ความคาดหวัง พ่อแม่หรือลูกที่แบกไว้จนเจ็บ


      วัยรุ่นมีความเครียดหลายเรื่อง ดูวุ่นวายสับสน ทั้งนี้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย ฮอร์โมนอันเป็นตามวัย และทำให้วัยรุ่นมุ่งค้นหาตัวตน บุคลิกภาพ การแต่งกาย เรียกร้องอิสรภาพ และสิ่งต่างๆอีกมาก ซึ่งลูกวัยรุ่นแต่ละคนก็มีนิสัยทางเลือกที่แตกต่างกันบนความสับสนยุ่งเหยิงทางจิตใจนั้น บางคนเลือกเป็นคนเรียบร้อย ตอบรับคำพ่อแม่ แต่ก็ขอ(แอบ)ทำนอกเรื่องบ้าง บางคนก็เลือกที่จะพุ่งชน พ่อว่ามาฉัน ไม่สน เถียงเข้าจนทะเลาะเหนื่อยไปกันทั้งสองฝ่ายก็มี แต่ก็มีอีกหลายคนที่เลือกที่จะเก็บทุกสิ่งอย่างไว้ในใจ แล้วทำตามทุกอย่างที่พ่อแม่ต้องการ เพราะพ่อแม่ตอบสนองให้ทุกอย่างจนรู้สึกเพียงพอในแง่ของข้าวของเงินทองต่างๆ จนไม่ลำบากกายใดๆแล้ว เพียงแต่ต้องตามใจวิถีพ่อแม่ในการเรียน การเล่นบางอย่างเท่านั้น 
       ถ้าลูกวันรุ่นเองตอบสนองต่อความต้องการของพ่อแม่ได้ดีพอ ก็คงโชคดีไป แต่ไม่มีลูกวัยรุ่นคนไหนที่ไม่ต้องการทำตามความต้องการของตนเองหรอกค่ะ ยกเว้นเขาจะเก็บไว้ลึกสุดของหัวใจ เพราะกลัวพ่อแม่ผิดหวัง กลัวพ่อแม่เสียใจ แต่สุดท้ายแล้ว หากลูกไม่มีหนทางที่จะทำได้อย่างใจตนบ้างแล้ว ในท้ายที่สุด...
จากเนื้อความในกระทู้ ลูกแค่น้อยใจ สงสัย เศร้าใจเท่านั้น
      แต่จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาและข้อมูลศึกษาของนักจิตวิทยาวัยรุ่น ทำให้เห็นว่าลูกมักถูกดันจากความคาดหวังของพ่อแม่มาก แล้วจะค่อยๆ กลายเป็นคนที่ไม่มีความนับถือตนเอง ไม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของตนเอง(ไม่ใช่แค่จากเรื่องคำพูดอย่างเดียว) และกลายเป็นคนที่หมดกำลังใจในการใช้ชีวิตในที่สุด  ลูกบางถูกความคาดหวังของพ่อแม่บังคับไว้ กระทั่งวันหนึ่งเครียดจัดและไม่สามารถแก้ไขปัญหาตนเองได้ จนถึงขั้นทำร้ายสิ่งรอบตัว และตนเองในที่สุด เช่น ข่าวนักเรียนเผาโรงเรียนเพราะเรียนได้เกรดไม่ดี กลัวพ่อแม่ว่า เป็นต้น

 


      เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่และผู้ใหญ่ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า จะวางแผนจากสิ่งที่ตนเองประสบผ่านมาในชีวิต เพื่อให้ลูกหลานได้รับสิ่งที่ดีที่สุด  ปัญหาความคาดหวังของลูกวัยรุ่นหลายๆ คน เลยสะสมมาแต่เด็กๆ ที่พ่อแม่ให้ทำ ให้เรียนโน่นนี่มากๆ ให้ลูกเรียนพิเศษต่างๆ หวังงว่าลูกจะเพียบพร้อมในอนาคต  หรือกลัวลูกไม่ได้อนาคตที่สดใสก็จะกำนดทางเดินให้กันตั้งแต่แรกๆ เลย กวดวิชาเข้าโรงเรียนดีๆ อยากให้ลูกเรียนหมอ จบวิศวะ ให้เข้าสายวิทย์ดีกว่า แต่ลูกชอบภาษานี่ ลูกก็ไม่ว่าเรียนวิทย์ไปอย่างจำใจ 

    พอจะเข้ามหาวิทยาลัยก็อยากให้ได้คณะดีๆ ลุ้นลูกแทบใจขาด แต่ลูกจะขาดใจไปแล้ว เพราะพ่อแม่ลุ้นมาก ลูกก็เครียดมากไปด้วย เรียกว่า รับรู้ความคาดหวังของพ่อแม่มาเต็มๆ ทั้งที่พ่อแม่ไม่ได้พูดบอกอะไร หรือบอกเหมือนกัน เช่น ไม่เป็นไร ไม่ต้องเครียดนะ  แต่ลูกตีความหมายไปอีกแบบ ยิ่งเครียดมากขึ้นไปอีก


     หนทางสู่อนาคตที่ถูกต้องสำคัญก็จริง แต่อย่าลืมว่า  ความคาดหวังอันเกิดจากความต้องการให้ลูกได้ดีในทางหนึ่งๆที่พ่อแม่ปูไว้ให้นั้น  อาจไม่ใช่สิ่งที่ลูกต้องการก็ได้ ดังที่นักจิตวิยาวัยรุ่น กล่าวไว้ว่า ความคาดหวังของพ่อแม่อาจทำร้ายลูกทางอ้อมได้ พ่อแม่ให้มาก ก็คาดหวังมากโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอนาคต หรือเรื่องพฤติกรรมต่างๆ ก็ตาม เช่น ลูกเคยเป็นหัวหน้าห้อง มีภาวะผู้นำ ภูมิใจลูกมาก พอลูกเปลี่ยนโรงเรียนก็หวังว่าลูกจะได้เป็นหัวหน้าห้องอีกหรือคิดว่าลูกต้องได้เป็นประธานนักเรียนไปเลย บอกลูกต่างๆ นาๆ ว่า เป็นหัวหน้านะลูก ลูกเป็นผู้นำ กล้าแสดงออกขนาดนี้ต้องได้เป็นประธานนักเรียนแน่ๆ เป็นต้น ลูกก็กดดันว่าจะต้องเป็นผู้นำ กระทั่งรู้สึกต้องทำดีตลอดเวลา ต้องเข้าหาครู ต้องเป็๋นเด็กดี ทั้งที่จริงๆแล้ว ไม่ว่าวัยรุ่นคนไหนก็ต้องอยากออกนอนกฎกันบ้าง เล็กน้อยก็ยังดี สุดท้ายภาวะความเป็นผู้นำที่ดีก็กลายเป็นดาบเข้าฟันเข้าหาตัวลูกเสียอย่างนั้น เพราะ ลูกรู้สึกว่าเหนื่อยที่จะต้องทำตามความคาดหวังของพ่อแม่ เบื่อ รำคาญ ที่จะต้องเป็นคนเก่งของพ่อแม่เสมอ

        ดังนั้น พ่อแม่ควรวางความคาดหวังของตนเองให้พอดีกับความต้องการของลูก เพื่อมิให้ความหวังดีไปกดดันลูกโดยไม่รู้ตัว พ่อแม่จึงควรให้โอกาสลูกค้นหาตนเองตามศักยภาพ ความสามารถ และความสนใจของลูก มากกว่าการทำตามความต้องการของพ่อแม่ และการที่จะให้โอกาสลูกค้นหาตนเองในหนทางที่พ่อแม่ดูแลได้นั้น ต้องมีวิธีการที่เป็นกลาง คือ ให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับเหตุผลของกันและกันค่ะ

     1. พ่อแม่บอกเหตุผลของตนเองว่าทำไมห่วงและอยากให้ลูกทำสิ่งที่ถูกต้อง 
     2. ลูกก็ต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะทำในสิ่งที่ตนเองต้องการทำด้วย 
    3. พ่อแม่ฟังเหตุผลของลูก แล้วเก็บรายละเอียดของสิ่งที่ลูกอยากทำ ออกมาเสนอเป็นทางเลือกให้ลูกได้เลือกดีกว่าค่ะ โดยมีเสนอของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายพ่อแม่ที่อาจลดข้อแม้ต่างๆ ลง และของลูกที่เพิ่มข้อควรระวังลงไป
     
 
      แน่นอนว่า พ่อแม่ต้องเปิดใจยอมรับความเห็นของลูก อย่าให้ความผิดพลาดในอดีตของตนเองมาตัดสินการตัดสินใจของลูก เพราะวันเวลาและสังคมเปลี่ยน ความคิดของเราอาจไม่เหมาะกับสถานการณ์ของลูกก็ตอนนี้ก็ได้ ในอดีตเราอาจผิดพลาด แต่อาจไม่ใช่กับลูกเรา แล้วหากเราฟังและพิจารณาเหตุผลที่ลูกให้แล้วว่ามันพอยอมรับได้ มีเหตุผลพอ ก็ควรยอมรับข้อเสนอนั้น และนำมาเสนอเป็นทางเลือก

    4. เมื่อลูกเลือกสิ่งใดแล้ว ก็ควรปล่อยให้ทำ หากลูกดูเหมือนจะพลาดพลั้งก็อย่าเพิ่งห้ามหรือออกปกป้องในทางใดทางหนึ่งไปก่อนเสีย ลองปล่อยให้ลูกได้ทำสิ่งที่เลือกนั้นก็ได้ ความผิดพลาดจะช่วยให้ลูกเรียนรู้ ในส่วนนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับวิธีการเลี้ยงลูกของฝรั่งที่ปล่อยให้ลูกทำงานเอง ทำนู้นนั่นนี่เองแต่วัยรุ่นตอนต้น (ม.1) เลยค่ะ ในขณะที่พ่อแม่คนไทยส่วนใหญ่เรา กว่าจะยอมปล่อยลูก อย่างน้อยก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ดังนั้นจึงมีลูกม.6 หลายคนวางแผนว่าจะไปเรียนไกลๆ บ้าน ให้ห่างจากพ่อแม่เลยล่ะค่ะ

      หน้าที่สำคัญของพ่อแม่คือการสนับสนุนให้โอกาสแก่ลูก หยุด!!การขีดเส้นทางชีวิตของลูกด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นถ้าลูกขอและเลือกทางของตนเองแล้ว ก็ให้โอกาสลูกเถอะค่ะ มั่นใจในตัวลูก
    อย่าพูดคาดการอนาคตลูกไปในทางร้ายไปก่อน รังแต่จะทำให้ลูกเสียความมั่นใจในการทำลงมือทำด้วยตนเองค่ะ และอย่าลืมกำชับด้วยว่า เมื่อเลือกแล้วก็ต้องรับผิดชอบกับทางเลือกของตนเอง     แล้วเราก็ต้องคอยสนับสนุนเขาค่ะ คอยให้กำลังใจ...แต่อย่าไปคอยให้กำลังใจใกล้ๆ ตลอดนะค่ะ เพราะมันก็ไม่ต่างจากการกดดัน>.< ดีไม่ดีลูกจะคิดว่าไปคอยจ้องจับผิด พาลว่าไม่เชื่อใจในตัวเขาไปเสียอีก และก็ช่วยเหลือยามเมื่อเขาต้องค่ะ จริงๆ
  จริงๆ กระทู้นำเรื่องของเรา มีคุณพ่อคุณแม่มาเสนอความคิดเห็นไว้แล้วด้วยค่ะ




แล้วลูกๆ วัยรุ่นก็เข้าใจความหวังดีของคุณพ่อคุณแม่นะคะ
(คนกดเห็นด้วยเพียบเลย) เป็นกำลังใจให้กันและกันด้วย แต่อย่างที่เคยบอกไปแล้วหลายครั้ง ฮอร์โมนวัยรุ่นแปรปรวนเสมอ ดังนั้น ลูกวัยรุ่นก็มักเป็นผู้ร้ายปากแข็งเหมือนกัน ทำเป็นไม่เข้าใจพ่อแม่อยู่ร่ำไป  บวกกับอารมณ์พาพฤติกรรมไป บางทีจึงทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นไปก่อน แต่ก็ไม่เสมอไป....

คนที่ถูกคาดหวังก็เจ็บ คนที่อยากให้ได้ตามที่คาดหวังก็เจ็บ
พ่อแม่ต้องการแค่ลูกเป็นคนดี มีความสุขก็เพียงพอแล้ว?
หรือ กำลังให้เขาทำอย่างที่ตัวเองเคยต้องการเมื่อยังเป็นเด็ก?
เราต้องการ หรือ ลูกต้องการ?
ผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองของลูกวัยรุ่นทุุกคนล้วนเคยเป็นเด็กมาก่อน 
ตอนนั้น...ตอนที่เศร้า ตอนที่ถูกกดดัน ตอนที่สับสน ตอนที่มีปัญหา 
ไม่ต่างจากอารมณ์ของลูกวัยรุ่นเราในตอนนี้หรอกค่ะ ใช่ไหมคะ?




                                                                            กระทู้นำเรื่อง:
                                                                            http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1751608                                                                               http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2114345

พี่เกียรติ
พี่เกียรติ - Community Master ถนัดแฝงตัวตามกระทู้เด็กดี มีความสนใจเป็นล้านเรื่องขึ้นอยู่กับดราม่าขณะนั้น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

โคนันคุงปะทะจอมโจรคิด Member 23 มิ.ย. 54 17:58 น. 4
พ่อแม่ทำให้ผมเก็บกด
อ่อนแอ สู้ใครไม่ได้ ขาดความมั่นใจในตัวเอง
โดนคนอื่นรังแกและเหยียบจนเกือบจะจมดิน
ตอนโรงเรียนจัดกิจกรรมท่านไม่เคยมาเลย แม้แต่วันแม่ก็ตาม
3
เพื่อยนมนุษย์คนนึง 26 ม.ค. 58 19:48 น. 4-1
อดทนไว้นะ โลกนี้ไม่ยาวนานเท่าที่คิดหรอก ชั่วพริบตาไม่คนใดคนหนึ่งก็ต้องพรากจากกันตามกาลเวลา ขอแค่ให้จดจำช่วงที่ดีที่มีต่อกันก็พอ ทุกชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อมีความสุข หรือทุกข์ เพียงเพื่อมาวนเวียนตามผลพวงของการกระทำของตนเองเท่านั้น เมื่อใดเมื่อยังมีลมหายใจก็ขอให้ตระหนักในสิ่งที่คิดที่ทำควรไม่ควร ก็พอแล้ว...
0
กำลังโหลด
น้ำแข็งใสช็อกโกแลต Member 4 ก.ค. 54 18:01 น. 45
คือของหนูนะค่ะ  หนูเป็นลูกสาวคนที่สอง บ้านหนูมีลูก 2 คนค่ะ คือ พี่สาวแล้วก็หนู พี่หนูทำได้ทุกอย่างแต่พี่เป็นคนหัวแข็ง  มีโลกส่วนตัวสูง  พ่อกับแม่และญาติทุกคนจะรักพี่หมด เพราะพี่เป็นเป็นคนเฮฮา แถมเป็นลูกคนโต ใครๆก็รู้จักอยู่แล้วใช่ไหมค่ะั ลูกคนแรกนี่  แต่หนูแตกต่างจากพี่พอสมควรค่ะ  หนูเป็นพวกกลัวๆๆขี้ขลาดๆๆ  พี่ พ่อและแม่จะใช้ตลอดๆ  พ่อกับแม่จะวางกรอบไว้ให้เราสองคนตลอดเวลา  พ่อกับแม่สอนให้รู้ว่าบลาๆๆๆๆๆๆๆๆ  แต่พี่ก็จะไม่สนใจอะไร  แต่มันตกกระทบมาที่หนูนี่ไง  แม่มักจะบอกว่าอย่าทำแบบพี่นะบลาๆๆๆๆๆ  หนูก็ได้แต่นั่งฟังทุกๆอย่างที่แม่เล่ามา  ไม่ว่าจะเรื่องการขับรถของแม่จนกระทั่งแม่ไปที่บลาๆๆๆๆๆ   หนูเข้ามาอยู่ชั้นม.1  ในห้องหนูมีแต่คนเห็นแก่ตัว แม่ก็บอกว่าให้หาคนดีๆ  แต่มันหายากนี่สิ  แม่มักจะสั่งให้ทำอย่างนี้ อย่างนั้น  ทั้งๆที่หนูทำไม่ได้  แม่บอกว่าให้พยายาม หนูก็ดิ้นรนสุดชีวิต  แม่ก็ไม่เข้าใจ  แม้กระทั่งการเรียน  แม่เป็นคนเก่งมาก  แต่หนูเรียนไม่เก่งเลย  แม่ก็บอกให้เรียนพิเศษเสริม  ทั้งๆที่สมองหนูจะระเบิดตั้งแต่ที่ร.ร.แล้ว  พอเรียนไปแม่กับพ่อก็บอกว่าหนูยิ่งเรียนยิ่งแย่  หนูคิดว่าถ้างั้นก็ไม่ต้องเรียนเลยดีกว่า  ลาก่อนไปเลย  ตาหนูอยากให้เป็นหมอ  หนูก็เข้าใจ  หนูก็อยากทำให้  แม่หนูอยากให้เรียนสูงๆเท่าเทือกเขาหิมาลัย  หนูก็เข้าใจ  หนูก็อยากทำให้  แต่หนูอยากบอกเค้าว่าหนูก็ไม่ไหวเหมือนกัน  แต่ไม่มีใครฟังหนู  หนูไม่อยากเรียนแล้ว  หนูอยากเรียนภาษาแต่ไม่มีใครเห็นด้วย  หนูคุยกับแม่ไม่เคยรู้เรื่อง  แม่ไม่เคยเปิดโอกาสที่จะเข้าหากัน  พอแม่เปิด  แม่ก็ไม่เข้าใจ  ทำยังไงแม่ก็้ยังยึดติดกับกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆอย่างนั้น  แม่ไม่เคยสร้างทางเชื่อมไปไหนเลย  หนูรู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่ช่วยหาความอิสระให้หนูบ้างได้ไหม  จะไปซื้อสักร้อยล้านหนูก็จะเก็บตังค์ซื้อมา  เพราะมันหายากกว่ารุ่นลิมิเตfอิดิชั่นอีก!!!!


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 4 กรกฎาคม 2554 / 18:06
4
darkseid Member 29 เม.ย. 57 16:07 น. 45-1
ถ้าอยากเป็นอิสระในความคิดและการกระทำ เธอก็ต้องทำตัวเองให้เข้มเเข็งพร้อมที่รับเเรงกดดันและการปฏิเสธจากคนในครอบครัว แต่อยากให้รู้ว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเธอไปตลอดชีวิต ถ้าเธอยอมทำตามที่พ่อแม่ต้องการ แล้วถ้าท่านไม่อยู่ล่ะ เธอจะเหลืออะไรที่เป็นของเธออยู่อีกมั้ย? ควรสร้างจุดยืนตั้งแต่ตอนนี้เสียเนิ่นๆ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง "เสียใจที่ทำกับเสียใจที่ไม่ได้ทำมันต่างกันนะ" ดังนั้นต้องกล้าทำกล้าคิดตั้งแต่ตอนนี้ ต้องทำตัวเองให้เข้มเเข็ง ท่องไว้ว่ามันคือความฝันของเรา พ่อแม่ไม่ได้อยู่ดูแลเราตลอดชีวิต ปล.เรากำลังขึ้นม.ปลาย กว่าพ่อแม่และคนในครอบครัวยอมรับความฝันก็เล่นเอาเหงือตกไปเหมือนกัน แต่เพื่ออนาคตของเรา เราเลยต้องแสดงจุดยืน สู้สู้
0
กำลังโหลด
NaNaZii Member 23 มิ.ย. 54 19:26 น. 19
เราก็พูดกับแม่เล่นๆว่าเราอยากเป็นทูต อยากเป็นทนาย
เพราะเราเก่งภาษา (เราอยูแค่ ม.1 นะ แต่ครูเค้าบอกให้มองๆไว้แล้ว)
แต่แม่เราบอกว่าอาชีพพวกนี้การแข่งขันสูง
แม่เราอยากให้เรียนบริหารซึ่งมันก็ต้องเรียนวิทย์-คณิต
และเราไม่ถนัดเอาซะเลย เราเลยขี้เกียจคิด
ทำตามพ่อแม่ไปซะได้จบๆ เราก็เลยรับปากไปว่าจะเรียน
เฮ้อ~!
2
กำลังโหลด
Waiting4SS501 Member 23 มิ.ย. 54 20:02 น. 20
 
โดนพ่อแม่กดดันมาทั้งชีวิตเหมือนกันค่ะ
แต่ก็เข้าใจเพราะเราเป็นลูกคนเดียว
จำได้ว่าวินาทีที่โทรไปบอกพ่อว่า
หนูมีที่เรียนแล้วนะ  ตอนนั้นยังไม่จบมอหก
น้ำเสียงพ่อดูดีใจมาก  แต่พ่อไม่เคยมาพูดด้วยหรอก
ตอนแรกก็น้อยใจ  เราอุตส่าห์ทำให้ขนาดนี้
แต่คนเป็นพ่อน่ะ ยังไงก็ผู้ชายไงคะ
ในใจน่ะปลาบปลื้มจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
แม่ก็เหมือนกัน  แม่บอกแค่ว่าเก่งแล้ว
ตอนแรกพ่อกับแม่อยากให้เป็นหมอ
พอโตมาเราเริ่มรู้ศักยภาพตัวเองว่าคงไม่ไหว
แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหนได้บ้าง
ขึ้นมอปลายก็เลยเรียนวิทย์คณิตหลักสูตรภาษาอังกฤษ
เอามันทุกทาง  พ่อแม่ก็หวังมาก  เราก็บอกตลอดว่าทำเท่าที่จะมีแรงทำได้นะ
เพราะก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน  เพราะมันหนัก
มันก็รอดมาได้  เกรดก็แค่สามกลางๆไม่ได้เหยียบสี่เหมือนอย่างที่เคยเป็น
พอมามหาลัยเกรดก็ร่วงเพราะยังปรับตัวไม่ได้  เลยรีบบอกพ่อกับแม่ซะ
พยายามใช้เหตุผล  อธิบายให้เข้าใจ  พ่อบอกว่าไม่สู้ก็ถอยไปเรียนที่เรียนได้
คำพูดนั้นดูแบบ  ฟังแล้วเจ็บนะ แบบว่าพ่อดูถูกหนูเหรอ เราก็เลยสู้สุดชีวิต  ก็ผ่านปีหนึ่งมา
พ่อภูมิใจมากตรงที่ว่าเราสู้เพราะพ่อเคยบอกว่าเป็นลูกพ่อจะกลัวไปทำไม
พอมามองย้อนไป  พ่อแม่ไม่เคยกดดันเราเลยนะ  มีแต่เราที่กดดันตัวเอง
ผลการเรียนก็ไม่ได้ดีอย่างที่เขาหวังแต่พ่อกับแม่ก็บอกว่า  แค่ทำเต็มที่ก็ภูมิใจแล้ว
เชื่อเถอะว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะอยากให้ลูกได้ดีทั้งนั้น  แม่พูดบ่อยๆว่า
ลูกคนเดียวแม่เลี้ยงได้  แต่แม่ต้องตาย  ไม่อย่างนั้นแม่คงเลี้ยงหนูไปเรื่อยๆนั่นแหละ
จะบอกว่าพอเริ่มโตก็ไม่เคยเรียกร้องให้พ่อแม่เข้าใจเราเลย
เพราะเอาเวลามานั่งถามตัวเองตลอดว่าเราเข้าใจพ่อกับแม่หรือยัง
พยายามใช้เหตุผล  พยายามถามความรู้สึกท่านบ่อยๆจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร
ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะพูดทำร้ายจิตใจยังไงก็ไม่เคยโกรธเพราะที่ว่าที่ดุคืออยากให้ได้ดี

แล้วก็อยากจะบอกหลายๆคนว่า  ถึงแม้ว่าเราจะทำได้ไม่ดีหรือทำให้พ่อแม่เสียใจ  แต่คนที่อยู่กับเราเป็นคนสุดท้ายก็คือสองคนนี้ไม่ใช่เหรอ  เชื่อเถอะค่ะ  ไม่ว่ายังไงลูกก็ยังเป็นลูกวันยันค่ำนั่นแหละ

0
กำลังโหลด
ลัลน์ลั้ลลา Member 22 ส.ค. 56 13:46 น. 124
เราคงจะดีใจได้ซักหน่อยละมั้ง เพราะ แม่เราไม่บังคับเราเรื่องเรียน ว่าต้องเรียนอะไร แม่บอกแค่ว่าอยากให้เรามีความสุข แม่จึงเป็นที่พึ่งทางใจของเราเต็ม100

แต่พ่อเรา จัดเต็มค่ะ พ่อเราโกธรเราจัดตั้งแต่ตอนที่เราเลือกเรียน ศิลป์-จีน แทนที่จะเรียน วิทย์-คณิต หรือ คำนวณ และหลังจากนั้น พ่อเราไปที่เรียนพิเศษเองจัดตารางเรียนเอง ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต อังกฤษ แต่ไม่ยอมให้เราเรียนพิเศษภาษาจีน ซึ่งเราต้องใช้มากกว่า ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ แน่นอน แถมยังเชิงดูถูกภาษาจีนที่เราเรียนว่า ต่างๆนานา แต่เมื่อเราทำอะไรได้ดี เช่น สอบเข้าม.1 ม.4 สอบ AYC ติด หรือสอบทักษะภาษาไทยได้รางวัล หรือสอบติด 1ใน10ของห้อง แน่นอนค่ะ พ่อเราไม่เคยดีใจไปกับเราเลย แถมยังถามมาว่า ทำได้แค่นี้เองนะเหรอ หรือ ทำไมไม่เอาที่1 เราเคยพูดกับพ่อว่าเราอยากเรียนจิตวิทยา สิ่งที่พ่อเราตอบกลับมาคือ ถ้าเรียนก็จะไม่ส่ง เหอะๆ ชีวิตบัดซบจริงๆ
0
กำลังโหลด

166 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
P-a-L-i-N Member 23 มิ.ย. 54 17:57 น. 3
ตอน ม.ปลาย แม่ปล่อยเรามากเลย อยากเลือกอะไร โควต้าอยากสอบอะไรสอบเลย(แต่ดันไม่ติดซักอย่างนี่แหละ ประเด็น) แต่พอรอบแอดฯ แม่ขอ แม่อยากให้เรียน เพราะจบมาจะได้มีงานทำไว้เลี้ยงตัวเอง เพราะพ่อแม่อายุมากแล้ว ตอนนั้นเรายื่นคำขาดกับแม่ว่า ถ้าจะให้เลือกคณะนี้หนูจะเลือกที่นี่ ถ้าติดต้องให้ไปเรียนด้วยนะ (แม่ไม่อยากให้มาเรียนในกรุงเทพ) สุดท้ายก็ติดจริงๆ แม่ก็ต้องยอมให้มา แต่เรียนๆแล้วก็ไม่เห็นเป็นไร แป๊บๆ จะจบแล้ว แล้วคณะที่เรียนก็ดี สิ่งแวดล้อมดี รู้สึกดีที่ได้เรียนที่นี่
"รักนะ มหิดล ^^"
0
กำลังโหลด
โคนันคุงปะทะจอมโจรคิด Member 23 มิ.ย. 54 17:58 น. 4
พ่อแม่ทำให้ผมเก็บกด
อ่อนแอ สู้ใครไม่ได้ ขาดความมั่นใจในตัวเอง
โดนคนอื่นรังแกและเหยียบจนเกือบจะจมดิน
ตอนโรงเรียนจัดกิจกรรมท่านไม่เคยมาเลย แม้แต่วันแม่ก็ตาม
3
เพื่อยนมนุษย์คนนึง 26 ม.ค. 58 19:48 น. 4-1
อดทนไว้นะ โลกนี้ไม่ยาวนานเท่าที่คิดหรอก ชั่วพริบตาไม่คนใดคนหนึ่งก็ต้องพรากจากกันตามกาลเวลา ขอแค่ให้จดจำช่วงที่ดีที่มีต่อกันก็พอ ทุกชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อมีความสุข หรือทุกข์ เพียงเพื่อมาวนเวียนตามผลพวงของการกระทำของตนเองเท่านั้น เมื่อใดเมื่อยังมีลมหายใจก็ขอให้ตระหนักในสิ่งที่คิดที่ทำควรไม่ควร ก็พอแล้ว...
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
นิว 23 มิ.ย. 54 18:26 น. 7
ใช่

แม่คือคนสมัยก่อน ท่านอยากให้เราทำงาน ราชการ

ครู นั่นแหละ เพราะคนสมัยก่อนบอกว่าเป็นครูสบาย
นับจากนั้นครูก็เริ่มเฟ้อ แต่ความคิดแม่เราไม่ฟุ้งไปไหนเลย
แม่เราบอกว่า
"เป็นครูนะแม่อยากให้เรียนครู แม่จะได้สบาย"

เราอยากให้แม่สบาย แต่ไม่ใช่อาชีพครูเลย เพราะเราคิดว่ามันไม่เหมาะกับเราซักนิดเดียว

แต่เพื่อความสบายใจ ของแม่ เราก็ต้องยอมรับ คือเราก็ต้องเรียนครู
แต่จบมาแล้วจะเป็นครูสมใจแม่รึป่าวนี่สิ คอยลุ้นเอาเองนะท่านแม่...
0
กำลังโหลด
ราเมงหมูตุ๋น Member 23 มิ.ย. 54 18:27 น. 8
อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจัง...ที่พ่อแม่ไม่ค่อยกดดันเราเหมือนคนอื่น ^^
0
กำลังโหลด
Tsukiyo Member 23 มิ.ย. 54 18:27 น. 9
เห็นด้วยที่สุดค่ะ เพราะเราก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น
บอกตามตรงเบื่อมากๆ ไม่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ชอบเลย ปากก็บอกว่าไม่อยากกดดัน อยากให้ลูกเลือกเอง แต่สุดท้ายก็ขีดเส้นบังคับเราอยู่ดี

เบื่อ!!!!
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
เซง 23 มิ.ย. 54 18:42 น. 13
บอกตรงๆว่าพ่อแม่ไม่คาดหวังอะไรเลย
แต่เราอยากให้แม่คาดหวังมากกว่านี้
เราทำได้ทุกอย่างถ้าแม่อยากให้ทำแต่แม่ไม่สนใจอะไรเลย
เราแข่งนู่นนี่นั้นทำนู่นนี่นั้นสำเร็จแม่ก็ไม่ว่ายังไง
บางทีงานเยอะมากๆเราบ่นเราอยากให้แม่ให้กำลังใจบ้างแต่ก็เซง
แม่บอกแค่ว่าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ เฮ้ออออ
ช่วยบังคับหน่อยเถอะ
0
กำลังโหลด
Aiim ~ '' E.L.F Member 23 มิ.ย. 54 18:44 น. 14
เราอยากเป็นไกด์ (ภาษา)

เราอยากเป็นแอร์... แต่หน้าตา = =' (ภาษา)

แต่ทุกวันนี้เรียนแผนวิทย์เพราะพ่อ....
0
กำลังโหลด
terryfiat Member 23 มิ.ย. 54 18:53 น. 15
กฎใหม่ของพ่อแม่ทุกคู่
1)ห้ามคาดหวังอะไรกับลูก
2)ห้ามบังคับชีวิตลูก

พ่อแม่จำไว้ ลูกนะครับ ไม่ใช่ตัวละครในเกม จะให้มาบังคับทำอะไรก็ได้ เราต้องบังคับตัวเองเป็นอย่าง NPC ในเกม ไม่ต้องให้ใครมาบังคับเรา

0
กำลังโหลด
Shin chan low Member 23 มิ.ย. 54 18:59 น. 16
ใช่ๆๆกดดันมาก
ตัวเราอยากเป็นนักดนตรี
แต่เพาะพ่อกะแม่ตอนนี้เราเรียนอยุ่ศิลภาษา ไม่ชอบเรย


0
กำลังโหลด
terryfiat Member 23 มิ.ย. 54 19:01 น. 17
ห้ามคาดหวังหรือตั้งความหวังอะไรไว้กับลูกเด็ดขาด ลูกของคุณมีโอกาสฆ่าตัวตายได้เพราะคุณ
0
กำลังโหลด
แพรว 23 มิ.ย. 54 19:16 น. 18
เหมือนกันเลย เราก็เรียนวิทย์-อินเพราะแม่
จริงๆเราอยากเป็นสถาปนิกแต่แม่บอกว่าหางานยาก อยากให้เป็นหมอมากกว่า เราก้เลยเป็นจิตแพทย์แทนเพราะกลัวผ่าตัด
1
กำลังโหลด
NaNaZii Member 23 มิ.ย. 54 19:26 น. 19
เราก็พูดกับแม่เล่นๆว่าเราอยากเป็นทูต อยากเป็นทนาย
เพราะเราเก่งภาษา (เราอยูแค่ ม.1 นะ แต่ครูเค้าบอกให้มองๆไว้แล้ว)
แต่แม่เราบอกว่าอาชีพพวกนี้การแข่งขันสูง
แม่เราอยากให้เรียนบริหารซึ่งมันก็ต้องเรียนวิทย์-คณิต
และเราไม่ถนัดเอาซะเลย เราเลยขี้เกียจคิด
ทำตามพ่อแม่ไปซะได้จบๆ เราก็เลยรับปากไปว่าจะเรียน
เฮ้อ~!
2
กำลังโหลด
Waiting4SS501 Member 23 มิ.ย. 54 20:02 น. 20
 
โดนพ่อแม่กดดันมาทั้งชีวิตเหมือนกันค่ะ
แต่ก็เข้าใจเพราะเราเป็นลูกคนเดียว
จำได้ว่าวินาทีที่โทรไปบอกพ่อว่า
หนูมีที่เรียนแล้วนะ  ตอนนั้นยังไม่จบมอหก
น้ำเสียงพ่อดูดีใจมาก  แต่พ่อไม่เคยมาพูดด้วยหรอก
ตอนแรกก็น้อยใจ  เราอุตส่าห์ทำให้ขนาดนี้
แต่คนเป็นพ่อน่ะ ยังไงก็ผู้ชายไงคะ
ในใจน่ะปลาบปลื้มจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
แม่ก็เหมือนกัน  แม่บอกแค่ว่าเก่งแล้ว
ตอนแรกพ่อกับแม่อยากให้เป็นหมอ
พอโตมาเราเริ่มรู้ศักยภาพตัวเองว่าคงไม่ไหว
แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหนได้บ้าง
ขึ้นมอปลายก็เลยเรียนวิทย์คณิตหลักสูตรภาษาอังกฤษ
เอามันทุกทาง  พ่อแม่ก็หวังมาก  เราก็บอกตลอดว่าทำเท่าที่จะมีแรงทำได้นะ
เพราะก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน  เพราะมันหนัก
มันก็รอดมาได้  เกรดก็แค่สามกลางๆไม่ได้เหยียบสี่เหมือนอย่างที่เคยเป็น
พอมามหาลัยเกรดก็ร่วงเพราะยังปรับตัวไม่ได้  เลยรีบบอกพ่อกับแม่ซะ
พยายามใช้เหตุผล  อธิบายให้เข้าใจ  พ่อบอกว่าไม่สู้ก็ถอยไปเรียนที่เรียนได้
คำพูดนั้นดูแบบ  ฟังแล้วเจ็บนะ แบบว่าพ่อดูถูกหนูเหรอ เราก็เลยสู้สุดชีวิต  ก็ผ่านปีหนึ่งมา
พ่อภูมิใจมากตรงที่ว่าเราสู้เพราะพ่อเคยบอกว่าเป็นลูกพ่อจะกลัวไปทำไม
พอมามองย้อนไป  พ่อแม่ไม่เคยกดดันเราเลยนะ  มีแต่เราที่กดดันตัวเอง
ผลการเรียนก็ไม่ได้ดีอย่างที่เขาหวังแต่พ่อกับแม่ก็บอกว่า  แค่ทำเต็มที่ก็ภูมิใจแล้ว
เชื่อเถอะว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะอยากให้ลูกได้ดีทั้งนั้น  แม่พูดบ่อยๆว่า
ลูกคนเดียวแม่เลี้ยงได้  แต่แม่ต้องตาย  ไม่อย่างนั้นแม่คงเลี้ยงหนูไปเรื่อยๆนั่นแหละ
จะบอกว่าพอเริ่มโตก็ไม่เคยเรียกร้องให้พ่อแม่เข้าใจเราเลย
เพราะเอาเวลามานั่งถามตัวเองตลอดว่าเราเข้าใจพ่อกับแม่หรือยัง
พยายามใช้เหตุผล  พยายามถามความรู้สึกท่านบ่อยๆจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วต้องการอะไร
ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะพูดทำร้ายจิตใจยังไงก็ไม่เคยโกรธเพราะที่ว่าที่ดุคืออยากให้ได้ดี

แล้วก็อยากจะบอกหลายๆคนว่า  ถึงแม้ว่าเราจะทำได้ไม่ดีหรือทำให้พ่อแม่เสียใจ  แต่คนที่อยู่กับเราเป็นคนสุดท้ายก็คือสองคนนี้ไม่ใช่เหรอ  เชื่อเถอะค่ะ  ไม่ว่ายังไงลูกก็ยังเป็นลูกวันยันค่ำนั่นแหละ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด