รู้จัก TOEFL กันดีพอแล้วหรือ ?

 

 

                    

               ครั้งก่อน พี่เป้ พูดถึงข้อสอบ TOEIC ไป ซึ่งในบรรดาการสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษนั้น เรียกได้ว่า TOEIC เป็นข้อสอบที่ง่ายที่สุด แต่ถ้าพูดถึง TOEFL ล่ะก็ คงทำเอาน้องๆ หลายคนขนลุกกันแน่นอน (TOEFL หรือผีเนี่ย - -" ) เพราะยากก็ยาก แพงก็แพง  ถ้าคะแนนไม่ดี จะสอบใหม่ก็เปลืองแสนเปลือง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เห็นตามสถาบันต่างๆ เปิดคอร์สเตรียมสอบ TOEFL และมีคนเรียนอย่างคึกคัก ทั้งๆ ที่ค่าเรียนก็ไม่ใช่ถูกๆ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับการสอบ TOEFL กันให้มากขึ้นดีกว่าค่ะ

 

{pic-desc}

                TOEFL หรือ The Test of English as a Foreign Language เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เริ่มสอบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 ซึ่งการสอบในอดีตนั้น มี 2 แบบคือ

Paper-Based testing หรือ PBT คือ การสอบที่ใช้กระดาษในการทำข้อสอบ มีคะแนนตั้งแต่
   310-677 คะแนน
-  Computer-Based Testing หรือ CB คือ การสอบที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำข้อสอบ
   มีคะแนนตั้งแต่ 0-300 คะแนน

                 แต่ในปัจจุบัน การสอบทั้ง 2 แบบข้างต้นนั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยปัจจุบันได้ใช้ Internet-Based Testing : IBT หรือ การสอบที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการทำข้อสอบแทน ใช้เวลาในการสอบประมาณ 4 ชั่วโมง ทดสอบทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน คือ การอ่าน (Reading) การฟัง (Listening) การพูด (Speaking) และการเขียน (Writing) แต่ละพาร์ทมีคะแนน 0-30 คะแนน
รวมคะแนนเต็ม 120 คะแนน

 

{pic-desc}


  การอ่าน (Reading)

- อ่านบทความ 3-5 บทความ ประมาณ 700 คำ แล้วตอบคำถาม รวมคำถามทั้งหมด 39 ข้อ โดยบทความ
  นั้นเป็นเนื้อหาที่สามารถพบได้ในหนังสือเรียนระดับปริญญาตรี เน้นความเป็นเหตุเป็นผล การเปรียบเทียบ
  และการโต้แย้ง

**ตอบคำถามบนจอคอมพิวเตอร์**


  การฟัง (Listening)

- ประกอบด้วยข้อสอบ 2 แบบ คือ
  1.  Academic Lecture  หรือ การจำลองสถานการณ์ในห้องเรียน 4 เรื่อง จำนวนคำถาม 24 ข้อ
  2.  Student Conversation หรือ บทสนทนา 2 เรื่อง จำนวนคำถาม 10 ข้อ

**ฟังบทสนทนาทั้งหมดทางหูฟัง**


  การพูด (Speaking)

- ประกอบด้วยข้อสอบ 3 ประเภท คือ
  1. Independent 2 ข้อ โดยผู้สอบจะได้ฟังเรื่องราว ประสบการณ์ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและคุ้นเคย 
  จากนั้นจะต้องตอบคำถาม โดยมีเวลาในการเตรียมตัวตอบคำถาม 15 วินาที  และมีเวลาในการตอบ
  คำถาม 45 วินาที
 
  2. Integrated Reading + Listening 2 ข้อ  โดยผู้สอบจะต้องอ่านบทความสั้นๆ จากนั้นจะต้องฟัง
  บทสนทนาหรือการบรรยายในเรื่องที่เกี่ยวกับบทความที่อ่านนั้น จากนั้นจะต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้อ่าน
  และฟัง มีเวลาในการเตรียมตัวตอบคำถาม 30 วินาที และมีเวลาในการตอบคำถาม 1 นาที

  3. Integrated Listening 2 ข้อ โดยผู้สอบจะได้ฟังบทสนทนาหรือการบรรยายทางวิชาการ และจะ
  ต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้ฟัง มีเวลาในการเตรียมตัวตอบคำถาม 20 วินาที  และมีเวลาในการตอบ
  คำถาม 1 นาที

  **ผู้สอบอัดเสียงของตนเองลงบนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากนั้นจะถูกประเมินคะแนนโดยผู้ประเมินที่เชี่ยว
  ชาญ**


  การเขียน (Writing)

- ประกอบด้วยข้อสอบ 2 ประเภท คือ
  1. Integrated Reading + Listening 1 ข้อ โดยผู้สอบต้องอ่านบทความทางวิชาการภายในเวลา
  3 นาที จากนั้นฟังการบรรยายในเรื่องที่เกี่ยวกับบทความที่อ่านนั้น และต้องสรุปเนื้อหาหรือแสดงความเห็น
  ต่อสิ่งที่ได้อ่านและฟังด้วยภาษาอังกฤษ 150-220 คำ ภายในเวลา 30 นาที

  2. Independent Task 1 ข้อ โดยผู้สอบจะได้อ่านประโยคหรือบทความสั้นๆ จากนั้นต้องตอบคำถาม
  หรือแสดงความเห็นต่อประโยคหรือบทความที่ได้อ่านนั้นด้วยภาษาอังกฤษอย่างน้อย 300 คำ ภายในเวลา
   30 นาที

  **เขียนคำตอบโดยการพิมพ์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์**

 


                 ซึ่งในการสมัครเรียนต่อเมืองนอกนั้น จะระบุคะแนนขั้นต่ำของ TOEFL ที่รับสมัคร ซึ่งทุกๆ ที่จะรับคะแนนแบบ IBT แต่บางที่ก็ยังรับคะแบบ PBT และ CBT ด้วย โดยส่วนมากมักจะรับคะแนนขั้นต่ำของ IBT ที่ 80 คะแนน โดยจะเท่ากับ 213 คะแนนของแบบ CBT และเท่ากับ 550 คะแนนของแบบ PBT ค่ะ แต่บางที่อาจจะกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้สูงกว่านั้น (หินมาก)


               เอาเป็นว่าทำความรู้จักกับ TOEFL กันไปแบบพอหอมปากหอมคอก่อนนะคะ ส่วนครั้งหน้า พี่เป้ จะกลับมาพร้อมกับเคล็ดไม่ลับในการทำข้อสอบ TOEFL อย่าลืมติดตามกันนะคะ


{pic-desc}

 

Dek-D Team ทีมคอลัมนิสต์ Dek-D

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
กำลังโหลด

30 ความคิดเห็น

kimc Member 8 ก.ย. 52 18:03 น. 1
เคยติว แล้วก็เปลี่ยนไปเป็น IELTS แทน เพราะมันง่ายกว่า เยอะ แต่ตอนเรียนก็ได้รู้เรื่อง วิทย์ อะไรเยอะดีครับ
แต่ ติวมาทั้งหมดไม่ได้ใช้หรอก คือ จะสอบ TU GET แทน   -0-"
(ศัพท์มันต้องอยู่ในหัวบ้างล่ะน่า)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Time 10 ก.ย. 52 12:48 น. 4
เหอะๆ สอบมาสองรอบละ

รอรอบที่สามอยู่เนี่ยะ

ปราบเซียนจริงๆ

แต่มีคนไทยทำได้ 117 ก็มีนะ ร้อยกว่าเยอะออก

สู้ๆ ถ้าใครจะไปสอบอ่ะ
0
กำลังโหลด
didactic speech maker 10 ก.ย. 52 17:29 น. 5
ใครว่าปราบเซียน??? เห็นเด็กอักษรฯ จุฬาฯสอบกันเล่นๆ ยิ่งข้อเขียนยิ่งง่าย ขอติตรงพูดกับคอมนี่รับไม่ได้

สอบ IELTS สิ อันนี้ค่อย challenging หน่อย
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Marshall LP Member 10 ก.ย. 52 19:00 น. 7
สอบเล่นๆทำไม คห. 5 ไม่คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจ เลย เก่งเเต่ อังกฤษ หัดนำวิชา พวก เศรษฐศาสตร์(economics) มาประยุกต์ใช้กับชีวิตมั้งนะ ; ]
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
[+i! Foniiz !i+] Member 10 ก.ย. 52 22:09 น. 13
ไปสอบเดือนที่แล้วนี่เอง ที่ มช โอ้ว ไม่อยากจะพูดถึง ๕๕ กดดั้นน กดดัน เน่าๆๆ แต่เมื่อไหร่คะแนนจะออก ลุ้นๆๆ อิอิ
0
กำลังโหลด
ใต้ฟ้าข้าเดียวดาย Member 10 ก.ย. 52 22:29 น. 14
คงต้องเคี่ยวตัวเองก่อนไปสอบมากๆเลยนะเนี่ย

ค่าสอบแพง และยาก 

ต้องให้พร้อมแล้วสอบทีเดียว


เฮ้อ..
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กระจกวิเศษ 10 ก.ย. 52 23:36 น. 16
จาก คห.5 เธอเรียนอักษร จุฬา วันๆเรียนแต่ภาษา ถ้าเรียนภาษามา 4 ปี แล้วทำ toefl ไม่ได้นี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วค่ะ ในทางกลับกันลองมามองเด็กที่จบ ม.6 ที่จะใช้ข้อสอบนี้เพื่อเข้าศึกษาต่อต่างประ้เทศ หรือไม่ก็คณะอินเตอร์ภายในประเทศสิ มันก็จะกลายเป็นข้อสอบหินปราบเซียนเลยค่ะ ถ้ามาเทียบกับข้อสอบอังกฤษของ gat pat นี่ toefl ยากกว่าแบบคนละคลาสค่ะ แล้ว cu-tep นี่กลายเป็นข้อสอบหมูๆไปเลย
0
กำลังโหลด
,, ตัวแรง * Member 11 ก.ย. 52 00:32 น. 17
,,สอบแล้วเอาไปใช้ยื่นคณะไหนในไทยได้เลยมั่งอ่าคับ ,,กัวสอบแล้วคะแนนไม่ดีต้องสอบใหม่อ่าคับ ,,แบบว่ายังหาตังใช้เองไม่ได้อ่าคับ ^+++++^
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด