู้ หลักการคิดการอ่าน รวมถึงการปฏิบัติและแนวทางในการทำงาน ดังนั้นที่เลือกศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ เพราะอยากให้เด็กไทยเป็นเด็กดี เป็นพลเมืองที่ดีของสังคม

พี่เป้ : การเรียนในสาขาพลศึกษา จะเน้นด้านไหนบ้างคะ ?
พี่หวาน : การเรียนในสาขาพลศึกษานี้ จะเน้นทางด้านวิชาที่เกี่ยวกับกีฬา ได้แก่ กรีฑาลู่ กรีฑาลาน ว่ายน้ำ ยิมนาสติก แบดมินตัน เกมส์ กระบี่กระบอง บาสเกตบอล ฟุตบอล กิจกรรมเข้าจังหวะ วอลเลย์บอล และมวยไทย ซึ่งเป็นวิชากีฬาบังคับ อีกทั้งยังเรียน วิชาเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยาของมนุษย์ ได้แก่ ระบบโครงร่าง ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบขับถ่าย ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบย่อยอาหาร และระบบสืบพันธ์ ทำให้เรามีความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับระบบการทำงานภายในร่างกายมนุษย์เพิ่มมากขึ้น และชั้นปีที่ 1-4 จะมีวิชาเรียน ที่ให้นิสิตไปสังเกตการสอน ที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนิสิต ชั้นปีที่ 5 จะต้องฝึกประสบการณ์วิชาชีพศึกษาศาสตร์ (การฝึกสอน) ตามโรงเรียนต่างๆ ที่เราเลือกเองตามความสมัครใจ เป็นระยะเวลา 1 ปี

พี่เป้ : แล้วได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างคะ ?
พี่หวาน : ได้ทำกิจกรรมของคณะและมหาวิทยาลัยมากมาย ได้แก่ กิจกรรมรับน้องใหม่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ก้าวแรกสู่บัณฑิตยุคใหม่, ไหว้ครูมหาวิทยาลัย, โครงการบริหารเวลาอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ,สอนน้องร้องเพลงคณะศึกษาศาสตร์,ไหว้ครูคณะ,กีฬาสัมพันธ์ศึกษาศาสตร์,ค่ายปลูกจิตสำนึกศึกษาศาสตร์,ครูอาสาพัฒนาชนบท (ค.ช.บ.), Ed day- Ed night, และอื่นๆ อีกเยอะมากค่ะ

พี่เป้ : การฝึกสอนเป็นยังไงบ้างคะ ?
พี่หวาน : ต้องฝึกสอน 1 ปี ที่โรงเรียนต่างๆ ตามที่ภาควิชาจัดให้ นิสิตที่มีเกรดเฉลี่ยมาก ก็จะได้มีสิทธิ์โรงเรียนตามที่ตนเองต้องการ ในภาคเรียนที่ 1 จะต้องฝึกสอนไม่น้อยกว่า 8 คาบต่อสัปดาห์ และในภาคเรียนที่ 2 จะต้องฝึกสอนไม่น้อยกว่า 6 คาบต่อสัปดาห์ จะเห็นได้ว่าจำนวนคาบสอนลดลง เนื่องจากจะต้องทำวิจัยในชั้นเรียนด้วย 1 เรื่องค่ะ

พี่เป้ : แล้วในอนาคตอยากทำงานอะไรคะ
พี่หวาน : อยากจะประกอบอาชีพครู เนื่องจากอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และผู้คนให้ความเคารพนับถือ อีกทั้งยังได้ถ่ายทอดความรู้ๆต่างๆ ที่เรามีส่งต่อไปยังเด็กรุ่นหลัง อยากเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและได้รับตำแหน่งทางวิชาการด้วยค่ะ

พี่เป้ : สุดท้ายนี้ ช่วยฝากถึงน้องๆ ที่อยากแอดมิชชั่นเข้าคณะศึกษาศาสตร์ด้วยค่ะ ?
พี่หวาน :ขอให้น้องๆ ตั้งใจเรียนในห้องเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือ ฝึกทำแบบฝึกหัดในแต่ละวิชาให้มากๆ และมีสมาธิในการทำข้อสอบแอดมิดชั่น พี่เชื่อว่าคณะนี้ไม่อยากเกินความสามารถของน้อง สำหรับน้องๆ ที่ไม่มีใจรักทางด้านการเป็นครู ไม่ควรตัดสินใจเลือกคณะนี้ เพราะจะทำให้น้องๆ เสียเวลากับการเรียนเพิ่มและฝึกสอนอีก 1 ปีค่ะ   

คนที่ 2
กันยารัตน์ วงษ์วิบูลย์สิน (หลิน) : คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

พี่เป้ : แนะนำตัวเองแก่ชาว Dek-D.com หน่อยค่ะ
พี่หลิน: สวัสดีค่ะ ชื่อ กันยารัตน์ วงษ์วิบูลย์สิน ชื่อเล่น หลิน จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน (กับเอกคอมพิวเตอร์การศึกษา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 3 ค่ะ

พี่เป้ : ทำไมถึงเลือกเรียนคณะครุศาสตร์นี้คะ ?
พี่หลิน: ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ในตอนที่เรียนมัธยมนั้น ได้เข้าไปช่วยเหลืองานคุณครูอยู่บ่อย ๆ เลยทำให้ทราบถึงลักษณะงานและภาระหน้าที่ของครู ว่าจริง ๆ แล้วครูจะต้องทำอะไรบ้าง และโดยปกติค่อนข้างจะเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้ทั่วไปอยู่เสมอ รวมไปถึงถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่นด้วย ก็เลยคิดว่าคณะครุศาสตร์ เป็นคณะที่เหมาะกับลักษณะนิสัยของตัวเอง รวมทั้งคิดว่า ในอนาคตจะสามารถไปเป็นครู ซึ่งคิดว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ค่ะ

พี่เป้ : ตอนสอบแอดมิชชั่นในตอนนั้น มีวิธีการเตรียมตัวยังไงบ้าง ?
พี่หลิน: เน้นไปกับการอ่านหนังสือ แล้วก็เอาข้อสอบเก่า ๆ และแนวข้อสอบต่าง ๆ มาลองทำมากกว่า แล้วก็แทบจะไม่ได้เรียนพิเศษเลย เพราะว่าลงคอร์สภาษาอังกฤษไปแค่ 2 คอร์ส และก็จะไม่ค่อยบีบบังคับตัวเองมากเท่าไรว่าจะต้องอ่านหนังสือตลอดเวลา เพราะคิดว่าถ้าหากอ่านหนังสือแบบนั้นจะทำให้ไม่ได้อะไรจากการอ่านเลย

 พี่เป้ : มีการฝึกสอนมั้ยคะ ช่วยเล่าคร่าวๆ ให้ฟังหน่อยค่ะ
พี่หลิน: ได้มีกำหนดไว้เลยค่ะว่าทุกสาขาวิชาจะต้องมีการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ คือ การฝึกสอนทั้งหมด 2 เทอม จะแตกต่างกันไปตามเอกวิชาที่เรียน ว่าจะออกฝึกสอนตั้งแต่ปี 4 เทอม 2 หรือ ปี 5 เทอม 1 ซึ่งเท่าที่เห็นมาก็จะมีโรงเรียนให้เลือกหลายโรงเรียนนะคะ ไม่ว่าจะเป็น หอวัง, สามเสนวิทยาลัย, ไตรมิตรวิทยาลัย, สาธิตจุฬาฯ, สาธิตปทุมวัน และอื่นๆ อีก เห็นรุ่นพี่ที่ได้ไปฝึกสอนแต่ละคนมาเล่าให้ฟังว่าเหนื่อยมาก ๆ เพราะว่า การไปฝึกสอนก็เหมือนกับเราไปเป็นครูจริง ๆ เพราะจะต้องมีการเตรียมการสอน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนแผนการสอน การเตรียมสื่อการสอน รวมไปถึงลงมือปฏิบัติการสอน และนอกจากนี้สาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียนยังมีการกำหนดให้นิสิตที่เรียนสาขาวิชานี้ต้องออกฝึกงานด้วยค่ะ เป็นในช่วงของซัมเมอร์ (ปิดเทอมใหญ่) 2 ซัมเมอร์ คือ ตอนขึ้นปี 4 และ ปี 5 ที่ศูนย์ กศน. ต่าง ๆ ซึ่งนับว่าใครที่มาเรียนสาขาวิชานี้ ก็จะได้ผ่านทั้งการฝึกสอนและฝึกงานทั้ง 2 รูปแบบ นับว่าเป็นการฝึกที่คุ้มค่าค่ะ

พี่เป้ : บรรยากาศการเรียนที่คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ เป็นยังไงบ้าง มีวิชาไหนที่น่าสนใจบ้างคะ
พี่หลิน: ขอให้คำจำกัดความไว้เลยว่า “เรียนสนุก ลุกนั่งสบาย การบ้านมากมาย” เพราะว่าเวลาเรียนจะไม่ค่อยเคร่งเครียดมากเท่าไรนัก แต่ว่าจะเน้นหนักไปที่การบ้าน โดยเฉพาะรายงาน ซึ่งถ้าคำนวณแล้ว จะตกอยู่ที่ประมาณรายวิชาละ 1-2 เล่มต่อ 1 เทอม ซึ่งแต่ละเทอมก็จะเรียนอยู่ที่ประมาณ 8-10 รายวิชา ทำให้มีบางคนถึงกับตั้งชื่อคณะใหม่เป็น “Faculty of Report” เลยค่ะ ส่วนวิชาที่สนุกและน่าสนใจ ก็ขอแนะนำที่รายวิชาของสาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียนเลยค่ะ คือ วิชา “การพัฒนาทรัพยากรการเรียนรู้ตามอัธยาศัย” ซึ่งเป็นวิชาที่จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจถึงความหมายของคำว่า การศึกษาตามอัธยาศัยอย่างแท้จริง และส่วนมากในทุก ๆ ภาคเรียน จะมีการออกไปศึกษาดูงานนอกสถานที่ ซึ่งถ้านิสิตคนไหนลงเรียนวิชานี้ ก็จะได้ออกไปดูงานที่ “Siam Ocean World” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุฬาฯ และนอกจากรายวิชานี้แล้ว ส่วนใหญ่รายวิชาที่เป็นของสาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน ก็จะมีการไปศึกษาดูงานนอกสถานที่อยู่เป็นประจำ

พี่เป้ : มีความประทับใจอะไรบ้างต่อคณะครุศาสตร์ และจุฬาฯ ?
พี่หลิน: ประทับใจในความเป็นจุฬาฯ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้สัมผัสเลย เนื่องจากจุฬาฯ เป็นสถาบันที่เก่าแก่ และผลิตบุคคลสำคัญมากมายที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาประเทศ คนนอกอาจจะมองว่า คนที่เรียนจุฬาฯ มีแต่พวกคุณหนูและหยิ่ง แต่ความเป็นจริงแล้ว อยากให้หลาย ๆ คนลองมาสัมผัสดู เพราะว่าจริง ๆ แล้วนิสิตทุกคนในจุฬาฯ มีความรักและสามัคคีกัน โดยเฉพาะในคณะครุศาสตร์ ที่ทุกคนในคณะจะมีความสามัคคีกัน ทักทายกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็น นิสิต คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ในคณะ เพราะทุก ๆ คนเป็นส่วนที่สำคัญของคณะครุศาสตร์ ที่ทำให้ครุศาสตร์ เป็น “ครุศาสตร์” ในทุกวันนี้

คนที่ 3
อรรฆภา อ่อนน้อม (พลอย) : คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร 

พี่เป้ : แนะนำตัวเองแก่ชาว Dek-D.com หน่อยค่ะ
พี่พลอย : สวัสดีค่ะ ชื่อพลอยค่ะ อรรฆภา อ่อนน้อม อยู่คณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทย ชั้นปีที่ 5 มหาวิทยาลัยศิลปากรค่ะ ตอนนี้กำลังฝึกสอนอยู่

พี่เป้ : ทำไมถึงสนใจเรียนคณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกภาษาไทยคะ ?
พี่พลอย : คือช่วงเอ็นท์ตอนแรกก็ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไรดี ก็เลยลองคิดดูว่าตัวเองชอบอะไรมากที่สุด ที่สำคัญคือเรียนวิชาอะไรได้ดีที่สุด ก็ได้คำตอบว่าเรียนภาษาไทยนี่แหละ ทีนี้มันก็มีให้เลือกอีกเยอะเลยว่าจะเรียนภาษาไทยเกี่ยวกับอะไร แล้วอยู่ดี ๆ ก็คิดขึ้นมาว่า เรียนครูดีกว่า เพราะตอนเด็ก ๆ พี่เคยอยากเป็นครูก็เลยลองดูซักตั้งละกัน

พี่เป้ : บรรยากาศการเรียนของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นยังไงบ้างคะ ?
พี่พลอย : บอกได้แค่ว่า "ฮา...อย่างมีสาระ" คือเรียนกันแบบไม่เครียดอ่ะค่ะ อาจารย์สอนอยู่เสมอว่าอย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ให้ทำเรื่องที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย อยู่กันแบบครอบครัวจริง ๆ มีอะไรสามารถปรึกษาทุกคนได้ ทั้งที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วแต่ยังรู้สึกเหมือนกับยังเรียนมัธยมอยู่เลย

พี่เป้ : วิชาที่ชอบที่สุดคือวิชาอะไรคะ?
พี่พลอย : ชอบทุกวิชาอ่ะค่ะ ก็คือเราได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรักมันก็เลยดีไปหมด แต่ที่ชอบที่สุดจริง ๆ คงเป็นวิชาคติชนวิทยา เป็นวิชาที่ต้องลงพื้นที่ในเขตบ้านเราตอนช่วงปิดเทอม แล้วสัมภาษณ์คนในเขตนั้นว่าบ้านเราเนี่ยมีอะไรดี มีคติความเชื่ออะไรบ้าง แล้วนำเนื้อหามาวิเคราะห์กับเนื้อหาการสอนภาษาไทย ตอนนั้นเหนื่อยมาก แต่ก็สนุก ทำให้เราได้รู้จักการทำงานอย่างเป็นระบบ

พี่เป้ : ต้องมีการไปฝึกสอนตามโรงเรียนต่างๆ ด้วยมั้ยคะ ?
พี่พลอย : ต้องเรียนหลักสูตร 5 ปี คือเรียน 4 ปี แล้วฝึกสอน 1 ปี (2 เทอม) เทอมแรกฝึกสอนที่วิทยาลัยเทคนิคนครปฐมค่ะ ทุกคนน่ารักมาก ทั้งอาจารย์ในโรงเรียนและนักเรียน ส่วนเทอมนี้เป็นเทอมที่ 2 ของการฝึกสอนค่ะ พี่ฝึกสอนที่โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย เด็ก ๆ น่ารักดีค่ะ พี่ว่าพี่คุ้มนะ เทอมแรกฝึกสอนสายอาชีพ อีกเทอมฝึกสอนสายสามัญ เจอนักเรียนหลาย ๆ แบบ ต้องปรับตัวค่อนข้างมาก แต่มันก็คือการฝึกประสบการณ์จริง ๆ ที่เวลาเราไปทำงานเราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะสอนหรือไม่สอนใคร ที่สำคัญ มันคือการฝึกเราให้เข้มแข็งพอที่จะไปเผชิญกับสังคมการทำงานจริง ๆ

พี่เป้ : คิดว่าคนที่เหมาะกับการจะเรียนในคณะนี้ ควรมีบุคลิกนิสัยยังไงบ้าง
พี่พลอย : นิสัยยังไงไม่ใช่เรื่องสำคัญค่ะ แต่น้องต้องถามตัวเองก่อนว่าน้องมีใจแค่ไหนที่จะมาเป็นครู บางคนตอนเข้ามาไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นครู แต่อยู่ ๆ ไปมันก็รักอาชีพนี้ขึ้นมา แต่บางคนก่อนเข้ามาอยากเป็นครูมากๆ แต่พอเรียนไปก็ต้องซิ่วเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ พี่เลยอยากให้น้องถามตัวเองก่อนว่า "ใจน้องอยากจะเป็นอะไรกันแน่"

พี่เป้ : ฝากถึงน้องๆ ที่อยากแอดมิชชั่นเข้าคณะนี้หน่อยค่ะ
พี่พลอย : ขอย้ำอีกครั้งว่า "แค่น้องมีใจรักก็พอแล้ว" คนเป็นครูไม่ต้องการคนที่ฉลาดหรือรู้มากที่สุด แต่ต้องการคนที่ถ่ายทอดความรู้ที่ตัวเองมีให้ผู้อื่นให้ได้มากที่สุด

        อ่านกันจุใจ กับรุ่นพี่ทั้ง 4 คน 4 ประสบการณ์ น้องๆ คงจะเห็นภาพและเข้าใจบรรยากาศในการเรียนของคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์นี้มากขึ้นนะคะ ส่วนสัปดาห์หน้า พี่เป้จะกลับมาพร้อมกับบรรดารุ่นพี่ที่จบการศึกษาจากคณะนี้ไปแล้ว เราจะไปแอบดูกันว่า ตอนนี้พี่ๆ เค้าทำอะไรกันอยู่ อย่าลืมติดตามด้วยล่ะ