สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com พี่พิซซ่า เชื่อว่าน้องๆ ที่สนใจเรียนต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือเรียนภาคอินเตอร์ในเมืองไทยคงเคยได้ยินชื่อ SAT กันมาบ้างแล้ว เพราะมันคือข้อสอบที่จำเป็นต้องใช้ในการสมัครเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีแทบทุกแห่ง จะเหมือนจะต่างกับ 7 วิชาสามัญของเราอย่างไร จะมีข้อเกิดอารมณ์แล้วไปเตะบอลอย่างของเรามั้ย คงต้องไปทำความรู้จักกับ SAT แล้วละค่ะ
SAT คืออะไร
SAT หรือที่ 99% ของชาวอเมริกันอ่านว่าเอสเอที คือข้อสอบมาตรฐานที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงหลักสูตรอินเตอร์ในเมืองไทยใช้ประกอบการสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาตรี เหมือนกับการแอดมิชชั่นของเรา เพียงแต่ไม่ได้วัดที่ความรู้วิชาต่างๆ แต่เป็นการวัดทักษะ (Skills) การใช้เหตุผล เหมือนข้อสอบความถนัดทั่วไป
ส่วนประกอบของ SAT
SAT ประกอบด้วยข้อสอบ 3 ส่วนได้แก่ Critical Reading, Mathematics, และ Writing โดยแต่ละส่วนจะมีคะแนนตั้งแต่ 200-800 คะแนน ทำให้คะแนนเต็มรวมคือ 2,400 คะแนน นอกจากนี้ยังให้รายละเอียดคะแนนย่อยในส่วน Writing อีก 2 ส่วนย่อยคือ ส่วน error 20-80 คะแนน และเรียงความ 2-12 คะแนน เวลาที่ใช้ในการสอบคือ 3 ชั่วโมง 45 นาที โดยมีช่วงพักสั้นๆ ระหว่างการทำแต่ละส่วนให้
Critical Reading คือส่วนการอ่านเชิงวิเคราะห์ ประกอบไปด้วยการอ่านบทความสั้นๆ แล้วตอบคำถาม (passage) ซึ่งเนื้อหาครอบคลุมทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวรรณกรรม และการเติมประโยคให้สมบูรณ์ โดยทักษะที่น้องๆ ต้องใช้คือการหาใจความสำคัญและข้อความสนับสนุน ความเข้าใจความหมายของศัพท์บางคำในแต่ละบริบท เข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียน เข้าใจโครงสร้างและหน้าที่ของแต่ละประโยค
Mathematics คือส่วนคณิตศาสตร์ มีข้อสอบสองแบบคือเลือกคำตอบที่ถูกต้อง และเขียนคำตอบเอง โดยเป็นเนื้อหาคณิตศาสตร์พื้นฐาน และการแปลความหมายของกราฟ ตารางหรือชาร์ต โดยทั้งหมดจะครอบคลุมเนื้อหาหลัก 4 บทเรียนคือ ตัวเลขและการคำนวณ พีชคณิตและฟังก์ชั่น ตรีโกณมิติและการชั่งตวงวัด การวิเคราะห์ข้อมูล สถิติ และความน่าจะเป็น
Writing คือส่วนการเขียน มี 2 ประเภทคือการเขียนเรียงความ และเลือกคำตอบที่ถูกต้อง ซึ่งประกอบไปด้วย การหาจุดที่ผิดในประโยค (errors) การเปรียบเทียบและเลือกข้อเขียนที่ดีที่สุด และการปรับปรุงข้อเขียนสั้นๆ ให้ดีขึ้น
นอกจากนี้ SAT ยังมีข้อสอบอีกส่วนหนึ่งที่ไม่นำมาคิดคะแนน ข้อสอบส่วนนี้คือว่าที่ข้อสอบ SAT ในอนาคตที่ College Board (ผู้ออก SAT) ต้องการทดสอบดูว่าเหมาะสมเอามาใช้จริงหรือไม่ โดยจะเป็นข้อสอบจากการอ่าน คณิตศาสตร์หรือการเขียนก็ได้ แต่เป็นข้อสอบตัวเลือก ให้เวลาทำ 25 นาที
การคิดคะแนน
ขั้นแรกจะให้คะแนนดิบก่อน นั่นคือเมื่อตอบถูกจะได้ 1 คะแนน ตอบผิดหัก 0.25 คะแนน ถ้าไม่ตอบก็ไม่ได้ไม่เสียคะแนน ยกเว้นข้อสอบส่วนคณิตศาสตร์ที่ให้เติมคำตอบเอง ถ้าตอบผิดจะไม่เสียคะแนน จากนั้นจะนำคะแนนดิบมาแปลงเป็นคะแนนอิงกลุ่ม นั่นคือที่มาของคะแนน 200-800 ในแต่ละส่วน โดยเปรียบเทียบกับของทุกคนที่สอบรอบเดียวกัน และเทียบกับคะแนนเดิมสำหรับผู้ที่เคยสอบแล้วด้วย
การสมัครสอบ SAT
เข้าไปที่ sat.org/international แล้วเลือกที่ Register จากนั้นเลือก Sign Up
จากนั้นจะเป็นหน้ากรอกข้อมูลเพื่อเป็นสมาชิกของ College Board กรอกข้อมูลให้ครบค่ะ แล้วกด Submit
หลังจากเสร็จสิ้นการสมัครสมาชิกเว็บไซต์ของ College Board แล้ว จะกลายเป็นหน้ากรอกข้อมูลสมัครสอบ SAT ให้โดยอัตโนมัติค่ะ
กรอกข้อมูลตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ ถ้ามีคำว่า (optional) ก็คือข้าม ไม่ต้องกรอกข้อนั้นก็ได้ค่ะ
จนมาถึงหน้า Select Test & Center ให้ใส่ว่าจะสอบวันไหน ที่ไหนค่ะ
จากนั้นก็อัพโหลดรูปตัวเองค่ะ มองกล้อง ยิ้มแย้มได้ เห็นหน้าชัดเจน เหมือนในตัวอย่าง แต่ต้องรูปที่เหมือนตัวจริงนะคะ ไม่ใช่รูปสวยเว่อร์ แต่วันสอบไปแบบโทรมมาก
เมื่อถึงขั้นตอนเกือบสุดท้าย จะเป็นตัวอย่างใบสมัครที่มีข้อมูลทั้งหมดที่กรอกไป ตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่
และด้านล่างสุดคือจำนวนเงินที่ต้องจ่ายค่ะ
แล้วก็ถึงขั้นตอนสุดท้าย คือจ่ายเงินค่ะ ใช้บัตรเครดิตของธนาคารหรือห้างไหนก็ได้ที่เป็น VISA, Master Card, American Express, Discover/Diners หรือ JCB (บัตรจะเป็นชื่อใครก็ได้)
เมื่อการชำระเงินเสร็จสมบูรณ์ น้องก็สามารถพิมพ์ตั๋วเข้าห้องสอบออกมาได้ค่ะ
ค่าสอบ
ค่าสมัครสอบคือ US$ 50 (ประมาณ 1,500 บาท) ส่วน US$ 31 (ประมาณ 930 บาท) คือค่าธรรมเนียมสอบต่างประเทศค่ะ เป็นค่าขนส่ง ค่าระบบรักษาความปลอดภัย และอื่นๆ
ทั้งหมด US$ 81 นี้จะรวมค่าส่งผลคะแนน SAT ให้ 4 ฉบับแล้วค่ะ น้องๆ สามารถสั่งให้ส่งผลคะแนนไปยังมหาวิทยาลัยที่ต้องการได้โดยตรงถึง 4 แห่งเลย แต่ถ้าต้องการมากกว่านี้จะต้องเสียเพิ่มอีกฉบับละ US$11
วันสอบ
SAT จัดสอบปีละ 6 ครั้งคือเดือนตุลาคม, พฤศจิกายน, ธันวาคม, มกราคม, พฤษภาคม และมิถุนายน ส่วนสนามสอบในสหรัฐอเมริกาจะมีอีกหนึ่งครั้งในเดือนมีนาคม
รอบล่าสุดที่จะถึงนี้คือ 4 พฤษภาคม และ 1 มิถุนายนค่ะ
โดยทั่วไปแล้วจะปิดรับสมัครประมาณ 1 เดือนก่อนถึงวันสอบ ฉะนั้นตรวจสอบตารางดีๆ นะคะ เพราะค่าสมัครสายแพงยิ่งกว่านี้อีก
สนามสอบในไทยมีที่ใดบ้าง
โรงเรียนนานาชาติบริติช ภูเก็ต |
โรงเรียนนานาชาติเปรม (PTIS) เชียงใหม่ |
โรงเรียนนานาชาติเชียงใหม่ (CMIS) |
โรงเรียนประชาคมนานาชาติ (ICS) กรุงเทพ |
โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ กรุงเทพ |
โรงเรียนนานาชาตคิวเอสไอ (QSI) ภูเก็ต |
โรงเรียนนานาชาติคิซ (KIS) กรุงเทพ |
โรงเรียนนานาชาติล้านนา (LIST) เชียงใหม่ |
โรงเรียนนานาชาติเวลล์ส กรุงเทพ |
โรงเรียนนานาชาติภาคตะวันออก (ISE) ชลบุรี |
โรงเรียนนานาชาติกีรพัฒน์ กรุงเทพ |
โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดีวิเทศศึกษา กรุงเทพ |
โรงเรียนนานาชาติไทย-จีน สมุทรปราการ |
โรงเรียนนานาชาติใหม่แห่งประเทศไทย (NIST) กรุงเทพ |
เรื่องน่ารู้ของ SAT
- สอบกี่ครั้งก็ได้ แต่ปกติสอบกันไม่เกิน 2 ครั้ง
- คำศัพท์ที่ออกมักเป็นศัพท์ที่ไม่ค่อยเจอ หรือเป็นคำที่เจอบ่อยแต่เลือกความหมายที่แทบไม่เคยใช้ ฉะนั้นเลือกอ่านหนังสือศัพท์สำหรับ SAT โดยเฉพาะ และอย่าลืมดูความหมายแปลกๆ ของคำศัพท์นั้นๆ ด้วย (อ่านวรรณกรรมคลาสสิกก็ช่วยได้)
- นำเครื่องคิดเลขเข้าไปได้ แต่ห้ามใช้โทรศัพท์คิดเลข แต่ส่วนใหญ่คิดว่าไม่จำเป็น เพราะตัวเลขที่ต้องคำนวณไม่ซับซ้อน มักเป็นปัญหาเชาวน์ที่สามารถตอบได้ด้วยการวาดภาพหรือคิดคร่าวๆ
- ปัญหาใหญ่ของเด็กไทยในการทำข้อสอบคณิตศาสตร์คือแปลโจทย์ไม่ออก ดังนั้นควรท่องศัพท์คณิตศาสตร์เพิ่ม หามาว่าพวกเส้นผ่านศูนย์กลาง มุมกลับ ทรงกระบอก จำนวนเต็ม ค.ร.น. หรือห.ร.ม. ภาษาอังกฤษคืออะไร
- ส่วนการเขียนเป็นส่วนที่เตรียมตัวได้น้อยที่สุดเพราะไม่รู้ว่าจะให้เขียนอะไร ฉะนั้นไวยากรณ์ต้องเป๊ะ และฝึกเขียนเยอะๆ เรื่องอะไรก็ได้ ทำบ่อยจะได้ค่อยๆ ชิน
- ส่วนของ error นั้นมีเคล็ดลับว่าให้อ่านโจทย์โดยไม่ดูว่าคำไหนโดนขีดเส้นใต้ป็นตัวเลือก เพราะบางข้อที่ง่ายๆ อ่านแล้วจะสะดุดคำนั้นทันที แต่ถ้ามองตัวเลือกก่อนก็จะรู้สึกว่าถูกทุกอัน ไม่ก็ผิดทุกอัน
- ข้อสอบจะเรียงลำดับจากง่าย-ปานกลาง-ยาก (ยกเว้นการอ่าน passage) ถ้าเป็นข้อแรกๆ ก็คือข้อง่าย เมื่อเจอตัวเลือกที่น่าจะถูกปุ๊บ แปลว่ามันถูก แต่ถ้าเป็นข้อหลังๆ ซึ่งเป็นข้อยาก เมื่อไม่แน่ใจ พยายามอย่าเลือกตัวเลือกที่น่าจะถูก เพราะมักเป็นตัวหลอก
- คะแนนเฉลี่ยทั่วไปของส่วนการอ่านคือ 501 คณิตศาสตร์ 516 และการเขียน 492 คะแนน โดยผู้ที่ได้คะแนนระดับนี้มักตอบตัวเลือกที่ “น่าจะถูก” ทั้งข้อง่ายและยาก ฉะนั้นอย่าลืมว่าข้อยากมันจะหลอก
เป็นยังไงกันบ้างคะ ทำถูกครบ 6 ข้อรึเปล่า ^^ น้องๆ สามารถหาแบบฝึกหัด SAT ฟรีได้ทั้งจากเว็บของ College Board และเว็บอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงสมาร์ทโฟนก็สามารถดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นติวคำศัพท์ SAT ได้เช่นกัน มีแอพฟรีหลายตัวมากเลยค่ะ และนอกจากอ่านคู่มือเล่มหนาแล้ว น้องๆ อย่าลืมทำการ์ดคำศัพท์ SAT เล่มเล็กๆ พกติดตัวกันไว้ด้วยนะคะ จะได้ท่องได้ทุกที่ทุกเวลา ใครที่สอบแล้วก็อย่าลืมแชร์ประสบการณ์ในห้องสอบให้เพื่อนๆ ฟังด้วยนะคะ
ข้อมูล
http://sat.collegeboard.org/home
http://www.princetonreview.com/
ภาพประกอบ
sat.collegeboard.org
http://aventalearning.com
http://www.trudeautest.com/
26 ความคิดเห็น
>___<!!
ยากมากพี่พิซซ่า T___T
แต่หลายสถาบันการศึกษาอาจจะกำหนดวันที่สอบที่ยอมรับผลก็ได้ เช่น
ต้องสอบภายใน 1 พฤศจิกายน 2553 - 30 พฤศจิการยน 2555 เท่านั้นจึงจะสมัครเรียนต่อที่มหาวิยาลัย ก. ได้ เป็นต้นค่ะ
หยุดเรียนสักปี ไปเรียนภาษาน่าจะดี อังกฤษไม่คล่องเลยค่ะ พี่พิซซ่า
ขอบคุณมากๆค่ะ
ขอบคุณค่า~หาแบบนี้มานาน>w<
ใครหาที่เรียนsat อยู่ ผมแนะนำEPA Interprep ครับดีจริงครับ แนะนำเลย ครูสอนเก่ง สนใจ line:epa_interprep สอบถามพี่เขาได้