เด็กไทยท้าชน หัวกะทิจากทั่วโลก

 
     สวัสดีครับน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน สำหรับบทความนี้ก็เป็นบทความข้อมูล และความรู้ทางด้านการโรงแรม และการท่องเที่ยวบทความที่ 3 ของสถาบัน I-TIM แล้วครับ ซึ่งคาดว่าบทความที่ผ่านๆ มา คงจะให้ความรู้ และแนวคิดดีๆให้กับน้องๆ ที่กำลังตัดสินใจเกี่ยวกับสาขาที่จะเรียน หรือน้องๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในสาขาการโรงแรม และการท่องเที่ยวไม่มากก็น้อยครับ
อ่านบทความแรกได้ที่นี่ บทความดีๆ สำหรับน้องๆ ที่สนใจด้านการโรงแรม และการท่องเที่ยว อนาคตการเรียนด้านการโรงแรม การท่องเที่ยว ยังน่าเรียนหรือไม่ ???
อ่านบทความที่สองได้ที่นี่ การโรงแรม การท่องเที่ยวเค้าเรียนอะไรกัน พบกับสาขาวิชาเรียนต่างๆ เกี่ยวกับการโรงแรมและการท่องเที่ยว

          สำหรับในบทความนี้จะเป็นบทสัมภาษณ์ของน้องนักศึกษาคนเก่งของสถาบัน I-TIM ที่เพิ่งกลับมาจากการฝึกงานที่อเมริกา และเพิ่งจบการศึกษามาสดๆ ร้อนๆ เลยครับ

          โดยปกติสถาบัน I-TIM จะโดดเด่นในเรื่องของการส่งนักศึกษาออกฝึกงานในต่างประเทศอยู่แล้วครับ เพราะสถาบันฯ คำนึงถึงประสบการณ์ในการทำงานเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการฝึกงานในต่างประเทศ ซึ่งมีมาตรฐาน และวัฒนธรรมการทำงานต่างจากประเทศไทยมาก โดยในแต่ละปี สถาบัน I-TIM ได้ส่งนักศึกษาออกฝึกงานในต่างประเทศมากที่สุดในสถาบันด้านการโรงแรม และการท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่ความพิเศษของน้องคนนี้ อยู่ตรงที่การได้รับคัดเลือก และได้รับทุนในการไปฝึกงานจากโรงแรม ระดับ 5 Diamonds ในอเมริกา ซึ่งจะคัดเลือก และให้ทุนในการไปฝึกงานกับนักศึกษาเพียง 30 คนจากทั่วโลก โดยจะเลือกเพียง 2 คน จากประเทศไทย และเฉพาะเจาะจงเป็นนักศึกษาของสถาบัน I-TIM เท่านั้น


          ก่อนอื่นก็มาทำความรู้จักกับน้องคนนี้กันก่อนครับ น้องกฤติกา วงศ์เกียรติขจร ปัจจุบันอายุ 21 ปี ชื่อเล่นชื่อกฤติ หรือคริสตี้ (ที่อเมริกาเค้าเรียกกันครับ) ก่อนที่จะเข้าเรียนหลักสูตร 2 ปี (Diploma) ที่สถาบัน I-TIM น้องกฤติเรียนที่โรงเรียนนานาชาตินครพายัพ จ. เชียงใหม่ ตั้งแต่อนุบาล จนจบไฮสคูล ปัจจุบัน เป็นอาจารย์สอนพิเศษภาษาอังกฤษอยู่ที่ Study Plus Center สอน GED, IELTS, TOFEL อยู่ ในระหว่างที่กำลังเลือกสถาบันในอเมริกา ออสเตรเลีย และอังกฤษ เพื่อเรียนต่อ ซึ่งตอนนี้ก็ได้รับการตอบรับทุนการศึกษาจาก Le Cordon Bleu ในออสเตรเลียมาแล้ว แต่กำลังรอเลือกสถาบันในอเมริกา กับอังกฤษอยู่ครับ (ซึ่งก็เลือกเฉพาะที่ที่ให้ทุนการศึกษาเช่นกัน)

          น้องกฤติมีแนวความคิด และมุมมองที่ดีมาก และเป็นผู้ใหญ่มากๆ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นเด็กอายุเพียง 20-21 ปี ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็เท่ากับนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 3 เท่านั้นเอง เชื่อว่าประสบการณ์การทำงานจริงๆ ในต่างประเทศ มีส่วนช่วยให้น้องกฤติพัฒนาแนวคิด ทัศนคติ และความสามารถได้อย่างมากเลยทีเดียวครับ


สาเหตุที่เลือกเรียนสาขาการโรงแรม และการท่องเที่ยว
          เพราะเป็นสายงานที่ท้าทาย และเป็น International Management มากที่สุดค่ะ กฤติฝันอยากจะทำงาน และใช้ชีวิตในต่างประเทศ การทำงานสายนี้ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมที่เป็นนานาชาติจริงๆ หลักการจัดการ ของแต่ละชาติก็จะไม่เหมือนกัน อย่างเช่น อเมริกา กับอังกฤษ ก็จะแตกต่างกัน ดังนั้นการเรียนในสายนี้ จะทำให้เราทราบถึงหลักการจัดการโดยรวมของนานาประเทศจริงๆ นอกจากนี้ยังได้รู้จักคนหลายประเทศ และวิธีในการทำงานกับคนจากหลายประเทศ ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าใจวัฒนธรรมของหลากหลายชาติได้เป็นอย่างดีค่ะ

ทำไมต้องเป็นสถาบัน I-TIM
          ตอนแรกที่ตัดสินใจเลือกเรียนด้านการโรงแรม ก็ได้หาข้อมูลจากหลายแห่ง และก็ได้ทราบว่าหากจะเข้าทำงานในสายนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือประสบการณ์ ถ้าเพื่อนๆ ลองศึกษาถึงหลักสูตรการโรงแรมในสถาบันชั้นนำในต่างประเทศ โดยเฉพาะสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับด้านการโรงแรม จะเห็นได้ชัดเลยว่าทุกๆ สถาบัน เค้าเน้นที่การเรียนภาคปฏิบัติ และการฝึกงาน ซึ่งถือว่าสำคัญมาก เรียนครึ่งปี ฝึกงานครึ่งปี ถึง 1 ปี และสถาบันไอทิม เป็นสถาบันที่เรียกได้ว่า เข้าใจการโรงแรมจริงๆ สถาบันฯ จะให้โอกาสในการฝึกงานที่ดีมากๆ กับนักศึกษา อย่างในปีที่ 1 โรงแรม 5 ดาวขึ้นไป ทั่วกรุงเทพ หรือทั่วประเทศ จะรู้จักไอทิมหมด และที่สำคัญจริงๆ ก็คือการฝึกงานในต่างประเทศ อย่างในอเมริกา ก็จะมีโรงแรมให้นักศึกษาเลือกฝึกงานมากมายโรงแรม และเป็นที่ๆ มีมาตรฐานสูงทั้งสิ้น ดีกว่าในสถาบันอื่นๆ ในไทย ก็เลยตัดสินใจเลือกที่จะเรียนที่ไอทิมค่ะ เพราะถือได้ว่าสมบูรณ์แบบกว่าที่อื่นๆ ในเรื่องการโรงแรม และถ้าจะเรียนต่อให้จบปริญญาตรี ก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยที่ไม่ได้ใช้เวลานานกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยเลยค่ะ


เล่าเรื่องที่ฝึกงานให้ฟังซักนิด
         กฤติได้ฝึกงานที่โรงแรม The Breakers ปาล์มบีช ฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่คนรวยที่สุดของอเมริกาอยู่กัน คนที่มีซิปโคดของเมืองนี้จะเป็นระดับมหาเศรษฐีหมดเลย ในเมืองตำรวจเยอะกว่าประชาชนทั่วไป  จึงเป็นเมืองที่ปลอดภัยมากๆ สามารถเดินออกจากรถโดยไม่ต้องล็อครถด้วยซ้ำ รับรองว่าไม่มีอะไรหายแน่นอนค่ะ โรงแรม The Breakers เป็นโรงแรมระดับ 5 Diamonds ถือว่าเป็นโรงแรมสำคัญของประเทศอเมริกา ก่อตั้งมาร้อยกว่าปีแล้ว ซึ่งโรงแรมได้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในยุค 1800 ตอนนี้โรงแรมกำลังปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยใช้งบประมาณ 60 ล้านเหรียญสหรัฐ แขกที่มาพักในปัจจุบันก็จะเป็นระดับมหาเศรษฐีของโลกทั้งนั้นค่ะ

กฤติได้รับทุนในการฝึกงานด้วย
          ใช่ค่ะ ที่ The Breakers จะให้สปอนเซอร์กับนักศึกษาจาก I-TIM โดยตรง โดยจะเลือกเด็ก 30 คนจากทั่วโลก อังกฤษ สวิสฯ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ฯลฯ และเพียงแค่ 2 คนจากประเทศไทย โดยทางโรงแรมเจาะจงเป็นนักศึกษาจาก I-TIM มาเลยค่ะ ทางโรงแรมจะให้ทุนในส่วนของ วีซ่า ตั๋วเครื่องบิน  และอาหารทั้งหมดค่ะ ตอนที่ไปถึง เป็นอะไรที่รู้สึกดีมากค่ะ ทางโรงแรมส่งรถลีมูซีนมารับ และมื้อแรกที่ไปถึง สามารถสั่งอะไรก็ได้ จะหรูแค่ไหนก็ได้จากห้องอาหารของโรงแรม นอกจากนี้ยังมีคนที่ดูแล เหมือนกับเป็นพี่เลี้ยงส่วนตัวให้ด้วย พาไปซื้อรถ ที่พัก ซื้อโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ

ตอนที่คัดเลือกไปเป็นยังไงบ้าง
          ตอนสัมภาษณ์ที่ The Breakers ถือว่าค่อนข้างยากมาก เพราะต้องสัมภาษณ์ถึง 4 รอบ เราต้องสัมภาษณ์ผ่านทั้งหมด ตกไม่ได้แม้แต่รอบเดียว ตอนถามคำถาม เค้าถามคำถามค่อนข้างยากมาก เช่น มีประสบการณ์มาจากที่ไหน และถ้าเผชิญกับปัญหา จะแก้ปัญหาอย่างไร โดยเค้าจะส่งปัญหามาให้เรา และให้เราคิดหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเดี๋ยวนั้นเลย เค้าจะดูว่าเรามีความสามารถถึงมั้ยที่จะทำงานกับเค้า และถ้าไม่สามารถตอบให้เค้าพอใจได้ก็ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ค่ะ (หัวเราะ)  แต่ไม่ได้ยากอย่างนี้ทุกโรงแรมนะคะ สำหรับโรงแรมนี้มีการให้ทุน และคัดเลือกเด็กจากทั่วโลก ขั้นตอนก็เลยหินนิดหน่อย แต่ถ้าเป็นโรงแรมอื่นๆ ในต่างประเทศจะง่ายกว่านี้มากค่ะ ขั้นตอนการขอวีซ่า ทางโรงเรียนจัดการให้หมดเลย เพราะทางโรงเรียนจะมีแผนกกิจการนักศึกษา ที่ดูแลเรื่องการส่งนักศึกษาไปฝึกงานในต่างประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งค่อนข้างจะเชี่ยวชาญกับขั้นตอนในการขอวีซ่า และทางโรงเรียนจะบอกขั้นตอนทุกอย่างให้หมดเลย

ค่าใช้จ่ายในการไปแพงมั้ย
          ทางโรงแรมออกทุนให้ แต่เราเองก็ต้องเตรียม Pocket Money ไปด้วยพอสมควร เพราะจำเป็นต้องมีรถ ต้องไปซื้อรถมือสอง ราคาประมาณ 2000-3000 เหรียญ (70,000 – 100,000 บาท) พอไปถึงก็จะต้องมัดจำค่าที่พักในเดือนแรก ซึ่งก็ควรนำไปเผื่อบ้างค่ะ

ตอนไปถึงอเมริกาแล้วรู้สึกอย่างไร
          บอกตรงๆ ว่าค่อนข้างช็อคเล็กน้อยในเรื่องของวัฒนธรรมที่แตกต่างกันค่ะ ถึงจะเรียนนานาชาติมาตั้งแต่เด็ก แต่ชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทย เค้าจะปรับตัวให้เข้ากับเรา แต่พอไปที่นั่น คนอเมริกันจริงๆ จะค่อนข้างกล้าแสดงออก ในการแสดงความคิดเห็น เวลาเค้าคุยกับเราเค้าเปิดมากๆ เราเองก็ต้องเปิดใจกลับไป รู้สึกอะไร หรืออยากได้อะไรก็ต้องบอกเค้าตรงๆ ตั้งแต่ไปถึงเป็น Non Stop Action  คือ ไม่ได้หยุดพักเลย ในช่วงสองสามวันแรกที่ไปถึงก็ต้องไปหาบ้าน หารถ หาประกัน แถมยังต้องไปสอบใบขับขี่ ภายในช่วงสองสามวันที่ไปถึง ซึ่งก็ยัง Jet Lack อยู่ แล้วก็ต้องไปวัดตัวตัดชุด Uniform  แล้วก็ Orientation เลย คือตั้งแต่ไปถึงอเมริกา จนกลับมา คือกฤติแทบไม่ได้หยุดทำงานเลย ทำงานทุกวัน แล้วพอดีตอนที่อยู่ที่อเมริกา มีปัญหาสุขภาพทำให้ต้องเข้าผ่าตัด วันที่เป็นวันลาหยุด ก็เลยนำมาใช้พักฟื้นหลังผ่าตัดหมดเลย  ในอีกส่วนที่ต้องปรับตัวมากๆ ก็คือเรื่องของการกินอยู่  อย่างในเมืองไทย อาหารจะหาซื้อง่าย แต่ที่นั่น ต้องไปซื้อที่ Supermarket แล้วนำกลับมาทำเอง ส่วนเรื่องที่พัก ก็จะมีแบบที่มีเฟอร์นิเจอร์ กับไม่มี ซึ่งจะราคาถูกกว่ามาก ก็ต้องไปหาซื้อเฟอร์นิเจอร์เองอีกทุกอย่าง แต่ถ้าเราผ่านความยากลำบากตรงนี้ไปได้เราก็จะเก่งขึ้นค่ะ

ในเรื่องของสวัสดิการ เป็นอย่างไรบ้าง
          ในเรื่องของที่พัก ในช่วงสองอาทิตย์แรกโรงแรมจะดูแลเราทุกอย่าง แต่หลังจากนั้นก็จะต้องดูแลตัวเองค่ะ แต่สวัสดิการที่โรงแรมดีมาก เพราะทางโรงแรมจะมีงบ สำหรับให้เราไปเรียน พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเรื่องของ Management  ทางโรงแรมก็จะส่งเราไปเรียนอยู่เสมอ หลังจากเราอยู่ครบ 1 ปี เค้าจะมีเงินให้เราพันเหรียญ หลังจากนั้นก็จะมีให้อีกทุก 6 เดือน ครั้งละ 500 เหรียญ ถ้าเราทำงานดีเค้าก็จะขึ้นเงินเดือนให้เราอีก และถ้าเราได้รางวัล อย่างเช่นที่กฤติได้ก็จะเป็นรางวัล Quality Service หรือเป็นตำแหน่งพนักงานดีเด่น ก็จะได้อัพเงินเดือนขึ้นไปอีก ส่วนวันหยุดก็จะมีให้ 2 สัปดาห์ โดยเค้าจะจ่ายเงินเดือนให้ด้วย ลาป่วยให้ 10 วันก็จ่ายให้ และถ้าทำงานล่วงเวลา ก็จะได้ค่าแรงเพิ่มอีก อย่างกฤติได้ค่าแรงชั่วโมงละ 13 เหรียญ  ถ้าทำล่วงเวลาก็จะได้ ประมาณ 20 เหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นการให้ค่าตอบแทนตามความขยัน และสามารถจริงๆ ค่ะ

บรรยากาศการทำงาน การเรียนรู้งาน เป็นอย่างไรบ้าง
          ก็จะต้องเอาใจใส่ที่จะพัฒนา ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะคนที่ทำงานที่ The Breakers จะเป็นคนที่ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดีจากทั่วโลก Manager ก็จะเก่งมากๆ เพื่อนร่วมงานก็เก่ง และเป็นตัวของตัวเองทุกคน เราก็ต้องหาตัวเองให้เจอ เราต้องมั่นใจในความสามารถของเรา ต้องสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองให้ได้ เพราะ The Breakers ต้องการคนที่ปรับปรุงตัวเองเรื่อยๆ (Non stop improve) เค้าต้องเห็นเราเก่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราไม่พัฒนา ก็จะมีการเรียกคุยเป็นการส่วนตัวเลย เราจะต้องผลักดันตัวเองให้มากขึ้น และเพื่อนๆ ร่วมงานทุกคนก็เก่ง ไม่มีใครเป็นรองใคร ต้องสามารถอยู่ระดับเดียวกับเค้าให้ได้ และพัฒนาตัวเองเพิ่มเข้าไปอีก

เพื่อนร่วมงานมีมาจากไหนบ้าง
          มีเยอะ และก็หลากหลายมากค่ะ อย่างเช่น  สวิสเซอร์แลนด์ สกอตแลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส โปแลนด์ อิตาลี ตุรกี เยอรมัน อเมริกาเองก็มี และก็อีกหลายประเทศ เรียกได้ว่าแทบจะจากทั่วโลกเลยค่ะ ส่วนสถาบัน ก็เป็นสถาบันสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลกทั้งนั้น เช่น University of Oxford, Glion Institute of Higher Education, Cesar Ritz College, Les Roches International School of Hotel Management,  Wellington Institute of Technology, CHN University ฯลฯ
ที่ The Breakers จะมีแขกต่างชาติเยอะมาก มาจากหลากหลายประเทศ ซึ่งพนักงานที่นี่ก็จะมีมาจากหลากหลายประเทศเช่น กัน และพนักงานส่วนใหญ่จะพูดได้อย่างน้อย 2 ภาษา เวลามีแขกจากชาติใดถ้ามีพนักงานที่พูดภาษานั้นใด้ ก็จะเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาประจำชาติของแขกทันที หรือพนักงานเป็นคนที่พูดภาษานั้นได้ทันที อย่างกฤติถ้ามีแขกคนไทย ก็จะเปลี่ยนเป็นภาษาไทยทันที เพื่อนๆ จากชาติอื่นๆ ก็เหมือนกันซึ่งตรงนี้แขกจะทำหน้าแบบ โอ้โห เค้าจะประทับใจมากเลยค่ะ

รายได้จากการฝึกงานเป็นยังไงบ้าง
          กฤติได้ชั่วโมงละ 13 เหรียญ ตกแล้วก็จะประมาณเดือนละ 70,000-100,000 บาท (ไม่รวม OT และทิป) ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง หยุดสัปดาห์ละ 2 วันค่ะ แต่จะไม่หยุดเลยก็ได้ เค้าก็จะจ่ายเป็นเรทล่วงเวลาค่ะ

ค่าครองชีพที่อเมริกา
          กฤติใช้ประมาณ 1200 เหรียญต่อเดือน ค่าเช่าบ้าน 645 เหรียญ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอินเตอร์เนต ค่าทีวี ประมาณ 100 เหรียญ ค่าประกันรถ 100 เหรียญ ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร รวมๆ ก็ประมาณ 1200 เหรียญ ถ้านอกจากนี้ก็จะมีจุกจิก เช่น ช้อปปิ้ง ไปเที่ยว อะไรประมาณนี้ค่ะ


คิดว่าคนไทย สู้คนต่างชาติได้มั้ย ในเรื่องของการทำงานด้านการโรงแรม 

          ตอบอย่างมั่นใจเลยว่าได้ค่ะ เพราะคนไทย ไม่ได้ด้อยกว่าคนชาติใดๆ ในโลก สิ่งที่สำคัญมันอยู่ที่ความพยายาม ความมุ่งมั่น และความอดทน ของแต่ละคน ซึ่งตอนที่กฤติเรียนอยู่ที่สถาบัน I-TIM ทางโรงเรียนได้เตรียมความพร้อมให้กับกฤติเป็นอย่างดี ฝึกให้เข้มแข็ง และมีวินัยในตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของเด็กไทยที่เด็กต่างชาติสู้ไม่ได้ ซึ่งจะสบายๆ และเอาแต่ใจ เวลาเบื่อแล้วไม่อยากทำแล้วก็จะไม่ทำเลย และกฤติคิดว่า ถ้ากฤติทำได้ ทุกคนก็ต้องทำได้ เพราะจริงๆ กฤติก็เป็นเด็กไทยธรรมดา เพียงแต่เรามีความมุ่งมั่น และพยายามเท่านั้นเองค่ะ

ส่วนใหญ่แล้วเด็กไทยจะกลัวเด็กต่างชาติ เพราะคิดว่าเค้าเก่งกว่าเรา กฤติคิดว่าเป็นอย่างนั้นรึเปล่า
          กฤติไม่กลัวนะคะ แต่กฤติคิดว่าเค้าเป็นสิ่งที่คอยดึงให้เราเก่งขึ้น อย่างเช่น เด็กแต่ละคน จากแต่ละประเทศ จะมีความสามารถที่โดดเด่นแตกต่างกันไป แต่กฤติจะดึงจุดเด่นของเพื่อนๆ ต่างชาติ แต่ละคน เลือกจากคนที่เราชอบที่สุดก่อน แล้วเรียนรู้เทคนิค และจุดเด่นของเค้า นำมาปรับปรุงตัวเราเอง พอเราสามารถทำได้เหมือนเค้าแล้ว ก็มองหาคนต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเราทำสิ่งที่ทุกคนทำได้แล้ว เรียกได้ว่าเราสามารถอัพเกรดตัวเราเองได้ในระดับที่สูงมากทีเดียวค่ะ  เพราะฉะนั้น อย่ากลัวที่จะไปทำงานกับคนเก่งๆ นะคะ อย่าไปคิดว่าความสามารถของเค้าจะกดเราให้ต่ำลง เพราะจริงๆ แล้ว ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากเลยล่ะค่ะ เราจะได้ความสามารถของเค้ามาด้วย อย่าไปกลัวค่ะ มองทุกอย่างในแง่บวกดีกว่า เห็นความยากลำบากเป็นประโยชน์ดีกว่า

คิดว่าการที่คนไทยจะไปต่างประเทศเป็นเรื่องยากมั้ย สำหรับน้องๆ ที่สนใจ
          ไม่ยากค่ะ ยังมีโอกาสอีกมาก ตอนที่เราอยู่เมืองไทย เราจะรู้สึกว่าโอกาสที่จะไปทำงาน ไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ เป็นเรื่องยาก แต่จริงๆ แล้ว โลกนี้มันยังมีโอกาสอีกมากมายค่ะ อย่างในอเมริกา แม้ว่าตอนนี้กำลังมีปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจอยู่ แต่ถ้าเราอยากเป็นมหาเศรษฐี ทุกคนมีโอกาสค่ะ “Everyone have to take Opportunity, Everyone can be Millionaire, Everyone can be Manager”  ถ้ามีความพยายาม ทุกคนเป็นได้ทุกอย่างที่อยากจะเป็น  ไม่ว่าน้องๆ จะอยากเป็นอะไร เช่น อยากเป็น Manager ก็ตั้งเป้าหมาย และลงมือทำไปเลยค่ะ ไม่ต้องไปสนใจว่าสถานการณ์โลกจะเป็นยังไง จะลำบากแค่ไหน ถ้าอยากเป็นจริงๆ โอกาสของเรามันไม่มีหมดหรอกค่ะ


มุมมองเกี่ยวกับการเรียนด้านการโรงแรม ที่อยากจะบอกน้องๆ

          การเรียนการโรงแรมเป็นอะไรที่ ไม่ใช่แค่การเรียนแค่โรงแรมอย่างเดียวค่ะ แต่จะเรียนเกี่ยวกับทุกๆอย่างที่เป็นการจัดการ การติดต่อสื่อสารกับคน Anything to do with People ค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่ใหญ่มากในต่างประเทศ ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานในสายโรงแรม คือการทำงานกับคน และการที่เราจะได้ประสบการณ์ในระดับนานาชาติ ซึ่งถ้าผ่านไปได้ เชื่อว่าเราจะได้รับความรู้ด้านการจัดการที่มีคุณค่า และต่อไปการทำงานในสายอื่นๆ คงไม่ใช่เรื่องยากแน่นอนค่ะ

          อีกอย่างที่กฤติได้เรียนรู้จากการไปต่างประเทศ ที่อยากจะฝากน้องๆ คือ ที่ The Breakers เค้าจะสอนอยู่เสมอว่า Life is a Journey , Not a Destination คือทุกขั้นตอนของชีวิตเรากว่าจะถึงจุดหมาย มันมีความหมาย มีความสำคัญ ทุกประสบการณ์ มันเปิดประตูให้เรา คือต้องให้คุณค่ากับทุกประสบการณ์ระหว่างการเดินทางไปสู่จุดหมาย ถ้าเราไปให้ความสำคัญกับจุดหมายเพียงอย่างเดียว เมื่อไปถึงแล้ว มันก็จบ ก็จะไม่เหลืออะไรให้เราเลย ชีวิตมันคือการเดินทางอย่างไม่หยุดยั้งค่ะ ความยากลำบากในระหว่างทางนั้นมันมีคุณค่า ที่อเมริกาจะสอนอย่างนี้ตลอด ถ้าคุณไม่ Take the next step, You cannot Open the next Door

เห็นว่าทำงานค่อนข้างเครียด แล้วกฤติมีวิธีการผ่อนคลายยังไงบ้าง
          เที่ยวสิคะ ไปอยู่ต่างประเทศทั้งที (หัวเราะ) แต่การเที่ยวที่โน่นมันก็มีหลายแบบค่ะ มีทั้งถูกและแพง อย่างที่ฟลอริดา หลักๆ คือ Key West คือจุดต่ำสุดของอเมริกา นอกจากนั้นก็มี ไมอามี่ ออแลนโด ที่มีวอลดิสนีย์ และยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครั้งนึงก็จะประมาณ 300-500 เหรียญ ซึ่งเราทำงานประมาณอาทิตย์นึงก็ได้แล้วค่ะ เรื่องวันหยุดนอกเหนือจากที่มีให้ค่อนข้างจะฟรี เราจะลานอกเหนือจากวันหยุดที่โรงแรมมีให้ก็ได้ จะลาครั้งหนึ่งเป็นเดือนเลยก็ได้นะคะ เพียงแต่จะไม่ได้รับค่าแรงในวันหยุดเท่านั้นเองค่ะ

ประสบการณ์ที่ได้รับเป็นอย่างไรบ้าง
          ดีที่สุดในชีวิตเลยล่ะค่ะ เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความกล้าในการตัดสินใจ มีความเป็นผู้นำ เข้ากับคนได้ดีมากขึ้น อ่านคนได้ดีมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น จนสามารถมอบหมายงานให้คนอื่นได้ และมีความสามารถหลายอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนได้ รู้จักควบคุมตัวเอง กระตุ้นตัวเอง อยู่ที่นั่นไม่มีใครมาควบคุม ดูแล เราอีกแล้ว ต้องสามารถยืนได้ด้วยตัวของเราเองจริงๆ ค่ะ

มีแผนอนาคตอย่างไรบ้าง
          ตอนนี้ก็อยากเรียนให้จบปริญญาตรีด้านการโรงแรมในต่างประเทศก่อนค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็จะหาประสบการณ์เพิ่มด้าน Management ทางการโรงแรมในระดับที่สูงขึ้น จากตอนที่ไปอยู่ที่ The Breakers กฤติได้ทำสิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตมาแล้ว และเราก็ผ่านมาได้ ตอนนี้อยากได้โจทย์ที่ยากขึ้นอีกค่ะ เรารู้สึกว่าเรายังไม่เก่งพอ และสุดท้ายอยากใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศค่ะ เพราะมันท้าทาย และบีบให้เราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเราอยู่สบายเกินไปมันก็จะหยุดนิ่งค่ะ ไม่รู้สึกอยากเรียนรู้ พัฒนา อยากเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่คนเก่งๆ เยอะ อย่างในนิวยอร์ค มันรู้สึกว่าท้าทายค่ะ

อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ทั้งที่เรียนสายการโรงแรม และน้องๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเรียนต่อด้านไหนดี
          การโรงแรมเป็นสายที่เราต้องรักจริงๆ เพราะงานสายการโรงแรมจะเหนื่อยมากๆ แต่ถ้าเราทำงานในสายที่เรารัก ถึงแม้เหนื่อยแค่ไหนก็มีความสุขนะคะ สายงานนี้แม้จะได้รับค่าแรงสูง แต่ก็ต้องสำหรับคนที่ใจรักจริงๆ และทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ เราจะมีความสุขจากข้างในจริงๆ ค่ะ ขอให้น้องๆ ทุกคนได้เรียน และได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่นะคะ แล้วเราจะมีความสุข และมีความภาคภูมิใจเหมือนพี่กฤติค่ะ

 

          สำหรับบทสัมภาษณ์ของน้องกฤติคงจบลงเท่านี้ครับ ถ้าน้องๆ มีอะไรสงสัย อยากสอบถามจากพี่กฤติโดยตรง สามารถสอบถามได้ที่ krittika.vongkiatkajorn@gmail.com อาจจะตอบช้าหน่อยเพราะช่วงนี้พี่เค้ายุ่งๆ กับการสอนพิเศษ และเตรียมตัวไปเรียนต่อนะครับ แต่ถ้าจะสอบถามข้อมูลด้านการโรงแรม ข้อมูลของสถาบัน I-TIM กับทางสถาบันโดยตรง

ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่
02-732-0170-3 ต่อ 201-206 
Hotline : 08-555-111-85  
E-mail : info@i-tim.ac.th  http://www.i-tim.ac.th/

          สำหรับบทความหน้าก็จะเป็นบทความให้ความรู้เกี่ยวกับด้านการโรงแรม และการท่องเที่ยวในแผนกต่างๆ โดยละเอียดต่อไปครับ ขอบคุณน้องๆ ทุกคนที่ให้ความสนใจครับ

พี่ต้น-D
พี่ต้น-D - Designer ดีไซน์เนอร์ประจำเว็บไซต์ Dek-D.com

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

48 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Shin_Shin Member 3 พ.ค. 52 12:50 น. 9

ถามว่าเก่งไหม ยอมรับค่ะว่าเก่ง

แต่

ไม่แปลกใจหรอกค่ะ ในเมื่อเค้ามีโอกาสทางสังคมที่ดีกว่า
เรียนอินเตอร์มาตั้งแต่เด็ก พูดภาษาอังกฤษ+เก่ง แปลกตรงไหน

ถ้าจะเป็นคนที่บ้านยากจน กระกระสน ตั้งใจเรียนจนได้ดี แบบนี้น่านับถือค่ะ

0
กำลังโหลด
I-TIM 4 พ.ค. 52 09:10 น. 10
คห.ที่ 2 เรื่องปัญหาด้านภาษาอังกฤษไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดครับ เพราะเมื่อเข้าเรียนที่สถาบัน I-TIM ตอนแรกจะมีคอร์สให้นักศึกษาปรับพื้นฐานก่อน และในแต่ละเทอมก็จะมีการสอนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมให้อีก ซึ่งที่ผ่านมา นักศึกษาไม่เก่งภาษาอังกฤษ และมีพื้นฐานไม่ดี ก็สามารถเรียนได้ครับ และเรียนได้ดีด้วย เพียงแต่ต้องมีความขยัน เอาใจใส่ และรับผิดชอบ ในการที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาครับ

คห. ที่ 9 นักศึกษาของสถาบัน I-TIM ที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงแค่นักศึกษาที่มีฐานะทั้งทางการเงิน และฐานะทางสังคมดีครับ และก็มีจำนวนมากที่ไม่ได้เรียนอินเตอร์มาก่อน แต่ก็มีจำนวนมากมาย ที่ประสบความสำเร็จ ได้ไปฝึกงานต่างประเทศ กลับมามีหน้าที่การงานที่ดี เพียงแต่ว่า เค้ามีความพยายามที่จะพัฒนาตัวเองจริงๆ เด็กของเรามีจำนวนมากที่บางครั้ง ผู้ปกครองถึงกับต้องไปกู้เงินมาเรียน แต่เค้ามองเห็นโอกาส ดังนั้น นักศึกษาที่มีฐานะยากจน กระกระสน ตั้งใจเรียนจนได้ดี มีแน่นอนครับ และมีเป็นจำนวนมากด้วย แต่ที่ทางสถาบัน เลือกน้องกฤติมาให้สัมภาษณ์ เพราะเค้าโดดเด่นในเรื่องของความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง แสวงหาความยากลำบากเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย และมีแนวความคิดในเชิงบวกที่เราเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับแนวความคิดของน้องๆ ท่านอื่นๆ ไม่ว่าจะเลือกเรียนในสายการโรงแรมหรือไม่ก็ตามครับ
0
กำลังโหลด
น้องงี่เง้า 4 พ.ค. 52 16:37 น. 11
เราว่าเค้าเก่งนะคะ ที่บอกว่าเค้ามีโอกาสทางสังคมมากกว่าคนอื่น มันคงไม่ใช่ซะทั้งหมดหรอกค่ะ ถ้าอ่านดูดีๆ จะเห็นว่าเค้าพยายามมากๆ และก็พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด มันยิ่งใหญ่นะ ที่เด็กไทย เรียนจบจากสถาบันในไทย แล้วไปสู้กับสถาบันดังๆ ในต่างประเทศได้ จริงๆ น่าจะภูมิใจกะเค้าที่เป็นคนไทยเหมือนเรามากกว่า แล้วเค้าก็บอกอยู่แล้วว่าคนอื่นก็มีโอกาสเหมือนเค้า สมัยนี้โลกมันเปิดแล้วนะคะ มองไรต้องมองกว้างๆ หน่อย
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
จินจัง~* Member 6 พ.ค. 52 21:14 น. 16
คุณคห.9 คนเรามีโอกาสแต่ไม่ใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ก็มีเยอะแยะนะคะ มันขึ้นอยู่กับตัวของคนแต่ละคนมากกว่า
0
กำลังโหลด
Raindeer 7 พ.ค. 52 00:22 น. 17
คห.9 นี่ยังไงคะ อ่านแล้วตะหงิดๆ

ต่อให้มีโอกาสทางสังคมดี แต่ถ้านั่งงอมืองอเท้า ไม่พยายามพัฒนาตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ขนาดนี้ แล้วที่ว่าไม่แปลกใจนี่ หมายถึงไม่แปลกใจที่พูดอังกฤษเก่งหรือไม่แปลกใจที่ได้ไปฝึกงานคะ เพราะมันคนละประเด็นกัน พูดอังกฤษได้เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่ได้จากการเรียนอินเตอร์แน่นอน เราเห็นด้วย แต่ปัจจัยหลักๆที่บริษัทส่วนใหญ่มองหาคือ ทัศนคติที่ดี การทำงานเข้ากับผู้อื่นได้ดี และความพยายามพัฒนาตัวเอง ซึ่งมาจากตัวเองล้วนๆค่ะ เราเชื่อว่าน้องเค้ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ทำให้เค้าได้รับการคัดเลือกค่ะ

เค้าอุตส่าห์มาแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟัง ควรจะยกย่องเค้ามากกว่าค่ะ
0
กำลังโหลด
ว่าที่คนโรงแรม 7 พ.ค. 52 00:46 น. 19
เราจะเข้าเรียนที่นี่ปีนี้แหละ ไปสมัครมาแล้ว พี่เราทำงานฟีลนี้ก็บอกว่าเด็กที่นี่เก่งกว่าเด็กที่อื่นๆที่มาฝึกงานและทำงาน คือเด็กไอทิมนี่สอนงานเด็กมหาลัยเลยล่ะ อยากไปต่างประเทศแบบพี่กฤติจัง อิอิ (^___^)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด