สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ถ้าพูดถึงกิจกรรมยอดฮิตช่วงปิดเทอมใหญ่ของเด็กมหาวิทยาลัยแล้ว นอกจากไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่หลายคนให้ความสนใจคงหนีไม่พ้นการเข้าร่วมโครงการ Work & Travel แต่ปัญหาหลักของคนที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะไปดีมั้ยน้า คือกลัวว่าจะขาดทุนยับ ไม่ต้องห่วงค่ะ วันนี้ พี่พิซซ่า มีเคล็ดลับที่จะทำให้น้องๆ ได้กำไรกลับมาทั้งประสบการณ์และเงินค่ะ



1. ก่อนไปอเมริกา: ศึกษา สืบค้น สอบถาม

   เริ่มตั้งแต่การเลือกเอเจนซี่ค่ะ แต่ละเอเจนซี่มีค่าโครงการไม่เท่ากัน อย่าหน้ามืดเลือกอันที่ถูกที่สุดแต่สุดท้ายต้องเสียค่าโน่นนี่เพิ่มเพราะโดนหลอกค่าตั๋วเครื่องบิน ไม่มีงานรองรับ หรือเอเจนซี่ลอยแพจนค่าใช้จ่ายบานปลายไม่รู้จบ ตรวจสอบให้ดีค่ะ บางเอเจนซี่แพงกว่า แต่อาจรวมทุกค่าใช้จ่ายครบแล้ว และสามารถดูแลน้องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ คุ้มกว่าเห็นๆ ค่ะ





   หลายคนคงมีงานที่สนใจแล้ว แต่น้องๆ อย่าลืมดูให้ดีนะคะว่างานนั้นตั้งอยู่ส่วนไหนของประเทศ สนามบินไหนใกล้ที่สุด ควรนั่งเครื่องบินในประเทศต่อหรือนั่งรถบัส เปรียบเทียบราคาให้ดีนะคะว่าแบบไหนคุ้มกว่า เช่นตั๋วเครื่องบินจากไทยไป Los Angeles ราคา 2 หมื่นบาท (ราคาโปรโมชั่นบางสายการบินที่ต้องพึ่งทั้งเส้นสาย และดวง) แต่ Chicago ราคา 3 หมื่นบาท ถ้าน้องต้องทำงานที่รัฐ Kansas น้องก็อย่ารีบร้อนซื้อตั๋วไป LA เลยนะคะ (แม้จะเขียนว่าหมดโปรโมชั่นพรุ่งนี้) เพราะบางทีค่าเครื่องบินในประเทศอาจจะราคา 9,000 บาท ค่ากระเป๋าใบที่สองอีก 2,000 บาท ค่าที่พักหนึ่งวันอีก 6,000 บาทก็ได้ สู้บินไปลง Chicago แล้วเสียค่ารถบัสกับค่ากระเป๋าใบที่สองเพียง 3,000 เท่านั้น ต้นทุนยิ่งลด กำไรยิ่งสูงค่ะ



    นอกจากนี้ดูเรื่องที่พักด้วยค่ะ งานที่น้องๆ เลือกนั้นมีที่พักให้ไหม รวมค่าอาหารไปด้วยแล้วหรือยัง ตรงนี้อาจจะยากซักหน่อย เพราะน้องๆ อาจจะต้องดูว่าค่าครองชีพรัฐนั้นๆ สูงมากไหม ดูง่ายๆ ได้จากภาษีรัฐที่เก็บไม่เท่ากันค่ะ ถ้างานนั้นมีที่พักและอาหารให้โดยหักจากค่าจ้าง และอยู่ในรัฐที่ค่าครองชีพสูง งานนี้ถือว่าคุ้มค่ะ หรืองานที่น้องต้องหาบ้านเอง แต่รัฐนั้นไม่เก็บภาษี งานนี้ก็โอเคเช่นกัน (งานที่ไม่มีที่พักให้โดยส่วนใหญ่จะให้ค่าจ้างสูงกว่า) แต่ถ้างานไหนที่มีที่พักพร้อมอาหารให้ แต่อยู่ในรัฐที่ภาษีต่ำอยู่แล้ว น้องก็อาจคำนวนได้ว่า เงินที่นายจ้างหักเป็นค่าที่พักนั้น แพงกว่าเงินที่น้องจะใช้จ่ายจริงๆ อีก น้องก็ไม่ควรเลือกงานนี้ค่ะ




    น้องสามารถถามรุ่นพี่ที่เคยไปทำงานนั้นๆ ว่ามีโอกาสได้ทิป หรือ Second Job หรือไม่ จะได้วางแผนการใช้เงินได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ ถ้ารู้ว่างานนั้นชั่วโมงงานน้อย ห้ามรับทิป แถมยังห้ามทำ Second Job อีก อันนี้ Say No เลยค่ะ เพราะนอกจากจะได้เงินน้อยแล้ว ยังทำให้น้องไม่ได้ฝึกภาษา หรือฝึกการแก้ปัญหาในการทำงานด้วยค่ะ

     สุดท้ายคือตรวจสอบสภาพอากาศให้ดีนะคะ อย่าดูเฉพาะช่วงที่น้องไปถึงเท่านั้น ให้ดูเลยว่า 3 – 4 เดือนนั้นอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง จะได้เตรียมเสื้อผ้าไปพอดี ไม่ต้องซื้อเพิ่มค่ะ ถ้าหนาวมากก็ยัดเสื้อหนาวหนาๆ ลงกระเป๋าให้แน่นไปเลยค่ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะแน่นหรือน้ำหนักเกินจนใส่แชมพู ครีม หรือผงซักฟอกลงไปไม่ได้ ถ้าน้องไม่ได้มีผิวแพ้ง่าย ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ พี่แนะนำให้ไปซื้อใหม่ที่โน่นค่ะ น้องอาจจะตกลงกับเพื่อนเลยว่าไปถึงแล้วหารกันซื้อของใช้พวกนั้น เพราะขวดบิ๊กบึ้มที่นั่น ราคาประมาณ 5 เหรียญเองค่ะ




2. เมื่ออยู่ในอเมริกา: มุ่งมั่น ขยัน อดทน

   ตั้งเป้าหมายไว้เลยค่ะว่าจะเอาเงินกลับบ้านเท่าไหร่ เขียนตัวใหญ่ๆ แปะไว้ตรงจุดที่มองเห็นง่ายก่อนออกจากห้องไว้เลยค่ะ จะได้เตือนตัวเองว่าอย่าตามใจตัวเองมากเกินไป และอีกอย่างที่สำคัญมากๆ คือการทำบัญชีรายรับรายจ่ายค่ะ อยู่ไทยพี่ก็ไม่เคยทำเหมือนกัน แต่อยู่ที่นู่นพี่จดทุกอย่างตั้งแต่ค่าเสื้อหนาวที่ซื้อก่อนมา จนกระทั่งเดินเจอเหรียญห้าเซนต์บนพื้น ทุกอย่างต้องเอามาคำนวณค่ะ ยิ่งน้องจดค่าจิปาถะเริ่มตั้งแต่ค่ารถเมล์ไปสัมภาษณ์งานกับนายจ้างไว้ด้วยแล้ว น้องจะยิ่งมีแรงฮึดที่จะทำงานค่ะ



   เมื่อทราบลักษณะการทำงานเรียบร้อยแล้ว ถ้าหา Second Job ได้ก็เดินหาเลยค่ะ ร้านไหนไม่ได้มีป้ายรับสมัครก็เสี่ยงดวงเดินเข้าไปถามเองได้เช่นกันค่ะ ไม่ต้องเขิน ไม่ต้องกลัวนะคะ ท่องเอาไว้ ด้านได้อายอดค่ะ

   แต่ถ้าหาไม่ได้หรือนายจ้างไม่อนุญาต ก็ถามจากในบริษัทของน้องนั่นแหละค่ะ บางที่ HR(ฝ่ายบุคคล) อาจมีประกาศต้องการคนงานบางตำแหน่งเพิ่มในวันหยุดหรือวันเทศกาล น้องต้องคอยดูเองค่ะ ถ้าไม่มีประกาศก็สามารถเข้าไปถามเองได้ เขาอาจจะให้น้องลงชื่อทิ้งไว้ หรือน้องอาจได้งานเสริมเช่นล้างจานภาคค่ำ หรือรดน้ำต้นไม้แต่เช้าตรู่เป็นต้น

   นอกจาก HR แล้ว คนอื่นๆ ในที่ทำงานก็เป็นแหล่งงานสำคัญเช่นกันนะคะ ลองถามคนดูแลบ้านพักว่าต้องการผู้ช่วยไหม น้องสามารถช่วยดูดฝุ่น หรือล้างห้องน้ำรวมให้ได้ หรือคุยกับ Supervisor คนอื่นๆ ดู ตีซี้ไว้เยอะๆ ไม่เสียหายค่ะ ถ้าวันไหนคนในแผนกเขาไม่พอ น้องอาจเป็นคนแรกที่เขานึกถึงก็ได้ แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานก็อาจขอให้น้องไปเฝ้าลูกให้ถ้าเขาต้องทำงานกะดึก งาน babysit แบบนี้ก็ไม่ยากมากค่ะ เพราะส่วนใหญ่เด็กจะนอนหลับเฉยๆ แต่ถ้ากลัว น้องก็ขออนุญาตชวนเพื่อนๆ ไปเฝ้าด้วยกัน เปิดโอกาสให้ตัวเองเยอะๆ ไว้นะคะ





   สิ่งที่ยากที่สุดของการประหยัดเงินก็คือ อาการอยากซื้อไปหมดทุกอย่างค่ะ ไม่ได้หมายถึงน้องผู้หญิงที่ช้อปปิ้งเสื้อผ้า น้ำหอม รองเท้า กระเป๋าอย่างเดียวนะคะ น้องผู้ชายก็เป็นได้เหมือนกัน ทั้งเกม ของเล่นไฮเทค อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ประเทศนี้มีของล่อตาล่อใจน้องทุกคนแน่นอนค่ะ ฉะนั้นต้องตั้งสติให้ดีๆ นะคะ ขอใช้คำนี้เลยค่ะ เพราะโดนมาแล้วแทบทุกคน ทางที่ดีคือบอกเพื่อนให้ช่วยกันเตือน เธอยั้งฉันไม่ไห้ซื้อกระเป๋า ฉันก็จะห้ามเธอเข้าร้านรองเท้า (แต่อย่าจบลงด้วยการลากกันไปซื้อน้ำหอมนะคะ ^^)





   จะซื้ออะไรก็ต้องถามตัวเองเสมอว่า จำเป็นจริงหรอ? แล้วลองผ่านมาดูหลายๆ ครั้ง ถ้าไม่จำเป็นมาก ความอยากจะลดลงเรื่อยๆ บางทีเดินไปเดินมาน้องอาจจะเจออีกร้านที่ขายถูกกว่าก็ได้ ของบางอย่างพี่พิจารณาเป็นเดือนเลยนะคะ เดินผ่านมันทุกสัปดาห์ เช็คราคาจากทุกเว็บว่ามีถูกกว่าอีกไหม พออีกเดือนไปดูอีกทีมันลดราคาลงตั้งเยอะ แต่พี่ก็ไม่ได้ซื้อค่ะ เพราะความอยากหมดไปแล้ว แถมพี่ยังได้กำไรเป็นทักษะทางภาษาที่ใช้ตอนหาข้อมูลของสินค้าอีกด้วย

   ควรวางแผนการเที่ยวหลังจบโครงการไว้แต่เนิ่นๆ นะคะ จะพักจะเที่ยวที่ไหนบ้าง ค่าเดินทางค่าเข้าสวนสนุกเท่าไหร่ คำนวณไว้เลยค่ะ น้องจะได้แบ่งเงินได้ถูก พอทำงานเสร็จปุ๊บก็จะมีเงินสามส่วนไว้ทันทีคือ เงินที่ตั้งเป้าเอากลับบ้าน ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวหลังทำงาน และค่าใช้จ่ายอิสระที่คราวนี้น้องจะเอาไปซื้ออะไรก็ได้ในระหว่างเดินทางท่องเที่ยว พี่จะไม่ห้ามน้องอีกแล้วค่ะ ^^



Trick ในการเป็นเศรษฐี Work&Travel

1. เรื่องเล็กน้อยอย่างเครื่องซักผ้าก็สำคัญนะคะ ควรเช็คให้ดีว่าเป็นเครื่องแบบไหน ต้องใส่เงินหรือไม่ และใช้กับผงซักฟอกแบบใด ครั้งแรกพี่เอาผงซักฟอกไปอย่างเดียวค่ะ แต่ปรากฏว่าเครื่องที่นั่นใช้น้ำยาซักผ้า และใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มได้ พี่เลยต้องซื้อใหม่ พอไปอีกครั้งพี่เตรียมสองอย่างหลังไป แต่เครื่องซักผ้าคราวนี้ใช้ได้แต่แบบผง และไม่มีช่องใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย -_-" พลาดอย่างแรงค่ะ ดังนั้นน้องๆ ต้องถามรายละเอียดทุกซอกทุกมุมจากพี่ที่เคยไปหรือนายจ้างเลยนะคะ โดยเฉพาะนายจ้าง เขาจะเอ็นดูเด็กช่างถามเป็นพิเศษ (ต้องมีสาระนะ)

2. อย่าช้อปปิ้งกับเพื่อนที่ไม่ได้มีจุดประสงค์จะเก็บเงิน เพราะน้องจะถูกชักชวนให้ใช้เงินไปด้วยค่ะ ไปกับเพื่อนที่สามารถบ่นใส่น้องได้จะดีกว่า

3. อย่างกจนเก็บตัวเพราะกลัวคนอื่นชวนไปเที่ยวแล้วต้องเสียเงิน นี่เป็นความเชื่อที่ผิดมากๆ ค่ะ พี่เข้าใจนะคะว่าเด็กฝรั่งอายุเท่าน้องๆ มักเป็นพวกปาร์ตี้คืนเว้นคืน ซึ่งขัดกับอุดมการณ์ของน้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้องจะต้องหลีกเลี่ยงพวกเขาค่ะ น้องสามารถเป็นเพื่อนกับทุกคนได้ แต่ก็ต้องแสดงจุดยืนให้เข้าใจเลยว่าน้องมาเพราะจะเก็บเงิน เขาไม่เซ้าซี้หรือล้อเลียนน้องหรอกค่ะ เขาจะรู้ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน ถ้ามีงานปาร์ตี้ในห้องหรือบ้านพัก เขาก็จะชวนน้องมาร่วมงานด้วย = กินฟรี ^^ และในเมื่อน้องไม่อยากช่วยเหลือเป็นค่าอาหารเครื่องดื่มภายในงาน น้องก็แสดงน้ำใจด้วยการเก็บกวาดสถานที่และล้างจานให้เขาแทนค่ะ ทีนี้น้องก็จะไม่เสียทั้งเพื่อน ทั้งโอกาส แล้วก็เงินค่ะ




4. ควรเลือกงานที่สามารถทำได้ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปค่ะ ถ้าเลิกงานเร็วกว่านั้นจะทำให้มีเวลา Make Money น้อยเกินไป และอาจไม่ได้กำไรเลย พวกงานที่ขึ้นกับฤดูกาล อย่างสวนสนุกหรือโรงแรมบางแห่งที่ยังปิดทำการอยู่ในช่วงหนึ่งเดือนแรกที่น้องไปถึง เดือนแรกนี้น้องจะมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ เพราะชั่วโมงงานน้อยมาก แต่น้องต้องเสียค่ากินค่าอยู่ทุกวัน ถ้าอยู่ไม่ถึง 3 เดือนจะไม่ค่อยคุ้มค่ะ

   สมมุติว่าเดือนแรกน้องได้ชั่วโมงงานทั้งสิ้น 100 ชั่วโมง (สัปดาห์ละ 25 ชั่วโมง) ค่าแรงชั่วโมงละ 8 เหรียญ เท่ากับน้องได้เงิน 800 เหรียญ แต่ค่าที่พักพร้อมอาหารถูกหักไปจากเช็ควันละ 15 เหรียญ 15 x 30 วัน = 450 เหรียญ แสดงว่าน้องจะได้เงินเดือนแรกเพียง 350 เหรียญ นี่ยังไม่ได้หักภาษีเลยนะคะ นอกจากภาษีส่วนกลางแล้ว ภาษีรัฐบางรัฐอาจสูงถึง 9% ไหนจะค่าใช้จ่ายในการปรับตัวในกรณีที่น้องโดนเปลี่ยนตำแหน่ง ทำให้กางเกงสีกากีที่เตรียมมา 3 ตัวไร้ประโยชน์ไปทันทีเพราะต้องซื้อสีดำมาใส่แทน รองเท้าที่เตรียมมาก็ผิดประเภท หรืออาหารการกินที่ต้องไปซื้อเพิ่มเพราะยังไม่ชินกับอาหารของที่ทำงาน Pocket Money ที่คุณพ่อคุณแม่ให้มาอาจจะเหลือครึ่งเดียวตั้งแต่เดือนแรกเลยก็ได้ 

   หลังจากน้องทำงานจนจบโครงการในระยะเวลา 2 เดือนครึ่ง แม้น้องจะประหยัดทุกวิถีทางจนมีเงินสดกลับบ้านถึง 6 หมื่น แต่อย่าลืมนะคะว่าต้นทุนตอนแรกของน้องมีทั้งค่าโครงการที่เหยียบ 4 หมื่น ไหนจะตั๋วเครื่องบินอีก -_-" ต้องบอกว่าขาดทุนทางการเงินแบบย่อยยับค่ะ




     เป็นยังไงบ้างคะกับวิธีได้เงินแสนที่ พี่พิซซ่า เอามาฝาก จริงๆ แล้วแต่ละคนมีความสามารถในการเก็บเงินไม่เท่ากัน พี่หวังว่าเคล็ดลับนี้จะช่วยให้หลายๆ คนได้กำไรกลับมาฝากคุณพ่อคุณแม่บ้างนะคะ แอบกระซิบนิดนึงว่าน้องที่ พี่พิซซ่า รู้จักคนนึง ได้เงินกลับมาแสนห้า เมื่อหักกับต้นทุนก่อนไปประมาณห้าหมื่นแล้ว เท่ากับกำไรแสนนึงเหนาะๆ  แถมยังได้ทั้งเพื่อน ทั้งประสบการณ์กลับมาอีกเพียบ นั่นแน่! ชักสนใจแล้วละสิ รีบหาเอเจนซี่ด่วนเลยจ้า~~

   

     ส่วนใครอยากอ่านบทความดีๆ เคล็ดลับการไปเรียนต่อนอก อย่าลืมแวะเวียนเข้าไปเจอกันได้ที่คอลัมน์เรียนต่อนอกที่
 www.dek-d.com/studyabroad นะคะ



ภาพประกอบ:

www.iconspedia.com, www.iconfinder.com

http://www.map-usa.org/, http://jennymatlock.blogspot.com/

http://styleheatherelizabethm.blogspot.com/, http://tvtropes.org/


พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

PiZZaPeaCH Member 11 ต.ค. 55 10:36 น. 7
พี่ไปมา 2 ครั้งค่ะ รูปที่ใช้มาจากทั้ง 2 ที่เลย ฮ่าฮ่า
ครั้งแรกทำงานที่รัฐ Utah ค่ะ อารมณ์คล้ายๆ แกรนด์ แคนย่อน เป็นพวกป่า เขา น้ำตก
ครั้งที่สองไปรัฐ Michigan ค่ะ เป็นเกาะกลางทะเลสาบด้วย จะลมแรงตลอด

แต่ทั้งสองที่ที่พี่ไปเหมือนกันตรง ห่างไกลความเจริญ ค่ะ 
0
กำลังโหลด

13 ความคิดเห็น

keep_on Member 9 ต.ค. 55 13:46 น. 1
ขอบคุณค่ะพี่พิซซ่า   สำหรับข้อมูลสำหรับที่จะไป Work and Travel หนูกำลังคิดอยู่เลย จะเตรียมตัวไปยังไงหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้  ถือเป็นความรู้ที่ดีมากๆ อัพบ่อยๆนะคะ ><  
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
fe-ndiiz Member 11 ต.ค. 55 02:56 น. 5
ตอนนี้กำลังตัดสินใจเรื่องเอเจนซี่อยู่ค่ะ เพราะว่ายังไม่เคยไป คนใกล้ตัวก็ไม่มีใครเคยไปสักคน เลยต้องมาพึ่งอินเตอร์เน็ต เรื่องที่กลัวที่สุดคือกลัวโดนลอยแพค่ะ 

เรื่องที่จะถามคือ ถ้าจัดฟันอยู่ สามารถไปได้มั้ยคะ แล้วก็เรื่องคลุมผ้าและเสื้อแขนยาว (กางเกงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร) เนื่ืองจากเป็นมุสลิม กลัวว่านายจ้างจะไม่ให้ใส่ผ้าคลุม อันนี้ขึ้นอยู่กับนายจ้างใช่มั้ยคะ ถ้าจะให้เอเจนซี่ช่วยพูด เขาจะช่วยได้มากรึป่าวคะ?

อยากทราบตอนสัมภาษณ์งานกับนายจ้างด้วยอ่ะค่ะ ว่าเขาจะถามอะไรบ้าง เราต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง แล้วก็อยากให้พี่ช่วยแนะนำเอเจนซี่ที่น่าเชื่อถือหน่อยค่ะ ส่งมาทางอีเมลก็ได้นะคะ 
aitzhah.absf@gmail.com

ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลดีๆ
0
กำลังโหลด
PiZZaPeaCH Member 11 ต.ค. 55 10:36 น. 7
พี่ไปมา 2 ครั้งค่ะ รูปที่ใช้มาจากทั้ง 2 ที่เลย ฮ่าฮ่า
ครั้งแรกทำงานที่รัฐ Utah ค่ะ อารมณ์คล้ายๆ แกรนด์ แคนย่อน เป็นพวกป่า เขา น้ำตก
ครั้งที่สองไปรัฐ Michigan ค่ะ เป็นเกาะกลางทะเลสาบด้วย จะลมแรงตลอด

แต่ทั้งสองที่ที่พี่ไปเหมือนกันตรง ห่างไกลความเจริญ ค่ะ 
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
^>>_ [G]ames [G]angster _<<^ Member 14 ต.ค. 55 00:35 น. 9
จริงอย่างที่พี่บอกเลย
ซื้อของไปเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องกิน
เพราะที่พักเป็นแบบอพาร์ทเมนต์คอนโด
มีอุปกรณ์ครัวพร้อมทุกอย่าง ซื้อแค่วัตถุดิบมาอย่างเดียว
จนเผลอไปซุปเปอร์มาเกตบ่อยๆ walmart อีก
บอกได้เลยว่ากินมื้อนึงนี่สุดๆ แม้แต่ผักชี ผักไร้สาระอะไรยังซื้อมา 555

ใครจะไป เรียกสติตอนซื้อของให้ดีๆ เลยนะครับ
0
กำลังโหลด
nam 14 ต.ค. 55 23:30 น. 10
เอาจริงๆสถาพอากาศก็มีผลกับการได้ชั่วโมงงานนะคะ
ร้านอาหารที่เราไปทำ ถ้าช่วงไหน อากาศหนาว ฝกตก นี่คนจะเต็มร้านเลยค่ะ แล้วก็จะได้ชั่วโมงงานเพิ่มมานิดนึง
แต่ถ้าช่วงไหน อากาศร้อน คนนี่หายหมดเลยค่ะ เนื่องจากคนนิยมออกนอกเมืองไปทะเลสาบกัน
ซึ่งบางวัน เราได้แค่ สามชั่วโมงต่อวันเอง
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด